Dr. Med. Watcharaphol Alexandre Kamnerdsiri

Dr. Med. Watcharaphol Alexandre Kamnerdsiri A Public Fan Page of Dr. Med. Watcharaphol Alexandre Kamnerdsiri

สวัสดีครับจากกรุงซันติอาโก เมืองหลวงของประเทศชิลี ผมได้นั่งเครื่องบินของสายการบิน Latam​ ในชั้นธุรกิจ​ ข้ามผืนน้ำอันกว้า...
20/05/2025

สวัสดีครับ

จากกรุงซันติอาโก เมืองหลวงของประเทศชิลี ผมได้นั่งเครื่องบินของสายการบิน Latam​ ในชั้นธุรกิจ​ ข้ามผืนน้ำอันกว้างใหญ่ของมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออก เดินทางราวห้าชั่วโมงเศษ สู่เกาะเล็ก ๆ ที่ชื่อว่าเกาะอีสเตอร์ หรือในภาษาพื้นเมืองว่า ราปานุย ชื่อที่ชาวเกาะเรียกกันเองด้วยความเคารพ เพราะมันไม่ใช่แค่เกาะ มันคือแผ่นดินแห่งจิตวิญญาณบรรพบุรุษ​ของพวกเขา​เหล่านั้น​

ผมเคยเหยียบแผ่นดินนี้มาแล้วเมื่อปี 2019 ตอนนั้นเดินชมหมู่โมอายได้อย่างอิสระ ไม่มีไกด์ ทุกสิ่งเงียบงันอย่างที่ธรรมชาติตั้งใจจะให้เป็น

แต่แล้วโรคระบาดใหญ่โควิด​ (COVID-19) ก็มาเยือน โลกทั้งใบหยุดหายใจ เกาะราปานุยที่เคยคึกคักก็กลายเป็นเงียบราวกับถูกมนต์สะกด นักท่องเที่ยวหาย รายได้หด รัฐบาลท้องถิ่นจึงปรับนโยบายใหม่ ให้ผู้มาเยือนทุกคนต้องมีไกด์นำทาง เหมือนมีญาติผู้ใหญ่พาเดินเที่ยว ทั้งเพื่อความปลอดภัย ความรู้ และเพื่อให้เงินทองไหลกลับสู่ชุมชน ค่าเข้าชมก็ปรับเป็น 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อคน ราคานี้ฟังดูไม่เบา แต่เมื่อได้มาเหยียบดินแดงแห่งนี้อีกครั้ง ก็รู้สึกว่าทุกบาททุกสตางค์​มีความหมายอยู่ในตัวมันเอง

ครั้งนี้ผมเลือกทัวร์ส่วนตัวของบริษัท Easter Island Travel ซึ่งแม้จะมีราคาสูงถึง 725 ยูโร (ประมาณ​ 2 หมื่น​ 7​ พัน​บาท​ ไม่รวมค่าตั๋วเข้าชมอุทยาน​อีกคนละ​ 2 พัน​ 7​ ร้อย​บาท) สำหรับทัวร์ส่วนตัวสองวัน แต่ก็คุ้มค่าครับ เพราะได้คุณ Alberto Rapu ผู้จัดการ​และคุณ Yenicet Araki เป็นไกด์​นำเที่ยว​ ซึ่งทั้งสองเป็น​ชาวราปานุย​แท้​ ๆ​ ผู้มีหัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยรักบ้านเกิด มาเป็นผู้พาชมเกาะราปานุย

ว่ากันว่า โมอายบนเกาะนี้มีอยู่ราว 900 องค์ แกะสลักจากหินภูเขาไฟบนภูเขาราโน รารากุ ในช่วงศตวรรษที่ 13 ถึง 16 โดยเชื่อกันว่าเป็นรูปจำลองของบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ ที่คอยคุ้มครองลูกหลานอยู่เงียบ ๆ ไม่ส่งเสียงแต่ไม่เคยละสายตา การเคลื่อนย้ายโมอายเหล่านี้จากภูเขาสู่ชายฝั่งโดยไม่มีล้อ ไม่มีโลหะ และไม่มีสัตว์ลากจูง เป็นเรื่องที่นักโบราณคดียังถกเถียงไม่จบ บางคนถึงขั้นเสนอทฤษฎีว่า โมอายเดินได้เอง ซึ่งแม้จะฟังดูน่าเหลือเชื่อ แต่ก็ยังน่าเชื่อกว่าใบเสร็จภาษีในบางประเทศอยู่ดี

การแข่งกันสร้างโมอายระหว่างเผ่าต่าง ๆ ทำให้ต้องตัดไม้ไปใช้เป็นท่อนไม้กลิ้งหรือเป็นเชื้อเพลิง พอป่าไม้หมด น้ำก็หาย ดินก็เสื่อม เกาะจึงเข้าสู่วิกฤติ และเหมือนอารยธรรมจะหมดแรงในที่สุด

ในช่วงปลาย ชาวราปานุยจึงหันมาเคารพบูชาพระเจ้าองค์ใหม่ชื่อว่า มนู โดยจัดพิธีเลือกผู้นำผ่านการแข่งขันแทงกาตามานู หรือ Birdman ผู้ชนะคือผู้ที่สามารถไต่หน้าผา ลงทะเล ว่ายน้ำไปยังเกาะกลางทะเล เก็บไข่นกแล้วกลับมาโดยไม่ตกตาย เป็นพิธีที่ฟังดูเหมือนรายการเรียลลิตี้เอาตัวรอด แต่มีน้ำหนักทางจิตวิญญาณจริงจัง เพราะผู้ชนะจะกลายเป็นผู้ปกครองสูงสุดชั่วคราว แทนระบบชนชั้นที่เคยมีมาก่อน

เมื่อชาวตะวันตกเข้ามาถึงในศตวรรษที่ 18 พวกเขาก็นำสิ่งดี ๆ มาด้วย เช่น แผนที่ เรือใบ และโรคฝีดาษ หลังจากนั้นเกาะราปานุยก็กลายเป็นดินแดนแห่งการต่อสู้เพื่อรักษาตัวตนเรื่อยมา จนถึงทุกวันนี้

แต่ทั้งหมดที่เล่ามานั้น ยังไม่ใช่จุดพีคของเรื่องครับ

ในระหว่างการเดินทาง วันหนึ่งผมนั่งพักที่สำนักงานเล็ก ๆ แห่งหนึ่งของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นสิ่งที่ทำให้ใจเต้นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

นั่นคือ ขวดซอสหอยนางรม “ตราแม่ครัว”

ใช่ครับ ขวดซอสไทยแท้ ๆ ฉลากไทย ฝาแดง โลโก้แม่ครัวยืนผูกผ้ากันเปื้อนอยู่หน้ากระทะครบถ้วนตามหลักสูตร

ผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหลุดยิ้มออกมาเบา ๆ เพราะมันทั้งน่าขำและน่าภูมิใจ ใครจะไปคิดว่าซอสจากร้านโชห่วยแถวบางลำพู จะเดินทางไกลข้ามซีกโลกมาอยู่เงียบ ๆ บนโต๊ะไม้กลางเกาะที่อยู่ห่างจากประเทศ​ไทยกว่า 17,000 กิโลเมตร

นี่แหละครับ คือความเป็นไทยที่ไม่ต้องยกขบวนแสดงวัฒนธรรม หรือจัดนิทรรศการให้ยุ่งยาก เพียงมีคนคนหนึ่งที่อยากผัดข้าวให้หอมแบบบ้าน ๆ ก็เพียงพอแล้วที่จะพา “ไทย” มาถึงจุดนี้ได้

ผมนึกในใจว่า ขวดซอสนี้คงไม่มีใครสนใจมันนัก แต่ก็ทำหน้าที่เป็น “ทูตวัฒนธรรม” ได้ดีกว่าเอกสารราชการหลายฉบับเสียอีก

ผมรักชิลีครับ และตั้งใจว่าจะกลับมาอีกครั้งในฤดูฝนปีหน้า เพราะฝนไม่เคยทำร้ายใครที่มองโลกในแง่ดี ส่วนหิมะนั้นก็เป็นแค่เครื่องประดับของภูเขา และความเงียบคือของขวัญสำหรับผู้ที่เดินทางเพื่อฟังเสียงของตนเอง

