หมอบรรจบ (แพทย์ทางเลือก)

หมอบรรจบ (แพทย์ทางเลือก) Natural medicine, Homeopathy, Mindfulness
ธรรมชาติบำบัด, โฮมีโ?
(1)

ลุกขึ้นสู้ (7)โต้พายุซัยโตไคน์ ตัดหัวคลื่น มีชัยเข้าฝั่งในภาวะวิกฤตโควิด ได้บอกแล้วว่า home isolation น่าจะดีกว่าไปนอนรพ...
12/08/2021

ลุกขึ้นสู้ (7)

โต้พายุซัยโตไคน์ ตัดหัวคลื่น มีชัยเข้าฝั่ง

ในภาวะวิกฤตโควิด ได้บอกแล้วว่า home isolation น่าจะดีกว่าไปนอนรพ.สนามหรือ hospitel ซึ่งจะได้แต่ยาพาราฯ แล้วรอดูว่าเมื่อไหร่เชื้อลงปอดจนทนไม่ได้แล้ว และโชคดีมีเตียงรพ. จึงจะได้เข้ารักษา

เพราะเมื่อ HI เราจะทำทุกอย่างในกระบวนการแพทย์องค์รวมเพื่อจำกัดเชื้ออยู่แค่ทางเดินหายใจส่วนบน และขจัดมันออก

ประสบการณ์ 30 กว่าเคสด้วย tele medicine เราพบว่า การสุมสมุนไพรโดยการสูดดมไอสมุนไพรตามสูตร #คมสันทินกรณอยุธยา
https://www.facebook.com/228893067300037/posts/1755903791265616/
หรือการเข้ากระโจม ด้วยกลุ่มสมุนไพรเจ็ดนางฟ้า ช่วยให้จำกัดบริเวณเชื้อให้อยู่แต่ส่วนบนได้ดีมาก
https://www.facebook.com/228893067300037/posts/1755221921333803/

ส่วนใครที่ต้องการเจ็ดนางฟ้า ขณะนี้มีองค์กรธรรมธุรกิจ ดำเนินการแจกเจ็ดนางฟ้าส่งให้ถึงบ้านเลย โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพียงคุณเข้า QR code ของธรรมธุรกิจ ปักหมุดบ้านของคุณ (ในกทม. ปริมณฑล รวมถึงสมุทรสาครด้วย) เขาจะมีสายส่ง ธรรมไรเดอร์ไปส่งให้คุณ องค์นี้มี้เกษตรกรมากมายที่ดำเนินการเกษตรตามศาสตร์พระราชา ขณะนี้ระดมปลูกเจ็ดนางฟ้ากันพรึ่บไปหมด ส่วนใครที่จะทำบุญร่วมกับองค์กรนี้ก็ได้ ครับ

ขณะเดียวกันการดูแลไข้ด้วยการแช่เท้าด้วยน้ำมะนาวอุ่น การประคบคอด้วยมะนาว ตามหลักการแพทย์มนุษยปรัชญาที่ #หมอปอง แนะนำไว้ ก็ช่วยเอาไข้และการระคายเคืองคอกับหลอดลมได้ดี
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=3705653232993123&id=1882571738634624

โฮมีโอพาธีย์มีบทบาทในทุก stage ที่ได้ผลชะงัด โดยทำให้โรคชะงักได้ ซึ่งผมกำลังร่ายให้ฟังอยู่

ส่วนใครที่ต้องการติดต่อ #หมอปอง แหล่งของโฮมีโอพาธีย์ ก็ได้
https://m.facebook.com/venitaclinic/?locale2=th_TH

ธรรมโอสถ แสดงบทมากกว่าครึ่งของกระบวนการรักษา เพราะคุณก็รู้อยู่แล้วว่า " จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว"

