Dr. Med. Watcharaphol Alexandre Kamnerdsiri

Dr. Med. Watcharaphol Alexandre Kamnerdsiri A Public Fan Page of Dr. Med. Watcharaphol Alexandre Kamnerdsiri

สวัสดีครับผมมีโอกาสเข้าร่วมอบรมหลักสูตร Advanced Course in Aviation Medicine (หลักสูตร​แพทย์​เวชศาสตร์การบินขั้นสูง) ที่...
12/10/2025

สวัสดีครับ

ผมมีโอกาสเข้าร่วมอบรมหลักสูตร Advanced Course in Aviation Medicine (หลักสูตร​แพทย์​เวชศาสตร์การบินขั้นสูง) ที่เมืองซาลซ์บวร์ก ประเทศออสเตรีย และสามารถสอบจบหลักสูตรได้สำเร็จเป็นที่เรียบร้อยครับ

หลักสูตรนี้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ท่าอากาศยาน Salzburg โดยศูนย์การแพทย์เวชศาสตร์การบิน (AeMC Salzburg) มีแพทย์เข้าร่วมอบรมทั้งหมด 36 คนจากหลายประเทศทั่วโลก ในจำนวนนี้มีแพทย์จากเอเชียเพียงสองคน คือผม แพทย์ชาวไทยที่ทำงานอยู่ที่กรุงบรัสเซลส์​ ประเทศ​เบลเยียม และ Dr. Tony Ho เพื่อนแพทย์รุ่น​น้องชาวเวียดนามที่ทำงานอยู่ที่กรุงออสโล​ ประเทศ​นอร์เวย์

ตลอดหลักสูตร เราได้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติอย่างเข้มข้น ฟังบรรยายเกี่ยวกับเวชศาสตร์การบินขั้นสูง พร้อมชมการทำงานจริงของสนามบินในขณะที่เครื่องบินขึ้นลงอยู่ตรงหน้า

สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคือการได้เห็นและศึกษาประวัติของเครื่องบิน Douglas DC-6B ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ที่สำคัญที่สุดในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เครื่องรุ่นนี้ถูกสร้างโดยบริษัท Douglas Aircraft Company ในสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายทศวรรษ 1940 เพื่อให้สามารถบินได้ระยะไกลกว่า DC-4 และมีความสะดวกสบายมากขึ้นสำหรับผู้โดยสาร

เครื่อง DC-6B ที่ตั้งอยู่ที่ Hangar-7 ท่าอากาศยานซาลซ์บวร์ก มีประวัติพิเศษไม่เหมือนใคร เพราะเคยเป็น เครื่องบินประจำตำแหน่งของประธานาธิบดี Josip Broz Tito แห่งยูโกสลาเวีย ใช้สำหรับภารกิจทางการทูตและการเดินทางของผู้นำประเทศในยุคสงครามเย็น หลังจากนั้นเครื่องบินลำนี้ถูกเก็บรักษาไว้จนกระทั่งบริษัท Red Bull ได้ซื้อมาบูรณะครั้งใหญ่ในช่วงปี 2000 ให้กลับมาบินได้อีกครั้งภายใต้ชื่อ “The Flying Bulls DC-6B” ใช้เวลาเกือบหกปีในการฟื้นฟูทุกชิ้นส่วนให้กลับสู่สภาพสมบูรณ์ ทั้งเครื่องยนต์ Pratt & Whitney R-2800 สี่เครื่อง ระบบควบคุม และภายในห้องโดยสารที่ตกแต่งอย่างหรูหรา

ปัจจุบันเครื่องลำนี้จอดอยู่ภายใน Hangar-7 ซึ่งเป็นอาคารกระจกทรงโดมที่สวยงาม รวบรวมเครื่องบินคลาสสิกและรถแข่งของ Red Bull ไว้จัดแสดงอย่างถาวร การได้ขึ้นบินกับเครื่อง DC-6B ลำนี้ถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากมาก เพราะในแต่ละปีจะมีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่เครื่องจะได้รับอนุญาตให้นำออกบิน และเฉพาะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับโครงการหรือได้รับเชิญเป็นพิเศษเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้สัมผัสประสบการณ์นี้ ซึ่งผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสขึ้นบินจริงกับเครื่องบินประวัติศาสตร์ลำนี้

นอกจากนี้ เรายังได้ฝึกในเครื่องจำลองการบิน (Flight Simulator) และเข้าเยี่ยมชมการทำงานของเจ้าหน้าที่หอบังคับการบิน (Air Traffic Control Tower) ของสนามบินซาลซ์บวร์ก ซึ่งช่วยให้เข้าใจมุมมองการประสานงานระหว่างแพทย์ นักบิน และเจ้าหน้าที่ภาคพื้นได้อย่างลึกซึ้ง

หลังจากนี้ ผมจะดำเนินการเก็บประสบการณ์และเคสทางการแพทย์เพิ่มเติม เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการขอสอบประเมินเพื่อเลื่อนระดับจาก แพทย์เวชศาสตร์การบินระดับ 2 (Class 2 AME) เป็น ระดับ 1 (Class 1 AME) ซึ่งจะทำให้สามารถตรวจและออกใบรับรองแพทย์ให้กับนักบินพาณิชย์ได้ในอนาคต

ในช่วงปลายเดือนตุลาคม​นี้ ผมจะเข้าร่วมการประชุมวิชาการนานาชาติครั้งสำคัญ​ คือ​ 71st International Congress of Aviation and Space Medicine (ICASM 2025) ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งผมได้รับเกียรติให้ขึ้นบรรยายในวันที่ 29 ตุลาคม ช่วงเช้า ในหัวข้อ

“Andropause and Aeromedical Risk: A Systematic Review of Testosterone Deficiency in Male Pilots’ Performance and Mental Health” (ภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชายกับความเสี่ยงด้านเวชศาสตร์การบิน: การทบทวนอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับผลกระทบต่อสมรรถนะและสุขภาพจิตของนักบินชาย)

ทำไมแพทย์เวชศาสตร์การบินถึงมีจำนวนน้อยมากทั่วโลก?

สาขาเวชศาสตร์การบิน (Aviation Medicine) เป็นสาขาย่อยของเวชศาสตร์ป้องกันที่มีความเฉพาะทางสูงมาก แพทย์ที่ทำงานด้านนี้จะต้องผ่านการฝึกอบรมและการรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแลการบินของประเทศ เช่น EASA ในสหภาพ​ยุโรป หรือ FAA ในสหรัฐอเมริกา เพื่อให้สามารถออกใบรับรองแพทย์สำหรับนักบิน ลูกเรือ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการบินได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐานสากล

การเป็นแพทย์เวชศาสตร์การบินไม่ได้หมายถึงเพียงการตรวจสุขภาพทั่วไป แต่ต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงสรีรวิทยาของมนุษย์เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต่างจากพื้นดิน เช่น ความดันอากาศต่ำ การขาดออกซิเจน ความเร่ง (G-force) การเปลี่ยนแปลงของจังหวะการนอน และผลกระทบทางจิตใจจากการบินระยะไกลหรืออยู่ในสภาวะโดดเดี่ยว

แพทย์หนึ่งคนจะต้องสามารถเชื่อมโยงความรู้ด้านอายุรกรรม จิตเวช ศัลยกรรม โสตประสาท และเวชศาสตร์อาชีวะเข้าด้วยกัน เพื่อประเมินว่านักบินคนหนึ่ง “เหมาะสม” ต่อการปฏิบัติหน้าที่บนท้องฟ้าได้หรือไม่ การตัดสินใจของแพทย์ AME แต่ละครั้งจึงมีผลโดยตรงต่อความปลอดภัยของผู้โดยสารหลายร้อยชีวิตในทุกเที่ยวบิน

ด้วยเหตุนี้เอง แพทย์ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและได้รับการแต่งตั้งเป็น AME (AeroMedical Examiner) จึงมีจำนวนน้อยมากทั่วโลก เพราะ​ต้องผ่านการตรวจสอบเข้มงวด การอบรมเฉพาะทาง และการตรวจประเมินอย่างต่อเนื่อง

ผมรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น และอาจเป็น แพทย์ไทยเพียงคนเดียวในต่างประเทศที่ปฏิบัติงานด้านนี้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งนอกจากจะเป็นเกียรติส่วนตัวแล้ว ยังเป็นแรงผลักดัน​ให้ผมอยากส่งต่อความรู้ด้านเวชศาสตร์การบินสู่แพทย์รุ่นต่อไปในอนาคตครับ

รศ.ดร.นพ.วัชร​พล​ อเล็ก​ซอ​งด​ร์​ กำเนิด​ศิริ
เมืองซาลซ์บวร์ก​ สาธารณรัฐ​ออสเตรีย

สวัสดีครับการประชุมแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวโลก ปี 2025 ที่กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผม...
27/09/2025

สวัสดีครับ

การประชุมแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวโลก ปี 2025 ที่กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

ผมได้รับเกียรติเชิญ​บรรยายในการประชุม​นานาชาติ​นี้อยู่สองหัวข้อ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมคลุกคลีทำงานมานานและถือเป็นหัวใจหนึ่งของวิชาชีพที่ผมรัก

หัวข้อแรกเป็น Workshop (60 นาที) เรื่อง Practical Approaches to Sexual Medicine: communication techniques for Physicians in real life consultation (แนวทางปฏิบัติในเวชศาสตร์ทางเพศ เทคนิคการสื่อสารสำหรับแพทย์ในการปรึกษาจริง)

เนื้อหาที่นำเสนอไม่ใช่เพียงทฤษฎีสวยหรู แต่เป็นประเด็นจริงที่แพทย์ครอบครัวมักพบในห้องตรวจ ทว่าไม่ค่อยกล้าหยิบมาพูด ไม่ว่าจะเป็นภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ความเจ็บปวดของสตรีระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ความกังวลเรื่องสมรรถภาพในผู้สูงอายุ หรือการพูดคุยกับคู่สมรสที่ต่างฝ่ายต่างมีมุมมองไม่ตรงกัน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องจริงที่ผู้ป่วยเก็บเงียบไว้ หากแพทย์ไม่เปิดพื้นที่ด้วยการสื่อสารที่เข้าใจและอ่อนโยน ผู้ป่วยก็มักจะออกจากห้องตรวจไปโดยที่ปัญหายังอยู่เหมือนเดิม

หัวข้อที่สองเป็นการบรรยาย Integrating AI ethically in family practice while preserving human connection: insights from Brussels (การบูรณาการปัญญาประดิษฐ์อย่างมีจริยธรรมในเวชปฏิบัติครอบครัว โดยคงไว้ซึ่งความสัมพันธ์มนุษย์ บทเรียนจากบรัสเซลส์)

ผมเล่าจากประสบการณ์ตรงในคลินิกที่บรัสเซลส์ เช่น การใช้ AI วิเคราะห์ผลเลือดที่แต่ละค่าดูเหมือนปกติ แต่เมื่อรวมกันกลับสะท้อนความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ของภาวะมีบุตรยาก หรือ metabolic syndrome ระยะเริ่มต้น สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เราป้องกันโรคได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แต่ผมย้ำเสมอว่า AI เป็นผู้ช่วยที่ดีได้ แต่ไม่อาจแทนความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย

เดิมทีผมก็คิดว่าจะมีผู้เข้าฟังเพียงครึ่งหนึ่งของห้อง 150 ที่นั่ง แต่ที่ไหนได้ผู้คนมากันจนแน่น ล้นออกไปถึงด้านนอกห้อง ทำให้ผมทั้งแปลกใจและภูมิใจ ที่สิ่งเล็ก ๆ ที่ผมตั้งใจถ่ายทอดมีคุณค่าแก่เพื่อนร่วมวิชาชีพจริง ๆ

การประชุมครั้งต่อไปจะจัดที่เมืองเคปทาวน์ในปี 2027 และต่อด้วยเมืองเกียวโตในปี 2029 ซึ่งผมหวังว่าจะได้ร่วมแลกเปลี่ยนและเรียนรู้อีกครั้ง

และต้นเดือนหน้า ผมจะเดินทางไปศึกษาและเข้าสอบในหลักสูตร Advanced Course in Aviation Medicine (หลักสูตรขั้นสูงด้านเวชศาสตร์การบิน) สำหรับ Aeromedical Examiner (แพทย์เวชศาสตร์การบิน) ณ​ เมืองซัลซ์บูร์ก ประเทศออสเตรีย

ผมเชื่อว่าการแพทย์ไม่เคยหยุดนิ่ง และแพทย์ก็ไม่ควรหยุดที่จะเรียนรู้ ทุกก้าวที่เราพัฒนาตัวเอง ไม่ได้เพิ่มคุณค่าแก่ตัวเราเท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มคุณค่าแก่ผู้ที่มาพึ่งพาเราโดยตรง

ความสุขที่แท้จริงของแพทย์ ไม่ได้อยู่ที่ชื่อเสียงหรือเกียรติยศ แต่อยู่ที่การเห็นความเพียรพยายามของเราแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มและสุขภาพที่ดีขึ้นของคนไข้ และนั่นคือรางวัลอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้เรามีกำลังใจก้าวเดินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

แพทย์​ไทยไม่แพ้ชาติ​ใด​ในโลกครับ​ 🧑‍⚕️

รศ.ดร.นพ.วัชร​พล​ อเล็ก​ซองดร์​ กำเนิดศิริ
กรุงบรัสเซล​ส์ ราชอาณาจักร​เบลเยียม

สวัสดี​ครับ​ชีวิตการเป็นแพทย์ของผม​ เริ่มต้นที่เมืองเธสซาโลนิกิ ประเทศกรีซ หลังจากเรียนจบแพทย์จากมหาวิทยาลัย​อริสโตเติล​...
16/09/2025

สวัสดี​ครับ​

ชีวิตการเป็นแพทย์ของผม​ เริ่มต้นที่เมืองเธสซาโลนิกิ ประเทศกรีซ หลังจากเรียนจบแพทย์จากมหาวิทยาลัย​อริสโตเติล​ ผมเลือกต่อเฉพาะทางด้าน Γενική Ιατρική ซึ่งก็คือด้าน​เวชศาสตร์ครอบครัว ​นั่นคือบอร์ดแรกที่สอนให้ผมรู้จักดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงบั้นปลายชีวิต

ต่อมา ผมไปศึกษาต่อที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อเรียนต่อเฉพาะทางด้านจิตเวชศาสตร์ และได้ทำงานจนถึงจุดสูงสุดของสายนี้ คือการเป็นจิตแพทย์เวชศาสตร์การสงคราม การได้เผชิญหน้ากับบาดแผลทางใจของทหารและผู้ลี้ภัย ทำให้ผมเข้าใจว่า ความเจ็บปวดที่ลึกที่สุดของมนุษย์มักไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย แต่อยู่ในความทรงจำที่ฝังแน่น

ควบคู่ไปกับเส้นทางเหล่านี้ ผมมีความสนใจด้านเวชศาสตร์ทางเพศ (Sexual Medicine) และบุรุษศาสตร์ (Andrology) ซึ่งผมเรียนจบปริญญาเอกทางด้านนี้ที่กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก และยังคงทำงานสืบเนื่องมาจนปัจจุบัน เพราะผมเชื่อว่าความเข้าใจเรื่องเพศและสุขภาพผู้ชาย คือประเด็นที่สังคมการแพทย์ยังพูดถึงไม่มากพอ

ปีนี้ผมได้เข้าร่วมประชุมแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวโลกที่กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส งานนี้จัดขึ้นทุกสองปี สองปีก่อนที่ซิดนีย์ ครั้งต่อไปในปี 2027 จะไปจัดที่เคปทาวน์ และในปี 2029 จะไปที่เกียวโต หลังจากที่ทีมไทยแลนด์แพ้ผลโหวตในการเสนอตัวกรุงเทพมหานครเป็นเจ้าภาพ