จากชิลี ผมบินต่อไปยังเอกวาดอร์ เพื่อเริ่มต้นบทใหม่ในกรุงกีโต เมืองหลวงที่สูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 2,800 เมตร ซึ่งจะขอเล่าในคราวต่อไป

ก่อนจบบันทึกฉบับนี้ ผมขอฝากข้อคิดสั้น ๆ จากใจ

ในวัยกลางคน การดูแลสุขภาพคือหน้าที่ การบริหารเงินและเวลาเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ส่วนความทรงจำดี ๆ ที่เราเก็บระหว่างทางนั้น จะกลายเป็นกองทุนกำลังใจในวันที่ชีวิตเงียบงัน

แด่แฟนเพจที่รักของผมทุกคน จงอย่ากลัวการเดินทาง อย่ากลัวความเปลี่ยนแปลง และอย่าลืมว่า ทุกการเดินทางที่มีความหมาย มักเริ่มต้นจากความตั้งใจเล็ก ๆ เงียบ ๆ ที่อยู่ในใจเรานี่เอง

รศ.ดร.นพ.วัชรพล อเล็กซองดร์ กำเนิดศิริ
ณ​ เกาะอีสเตอร์​ (ราปานุย) ประเทศชิลี

สวัสดี​ครับ​ผมเดินทางมาพักผ่อนที่อเมริกาใต้ 20 วัน ครอบคลุม 5 ประเทศ ได้แก่ อาร์เจนตินา ชิลี ปานามา เอกวาดอร์ และเปรู​ซึ...
13/05/2025

สวัสดี​ครับ​

ผมเดินทางมาพักผ่อนที่อเมริกาใต้ 20 วัน ครอบคลุม 5 ประเทศ ได้แก่ อาร์เจนตินา ชิลี ปานามา เอกวาดอร์ และเปรู​

ซึ่ง​ตอนที่ผมเขียนโพสท์​นี้ ผมกำลัง​อยู่ที่กรุงซันติอาโก​ เมืองหลวงของประเทศที่เรียกได้ว่า “ยาวที่สุดในโลก” คือ ยาวเท่ากับระยะทางจากกรุงเทพฯ ไปโตเกียว​ แต่ มีความ​กว้างเฉลี่ยเพียงกรุงเทพฯ ถึงอยุธยา เท่านั้น

ขับรถเลียบประเทศนี้ก็เหมือนขับบนเส้นด้าย​ กล่าวคือ​ ยาวพอให้ไตร่ตรองชีวิต แต่แคบพอให้ต้องระวังอย่าเผลอหล่นจากขอบแผนที่

ประเทศ​ชิลี​ มีประชากรราว 20 ล้านคน ใช้ภาษาสเปนเป็นภาษาราชการ​ และที่สำคัญ คนไทยถือหนังสือเดินทางธรรมดาสามารถเข้าประเทศได้ 90 วันโดยไม่ต้องขอวีซ่า
ถือเป็นไมตรีจิตจากปลายฟ้าฝั่งแปซิฟิกที่น่าชื่นใจ

เมื่อมาถึง ผมทำในสิ่งที่คนไทยไกลบ้านบางคน​ เช่นผม​ มักทำ คือ หาร้านอาหารไทย​ และได้พบกับร้านชื่อ “ข้าวสาร​ 15” ผ่าน Google Maps เพราะ​ผัดไทยในรูปดูดี​ ไม่แฉะเป็นก๋วยเตี๋ยว​น้ำ มีภาษาไทยในรูป ผมจึงขับรถจากโรงแรม​ Holiday Inn Santiago Airport ที่ผมพักอยู่ที่สนามบินตรงไปแบบไม่ลังเล

ที่ร้านข้าวสาร ผมได้รู้จักกับ คุณออย​ สาวไทยจากกรุงเทพฯ​ แต่หน้าตาเหมือนสาวชิเลียน ที่พูดไทยชัด พูดใจชัดยิ่งกว่า
เธอเคยทำงานกับแบรนด์ La Mer ที่สยามพารากอน ก่อนจะย้ายมาอยู่ที่ชิลีมากว่าสิบปีแล้ว

คุณออยพูดถึงสถานทูตไทยประจำกรุงซันติอาโกด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความชื่นชม​ โดยเฉพาะท่านทูตคนใหม่ที่เธอบอกว่าอบอุ่น เป็นกันเอง และเข้าถึงคนไทยได้จริง ๆ

เราคุยกันอย่างถูกคอ และคุณออยก็แนะนำให้ผมไปรู้จักกับสามีของเธอ​ ชื่อ​ คุณอ๊อด วัย 68 ปี ซึ่งผมไปพบที่ร้านอาหารอีกแห่งของเขาในย่าน Franklin

คุณอ๊อดย้ายมาอยู่ชิลีตั้งแต่ปี 2547 หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง​ ก่อนโควิดเคยมีร้านอาหารไทยถึง 7 ร้าน​nหลังโรคระบาดโลกถาโถม เหลือรอดมา 2 ร้าน​ แต่วันนี้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาได้ถึง 4 ร้าน ถือ​ เป็นบทเรียนของความไม่ยอมแพ้ ที่ฟังแล้วอิ่มกว่าอาหารในจาน

ด้วยความรู้สึกชื่นชมในสิ่งที่คุณออยเล่า
ผมเกิดอยากแวะไป “เยี่ยมเยียน” สถานทูตไทย​ ... แม้ไม่มีนัด ไม่มีใครรู้จัก และไม่มีธุระเป็นทางการ​ ... แต่บางครั้ง ความรู้สึกอบอุ่นจากคำชมของคนไทยในพื้นที่ก็เพียงพอจะผลักให้เราก้าวไปหา

สถานทูตไทยตั้งอยู่บนตึกชั้น 15 ร่วมอาคารกับสถานทูตสวิส​ ผมกดกริ่ง และได้รับการต้อนรับจาก คุณภัทรียา วัฒนสิน​ อัครราชทูตที่ปรึกษา (อทป.) ซึ่งต่อมา​ ภายหลังทราบว่าเธอเป็น ศิษย์เก่า King’s College London เช่นเดียวกับผม

โลกกลมจริง ๆ ครับ และกลมพอที่เราจะได้พบคนคุ้นใจกลางดินแดนไกลบ้าน

เราคุยกันอย่างสบายใจ ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ไทย–ชิลี การค้า การทูต และคน​ จากนั้นผมขอตัวไปรับประทานอาหารที่ร้านคุณอ๊อดในย่าน Providencia

ผมขับรถไปถึงร้านได้ราวสิบกว่านาที
คุณภัทรียาก็ส่งข้อความมาว่า
“ท่านทูตเข้ามาแล้วนะคะ”

ผมจึงเรียนกลับไปว่า​ “หลังทานข้าวเสร็จ ผมขอแวะกลับไปขอพบท่านสักครู่หนึ่งนะครับ”

คุณออยขอผมว่า​ อยากมาสถานทูต​ด้วย​ ซึ่งผมก็ยินดี​มากครับ​ ไปเซอไพรส์​ทีมไทยแลนด์​ด้วยกัน

และแล้ว ผมก็ได้พบกับ ท่านทูต​เอ๊ะ ฯพณฯ วิมลพัชระ​ รักษาเกียรติ​ เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงซันติอาโก

ท่านเคยดำรงตำแหน่งทูตที่นอร์เวย์​ และรู้จักกับ รุ่นน้องที่นับถือ​ผม (คุณหนึ่ง​ ทรงสิทธิ์ เลิศเศรษฐการ) ที่อาศัยอยู่ที่นอร์เวย์

บทสนทนาเป็นไปอย่างอบอุ่น ละมุนละไม
ท่านทูตมีทั้งความสามารถทางการทูต และมนุษยสัมพันธ์ที่ทำให้คนรู้สึกสบายใจ
ไม่ได้ยืนบนฐานของตำแหน่ง แต่ยืนอยู่ในระดับสายตาของคนไทยทุกคน

ผมไม่ได้เจอทูตไทยที่น่าประทับใจขนาดนี้มานานแล้ว​ นอกจากท่านวิมลพัชระ คนก่อนหน้าที่เคยสร้างความรู้สึกนี้ให้ผมคือ​ ​ฯพณฯ​ร้อยโท​ระวี หงสประภาส สมัยดำรงตำแหน่งทูตประจำสถานเอกอัครราชทูต​ ณ​ กรุงเอเธนส์​ ตอนที่ผมยังเป็นนักเรียนแพทย์ทหารในเมืองเธสซาโลนิกิ ประเทศกรีซ

