
20/05/2025
สวัสดีครับ
จากกรุงซันติอาโก เมืองหลวงของประเทศชิลี ผมได้นั่งเครื่องบินของสายการบิน Latam ในชั้นธุรกิจ ข้ามผืนน้ำอันกว้างใหญ่ของมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออก เดินทางราวห้าชั่วโมงเศษ สู่เกาะเล็ก ๆ ที่ชื่อว่าเกาะอีสเตอร์ หรือในภาษาพื้นเมืองว่า ราปานุย ชื่อที่ชาวเกาะเรียกกันเองด้วยความเคารพ เพราะมันไม่ใช่แค่เกาะ มันคือแผ่นดินแห่งจิตวิญญาณบรรพบุรุษของพวกเขาเหล่านั้น
ผมเคยเหยียบแผ่นดินนี้มาแล้วเมื่อปี 2019 ตอนนั้นเดินชมหมู่โมอายได้อย่างอิสระ ไม่มีไกด์ ทุกสิ่งเงียบงันอย่างที่ธรรมชาติตั้งใจจะให้เป็น
แต่แล้วโรคระบาดใหญ่โควิด (COVID-19) ก็มาเยือน โลกทั้งใบหยุดหายใจ เกาะราปานุยที่เคยคึกคักก็กลายเป็นเงียบราวกับถูกมนต์สะกด นักท่องเที่ยวหาย รายได้หด รัฐบาลท้องถิ่นจึงปรับนโยบายใหม่ ให้ผู้มาเยือนทุกคนต้องมีไกด์นำทาง เหมือนมีญาติผู้ใหญ่พาเดินเที่ยว ทั้งเพื่อความปลอดภัย ความรู้ และเพื่อให้เงินทองไหลกลับสู่ชุมชน ค่าเข้าชมก็ปรับเป็น 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อคน ราคานี้ฟังดูไม่เบา แต่เมื่อได้มาเหยียบดินแดงแห่งนี้อีกครั้ง ก็รู้สึกว่าทุกบาททุกสตางค์มีความหมายอยู่ในตัวมันเอง
ครั้งนี้ผมเลือกทัวร์ส่วนตัวของบริษัท Easter Island Travel ซึ่งแม้จะมีราคาสูงถึง 725 ยูโร (ประมาณ 2 หมื่น 7 พันบาท ไม่รวมค่าตั๋วเข้าชมอุทยานอีกคนละ 2 พัน 7 ร้อยบาท) สำหรับทัวร์ส่วนตัวสองวัน แต่ก็คุ้มค่าครับ เพราะได้คุณ Alberto Rapu ผู้จัดการและคุณ Yenicet Araki เป็นไกด์นำเที่ยว ซึ่งทั้งสองเป็นชาวราปานุยแท้ ๆ ผู้มีหัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยรักบ้านเกิด มาเป็นผู้พาชมเกาะราปานุย
ว่ากันว่า โมอายบนเกาะนี้มีอยู่ราว 900 องค์ แกะสลักจากหินภูเขาไฟบนภูเขาราโน รารากุ ในช่วงศตวรรษที่ 13 ถึง 16 โดยเชื่อกันว่าเป็นรูปจำลองของบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ ที่คอยคุ้มครองลูกหลานอยู่เงียบ ๆ ไม่ส่งเสียงแต่ไม่เคยละสายตา การเคลื่อนย้ายโมอายเหล่านี้จากภูเขาสู่ชายฝั่งโดยไม่มีล้อ ไม่มีโลหะ และไม่มีสัตว์ลากจูง เป็นเรื่องที่นักโบราณคดียังถกเถียงไม่จบ บางคนถึงขั้นเสนอทฤษฎีว่า โมอายเดินได้เอง ซึ่งแม้จะฟังดูน่าเหลือเชื่อ แต่ก็ยังน่าเชื่อกว่าใบเสร็จภาษีในบางประเทศอยู่ดี
การแข่งกันสร้างโมอายระหว่างเผ่าต่าง ๆ ทำให้ต้องตัดไม้ไปใช้เป็นท่อนไม้กลิ้งหรือเป็นเชื้อเพลิง พอป่าไม้หมด น้ำก็หาย ดินก็เสื่อม เกาะจึงเข้าสู่วิกฤติ และเหมือนอารยธรรมจะหมดแรงในที่สุด