วันโหวตนั้นห้องประชุมเงียบสนิท ทุกคนรอฟังผลด้วยหัวใจเต้นแรง และเมื่อประกาศว่าเกียวโตได้รับเลือก เสียงปรบมือก็ดังก้องไปทั้งห้อง ผมมองไปยังทีมไทยแลนด์ เห็นรอยยิ้มที่ปนทั้งความเสียดายและความภูมิใจ เพราะพวกเขารู้ว่าตนได้ทำอย่างสุดความสามารถแล้ว

ทีมไทยแลนด์นำโดย พญ.สายรัตน์ นกน้อย​ ผศ.นพ.กฤษณะ สุวรรณภูมิ พญ.สุพัตรา ศรีวณิชชากร (ประธานราชวิทยาลัยฯ) พญ.ศิรินภา ศิริพร ณ ราชสีมา และ รศ.นพ.กรภัทร มยุระสาคร ความทุ่มเทของพวกเขาเป็นสิ่งที่น่าจดจำ และเป็นการประกาศศักยภาพของแพทย์ไทยบนเวทีโลก

สำหรับผม การประชุมครั้งนี้ยังมีความหมายพิเศษ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ใส่ชุดไทยในชีวิต ก็เพราะคุณหมอสายรัตน์ชวนให้ผมมาร่วมเป็นกำลังใจให้ทีมไทยแลนด์ และผมก็ตอบรับด้วยความเต็มใจ วันนั้นผมยืนอยู่ในลิสบอนกับทีมไทยแลนด์​ ท่ามกลางแพทย์จากทั่วโลกในชุดไทย รู้สึกทั้งเขิน ทั้งภูมิใจ และก็หัวเราะกับตัวเองเบา ๆ ว่า คนเราบางครั้งต้องเดินทางข้ามทวีป จึงจะได้สวมใส่ชุดของบ้านเกิดตัวเอง

และที่สำคัญ ผมเป็นแพทย์ไทยเพียงคนเดียวที่ทำงานอยู่ในเบลเยียม และในครั้งนี้ ผมมาร่วมประชุมในฐานะ แพทย์เบลเยียมเชื้อชาติไทย เรื่องนี้ทำให้ผมภูมิใจอย่างยิ่ง แม้เส้นทางของผมจะยาก ต้องผ่านภาษา ทั้งฝรั่งเศสและดัตช์ รวมถึงเกณฑ์วิชาการที่เข้มงวด แต่ในความยากนั้นกลับมีคุณค่า เพราะทำให้การมีอยู่ของแพทย์ไทยหนึ่งเดียวในเบลเยียมของผมนั้น​ มีความหมายและสามารถสร้างประโยชน์ได้อย่างแท้จริง

ผมอยากใช้โอกาสนี้กล่าวขอบคุณทีมไทยแลนด์ ที่ได้ชวนผมเข้ามามีส่วนร่วม และให้เกียรติผมได้ใส่ชุดไทยครั้งแรกในชีวิต มันไม่ใช่แค่การแต่งกาย แต่เป็นการเชื่อมโยงผมกับรากเหง้า และทำให้ผมได้ยืนหยัดในนามคนไทยต่อหน้าสายตาของเพื่อนแพทย์จากทั่วโลก

แม้ผมอาจไม่ได้กลับไปทำงานที่ประเทศไทย แต่ผมเชื่อมั่นเสมอว่า ไม่ว่าคนไทยจะอยู่ที่ใด ก็ยังสามารถทำประโยชน์ให้บ้านเกิดได้ ผ่านความรู้ ความพยายาม และความทุ่มเทในหน้าที่ของตนเอง

และนี่คือภาพบางส่วนที่ผมอยากนำมาฝาก เพื่อแบ่งปันบรรยากาศ ความพยายาม และความภาคภูมิใจของทีมไทยแลนด์ที่ลิสบอนครับ

รศ.ดร.นพ.วัชรพล อเล็กซองดร์ กำเนิดศิริ
กรุงลิสบอน สาธารณรัฐโปรตุเกส

สวัสดีครับเกือบตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ผมหายหน้าไปจากเพจ เพราะผมกลับเมืองไทยเพื่อไปเยี่ยมคุณแม่ที่ไม่ได้เจอกันมานานครับ กา...
06/09/2025

สวัสดีครับ

เกือบตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ผมหายหน้าไปจากเพจ เพราะผมกลับเมืองไทยเพื่อไปเยี่ยมคุณแม่ที่ไม่ได้เจอกันมานานครับ การได้อยู่ใกล้ ๆ ดูแลท่านในแต่ละวัน เป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าเหลือเกิน ทำให้หัวใจอุ่นและมั่นคงขึ้นมาก ความผูกพันระหว่างแม่กับลูกนั้นไม่เคยจางหาย และทุกครั้งที่ได้กลับไปหาท่าน ก็เหมือนได้ย้อนกลับไปเติมรากฐานชีวิตให้แข็งแรงอีกครั้ง

ในเวลาเดียวกัน เส้นทางวิชาชีพของผมที่เบลเยียมก็ก้าวสู่จุดหมายใหม่ที่สำคัญ เพราะเมื่อวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา ผมได้รับการอนุมัติขึ้นทะเบียนเป็นแพทย์เวชศาสตร์การบิน (Aeromedical Examiner – AME) ของ Belgian Civil Aviation Authority (BCAA) หมายเลขทะเบียน AME.BE.2076

กว่าจะได้เลขนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผมเริ่มต้นด้วยการเรียนหลักสูตร Basic Course ของ European Society of Aerospace Medicine (ESAM) Academy ณ เมืองโคโลญจน์ ประเทศเยอรมนี และสอบผ่านจบหลักสูตรตั้งแต่วันที่ 18 กันยายนปีที่แล้ว​ หลังจากนั้นคือกระบวนการยาวนานเกือบหนึ่งปีเต็ม เอกสารทุกแผ่นถูกตรวจสอบอย่างละเอียด สถานพยาบาลและอุปกรณ์ต้องสอดคล้องกับมาตรฐานที่กำหนด ผมต้องผ่านการอบรมและทดสอบการใช้ระบบ EMPIC ซึ่งเป็นระบบข้อมูลเวชศาสตร์การบินสากลที่ทั้งยุโรปและประเทศไทยใช้เหมือนกัน และสุดท้ายยังต้องผ่านการออดิทหลายขั้นตอน ก่อนที่ BCAA จะอนุมัติและมอบหมายเลขนี้ให้ปรากฏข้างชื่อผม

เบลเยียมขึ้นชื่อว่ามีระบบที่เข้มงวด และมีจำนวนแพทย์ AME ไม่มากนัก เพราะตั้งเกณฑ์สูงมากทั้งในด้านวิชาชีพและด้านประสบการณ์ทางคลินิก รวมทั้งกำหนดว่าผู้สมัครต้องมีทักษะภาษาราชการของเบลเยียม​ถึงระดับ C1

ที่นี่ก็มีข้อบังคับว่าการตรวจสุขภาพนักบินพาณิชย์ Class 1 ครั้งแรก (Initial) จะต้องทำใน AeMC เท่านั้น AME เอกชนเช่นผมจึงเริ่มทำได้จาก Class 2, LAPL และ Cabin Crew และในก้าวต่อไปคือสิทธิในการทำ Class 1 (Renewal) ซึ่งตอนนี้ผมกำลังเรียนหลักสูตรแพทย์​เวชศาสตร์​การบินขั้นสูง​ (Advanced Course​) ณ Austrian Aerospace​ Medicine​ Institute​ (AAMI) ที่เมืองซาลซ์บูร์ก สาธารณรัฐ​ออสเตรีย​ เพื่อเตรียมตัวต่อไปครับ

สิ่งที่ทำให้​ AME​ ของเบลเยียมมีความสำคัญเป็นพิเศษก็คือ กรุงบรัสเซลส์เอง​ถือว่าเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการบินหลักของยุโรป เป็นที่ตั้งของ Brussels Airlines, ฐานปฏิบัติการของ Ryanair และ TUI รวมถึงสายการบินธุรกิจ (bizjets) และหน่วยงานของ NATO และ EU นักบินและลูกเรือนับพันชีวิตหมุนเวียนอยู่ที่นี่ตลอดเวลา ความต้องการตรวจสุขภาพการบินจึงมีอย่างต่อเนื่อง และนั่นทำให้ทุกการอนุมัติจาก BCAA ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องส่วนตัวของแพทย์ แต่มีผลโดยตรงต่อความปลอดภัยของการบินในภูมิภาคนี้