ทูตที่ดี​ … ควรมีมากกว่าชั้นยศและวุฒิภาวะ
ควรมี “รอยยิ้ม” ที่ไม่หลุดจากความจริงใจ
ควรมี “สายตา” ที่มองเห็นคนไทยไกลบ้าน ไม่ใช่แค่ในฐานะผู้ร้องขอบริการ​ และควรมี “หัวใจ” ที่เปิดรับ แม้ไม่มีอะไรต้องช่วยเหลือ

สถานทูตไทยไม่ควรเป็นเพียง “ที่ยื่นเอกสาร”
แต่ควรเป็น “ที่พักใจ” ของคนไทยในต่างแดน
และทีมงานของสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงซันติอาโกในวันนี้​ ได้แสดงให้เห็นว่า ความเป็นไทย...ไม่เคยเดินทางลำพัง

ผมจะอยู่ที่ซันติอาโกถึงวันที่ 14​ พฤษภาคม​
จากนั้นจะเดินทางไปยังเกาะอีสเตอร์
และจะกลับมาเล่าเรื่องของรูปปั้นโมอายผู้เงียบขรึมในโพสต์หน้า

แม้โลกจะกว้าง และชีวิตจะยาวราวดั่งประเทศชิลี​ แต่หากเรารู้ว่ามาจากไหน และเห็นค่าความเป็นไทยในตัวเรา เราจะไม่มีวันหลงทาง ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดของโลก

ขอขอบคุณทุกเรื่องราวที่ผมได้พบเจอในซันติอาโก
ขอบคุณมิตรภาพที่มาจากรอยยิ้ม ไม่ใช่ตำแหน่ง
ขอบคุณคำพูดธรรมดา ๆ ที่ทำให้รู้ว่า
“บ้าน” ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพิกัดในแผนที่ — แต่อยู่ที่ใจของคนที่มองเห็นกัน

แล้วเราจะพบกันอีก
ในที่ที่เส้นรุ้งอาจไม่คุ้นตา
แต่หัวใจ...ยังคงจำภาษาไทยได้เสมอ

ขอส่งความระลึกถึง​ FC​ ของผม​ จากปลายฟ้าของซีกโลกใต้ครับ

รศ.ดร.นพ.วัชรพล อเล็กซองดร์ กำเนิดศิริ
กรุง​ซันติอาโก​ สาธารณรัฐ​ชิลี

สวัสดีครับเมื่อวานนี้ ผมเพิ่งเดินทางกลับถึงบรัสเซลส์ หลังจากหลบฝุ่นไปเดินทอดน่องที่โตเกียวมาหนึ่ง​สัปดาห์​ ถึงสนามบินบรั...
02/05/2025

สวัสดีครับ

เมื่อวานนี้ ผมเพิ่งเดินทางกลับถึงบรัสเซลส์ หลังจากหลบฝุ่นไปเดินทอดน่องที่โตเกียวมาหนึ่ง​สัปดาห์​ ถึงสนามบินบรัสเซลส์​ตอนสาย ๆ ยังไม่ทันได้หายใจหายคอให้เต็มปอด ก็ต้องล้างหน้าล้างตาแล้วรีบมาคลินิก ตรวจคนไข้ต่อทันที เพราะอาจารย์​หมอที่หายตัวไปหลายวัน ถ้ากลับมาแล้วยังเพลีย​ต่อ คงไม่เป็นที่รักของคนไข้​แน่นอน

ทริปขากลับของผมคราวนี้ ซับซ้อนพอสมควรครับ เพราะบินทั้งหมดสามตุ๊บ เริ่มจาก Cathay Pacific ชั้นธุรกิจ จากนาริตะไปฮ่องกง พอถึงฮ่องกง ก็มีเจ้าหน้าที่ของสายการบิน​ SWISS​ มายืนยิ้มอยู่หน้าเกต พาไปพักที่ Sky Bar Lounge ให้จิบน้ำผลไม้เย็น ๆ พักผ่อน​พอหายเหนื่อย จากนั้นก็บินต่อไปยังซูริก ด้วยเที่ยวบินชั้น First Class ของ SWISS ซึ่ง...แหม! ดีงามตามแบบสวิสแท้ ๆ

ที่นั่งของผมคือ 1A เหมือนตอนขาไป​ ผมนอนหลับไปยาว ๆ กว่า 8 ชั่วโมงเต็ม หลับลึกชนิดที่กัปตันจะขับเครื่องลงกลางแม่น้ำไรน์ผมก็คงไม่รู้เรื่อง ตื่นมาเปิดกระเป๋านึกได้​ว่ามี "น้ำพริกปลาสลิด" หนึ่งกระปุก ที่คุณหมอโจ้น้องรักหิ้วมาฝากจากเมืองไทย ผมก็จัดการโรยน้ำพริกบนออมเล็ตแบบสวิส เสิร์ฟคู่กับครัวซองต์

โอ้โห...! ณ​ เวลานั้นบนเครื่องบิน​ ชีวิตผมไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้วครับ

ผมไม่แน่ใจว่าเชฟบนเครื่องจะเข้าใจไหมว่า omelette ของเขาเพิ่งถูกยกระดับกลายเป็น "ข้าวคลุกน้ำพริกเวอร์ชันเหาะเหินเดินอากาศ​" และต้องขอบอกว่า น้ำพริกไทยนั้นมีคุณสมบัติเหนือกว่าเครื่องปรุงใด ๆ ในสายตาผม—จะ foie gras จะ truffle จะซอสกุหลาบจากดาวอังคารก็เถอะ... ถ้าวางเทียบกับน้ำพริกปลาสลิดแค่เพียงช้อนเดียวนะ ผมยกให้น้ำพริกชนะน็อกตั้งแต่ยังไม่ออกฟุ๊ตเวอร์ค​

หลังจากเติมพลังด้วย “ครัวซองต์-น้ำพริก” แล้ว ผมก็บินต่อจากซูริกมายังบรัสเซลส์ ต่อรถไฟถึงคลินิก​แบบตาแดง ๆ แต่ใจสู้ พร้อมตรวจคนไข้ต่อตั้งแต่บ่ายวันนั้นทันที

จริงอยู่ครับว่าสายการบินที่บินตรงจากโตเกียวมายุโรปก็มีหลายเจ้า แต่ส่วนใหญ่จะออกตอนเช้า ถึงยุโรปตอนเย็น ซึ่งไม่ค่อยเหมาะกับตารางของผมที่มีธุระในตอนเช้า จึงเลือกบินตอนเย็นแทน แม้จะต้องแวะบ้างแต่ก็ได้พักไหล่ พักใจในเลานจ์ และได้กินน้ำพริกกับไข่สวิสอีกหนึ่งมื้อ ถือว่าคุ้มเกินคาด

พูดถึงสายการบินแล้ว ขอเล่าเผื่อท่านผู้อ่านสายสะสมไมล์จะอยากทราบ—ผมไม่ค่อยได้บินกับกลุ่ม Oneworld เท่าไร เพราะเป็นสมาชิกบัตร Hon Circle (ระดับ​สูงสุด) ของกลุ่มสายการบิน​ Lufthansa และบัตร Platinum ของกลุ่​ม Air France ส่วน Oneworld นั้น... ไม่ค่อยมีเส้นทางที่น่าสนใจจากบรัสเซลส์ หรือสนามบินใหญ่ที่ผมเข้าถึงง่าย เช่น ปารีส อัมสเตอร์ดัม หรือแฟรงก์เฟิร์ต ดังนั้น สถานะในเครือนี้ผมเลย “ไร้เงาไร้ชื่อ” โดยสิ้นเชิง

ช่วงนี้ผมจะทำงานที่บรัสเซลส์ถึงวันที่ 8 พฤษภาคม จากนั้นจะเดินทางไกลอีกครั้ง ระหว่างวันที่ 9–28 พฤษภาคม ไปเยือนอิตาลี อาร์เจนตินา ชิลี ปานามา เอกวาดอร์ และเปรู แล้วกลับถึงบรัสเซลส์เช้าตรู่วันที่ 29 พฤษภาคม โดยผมจะตรวจคนไข้ต่อในบ่ายวันเดียวกันทันที—ชีวิตนี้ไม่มีช่วงว่างให้บ่นเบื่อเลยครับ