ในช่วงปลาย ชาวราปานุยจึงหันมาเคารพบูชาพระเจ้าองค์ใหม่ชื่อว่า มนู โดยจัดพิธีเลือกผู้นำผ่านการแข่งขันแทงกาตามานู หรือ Birdman ผู้ชนะคือผู้ที่สามารถไต่หน้าผา ลงทะเล ว่ายน้ำไปยังเกาะกลางทะเล เก็บไข่นกแล้วกลับมาโดยไม่ตกตาย เป็นพิธีที่ฟังดูเหมือนรายการเรียลลิตี้เอาตัวรอด แต่มีน้ำหนักทางจิตวิญญาณจริงจัง เพราะผู้ชนะจะกลายเป็นผู้ปกครองสูงสุดชั่วคราว แทนระบบชนชั้นที่เคยมีมาก่อน
เมื่อชาวตะวันตกเข้ามาถึงในศตวรรษที่ 18 พวกเขาก็นำสิ่งดี ๆ มาด้วย เช่น แผนที่ เรือใบ และโรคฝีดาษ หลังจากนั้นเกาะราปานุยก็กลายเป็นดินแดนแห่งการต่อสู้เพื่อรักษาตัวตนเรื่อยมา จนถึงทุกวันนี้
แต่ทั้งหมดที่เล่ามานั้น ยังไม่ใช่จุดพีคของเรื่องครับ
ในระหว่างการเดินทาง วันหนึ่งผมนั่งพักที่สำนักงานเล็ก ๆ แห่งหนึ่งของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นสิ่งที่ทำให้ใจเต้นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
นั่นคือ ขวดซอสหอยนางรม “ตราแม่ครัว”
ใช่ครับ ขวดซอสไทยแท้ ๆ ฉลากไทย ฝาแดง โลโก้แม่ครัวยืนผูกผ้ากันเปื้อนอยู่หน้ากระทะครบถ้วนตามหลักสูตร
ผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหลุดยิ้มออกมาเบา ๆ เพราะมันทั้งน่าขำและน่าภูมิใจ ใครจะไปคิดว่าซอสจากร้านโชห่วยแถวบางลำพู จะเดินทางไกลข้ามซีกโลกมาอยู่เงียบ ๆ บนโต๊ะไม้กลางเกาะที่อยู่ห่างจากประเทศไทยกว่า 17,000 กิโลเมตร
นี่แหละครับ คือความเป็นไทยที่ไม่ต้องยกขบวนแสดงวัฒนธรรม หรือจัดนิทรรศการให้ยุ่งยาก เพียงมีคนคนหนึ่งที่อยากผัดข้าวให้หอมแบบบ้าน ๆ ก็เพียงพอแล้วที่จะพา “ไทย” มาถึงจุดนี้ได้
ผมนึกในใจว่า ขวดซอสนี้คงไม่มีใครสนใจมันนัก แต่ก็ทำหน้าที่เป็น “ทูตวัฒนธรรม” ได้ดีกว่าเอกสารราชการหลายฉบับเสียอีก
ผมรักชิลีครับ และตั้งใจว่าจะกลับมาอีกครั้งในฤดูฝนปีหน้า เพราะฝนไม่เคยทำร้ายใครที่มองโลกในแง่ดี ส่วนหิมะนั้นก็เป็นแค่เครื่องประดับของภูเขา และความเงียบคือของขวัญสำหรับผู้ที่เดินทางเพื่อฟังเสียงของตนเอง
จากชิลี ผมบินต่อไปยังเอกวาดอร์ เพื่อเริ่มต้นบทใหม่ในกรุงกีโต เมืองหลวงที่สูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 2,800 เมตร ซึ่งจะขอเล่าในคราวต่อไป
ก่อนจบบันทึกฉบับนี้ ผมขอฝากข้อคิดสั้น ๆ จากใจ
ในวัยกลางคน การดูแลสุขภาพคือหน้าที่ การบริหารเงินและเวลาเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ส่วนความทรงจำดี ๆ ที่เราเก็บระหว่างทางนั้น จะกลายเป็นกองทุนกำลังใจในวันที่ชีวิตเงียบงัน
แด่แฟนเพจที่รักของผมทุกคน จงอย่ากลัวการเดินทาง อย่ากลัวความเปลี่ยนแปลง และอย่าลืมว่า ทุกการเดินทางที่มีความหมาย มักเริ่มต้นจากความตั้งใจเล็ก ๆ เงียบ ๆ ที่อยู่ในใจเรานี่เอง
รศ.ดร.นพ.วัชรพล อเล็กซองดร์ กำเนิดศิริ
ณ เกาะอีสเตอร์ (ราปานุย) ประเทศชิลี