เมื่อมองกลับไปที่ประเทศไทย ระบบแพทย์เวชศาสตร์การบินก็มีความเข้มแข็งไม่แพ้กัน เพียงแต่ส่วนใหญ่จะผูกอยู่กับโรงพยาบาลเอกชนใหญ่​ ๆ​ หรือโรงพยาบาลทหาร ไม่ค่อยเปิดโอกาสให้มี AME ในคลินิกส่วนตัวเหมือนในสหภาพ​ยุโรป แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ประเทศไทยเองก็ใช้ระบบ EMPIC เหมือนกับยุโรปเช่นกัน นั่นหมายความว่ามาตรฐานการบันทึกและการเก็บข้อมูลของนักบินและลูกเรือ ทั้งในกรุงเทพฯ และในบรัสเซลส์ เดินคู่กันในระดับเดียวกัน เป็นสิ่งที่ตอกย้ำว่า ความปลอดภัยทางการบินไม่ใช่เรื่องของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นพันธะร่วมกันของโลกทั้งใบ

ผมนั้นมีรากเหง้าที่ผูกพันกับท้องฟ้ามาแต่เด็ก คุณพ่อของผมท่านเคยเป็นนักบินขับไล่ของกองทัพอากาศไทยในยุค 1960s-1970s ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เดินตามรอยเท้าพ่อเพื่อมาเป็นนักบิน แต่วันนี้ผมก็ได้มายืนอยู่ในเส้นทางที่เกี่ยวพันกับการบินอีกด้านหนึ่ง ด้วยการเป็นแพทย์เวชศาสตร์การบิน ผู้ตรวจสุขภาพนักบินให้พวกเขาพร้อมกลับขึ้นสู่ฟ้าได้อย่างมั่นใจ สำหรับผมแล้ว นี่คือเกียรติของชีวิต และเป็นเกียรติของวงศ์ตระกูลของผมในอีกจุดหนึ่ง​

และผมเองก็น่าจะเป็นแพทย์ไทยคนแรกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแพทย์​เวชศาสตร์​การบิน​ (AME) ของสหภาพยุโรป (European Union) ความจริงข้อนี้ไม่ได้ทำให้ผมภูมิใจเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมได้พา “ธงเล็ก ๆ ของแพทย์ไทย” ไปปักอยู่ในระบบที่เข้มงวดที่สุดระบบหนึ่งของโลก เป็นการแสดงให้เห็นว่าแพทย์ไทยสามารถยืนหยัดได้บนเวทีสากล

จากนี้ไป ผมจะยังคงทำหน้าที่สองบทบาทควบคู่กัน ทั้งในฐานะแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวที่ดูแลผู้คนบนพื้นดิน และในฐานะแพทย์เวชศาสตร์การบินที่พิทักษ์ความปลอดภัยบนท้องฟ้า แต่ผมตั้งใจว่าจะไม่หยุดเพียงเท่านี้ ผมอยากพัฒนาตัวเองให้ลึกขึ้นไปอีก ทั้งด้านความรู้ ความสามารถ และมาตรฐานวิชาชีพ เพื่อให้สมกับความไว้วางใจที่ได้รับจากผู้ป่วยและนักบินทุกคน ในเวลาเดียวกัน ผมจะรักษาสมดุลของชีวิตไว้เสมอ เพราะผมเชื่อว่า work–life balance ไม่ใช่ความฟุ้งฝัน แต่คือรากฐานของการเป็นแพทย์ที่ดีได้อย่างยืนยาว

ทุกครั้งที่ผมเห็นหมายเลข AME.BE.2076 ขึ้นอยู่หลังชื่อ ผมจะระลึกเสมอว่านี่ไม่ใช่เพียงใบอนุญาต แต่คือเครื่องเตือนใจว่า ความเพียรพยายาม ความกตัญญูต่อครอบครัว และเกียรติของวิชาชีพแพทย์ไทย สามารถพาเราไปยืนอยู่ได้ทุกแห่งหนของโลก และหวังว่าเรื่องราวนี้จะเป็นแรงบันดาลใจเล็ก ๆ ให้แพทย์รุ่นน้องได้เห็นว่า หากมีความตั้งใจและไม่หยุดที่จะก้าวไปข้างหน้า วันหนึ่งพวกเขาก็สามารถสร้างเส้นทางที่ภาคภูมิใจของตนเองได้เช่นกัน

เป็นกำลังใจให้ FC ของผมทุกคนครับ

รศ.ดร.นพ.วัชรพล อเล็กซองดร์ กำเนิดศิริ
กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม

สวัสดี​ครับ​เช้าวันนี้ในเดือนกรกฎาคม แดดอ่อน ๆ สาดเข้ามาทางหน้าต่างในยามเช้าที่ย่านเก่าแก่ของบรัสเซลส์ ลมพัดเบาอย่างเกีย...
05/07/2025

สวัสดี​ครับ​

เช้าวันนี้ในเดือนกรกฎาคม แดดอ่อน ๆ สาดเข้ามาทางหน้าต่างในยามเช้าที่ย่านเก่าแก่ของบรัสเซลส์ ลมพัดเบาอย่างเกียจคร้าน ใบไม้ริมทางไหวคล้ายกำลังหยอกล้อกับแสงเงา ร้านกาแฟที่หัวมุมถนนเริ่มเปิดประตู กลิ่นกาแฟลอยเข้ามาแตะจมูกแผ่ว ๆ

ฤดูร้อนมาถึงบรัสเซลส์​แล้วหลายสัปดาห์​แล้ว​ ผู้คนสวมเสื้อบาง เดินทอดน่องไปตามทางเท้าด้วยท่าทีที่เหมือนอยากให้วันผ่านไปช้าลงอีกนิด ในความเรียบง่ายของเช้านี้ ผมกลับนึกถึงกลิ่นดินและไอหมอกของเปรูขึ้นมาอย่างประหลาด

หลังกลับจากการเดินทางสู่มาชูปิกชู เมืองหินโบราณที่ตั้งอยู่กลางขุนเขา ผมแทบไม่ได้เขียนอะไรลงเพจเลยสักบรรทัด

หน้าที่ความรับผิดชอบ​ในฐานะ​กรรมการแพทยสภาเขตบรัสเซลส์ในเดือนมิถุนายน​ที่ผมต้องอยู่เวรเต็มเดือน เรียงรายเข้ามาอย่างไม่รู้จบ ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาจริยธรรมวิชาชีพ การดูแลเรื่องร้องเรียน หรือการให้ความเห็นในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเกียรติภูมิของวิชาชีพแพทย์ที่นี่

ในโลกของการแพทย์ จริยธรรมไม่ใช่เพียงกฎ หากเป็นสิ่งที่อยู่ในใจ เป็นเหมือนเงาเรือนของวิชาชีพ ที่แม้มองไม่เห็น แต่รู้ได้ว่าควรระลึกถึงเสมอ

เมื่อกลับมาสวมบทบาทของแพทย์อีกครั้ง สิ่งที่พบในคลินิกก็คือภาพคุ้นตาของผู้ป่วยชาวไทยที่อาศัยอยู่ที่เบลเยี่ย​ม​ ฝรั่งเศส​ และเนเธอร์แลนด์​ หลายคนดูแข็งแรงดี แต่กลับมีอาการบางอย่างที่ไม่ชัดเจน เช่น คันผิวหนังเรื้อรัง แน่นท้อง อ่อนเพลีย หรือหลับไม่สนิท อาการที่ไม่ถึงกับรุนแรง แต่ก็กัดกร่อนคุณภาพชีวิตไปทีละน้อย

เมื่อสอบถามลงลึกถึงพฤติกรรมการกินอยู่ในอดีต ก็มักพบเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตในเขตร้อน เช่น การรับประทานอาหารดิบ การล้างผักไม่สะอาด หรือการใช้ปุ๋ยหมักจากมูลสัตว์โดยไม่ได้ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อ นอกจากนี้ การเดินเท้าเปล่าในพื้นดินชื้น ๆ ก็อาจเป็นช่องทางที่พยาธิบางชนิดไชเข้าสู่ผิวหนังโดยที่เราไม่รู้ตัว