พูดถึงการทำงาน ผมเป็นรองศาสตราจารย์มาก็นานหลายปีแล้ว หลายคนถามว่าไม่คิดจะขยับเป็นศาสตราจารย์เต็มตัวหรือ? คำตอบคือ “คิดครับ” แต่ขอใช้ชีวิตให้พอใจเสียก่อน เพื่อนร่วมรุ่นที่เป็น รศ. เหมือนกันก็บอกว่า "ไม่ต้องรีบหรอก แก ถ้าโอกาสมันจะมา มันก็มาเอง" ผมก็เลยเห็นพ้องด้วย—ตำแหน่งอาจจะมีเกียรติ แต่สุขภาพกายและใจของเรานั้นมีคุณค่าไม่แพ้กัน

อีกข่าวดีเล็ก ๆ ครับ ผมกำลังเตรียมย้ายคลินิกจากที่เช่าอยู่มานานกว่า 10 ปี ไปยังบ้านของตัวเอง ซึ่งอยู่ใกล้สถานี Brussels Midi มากขึ้นอีก 500 เมตร จากเดิมต้องนั่งรถเมล์ 2 ป้าย จะเหลือแค่เพียง​ 1 ป้าย เดินมาจากสถานี​ Midi ไม่ถึง 5 นาที​ก็ถึงคลินิกใหม่ ตอนนี้แค่รอให้การรีโนเวตเสร็จ ซึ่งถ้าทุกอย่างเป็นใจ หวังว่าภายในตุลาคมนี้​ ผมจะสามารถ​ย้ายไปได้ตามที่คาดการณ์​ไว้

สุดท้ายนี้ ผมต้องขอขอบคุณคนไข้และ​ FC ที่คอยติดตามเรื่องเล่าเล็ก ๆ ของผมเสมอ ความจริงตั้งใจเขียนให้แม่อ่าน แต่กลับกลายเป็นว่ามีแฟนคลับตามอ่านมากมายโดยไม่รู้ตัว

ถ้ามีเวลาอีกสักหน่อยก่อนบินไปอเมริกาใต้ ผมจะขอเขียนเรื่อง “การวางแผนเกษียณสำหรับคนไทยในเบลเยียมและฝรั่งเศส” ไว้ให้อ่านกัน เผื่อจะมีประโยชน์กับใครหลายคนที่ยังลังเลว่าจะอยู่ยุโรปต่อหรือกลับไทยดี

แต่สำหรับผม... ถ้าประเทศไทยยังแก้ปัญหาเรื่อง PM 2.5 ไม่ได้ และยังปล่อยให้ฟุตบาทกลายเป็นเขาวงกตกับดักชีวิต โดยเฉพาะทางม้าลายที่ข้ามแล้วเหมือนเล่นเกมวัดดวงอยู่ทุกวัน ผมก็คงจะอยู่ยุโรปต่อไปก่อนนะครับ

ขอให้​ FC​ ของผมทุกคนมีสุขภาพดี มีน้ำพริกติดบ้าน และมีเสียงหัวเราะประดับใจไว้เสมอนะครับ

ด้วยรักและคิดถึง

รศ.ดร.นพ.วัชรพล​ อเล็กซองดร์​ กำเนิด​ศิริ
กรุง​บรัสเซล​ส์​ ราช​อาณาจักร​เบลเยียม

สวัสดีครับการเดินทางมายังญี่ปุ่นคราวนี้ ถือเป็นอีกคราวหนึ่งที่น่าจดจำ ถึงจะไม่ได้ขึ้นไปปีนภูเขาไฟฟูจิ หรือไปรับประทานซูช...
29/04/2025

สวัสดีครับ

การเดินทางมายังญี่ปุ่นคราวนี้ ถือเป็นอีกคราวหนึ่งที่น่าจดจำ ถึงจะไม่ได้ขึ้นไปปีนภูเขาไฟฟูจิ หรือไปรับประทานซูชิราคาแพงจนกระเป๋าฉีก แต่ผมได้ทำในสิ่งที่ผมรัก นั่นคือการนำเสนอผลงานวิจัยของตัวเอง บนเวทีการประชุมสหพันธ์สมาคมการเจริญพันธุ์นานาชาติ โลก ประจำปี 2025 (The International Federation of Fertility Societies World Congress 2025) ณ ศูนย์การประชุมนานาชาติ Tokyo International Forum ใจกลางกรุงโตเกียว

การประชุมครั้งนี้ เป็นมหกรรมวิชาการ​ขนาดใหญ่​ ที่รวบรวมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากทั่วทุกมุมโลก ส่วนใหญ่ก็เป็นสูติ-นรีแพทย์กับศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะทั้งนั้น มีผมนี่แหละที่เป็นแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวกับจิตแพทย์หลงเข้าไปในวง เสมือนต้นไผ่ต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่กลางทุ่งดอกซากุระ

วันนั้นผมโชคดีที่เพื่อนของผม รศ.ดร.นพ.โคจิ ชิบะ แห่งมหาวิทยาลัยโกเบ มาร่วมฟังการบรรยายด้วย อ.โคจิ​ เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องศัลยกรรมระบบทางเดินปัสสาวะ และยังโดดเด่นเรื่องการรักษาภาวะการมีบุตรยากและสมรรถภาพทางเพศชาย — สองเรื่องที่ผู้ชายจำนวนมากไม่กล้าพูด แต่ยอมเข้าคลินิกอย่างเงียบ ๆ

ไม่เพียงเท่านั้น อ.นพ.รันจิท รามาซามี เพื่อนรักของอาจารย์โคจิ เพราะเทรน​ที่เท็กซัส​มาด้วยกัน​ ผู้เป็นนักวิจัยระดับโลกด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ชาย ก็มาปรากฏตัวด้วย บรรยากาศจึงคึกคักเป็นพิเศษ จนผมเองยังอดปลื้มใจไม่ได้ว่า งานประชุมนี้ดูจะมีตัวจริงเสียงจริงมาอยู่ไม่น้อย

ตกเย็น ผมได้ไปร่วมงานเลี้ยงต้อนรับที่ Tokyo Kaikan กับ​ ศ.ดร.นพ.ฮิเดยูกิ โคบายาชิ แห่งมหาวิทยาลัยโทโฮ​ ทั้งนี้​ อ.ฮิเดะ​ เป็นทั้งเพื่อนแท้และกัลยาณมิตรที่แสนดีของผม มีความรู้ความสามารถจนเป็นที่ยอมรับในวงการเวชศาสตร์ทางเพศชาย และยังเป็นผู้นำคนแรก​ ๆ​ ที่นำแนวคิดการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในทางการแพทย์ของญี่ปุ่น​อีกด้วย

ที่งานเลี้ยง ผมได้พบกับศาสตราจารย์ผู้ใหญ่หลายท่าน ได้แก่ ศ.โคจิ ชิราอิชิ ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งระบบทางเดินปัสสาวะ, ศ.ยาสุชิ ฮิโรตะ นักวิจัยใหญ่ด้านการเจริญพันธุ์ และ ศ.อากิระ สึจิมูระ เจ้าตำรับเรื่องภาวะมีบุตรยากในผู้ชาย — ฟังชื่อแต่ละท่านแล้ว บอกได้คำเดียวว่า ถ้าเปรียบเป็นซูชิ ก็คงเป็นโอโทโร่ชั้นดีทั้งนั้น

ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยไมตรีจิต สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจที่สุด คือความเอาใจใส่​ของอาจารย์ฮิเดะ ที่ดูแลเอาใจใส่​ผมเป็นอย่างดี นอกจากเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่สองมื้อแล้ว ยังพาไปเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยโทโฮ พร้อมอวดห้องทำงานใหม่ ซึ่งเรียบง่ายเสียจนผมอดแซวไม่ได้ว่า ถ้าไม่บอกก่อน ผมคงนึกว่าเป็นห้องทำงานของนักปราชญ์มากกว่านักวิทยาศาสตร์

ระหว่างทางกลับ ผมกับอาจารย์ฮิเดะยังมีโอกาสพูดคุย วางรากฐานโครงการความร่วมมือทางวิชาการระหว่างญี่ปุ่นกับเบลเยียม ก้าวเล็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยความหมาย เสมือนคนสองคนจุดตะเกียงเล็ก ๆ ท่ามกลางคืนยาว แต่ตะเกียงนั้นก็สว่างเพียงพอที่จะมองเห็นเส้นทางข้างหน้า

สำหรับผมแล้ว การเติบโต มิใช่การวิ่งแข่ง หรือการสะสมเหรียญรางวัล หากเป็นการก้าวไปข้างหน้าอย่างใจเย็น โดยมีความศรัทธาในสิ่งที่เราทำ และไม่ลืมหัวใจของตนเอง

การได้ยืนบนเวที Tokyo International Forum เพื่อถ่ายทอดผลงานต่อแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิจากทั่วโลก คือประสบการณ์ล้ำค่าครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ผมจะเก็บรักษาไว้เป็นทรัพย์สมบัติของหัวใจ

เย็นวันนี้ (30 เมษายน) ผมจะออกเดินทางกลับเบลเยียม และถึงกรุงบรัสเซลส์ในเช้าวันที่ 1 พฤษภาคม พร้อมตรวจคนไข้ต่อด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความทรงจำดี ๆ และแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ที่จะติดตัวผมไปอีกนาน

รศ.ดร.นพ.วัชรพล อเล็กซองดร์ กำเนิดศิริ
กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

สวัสดี​ครับ​ฤดูใบไม้ผลิในเบลเยียมมาอย่างเงียบ​ ๆ ไม่อวดตัว ไม่โฉ่งฉ่าง หากแต่แสดงความเปลี่ยนแปลงด้วยใบไม้เขียวที่ผลิขึ้น...
22/04/2025

สวัสดี​ครับ​

ฤดูใบไม้ผลิในเบลเยียมมาอย่างเงียบ​ ๆ ไม่อวดตัว ไม่โฉ่งฉ่าง หากแต่แสดงความเปลี่ยนแปลงด้วยใบไม้เขียวที่ผลิขึ้น ดอกไม้ที่เริ่มบาน และอากาศที่อุ่นพอให้คนถอดผ้าพันคอได้อย่างไม่ลังเล เป็นฤดูที่ไม่เคยขาดความสำรวม คล้ายขุนนางชราที่รู้กาละ​เทศะ​ รู้จักบทของตน และไม่ขัดจังหวะใคร

เช้านี้ผมเริ่มต้นที่สมรภูมิวอเตอร์ลู ที่ซึ่งผืนหญ้าสีเขียวในวันนี้ เคยเป็นเวทีแห่งเสียงปืนใหญ่และคำสั่งปลุกเร้ากองทัพนับหมื่นในอดีต เดือนมิถุนายน ปี 1815 นโปเลียน​ จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศส​ ได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดของอำนาจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เขาพ่ายแพ้ไม่ใช่เพราะไม่มีฝีมือ หากเพราะเหตุของคนและโชค ความล่าช้า การประเมินศัตรูผิดพลาด และความเหนื่อยล้าของทหารที่เดินทางไกล ทั้งหมดหลอมรวมเป็นความพ่ายแพ้ที่โลกไม่มีวันลืม วอเตอร์ลูจึงเป็นมากกว่าสถานที่​ มันคือสัญลักษณ์ของบทสุดท้ายแห่งความทะเยอทะยานที่ไม่รู้จักพอ

ใกล้กันนั้น บ้านไร่หลังเล็ก​หลังหนึ่งยังตั้งอยู่เงียบ​ ๆ เคยถูกใช้เป็นกองบัญชาการสุดท้ายของนโปเลียนในค่ำคืนก่อนปราชัย ความเงียบของมันไม่ได้ว่างเปล่า หากเต็มไปด้วยคำพูดที่ไม่เคยเอ่ยออกมา

ครั้งนี้ ผมตั้งใจพาอาจารย์แพทย์สองท่าน​ซึ่งเป็นรุ่นน้องของผมทั้งคู่ และเป็นสามีภรรยาที่ครองรักกันมายาวนาน มาเที่ยวใกล้กรุงบรัสเซลส์ในวันที่ฤดูใบไม้ผลิกำลังคลี่คลาย

อาจารย์ นพ.สุชเยศร พุ่มจันทน์ ศัลยแพทย์มือดีจากโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน เดินทางมาเยี่ยมภรรยา​ ผศ.พญ.ศิลดา กนกรังษี อาจารย์แพทย์​ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังที่เก่งมาก​ จากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ซึ่งกำลังใช้เวลา 1 ปีที่เมือง Antwerp เพื่อศึกษาดูงานในโรงพยาบาล​ของเราที่นี่

ในโลกของวิชาชีพแพทย์ที่เต็มไปด้วยกรอบเวลา ตารางงาน และความเร่งรีบ ผมเห็นว่าการได้ออกมาสูดลมหายใจกลางป่าเขาและต้นไม้บ้าง ย่อมไม่เสียหายอะไรนัก มิหนำซ้ำ ยังทำให้เรามองโลกมนุษย์ได้กว้างขึ้นอีกเล็กน้อย

และในระหว่างที่เราเดินอยู่ใต้เงาไม้ของฤดูใบไม้ผลิ ก็มีบางช่วงที่ไม่มีใครพูดอะไรเลย ต่างคนต่างทอดสายตามองดอกไม้ริมทาง แต่ผมกลับรู้สึกว่า ความเงียบของเรานั้นเต็มไปด้วยถ้อยคำที่ต่างฝ่ายต่างเข้าใจ ความสัมพันธ์ระหว่างคนที่ผ่านโลกมาแล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องขอคำอธิบายให้ทุกสิ่ง

จากวอเตอร์ลู เราแวะยัง Château de La Hulpe ปราสาทกลางแมกไม้ที่ยืนหยัดอย่างไม่รีบร้อน ต้นซากุระต้นหนึ่งในสวนบานสะพรั่งโดยไม่ต้องเชื้อเชิญใคร กลีบสีชมพูอ่อนปลิวล่องในลมอย่างสงบเสงี่ยม มันบานในที่ของมัน ไม่เรียกร้อง และงามอย่างพอเพียง ผมไม่แน่ใจว่าผมเห็นแววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อยในดวงตาของทุกคน หรือเป็นเพียงภาพสะท้อนของดอกซา​กุ​ระกับแสงตะวันยามบ่าย​ที่ส่องมา

เรากลับเข้ามารับประทานอาหารกลางวันกันที่บิสโทรเล็ก​ ๆ ใกล้ Porte de Hal ป้อมประวัติศาสตร์ยุคกลางที่เคยเป็นหนึ่งในประตูเมืองบรัสเซลส์ สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 ไม่ไกลกันคืออาคารของโรงพยาบาล CHU Saint-Pierre อันเก่าแก่ของกรุงบรัสเซล​ส์

จากนั้นเราไปเดินเที่ยวต่อใน สวนดูเดน ที่ซึ่งเนินเขาและต้นไม้ใหญ่โอบกอดเมืองไว้ด้วยความเงียบสุขุม ราวกับจะบอกว่า ไม่ใช่เสียงดังหรอกที่ทำให้คนฟัง หากคือความนิ่งต่างหากที่ทำให้คนได้ยิน

ผมเดินอยู่ข้างหลังน้องสองคนเล็กน้อย เห็นเงาของทั้งสองทอดขนานกันอยู่บนพื้นทางเท้า ยาวไปจนสุดแนวไม้ บางทีความรักอาจไม่ต้องเดินจับมือกันตลอดเวลา ขอเพียงเงาของเราไม่เคยทอดไปคนละทิศ ก็นับว่านั่นคือความมั่นคงแล้ว

เมืองรอบนอกของบรัสเซลส์ อย่าง Waterloo, La Hulpe, Tervuren, และ Beersel ล้วนอยู่ไม่ไกลเลย บางแห่งห่างเพียง 10–15 กิโลเมตร แต่มีบรรยากาศที่ทำให้ใจเย็นลงโดยไม่รู้ตัว เมืองเหล่านี้ไม่มีอะไรให้รีบเร่ง ไม่มีร้านหรูหรือตึกสูง มีเพียงความสงบ ความเรียบง่าย และต้นไม้ที่ยืนอยู่ในที่ของมันอย่างเหมาะสม

ก่อนที่ผมจะส่งน้องทั้ง​ 2 กลับ​ Antwerp ขณะเดินผ่านเกาะกลางถนนเล็ก​ ๆ ผมเห็นทิวลิปสีสดบานอยู่ท่ามกลางรถราที่แล่นผ่านไม่หยุด ความงามของมันอยู่ตรงที่มันไม่สนใจจะเป็นส่วนหนึ่งของความวุ่นวาย หากเพียงยืนอยู่ตรงนั้น... งดงามตามหน้าที่ของมัน