พยาธิบางชนิดไม่แสดง​อาการ​ แต่แทรกซึมอยู่ในร่างกายเป็นปี หากตรวจเลือดหรืออุจจาระในช่วงที่พยาธิไม่หลั่งไข่ ก็อาจไม่พบสิ่งผิดปกติเลย ในกรณีเช่นนี้ ประสบการณ์ทางคลินิกของแพทย์กลายเป็นสิ่งสำคัญ เป็นการประเมินอย่างละเอียดอ่อนจากข้อมูลเล็กน้อยที่คนไข้เล่า ด้วยความเข้าใจในบริบทชีวิตของเขา

ขณะเดียวกัน เบลเยียมก็กำลังอยู่ในช่วงที่ผู้คนใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากขึ้น ภาวะเศรษฐกิจไม่ได้รุนแรงถึงขั้นวิกฤต แต่ก็ฝืดเงียบอย่างน่าประหลาด ราคาสินค้าจำเป็นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งอาหาร น้ำมัน และค่าบริการ รายได้แม้จะมีการปรับตามดัชนีเงินเฟ้อ แต่ผู้คนจำนวนมากก็ยังรู้สึกว่าทุกยูโรที่หามาได้ช่างมีน้ำหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ

หากเปรียบกับช่วงก่อนโควิด ชีวิตดูจะเบาสบายกว่านี้มาก การซื้อของโดยไม่ต้องเช็กราคาทุกรายการ การกินข้าวนอกบ้านกับครอบครัว หรือแม้แต่การหยิบกาแฟถ้วยเล็กจากร้านโปรด ล้วนเป็นเรื่องที่ทำได้โดยไม่ต้องคิดมากนัก แต่วันนี้ หลายสิ่งกลายเป็นเรื่องที่ต้อง "ชะลอไว้ก่อน" ด้วยเหตุผลที่อธิบายยาก

ผู้คนไม่ได้จนลงอย่างทันตาเห็น แต่กำลังประคองชีวิตด้วยความรอบคอบมากกว่าเดิม สังคมเหมือนจะกำลังหัดหายใจช้าลง เพื่อให้พออยู่ได้กับอากาศที่เปลี่ยนไป

เดือนกรกฎาคมนี้ ผมจะเดินทางไปคีร์คีเนส​ 4 วัน เป็นเมืองเล็กทางตอนเหนือของนอร์เวย์ ซึ่งอยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากพอที่พระอาทิตย์จะไม่ยอมลับขอบฟ้าในฤดูร้อน แล้วจะแวะไปบ้านที่ปารีสอีก​ 3 วัน ก่อนจะเดินทางกลับไทยช่วงสิ้นเดือน พาคุณแม่ไปเที่ยวทะเลและพักผ่อนด้วยกันบ้าง

สิบสามปีแล้วที่ผมเขียนเพจนี้ จากเรื่องราวเล็ก ๆ ที่เคยเก็บไว้เงียบ ๆ ในใจ วันนี้กลายเป็นพื้นที่ที่มี​ผู้อ่านจากทั่วโลก​ร่วมเดินทางกับผมด้วยเสมอ

ขอบคุณ​ FC​ ทุกคนที่ยังติดตามอ่านงานของผมเสมอ​ ไม่ว่าจะอยู่มุมใดของโลก

ขอให้เรายังมีหัวใจที่อ่อนโยน มีเวลาพักใจให้ตัวเอง​บ้างในแต่ละวัน และมองชีวิตด้วยความเข้าใจมากกว่าความเร่งรีบ​ แล้วชีวิต​ของเราจะมีจุดบาลานซ์​ที่ดีขึ้นมาอย่างน่าประหลาด​ใจ

Have​ a nice weekend ครับ

รศ.ดร.นพ.วัชร​พล​ อเล็กซองดร์​ กำเนิดศิริ
กรุงบรัสเซลส์​ ราชอาณาจักร​เบลเยียม

สวัสดีครับจากกรุงซันติอาโก เมืองหลวงของประเทศชิลี ผมได้นั่งเครื่องบินของสายการบิน Latam​ ในชั้นธุรกิจ​ ข้ามผืนน้ำอันกว้า...
20/05/2025

สวัสดีครับ

จากกรุงซันติอาโก เมืองหลวงของประเทศชิลี ผมได้นั่งเครื่องบินของสายการบิน Latam​ ในชั้นธุรกิจ​ ข้ามผืนน้ำอันกว้างใหญ่ของมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออก เดินทางราวห้าชั่วโมงเศษ สู่เกาะเล็ก ๆ ที่ชื่อว่าเกาะอีสเตอร์ หรือในภาษาพื้นเมืองว่า ราปานุย ชื่อที่ชาวเกาะเรียกกันเองด้วยความเคารพ เพราะมันไม่ใช่แค่เกาะ มันคือแผ่นดินแห่งจิตวิญญาณบรรพบุรุษ​ของพวกเขา​เหล่านั้น​

ผมเคยเหยียบแผ่นดินนี้มาแล้วเมื่อปี 2019 ตอนนั้นเดินชมหมู่โมอายได้อย่างอิสระ ไม่มีไกด์ ทุกสิ่งเงียบงันอย่างที่ธรรมชาติตั้งใจจะให้เป็น

แต่แล้วโรคระบาดใหญ่โควิด​ (COVID-19) ก็มาเยือน โลกทั้งใบหยุดหายใจ เกาะราปานุยที่เคยคึกคักก็กลายเป็นเงียบราวกับถูกมนต์สะกด นักท่องเที่ยวหาย รายได้หด รัฐบาลท้องถิ่นจึงปรับนโยบายใหม่ ให้ผู้มาเยือนทุกคนต้องมีไกด์นำทาง เหมือนมีญาติผู้ใหญ่พาเดินเที่ยว ทั้งเพื่อความปลอดภัย ความรู้ และเพื่อให้เงินทองไหลกลับสู่ชุมชน ค่าเข้าชมก็ปรับเป็น 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อคน ราคานี้ฟังดูไม่เบา แต่เมื่อได้มาเหยียบดินแดงแห่งนี้อีกครั้ง ก็รู้สึกว่าทุกบาททุกสตางค์​มีความหมายอยู่ในตัวมันเอง

ครั้งนี้ผมเลือกทัวร์ส่วนตัวของบริษัท Easter Island Travel ซึ่งแม้จะมีราคาสูงถึง 725 ยูโร (ประมาณ​ 2 หมื่น​ 7​ พัน​บาท​ ไม่รวมค่าตั๋วเข้าชมอุทยาน​อีกคนละ​ 2 พัน​ 7​ ร้อย​บาท) สำหรับทัวร์ส่วนตัวสองวัน แต่ก็คุ้มค่าครับ เพราะได้คุณ Alberto Rapu ผู้จัดการ​และคุณ Yenicet Araki เป็นไกด์​นำเที่ยว​ ซึ่งทั้งสองเป็น​ชาวราปานุย​แท้​ ๆ​ ผู้มีหัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยรักบ้านเกิด มาเป็นผู้พาชมเกาะราปานุย

ว่ากันว่า โมอายบนเกาะนี้มีอยู่ราว 900 องค์ แกะสลักจากหินภูเขาไฟบนภูเขาราโน รารากุ ในช่วงศตวรรษที่ 13 ถึง 16 โดยเชื่อกันว่าเป็นรูปจำลองของบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ ที่คอยคุ้มครองลูกหลานอยู่เงียบ ๆ ไม่ส่งเสียงแต่ไม่เคยละสายตา การเคลื่อนย้ายโมอายเหล่านี้จากภูเขาสู่ชายฝั่งโดยไม่มีล้อ ไม่มีโลหะ และไม่มีสัตว์ลากจูง เป็นเรื่องที่นักโบราณคดียังถกเถียงไม่จบ บางคนถึงขั้นเสนอทฤษฎีว่า โมอายเดินได้เอง ซึ่งแม้จะฟังดูน่าเหลือเชื่อ แต่ก็ยังน่าเชื่อกว่าใบเสร็จภาษีในบางประเทศอยู่ดี

การแข่งกันสร้างโมอายระหว่างเผ่าต่าง ๆ ทำให้ต้องตัดไม้ไปใช้เป็นท่อนไม้กลิ้งหรือเป็นเชื้อเพลิง พอป่าไม้หมด น้ำก็หาย ดินก็เสื่อม เกาะจึงเข้าสู่วิกฤติ และเหมือนอารยธรรมจะหมดแรงในที่สุด

ในช่วงปลาย ชาวราปานุยจึงหันมาเคารพบูชาพระเจ้าองค์ใหม่ชื่อว่า มนู โดยจัดพิธีเลือกผู้นำผ่านการแข่งขันแทงกาตามานู หรือ Birdman ผู้ชนะคือผู้ที่สามารถไต่หน้าผา ลงทะเล ว่ายน้ำไปยังเกาะกลางทะเล เก็บไข่นกแล้วกลับมาโดยไม่ตกตาย เป็นพิธีที่ฟังดูเหมือนรายการเรียลลิตี้เอาตัวรอด แต่มีน้ำหนักทางจิตวิญญาณจริงจัง เพราะผู้ชนะจะกลายเป็นผู้ปกครองสูงสุดชั่วคราว แทนระบบชนชั้นที่เคยมีมาก่อน

เมื่อชาวตะวันตกเข้ามาถึงในศตวรรษที่ 18 พวกเขาก็นำสิ่งดี ๆ มาด้วย เช่น แผนที่ เรือใบ และโรคฝีดาษ หลังจากนั้นเกาะราปานุยก็กลายเป็นดินแดนแห่งการต่อสู้เพื่อรักษาตัวตนเรื่อยมา จนถึงทุกวันนี้

แต่ทั้งหมดที่เล่ามานั้น ยังไม่ใช่จุดพีคของเรื่องครับ

ในระหว่างการเดินทาง วันหนึ่งผมนั่งพักที่สำนักงานเล็ก ๆ แห่งหนึ่งของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นสิ่งที่ทำให้ใจเต้นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

นั่นคือ ขวดซอสหอยนางรม “ตราแม่ครัว”

ใช่ครับ ขวดซอสไทยแท้ ๆ ฉลากไทย ฝาแดง โลโก้แม่ครัวยืนผูกผ้ากันเปื้อนอยู่หน้ากระทะครบถ้วนตามหลักสูตร

ผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหลุดยิ้มออกมาเบา ๆ เพราะมันทั้งน่าขำและน่าภูมิใจ ใครจะไปคิดว่าซอสจากร้านโชห่วยแถวบางลำพู จะเดินทางไกลข้ามซีกโลกมาอยู่เงียบ ๆ บนโต๊ะไม้กลางเกาะที่อยู่ห่างจากประเทศ​ไทยกว่า 17,000 กิโลเมตร

นี่แหละครับ คือความเป็นไทยที่ไม่ต้องยกขบวนแสดงวัฒนธรรม หรือจัดนิทรรศการให้ยุ่งยาก เพียงมีคนคนหนึ่งที่อยากผัดข้าวให้หอมแบบบ้าน ๆ ก็เพียงพอแล้วที่จะพา “ไทย” มาถึงจุดนี้ได้

ผมนึกในใจว่า ขวดซอสนี้คงไม่มีใครสนใจมันนัก แต่ก็ทำหน้าที่เป็น “ทูตวัฒนธรรม” ได้ดีกว่าเอกสารราชการหลายฉบับเสียอีก

ผมรักชิลีครับ และตั้งใจว่าจะกลับมาอีกครั้งในฤดูฝนปีหน้า เพราะฝนไม่เคยทำร้ายใครที่มองโลกในแง่ดี ส่วนหิมะนั้นก็เป็นแค่เครื่องประดับของภูเขา และความเงียบคือของขวัญสำหรับผู้ที่เดินทางเพื่อฟังเสียงของตนเอง

จากชิลี ผมบินต่อไปยังเอกวาดอร์ เพื่อเริ่มต้นบทใหม่ในกรุงกีโต เมืองหลวงที่สูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 2,800 เมตร ซึ่งจะขอเล่าในคราวต่อไป

ก่อนจบบันทึกฉบับนี้ ผมขอฝากข้อคิดสั้น ๆ จากใจ

ในวัยกลางคน การดูแลสุขภาพคือหน้าที่ การบริหารเงินและเวลาเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ส่วนความทรงจำดี ๆ ที่เราเก็บระหว่างทางนั้น จะกลายเป็นกองทุนกำลังใจในวันที่ชีวิตเงียบงัน

แด่แฟนเพจที่รักของผมทุกคน จงอย่ากลัวการเดินทาง อย่ากลัวความเปลี่ยนแปลง และอย่าลืมว่า ทุกการเดินทางที่มีความหมาย มักเริ่มต้นจากความตั้งใจเล็ก ๆ เงียบ ๆ ที่อยู่ในใจเรานี่เอง

รศ.ดร.นพ.วัชรพล อเล็กซองดร์ กำเนิดศิริ
ณ​ เกาะอีสเตอร์​ (ราปานุย) ประเทศชิลี

สวัสดี​ครับ​ผมเดินทางมาพักผ่อนที่อเมริกาใต้ 20 วัน ครอบคลุม 5 ประเทศ ได้แก่ อาร์เจนตินา ชิลี ปานามา เอกวาดอร์ และเปรู​ซึ...
13/05/2025

สวัสดี​ครับ​

ผมเดินทางมาพักผ่อนที่อเมริกาใต้ 20 วัน ครอบคลุม 5 ประเทศ ได้แก่ อาร์เจนตินา ชิลี ปานามา เอกวาดอร์ และเปรู​

ซึ่ง​ตอนที่ผมเขียนโพสท์​นี้ ผมกำลัง​อยู่ที่กรุงซันติอาโก​ เมืองหลวงของประเทศที่เรียกได้ว่า “ยาวที่สุดในโลก” คือ ยาวเท่ากับระยะทางจากกรุงเทพฯ ไปโตเกียว​ แต่ มีความ​กว้างเฉลี่ยเพียงกรุงเทพฯ ถึงอยุธยา เท่านั้น

ขับรถเลียบประเทศนี้ก็เหมือนขับบนเส้นด้าย​ กล่าวคือ​ ยาวพอให้ไตร่ตรองชีวิต แต่แคบพอให้ต้องระวังอย่าเผลอหล่นจากขอบแผนที่

ประเทศ​ชิลี​ มีประชากรราว 20 ล้านคน ใช้ภาษาสเปนเป็นภาษาราชการ​ และที่สำคัญ คนไทยถือหนังสือเดินทางธรรมดาสามารถเข้าประเทศได้ 90 วันโดยไม่ต้องขอวีซ่า
ถือเป็นไมตรีจิตจากปลายฟ้าฝั่งแปซิฟิกที่น่าชื่นใจ

เมื่อมาถึง ผมทำในสิ่งที่คนไทยไกลบ้านบางคน​ เช่นผม​ มักทำ คือ หาร้านอาหารไทย​ และได้พบกับร้านชื่อ “ข้าวสาร​ 15” ผ่าน Google Maps เพราะ​ผัดไทยในรูปดูดี​ ไม่แฉะเป็นก๋วยเตี๋ยว​น้ำ มีภาษาไทยในรูป ผมจึงขับรถจากโรงแรม​ Holiday Inn Santiago Airport ที่ผมพักอยู่ที่สนามบินตรงไปแบบไม่ลังเล

ที่ร้านข้าวสาร ผมได้รู้จักกับ คุณออย​ สาวไทยจากกรุงเทพฯ​ แต่หน้าตาเหมือนสาวชิเลียน ที่พูดไทยชัด พูดใจชัดยิ่งกว่า
เธอเคยทำงานกับแบรนด์ La Mer ที่สยามพารากอน ก่อนจะย้ายมาอยู่ที่ชิลีมากว่าสิบปีแล้ว

คุณออยพูดถึงสถานทูตไทยประจำกรุงซันติอาโกด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความชื่นชม​ โดยเฉพาะท่านทูตคนใหม่ที่เธอบอกว่าอบอุ่น เป็นกันเอง และเข้าถึงคนไทยได้จริง ๆ