พรุ่งนี้ ผมจะบินไปประเทศญี่ปุ่น เพื่อร่วมประชุม IFFS World Meeting ซึ่งจัดขึ้นที่ Tokyo International Forum ใจกลางมหานครโตเกียว ปีนี้ผมได้รับเกียรติให้นำเสนอผลงานวิชาการ ว่าด้วยบทบาทของเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ในบริบทปฐมภูมิ ความรู้ที่สั่งสมจากคลินิกเล็กๆ ในยุโรปกลาง จะถูกถ่ายทอดต่อในเวทีโลกอย่างเรียบง่ายและซื่อตรง เช่นเดียวกับดอกไม้ริมทางที่แม้จะมิใช่พันธุ์หรู แต่ก็ยังคงออกดอกในฤดูของมันอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

และหากฤดูกาลยังคงดำเนินไปในท่วงทำนองอันอ่อนโยนเช่นนี้ ผมก็คาดว่าจะกลับมาทันเห็นกลีบดอกไม้สุดท้ายของเดือนเมษายน ก่อนมันจะปลิวหายไปกับลมที่เปลี่ยนทิศ

โลกยังหมุนตามวิถีของมัน และมนุษย์ยังคงเดินต่อไป แม้บางครั้งจะไม่รู้จุดหมายชัดเจนก็ตาม

รศ.ดร.นพ.วัชร​พล​ อเล็กซองดร์​ กำเนิด​ศิริ
กรุงบรัสเซลส์​ ราชอาณาจักรเบลเยียม

สวัสดีครับผมแวะกลับไทยไปหาแม่ ระหว่างวันที่ 5–14 เมษายน เพื่อพาเพื่อนชาวฝรั่งเศส และพาแม่ไปเที่ยวชมบรรยากาศงานมหาสงกรานต...
16/04/2025

สวัสดีครับ

ผมแวะกลับไทยไปหาแม่ ระหว่างวันที่ 5–14 เมษายน เพื่อพาเพื่อนชาวฝรั่งเศส และพาแม่ไปเที่ยวชมบรรยากาศงานมหาสงกรานต์ที่ท้องสนามหลวง

ผมเตรียมการเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมกราคม จองห้องสวีทที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ไว้สำหรับคืนวันที่ 12 และ 13 แต่ไม่คิดว่าจะโชคดีถึงขนาดได้ห้องหมายเลข 117 ที่อยู่พอดีหลังป้ายโรงแรม Royal Hotel มีระเบียงเปิดออกไปชมขบวนแห่สงกรานต์ได้อย่างพอดิบพอดี

โชคดีอีกชั้นหนึ่งคือ ผมได้มีโอกาสต้อนรับครอบครัวของนาวาเอกปรีชา ตันติรักส์ ร.น. ซึ่งเรารู้จักกันที่ฝรั่งเศส—คุณเอ้ ภรรยา และน้องต้า น้องเอิน ลูกชายและลูกสาวที่น่ารักของครอบครัว มาร่วมเล่นสงกรานต์ด้วยกัน

คุณแม่ผมอายุแปดสิบกว่าแล้ว ใจหนึ่งก็กลัวว่าแดดสนามหลวงช่วงสี่โมงเย็นอาจจะร้อนแรงเกินไปสำหรับท่าน แต่แม่ก็บอกว่า "แม่อยากไป" คุณเอ้จึงให้น้องเอินช่วยดูแลคุณยายอีกแรง ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก

ไม่แน่ใจว่าเพราะผมอยู่ต่างประเทศมานานหรือเปล่า แต่อากาศร้อนที่ท้องสนามหลวงวันนั้น แสบผิวจริง ๆ พอพาแม่เดินข้ามสนามหลวงเพื่อจะไปทางวัดมหาธาตุฯ แม่ก็เอ่ยกับน้องเอินว่า “ขอนั่งพักตรงป้ายรถเมล์หน้าธรรมศาสตร์ก่อนนะลูก” และเพียงชั่วครู่ แม่ก็เป็นลม

ผมรีบประคองแม่ไว้ กลัวว่าแม่จะเป็นฮีทสโตรก ซึ่งอันตรายมากสำหรับผู้สูงอายุ ขณะเดียวกัน น.อ.ปรีชา ก็รีบวิ่งไปที่หน่วยการแพทย์ฉุกเฉินในเต็นท์กลางสนามหลวง เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึง ผมแจ้งว่าเป็นแพทย์ และร่วมประเมินอาการคุณแม่ด้วยกันกับทีมพยาบาล​

ผมปฏิเสธการเรียกรถฉุกเฉิน​ เพราะแม่เริ่มมีสติกลับคืนมา ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ที่พอเหมาะกับอายุ ค่าออกซิเจนในเลือดก็อยู่ที่ 98% ซึ่งถือว่าดีมาก หากไปโรงพยาบาลก็อาจยิ่งทำให้ห้องฉุกเฉินในวันสงกรานต์ยิ่งแออัดขึ้นอีก

โชคดีที่เป็นวันสงกรานต์ แม้แดดจะร้อน แต่ก็มีลม มีพลเมืองดีช่วยนำพัดลมมาเป่าคุณแม่จนเริ่มรู้สึกดีขึ้น ผมจึงขอให้เจ้าหน้าที่เรียกแท็กซี่เพื่อพาแม่กลับโรงแรมรัตนโกสินทร์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามสนามหลวง

แต่ก็อย่างที่รู้กันครับ... สงกรานต์ แท็กซี่ว่างก็จริง แต่ไม่มีใครรับผู้สูงวัยกลับโรงแรมเลย สุดท้าย... มีตุ๊ก ๆ คันหนึ่งใจดีรับไป

บนรถตุ๊ก ๆ มีทั้งผม แม่ เพื่อนชาวฝรั่งเศส น.อ.ปรีชา และคุณเอ้ นั่งดูแลแม่ไปด้วยกัน ถนนหลายสายปิดเพราะงานสงกรานต์ โชเฟอร์ขับอ้อมเข้าทางศาลหลักเมือง คุณเอ้ช่วยเอาเสื้อคลุมกันแดดให้แม่... ห่วงใยกันไปตลอดทาง

และแน่นอนครับ... สงกรานต์ก็คือสงกรานต์ เป็นวันที่ห้ามโกรธแม้จะโดนน้ำสาด และรถตุ๊ก ๆ คันนี้ก็ใช่ว่าจะรอด เพราะมีฝรั่งนั่งอยู่ด้วย การันตีความ "เวลคัมทูไทยแลนด์" เต็มขั้น

โชเฟอร์ตะโกนบอกกับคนริมทางว่า “มีคนป่วยนะครับ อย่าสาดน้ำ” แต่ไม่เป็นผล น้ำอบ น้ำเย็น พร่างพรูมาจากซ้าย ขวา หน้า หลัง น.อ.ปรีชายิงปืนฉีดน้ำตอบโต้ แต่ก็โดนขันน้ำบาซูก้าสาดกลับมาเย็นเฉียบ

แม่ตื่นเลยครับคราวนี้... ยิ้มแฉ่ง หัวเราะเบา ๆ และบอกว่า “เย็นดีจัง” — มนต์สงกรานต์นี่ช่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ ถ้าเล่นกันด้วยความรักและรู้จักกาลเทศะ

เมื่อกลับถึงหน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ น้องต้าและน้องเอินเดินอ้อมสนามหลวงมาถึงโรงแรมก่อน​ ยืนรอรับคุณยายอยู่ คุณเอ้บอกให้ลูก ๆ ช่วยพยุงคุณยายขึ้นห้องพัก

ผมถามโชเฟอร์ว่าค่าโดยสารเท่าไหร่ แกตอบว่า “เอาร้อยเดียวพอครับ” ผมยื่นให้สองร้อยและพูดว่า “ขอบคุณมากครับที่ช่วยพาเรากลับมาปลอดภัย สวัสดีปีใหม่ไทยนะครับ”

ขึ้นห้องแล้ว ผมเช็ดตัวให้แม่ ให้แม่นอนพัก แล้วเราก็นั่งสรุปเหตุการณ์กันด้วยความรู้สึกขอบคุณหัวใจ