เราคุยกันอย่างถูกคอ และคุณออยก็แนะนำให้ผมไปรู้จักกับสามีของเธอ​ ชื่อ​ คุณอ๊อด วัย 68 ปี ซึ่งผมไปพบที่ร้านอาหารอีกแห่งของเขาในย่าน Franklin

คุณอ๊อดย้ายมาอยู่ชิลีตั้งแต่ปี 2547 หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง​ ก่อนโควิดเคยมีร้านอาหารไทยถึง 7 ร้าน​nหลังโรคระบาดโลกถาโถม เหลือรอดมา 2 ร้าน​ แต่วันนี้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาได้ถึง 4 ร้าน ถือ​ เป็นบทเรียนของความไม่ยอมแพ้ ที่ฟังแล้วอิ่มกว่าอาหารในจาน

ด้วยความรู้สึกชื่นชมในสิ่งที่คุณออยเล่า
ผมเกิดอยากแวะไป “เยี่ยมเยียน” สถานทูตไทย​ ... แม้ไม่มีนัด ไม่มีใครรู้จัก และไม่มีธุระเป็นทางการ​ ... แต่บางครั้ง ความรู้สึกอบอุ่นจากคำชมของคนไทยในพื้นที่ก็เพียงพอจะผลักให้เราก้าวไปหา

สถานทูตไทยตั้งอยู่บนตึกชั้น 15 ร่วมอาคารกับสถานทูตสวิส​ ผมกดกริ่ง และได้รับการต้อนรับจาก คุณภัทรียา วัฒนสิน​ อัครราชทูตที่ปรึกษา (อทป.) ซึ่งต่อมา​ ภายหลังทราบว่าเธอเป็น ศิษย์เก่า King’s College London เช่นเดียวกับผม

โลกกลมจริง ๆ ครับ และกลมพอที่เราจะได้พบคนคุ้นใจกลางดินแดนไกลบ้าน

เราคุยกันอย่างสบายใจ ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ไทย–ชิลี การค้า การทูต และคน​ จากนั้นผมขอตัวไปรับประทานอาหารที่ร้านคุณอ๊อดในย่าน Providencia

ผมขับรถไปถึงร้านได้ราวสิบกว่านาที
คุณภัทรียาก็ส่งข้อความมาว่า
“ท่านทูตเข้ามาแล้วนะคะ”

ผมจึงเรียนกลับไปว่า​ “หลังทานข้าวเสร็จ ผมขอแวะกลับไปขอพบท่านสักครู่หนึ่งนะครับ”

คุณออยขอผมว่า​ อยากมาสถานทูต​ด้วย​ ซึ่งผมก็ยินดี​มากครับ​ ไปเซอไพรส์​ทีมไทยแลนด์​ด้วยกัน

และแล้ว ผมก็ได้พบกับ ท่านทูต​เอ๊ะ ฯพณฯ วิมลพัชระ​ รักษาเกียรติ​ เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงซันติอาโก

ท่านเคยดำรงตำแหน่งทูตที่นอร์เวย์​ และรู้จักกับ รุ่นน้องที่นับถือ​ผม (คุณหนึ่ง​ ทรงสิทธิ์ เลิศเศรษฐการ) ที่อาศัยอยู่ที่นอร์เวย์

บทสนทนาเป็นไปอย่างอบอุ่น ละมุนละไม
ท่านทูตมีทั้งความสามารถทางการทูต และมนุษยสัมพันธ์ที่ทำให้คนรู้สึกสบายใจ
ไม่ได้ยืนบนฐานของตำแหน่ง แต่ยืนอยู่ในระดับสายตาของคนไทยทุกคน

ผมไม่ได้เจอทูตไทยที่น่าประทับใจขนาดนี้มานานแล้ว​ นอกจากท่านวิมลพัชระ คนก่อนหน้าที่เคยสร้างความรู้สึกนี้ให้ผมคือ​ ​ฯพณฯ​ร้อยโท​ระวี หงสประภาส สมัยดำรงตำแหน่งทูตประจำสถานเอกอัครราชทูต​ ณ​ กรุงเอเธนส์​ ตอนที่ผมยังเป็นนักเรียนแพทย์ทหารในเมืองเธสซาโลนิกิ ประเทศกรีซ

ทูตที่ดี​ … ควรมีมากกว่าชั้นยศและวุฒิภาวะ
ควรมี “รอยยิ้ม” ที่ไม่หลุดจากความจริงใจ
ควรมี “สายตา” ที่มองเห็นคนไทยไกลบ้าน ไม่ใช่แค่ในฐานะผู้ร้องขอบริการ​ และควรมี “หัวใจ” ที่เปิดรับ แม้ไม่มีอะไรต้องช่วยเหลือ

สถานทูตไทยไม่ควรเป็นเพียง “ที่ยื่นเอกสาร”
แต่ควรเป็น “ที่พักใจ” ของคนไทยในต่างแดน
และทีมงานของสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงซันติอาโกในวันนี้​ ได้แสดงให้เห็นว่า ความเป็นไทย...ไม่เคยเดินทางลำพัง

ผมจะอยู่ที่ซันติอาโกถึงวันที่ 14​ พฤษภาคม​
จากนั้นจะเดินทางไปยังเกาะอีสเตอร์
และจะกลับมาเล่าเรื่องของรูปปั้นโมอายผู้เงียบขรึมในโพสต์หน้า

แม้โลกจะกว้าง และชีวิตจะยาวราวดั่งประเทศชิลี​ แต่หากเรารู้ว่ามาจากไหน และเห็นค่าความเป็นไทยในตัวเรา เราจะไม่มีวันหลงทาง ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดของโลก

ขอขอบคุณทุกเรื่องราวที่ผมได้พบเจอในซันติอาโก
ขอบคุณมิตรภาพที่มาจากรอยยิ้ม ไม่ใช่ตำแหน่ง
ขอบคุณคำพูดธรรมดา ๆ ที่ทำให้รู้ว่า
“บ้าน” ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพิกัดในแผนที่ — แต่อยู่ที่ใจของคนที่มองเห็นกัน

แล้วเราจะพบกันอีก
ในที่ที่เส้นรุ้งอาจไม่คุ้นตา
แต่หัวใจ...ยังคงจำภาษาไทยได้เสมอ

ขอส่งความระลึกถึง​ FC​ ของผม​ จากปลายฟ้าของซีกโลกใต้ครับ

รศ.ดร.นพ.วัชรพล อเล็กซองดร์ กำเนิดศิริ
กรุง​ซันติอาโก​ สาธารณรัฐ​ชิลี

สวัสดีครับเมื่อวานนี้ ผมเพิ่งเดินทางกลับถึงบรัสเซลส์ หลังจากหลบฝุ่นไปเดินทอดน่องที่โตเกียวมาหนึ่ง​สัปดาห์​ ถึงสนามบินบรั...
02/05/2025

สวัสดีครับ

เมื่อวานนี้ ผมเพิ่งเดินทางกลับถึงบรัสเซลส์ หลังจากหลบฝุ่นไปเดินทอดน่องที่โตเกียวมาหนึ่ง​สัปดาห์​ ถึงสนามบินบรัสเซลส์​ตอนสาย ๆ ยังไม่ทันได้หายใจหายคอให้เต็มปอด ก็ต้องล้างหน้าล้างตาแล้วรีบมาคลินิก ตรวจคนไข้ต่อทันที เพราะอาจารย์​หมอที่หายตัวไปหลายวัน ถ้ากลับมาแล้วยังเพลีย​ต่อ คงไม่เป็นที่รักของคนไข้​แน่นอน

ทริปขากลับของผมคราวนี้ ซับซ้อนพอสมควรครับ เพราะบินทั้งหมดสามตุ๊บ เริ่มจาก Cathay Pacific ชั้นธุรกิจ จากนาริตะไปฮ่องกง พอถึงฮ่องกง ก็มีเจ้าหน้าที่ของสายการบิน​ SWISS​ มายืนยิ้มอยู่หน้าเกต พาไปพักที่ Sky Bar Lounge ให้จิบน้ำผลไม้เย็น ๆ พักผ่อน​พอหายเหนื่อย จากนั้นก็บินต่อไปยังซูริก ด้วยเที่ยวบินชั้น First Class ของ SWISS ซึ่ง...แหม! ดีงามตามแบบสวิสแท้ ๆ

ที่นั่งของผมคือ 1A เหมือนตอนขาไป​ ผมนอนหลับไปยาว ๆ กว่า 8 ชั่วโมงเต็ม หลับลึกชนิดที่กัปตันจะขับเครื่องลงกลางแม่น้ำไรน์ผมก็คงไม่รู้เรื่อง ตื่นมาเปิดกระเป๋านึกได้​ว่ามี "น้ำพริกปลาสลิด" หนึ่งกระปุก ที่คุณหมอโจ้น้องรักหิ้วมาฝากจากเมืองไทย ผมก็จัดการโรยน้ำพริกบนออมเล็ตแบบสวิส เสิร์ฟคู่กับครัวซองต์

โอ้โห...! ณ​ เวลานั้นบนเครื่องบิน​ ชีวิตผมไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้วครับ

ผมไม่แน่ใจว่าเชฟบนเครื่องจะเข้าใจไหมว่า omelette ของเขาเพิ่งถูกยกระดับกลายเป็น "ข้าวคลุกน้ำพริกเวอร์ชันเหาะเหินเดินอากาศ​" และต้องขอบอกว่า น้ำพริกไทยนั้นมีคุณสมบัติเหนือกว่าเครื่องปรุงใด ๆ ในสายตาผม—จะ foie gras จะ truffle จะซอสกุหลาบจากดาวอังคารก็เถอะ... ถ้าวางเทียบกับน้ำพริกปลาสลิดแค่เพียงช้อนเดียวนะ ผมยกให้น้ำพริกชนะน็อกตั้งแต่ยังไม่ออกฟุ๊ตเวอร์ค​

หลังจากเติมพลังด้วย “ครัวซองต์-น้ำพริก” แล้ว ผมก็บินต่อจากซูริกมายังบรัสเซลส์ ต่อรถไฟถึงคลินิก​แบบตาแดง ๆ แต่ใจสู้ พร้อมตรวจคนไข้ต่อตั้งแต่บ่ายวันนั้นทันที

จริงอยู่ครับว่าสายการบินที่บินตรงจากโตเกียวมายุโรปก็มีหลายเจ้า แต่ส่วนใหญ่จะออกตอนเช้า ถึงยุโรปตอนเย็น ซึ่งไม่ค่อยเหมาะกับตารางของผมที่มีธุระในตอนเช้า จึงเลือกบินตอนเย็นแทน แม้จะต้องแวะบ้างแต่ก็ได้พักไหล่ พักใจในเลานจ์ และได้กินน้ำพริกกับไข่สวิสอีกหนึ่งมื้อ ถือว่าคุ้มเกินคาด

พูดถึงสายการบินแล้ว ขอเล่าเผื่อท่านผู้อ่านสายสะสมไมล์จะอยากทราบ—ผมไม่ค่อยได้บินกับกลุ่ม Oneworld เท่าไร เพราะเป็นสมาชิกบัตร Hon Circle (ระดับ​สูงสุด) ของกลุ่มสายการบิน​ Lufthansa และบัตร Platinum ของกลุ่​ม Air France ส่วน Oneworld นั้น... ไม่ค่อยมีเส้นทางที่น่าสนใจจากบรัสเซลส์ หรือสนามบินใหญ่ที่ผมเข้าถึงง่าย เช่น ปารีส อัมสเตอร์ดัม หรือแฟรงก์เฟิร์ต ดังนั้น สถานะในเครือนี้ผมเลย “ไร้เงาไร้ชื่อ” โดยสิ้นเชิง

ช่วงนี้ผมจะทำงานที่บรัสเซลส์ถึงวันที่ 8 พฤษภาคม จากนั้นจะเดินทางไกลอีกครั้ง ระหว่างวันที่ 9–28 พฤษภาคม ไปเยือนอิตาลี อาร์เจนตินา ชิลี ปานามา เอกวาดอร์ และเปรู แล้วกลับถึงบรัสเซลส์เช้าตรู่วันที่ 29 พฤษภาคม โดยผมจะตรวจคนไข้ต่อในบ่ายวันเดียวกันทันที—ชีวิตนี้ไม่มีช่วงว่างให้บ่นเบื่อเลยครับ

พูดถึงการทำงาน ผมเป็นรองศาสตราจารย์มาก็นานหลายปีแล้ว หลายคนถามว่าไม่คิดจะขยับเป็นศาสตราจารย์เต็มตัวหรือ? คำตอบคือ “คิดครับ” แต่ขอใช้ชีวิตให้พอใจเสียก่อน เพื่อนร่วมรุ่นที่เป็น รศ. เหมือนกันก็บอกว่า "ไม่ต้องรีบหรอก แก ถ้าโอกาสมันจะมา มันก็มาเอง" ผมก็เลยเห็นพ้องด้วย—ตำแหน่งอาจจะมีเกียรติ แต่สุขภาพกายและใจของเรานั้นมีคุณค่าไม่แพ้กัน

อีกข่าวดีเล็ก ๆ ครับ ผมกำลังเตรียมย้ายคลินิกจากที่เช่าอยู่มานานกว่า 10 ปี ไปยังบ้านของตัวเอง ซึ่งอยู่ใกล้สถานี Brussels Midi มากขึ้นอีก 500 เมตร จากเดิมต้องนั่งรถเมล์ 2 ป้าย จะเหลือแค่เพียง​ 1 ป้าย เดินมาจากสถานี​ Midi ไม่ถึง 5 นาที​ก็ถึงคลินิกใหม่ ตอนนี้แค่รอให้การรีโนเวตเสร็จ ซึ่งถ้าทุกอย่างเป็นใจ หวังว่าภายในตุลาคมนี้​ ผมจะสามารถ​ย้ายไปได้ตามที่คาดการณ์​ไว้

สุดท้ายนี้ ผมต้องขอขอบคุณคนไข้และ​ FC ที่คอยติดตามเรื่องเล่าเล็ก ๆ ของผมเสมอ ความจริงตั้งใจเขียนให้แม่อ่าน แต่กลับกลายเป็นว่ามีแฟนคลับตามอ่านมากมายโดยไม่รู้ตัว

ถ้ามีเวลาอีกสักหน่อยก่อนบินไปอเมริกาใต้ ผมจะขอเขียนเรื่อง “การวางแผนเกษียณสำหรับคนไทยในเบลเยียมและฝรั่งเศส” ไว้ให้อ่านกัน เผื่อจะมีประโยชน์กับใครหลายคนที่ยังลังเลว่าจะอยู่ยุโรปต่อหรือกลับไทยดี

แต่สำหรับผม... ถ้าประเทศไทยยังแก้ปัญหาเรื่อง PM 2.5 ไม่ได้ และยังปล่อยให้ฟุตบาทกลายเป็นเขาวงกตกับดักชีวิต โดยเฉพาะทางม้าลายที่ข้ามแล้วเหมือนเล่นเกมวัดดวงอยู่ทุกวัน ผมก็คงจะอยู่ยุโรปต่อไปก่อนนะครับ

ขอให้​ FC​ ของผมทุกคนมีสุขภาพดี มีน้ำพริกติดบ้าน และมีเสียงหัวเราะประดับใจไว้เสมอนะครับ

ด้วยรักและคิดถึง

รศ.ดร.นพ.วัชรพล​ อเล็กซองดร์​ กำเนิด​ศิริ
กรุง​บรัสเซล​ส์​ ราช​อาณาจักร​เบลเยียม

Adresse

Paris

Site Web

Notifications

Soyez le premier à savoir et laissez-nous vous envoyer un courriel lorsque Dr. Med. Watcharaphol Alexandre Kamnerdsiri publie des nouvelles et des promotions. Votre adresse e-mail ne sera pas utilisée à d'autres fins, et vous pouvez vous désabonner à tout moment.

Contacter La Pratique

Envoyer un message à Dr. Med. Watcharaphol Alexandre Kamnerdsiri:

Partager

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

Type