ผมซาบซึ้งมากครับ ถ้าไม่มีทุกคนร่วมมือกันดูแลแม่ เหตุการณ์คงจะยากกว่านี้หลายเท่า

คุณเอ้ยังเล่าให้ฟังทีหลังว่า ตอนเจ้าหน้าที่เรียกรถ ลุงตุ๊ก ๆ บอกขอสามร้อย แต่ในวินาทีนั้น ต่อให้พันหนึ่ง ผมก็ยอม เพราะผมมีแม่แค่คนเดียว

พออาการดีขึ้น แม่กลับมาขอโทษว่า “แม่เป็นต้นเหตุให้วันดี ๆ กลายเป็นเรื่องวุ่นวาย” แต่ไม่มีใครรู้สึกแบบนั้นเลย ทุกคนดีใจที่แม่ปลอดภัย

แม่พักต่อในห้อง ส่วนพวกเราก็เตรียมตัวเดินไปดูสงกรานต์ที่ถนนข้าวสาร

ปีนี้ ถนนข้าวสารมีทางเข้าเพียงทางเดียวคือฝั่งตรงข้ามโรงแรม ซึ่งพวกเราไม่รู้ เลยต้องเดินอ้อมเป็นรูปตัวยู เพราะเข้าจากฝั่งถนนราชดำเนินไม่ได้ ระหว่างทางก็โดนน้ำสาดกันสนุกสนาน

ผมไม่เคยสัมผัสบรรยากาศสงกรานต์ที่ถนนข้าวสารมาก่อน แต่ต้องยอมรับว่าเปียกจริง สนุกจริง โชคดีที่ไม่มีเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย​และตำรวจยืนอยู่เป็นจุด​ ๆ​ ทุกคนดูยิ้มแย้มและให้อภัยกันง่าย ๆ เมื่อมีใครเผลอสาดน้ำโดน

ผมอยากให้คนไทยนึกถึงวันนี้บ้าง... วันที่การให้อภัยไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่เป็นน้ำใจ

เราซื้ออาหารข้างทางกลับมากินกันในห้อง แม่ดีขึ้นมากจนเกือบปกติ แค่เพลียนิดหน่อย ผมได้น้ำอบมาด้วย จึงถือโอกาสรดน้ำดำหัวคุณแม่ตามธรรมเนียม

ค่ำคืนนั้น เรายังเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปชมโชว์โดรนตอนสองทุ่มครึ่ง เดินเล่นไปถึงราชนาวีสโมสร ก่อนจะวนกลับมา ได้ภาพสวย ๆ หน้าพระบรมมหาราชวังในคืนพระจันทร์เต็มดวงร่วมกันเป็นที่ระลึก

ผมเชื่อว่า... ความสัมพันธ์ที่ดี เริ่มต้นจากความปรารถนาดี และเมื่อเราส่งสิ่งดี ๆ ออกไป สิ่งดี ๆ ก็จะหวนกลับมา

ครอบครัวของ​ น.อ.ปรีชาฯ​ เอง ก็ผูกพันกับผมและแม่ตั้งแต่ร่วมทริปไหว้พระ 9 วัดที่อัมพวา ความสัมพันธ์อบอุ่นจึงต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้

ผมคิดว่าหากคนไทยเราลดทิฐิกันลงอีกนิด สังคมไทยจะน่าอยู่ขึ้นมาก อย่างน้อย วันสงกรานต์หนึ่งวันในรอบปี ก็พิสูจน์ได้ว่า “เราทำได้”

เช้าวันที่ 14 ผมพาแม่กลับบ้าน แล้วก็เตรียมตัวขึ้นเครื่องกลับเบลเยียมในค่ำวันเดียวกัน

ครั้งนี้ผมบินกับสายการบิน Scandinavian Airlines แวะเปลี่ยนเครื่องที่โคเปนเฮเกน แล้วถึงบรัสเซลส์ตอน 10 โมงเช้า จากนั้นบ่ายสี่โมงก็ลงตรวจคนไข้ทันทีจนถึงสามทุ่ม

หลังจากทำงานเสร็จ ความเหนื่อยก็ถาโถม รีบอาบน้ำแล้วหลับไปเลย... ตื่นมาเขียนโพสต์นี้เพื่อแบ่งปันเรื่องราวให้ FC ทุกคนได้อ่านครับ

เมื่อวานผมได้เจอคนไข้สาวไทยท่านหนึ่งจากเกาะสมุย ที่แฟนขับรถจาก Antwerp มาหาผมที่บรัสเซลส์ เธอเล่าว่าเคยโพสต์ถามในกลุ่มคนไทยในเบลเยียม แล้วมีคนแนะนำชื่อผม จึงตัดสินใจพากันมา

ผมเองไม่เคยรู้เรื่องราวในกลุ่มนั้นเลย เลยถามว่า “เขาพูดถึงผมดีหรือไม่ดีครับ?” เธอยิ้มแล้วตอบว่า “ดีสิคะ​ ดีมากเลยค่ะ หนูถึงมา”

และนี่คือบทสรุปของโพสต์นี้ครับ

สำหรับคนไข้ของผมที่เบลเยียมและเนเธอร์แลนด์​ เกี่ยวกับตารางลงตรวจของผม​นะครับ​

1. สัปดาห์หน้า (24–30 เมษายน) ผมจะไปประชุมวิชาการที่โตเกียว

2. เดือนหน้า (9–29 พฤษภาคม) ผมจะไปอเมริกาใต้ 5 ประเทศ — อาร์เจนตินา, ชิลี, ปานามา, เอกวาดอร์, เปรู

ถ้ามีโอกาสและหาเวลาได้​ จะกลับมาเล่าเรื่องให้ FC ฟังอีกแน่นอนครับ

สุขสันต์วันปีใหม่ไทยย้อนหลังครับ

ขอให้ทุกคนมีแต่ความสุข สดชื่นใจในทุกวันนะครับ

รศ.ดร.นพ.วัชร​พล​ อเล็ก​ซองดร์​ กำเนิด​ศิริ
กรุงเทพ​มหานคร​ ราชอาณาจักร​ไทย

สวัสดี​ครับ​มีบางสถานที่ในโลก ที่เมื่อเราเดินผ่านซากปรักหักพังและสัมผัสลมหายใจของอดีต เราจะรู้สึกเหมือนได้เดินย้อนเวลากล...
01/04/2025

สวัสดี​ครับ​

มีบางสถานที่ในโลก ที่เมื่อเราเดินผ่านซากปรักหักพังและสัมผัสลมหายใจของอดีต เราจะรู้สึกเหมือนได้เดินย้อนเวลากลับไปสู่ยุคที่มนุษย์ยังไม่สามารถอธิบายโรคภัยได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถบรรเทาความเจ็บปวดได้ด้วยการแพทย์แบบที่เราคุ้นเคย และไม่สามารถเอาชีวิตรอดจากแรงอำนาจของธรรมชาติได้

หนึ่งในสถานที่เช่นนั้นคือ เมืองปอมเปอี (Pompeii) ในอิตาลี​ เมืองโรมันโบราณที่ถูกฝังทั้งเมืองภายใต้เถ้าถ่านและลาวาของภูเขาไฟเวซูเวียส เมื่อปี ค.ศ. 79 (พ.ศ. 622) ซึ่งตรงกับยุคต้นของอาณาจักรทวารวดีในแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยา และเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่อารยธรรมฟูนันทางเอเชียอาคเนย์เริ่มเสื่อมถอย

ผมใช้เวลาทั้งหมดห้าวันในเมืองนี้ ซึมซับความเงียบที่ไม่ใช่ความสงบ แต่เป็นความเงียบที่เปี่ยมด้วยเสียงสะท้อนจากผู้คนในอดีต​ที่ไม่มีโอกาสเล่าชีวิตของตนเองต่อให้จบ ไม่ใช่เพราะความตายที่ค่อย ๆ มาเยือน หากแต่เพราะหายนะที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาที

บ้านหลังหนึ่งที่ผมใช้เวลาชมอยู่นาน​ คือ​ บ้านของหญิงม่ายชื่อ จูเลีย เฟลิส (Julia Felix) หญิงที่น่าจะกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่ “กล้า” และ “ก้าวหน้า” ที่สุดคนหนึ่งในปอมเปอี

หลังจากสามีของเธอเสียชีวิต เธอได้รับมรดกเป็นอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ติดถนนสายหลักและสนามกีฬา ด้วยวิสัยทัศน์ของนักบริหาร เธอดัดแปลงบ้านของตนให้กลายเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ เปิดให้เช่าห้องพักรายวัน มีโรงอาบน้ำส่วนตัว และร้านอาหารขนาดย่อมบริเวณริมรั้วบ้าน รองรับนักกีฬาและผู้ชมจากสนามใกล้เคียงได้อย่างเหมาะเจาะ

สิ่งที่น่าทึ่งคือความใส่ใจในรายละเอียดของบ้านหลังนี้: สีฟ้าน้ำเงิน ที่ทาบบนผนังห้องพัก เป็นหนึ่งในสีที่แพงที่สุดในยุคนั้น ผลิตจากแร่ lapis lazuli ซึ่งต้องนำเข้าจากแดนไกล สะท้อนรสนิยมของเจ้าของบ้านได้อย่างชัดเจน ห้องพักแต่ละห้องยังมี lararium หรือแท่นบูชาเทพเจ้าประจำบ้าน เป็นที่สำหรับภาวนาและขอพรต่อบรรพบุรุษ เป็นเครื่องหมายว่าแขกผู้มาพักไม่ได้รับแค่ที่หลับนอน แต่ได้รับประสบการณ์ของ “ชีวิตโรมัน” อย่างแท้จริง

และที่หรูหราที่สุดคือ ระบบนำน้ำเข้าสู่ตัวบ้าน ซึ่งในยุคนั้นมีเฉพาะบ้านของชนชั้นสูงเท่านั้น น้ำถูกส่งผ่านท่อเข้าสู่ห้องอาบน้ำ ห้องครัว และสวนกลางบ้าน สวนแห่งนี้ยังมี คลองจำลอง ที่ไหลผ่านกลางลาน ซึ่งนักโบราณคดีเชื่อว่าออกแบบเพื่อเลียนแบบ​ แม่น้ำไนล์ สัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ของชีวิต และอิทธิพลจากวัฒนธรรมอียิปต์ที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูงของโรมันยุคนั้น

ในบันทึกทางโบราณคดี ยังพบ ข้อความโฆษณาที่เขียนไว้หน้าบ้านของจูเลีย เฟลิส ซึ่งเป็นหลักฐานอันล้ำค่าที่สะท้อนวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจในปอมเปอี ข้อความนี้เขียนเป็นภาษาละตินว่า

"Hospitium hic locatur. Commoda et culta."
“ที่พักแห่งนี้เปิดให้เช่า สะดวกสบายและมีรสนิยม”

และอีกข้อความหนึ่ง
"Domus pulcherrima locatur. Dignis tantum."
“บ้านหลังงามเปิดให้เช่า เฉพาะผู้มีคุณค่าเท่านั้น”

ข้อความเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเธอมีการตลาดที่ชัดเจน มีภาพลักษณ์ที่ต้องการนำเสนอ และตั้งใจคัดกรองลูกค้าที่สอดคล้องกับระดับของบ้าน ไม่ต่างอะไรกับแนวคิดการสร้างแบรนด์ในยุคปัจจุบัน

แน่นอนว่าในปอมเปอียุคนั้นมีแพทย์ มีแม้กระทั่งศัลยแพทย์ที่ใช้เครื่องมือโลหะเช่นทองแดงและบรอนซ์ในการผ่าตัด เครื่องมือเหล่านั้นยังคงจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนาโปลีจนถึงวันนี้

แต่พวกเขายังไม่มีวัคซีน​ ยังไม่เข้าใจไวรัส​ ยังไม่รู้จักการติดเชื้อระดับจุลชีววิทยา​ ยังไม่มีการวางแผนด้านเวชศาสตร์ป้องกัน

หากวันนั้น จูเลียล้มป่วยจากโรคติดเชื้อหรืออาการทางระบบประสาท เครื่องมือที่เธอพึ่งพาได้อาจมีเพียงแพทย์ประจำเมือง สมุนไพร และความศรัทธาต่อพระเจ้า​ของเธอ

ผมกลับมายังเบลเยียมในศตวรรษที่ 21 ขณะที่ประเทศกำลังรณรงค์ให้ประชาชนวัย 50 ปีขึ้นไปเข้ารับวัคซีนป้องกัน งูสวัด (Herpes Zoster) โรคที่เกิดจากไวรัสชนิดเดียวกับอีสุกอีใส และสามารถแฝงตัวในเส้นประสาทได้นานนับสิบปี ก่อนจะแสดงตัวในรูปของผื่น ปวดแสบปวดร้อน และบางครั้งรุนแรงจนทิ้งความเจ็บปวดแบบเรื้อรัง หรือทำให้ใบหน้าเบี้ยวจากเส้นประสาทอักเสบ

แม้คนที่เคยเป็นงูสวัดมาแล้ว ก็ยังควรฉีดวัคซีนหลังอายุ 50 ปี​ เพราะภูมิคุ้มกันจากการป่วยตามธรรมชาตินั้น ไม่ถาวร และมีแนวโน้มลดลงเมื่ออายุมากขึ้น การฉีดวัคซีนจะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้กลับมาอยู่ในระดับที่เพียงพอ เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ หรืออย่างน้อยก็ช่วยลดความรุนแรงหากโรคเกิดขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะในผู้สูงวัยที่มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทมากกว่าคนวัยหนุ่มสาว

ในฐานะแพทย์ไทยคนเดียว​ในเบลเยียมที่ทำงานที่ประเทศ​นี้อย่างต่อเนื่องมากว่าสิบปี ผมรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของระบบสาธารณสุขที่ให้ความสำคัญกับการดูแลเชิงป้องกันที่ดีที่สุดประเทศ​หนึ่งในโลก รัฐบาลเบลเยียมให้สิทธิและความเชื่อมั่นแก่แพทย์เวชปฏิบัติครอบครัว (หมอบ้าน) อย่างเต็มที่ในการดูแลชีวิตของผู้คน ไม่เพียงรักษาเมื่อเจ็บป่วย แต่ป้องกันไม่ให้เจ็บป่วยตั้งแต่ต้น

การเดินท่ามกลางเถ้าถ่านของปอมเปอี ทำให้ผมตระหนักว่า มนุษย์สร้างได้ทั้งอารยธรรมและความรู้ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่าการจดจำอดีต คือการนำบทเรียนนั้นมาต่อชีวิตให้คนในปัจจุบัน

ปอมเปอี​ คือ​ เสี้ยวหนึ่งของอารยธรรมโรมันที่เคยรุ่งเรืองมายาวนานนับพันปี เมืองนี้เคยมีชีวิต มีเสียงหัวเราะ มีความฝัน มีความทะเยอทะยาน และวันหนึ่ง ทุกสิ่งก็ถูกกลบด้วยเถ้าถ่านที่นิ่งงันราวกับเวลาไม่เคยเคลื่อนไหวอีกเลย

เมื่อมองย้อนจากวันนี้​ ยุคที่เรามีเครื่องมือทางการแพทย์ มีความรู้ มีทางเลือกในการดูแลตนเอง​ เราควรระลึกอยู่เสมอว่า เราเป็นเพียง “ส่วนเล็ก” ของอดีตที่ยังคงเคลื่อนไปข้างหน้า

ตราบใดที่ยังมีวันหนึ่งให้ตื่น ตราบใดที่ยังมีกายใจที่แข็งแรง จงอย่ารอจนสุขภาพพรากความฝันไป

เที่ยวเถิดในวันที่ยังมีแรง​ ดูแลสุขภาพไว้ในวันที่ยังมีสิทธิ์เลือก​ เราไม่มีทางรู้ว่าอนาคตจะพาเราไปเจอกับอะไร

แต่สิ่งหนึ่งที่เราทำได้แน่ ๆ คือ…

ใช้วันนี้ให้เต็มที่ ขณะที่ร่างกายและหัวใจยังพร้อมจะเดินทาง

รศ.ดร.นพ.วัชรพล​ อเล็กซอง​ดร์​ กำเนิด​ศิริ
เมืองปอมเปอี​ สาธารณรัฐ​อิตาลี

Adresse

Paris

Site Web

Notifications

Soyez le premier à savoir et laissez-nous vous envoyer un courriel lorsque Dr. Med. Watcharaphol Alexandre Kamnerdsiri publie des nouvelles et des promotions. Votre adresse e-mail ne sera pas utilisée à d'autres fins, et vous pouvez vous désabonner à tout moment.

Contacter La Pratique

Envoyer un message à Dr. Med. Watcharaphol Alexandre Kamnerdsiri:

Partager

Type