ธรรมโอสถ ทำได้เป็นทีละขั้นตอน ตั้งแต่เมื่อแรกที่รู้ว่าติดโควิด ทั้งหมดเราเล่นกับ สติ สติ และสติ ดังนี้:
1)ตั้งสติ อย่าตกใจ ไม่กลัว เพราะมีวิธีแก้ และด้วยกระบวนการด้านการแพทย์องค์รวม เราได้ทำให้การติดโควิดในหลายๆคน กลายเป็นคล้ายการติดไข้หวัดธรรมดาเท่านั้นเอง
2)ดึงสติกลับมา ดำเนินการที่ระบบเขาเปิดช่องไว้ คือการลงทะเบียนกับสปสช. แล้วรอเขาติดต่อกลับ ส่วนความช่วยเหลือทางหยูกยา อย่าคาดหวังอะไรสูง เพราะต้องรู้ว่างานของเขาก็ล้นมือ และเหน็ดเหนื่อย เราต้องเห็นใจเขาด้วย ส่วนใหญ่แล้วถ้าเราดูแลด้วยองค์รวมดีๆ เราก็จะหายเองก่อนที่ความช่วยเหลืออื่นใดจะมา
3)คุมสติไว้ด้วยการท่องบทภาวนาในใจ "อรหัง พุทโธ อิติปิโส ภควา นะ เมตตา จิตตัง" หรือคำภาวนาอื่นที่คุณถนัด ระหว่างนั้นหายาสมุนไพรที่ใช้สุมยา เข้ากระโจม มะนาวเพื่อการลดไข้ แก้ระคายคอให้พร้อม ยาไทยสำหรับรักษาตำรับ #คมสันทินกรณอยุธยา ยาโฮมีโอพาธีย์เพื่อการรักษาจากแพทย์ฝ่ายโฮมีโอพาธีย์
4)ปฏิบัติภาวนา สร้างกุศลธรรมเพื่ออุปฆาตกรรมฝ่ายอกุศลที่คุกคามเราอยู่ ให้น้ำหนักฝ่ายกุศลเข้าไปตัดรอนกรรมหนัก ที่ถึงฆาตก็กลายเป็นป่วยเบา ที่ป่วยเบาก็กลายเป็นหาย

ประเด็นนี้ไม่ใช่พูดกันเล่นๆ คนเรามีกรรมสมคล้อยที่พากันมาเกิดในกาลียุค ที่อำนาจเงินคู่อำนาจมืดแพร่ระบาดความมัวเมาด้วยราคัคคินา ความมัวเมาในมิจฉาทิฏฐิทางสังคมสร้างความเกลียดชังกันในระหว่างหมู่ชนด้วย โมหัคคินา แล้วก่อความรุนแรงไปทั่ว บ่อนเซาะความสงบสุขแห่งสังคมด้วยโทสัคคินา เหล่านี้ปลุกปั่นคลื่นพลังด้านลบกับทั้งบ้านเมือง บั่นทอนภูมิต้านทานโดยรวม โควิดจึงยิ่งกำเริบ

จึงพอจะกล่าวได้ว่า เราต่างมีกรรมหนักที่มาเกิดร่วมในสังคมเช่นว่านี้
แต่เรื่องการติดเชื้อ การป่วย หนักหรือเบา ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของกฎเกณฑ์กรรมในคนนั้นๆ

หน้าที่ของเราเมื่อป่วย คือสร้างกุศลกรรมเข้าไปถ่วงดุลอกุศลกรรม แต่กุศลที่จะคะคานกับกรรมหนักนี้ได้ ก็ต้องเป็นกุศลกรรมที่หนักพอๆกัน เรียกว่า ครุกรรมฝ่ายกุศล และครุกรรมฝ่ายกุศลจะสร้างได้ ต้องเป็นระดับปฏิบัติภาวนา ดังที่พระอาจารย์อารยวังโสกล่าวว่า "เหนือบุญคือกรรม เหนือกรรมคือวิปัสสนา"

ถึงตรงนี้คุณจะเห็นว่า แม้กำลังติดโควิดอยู่ เป็นไข้ เจ็บคอ แต่ตราบใดที่ยังหายใจอยู่คนๆนั้นก็ปฏิบัติภาวนาได้ เพราะเป็นเรื่องของการปฏิบัติทางใจ เพียงแต่ว่า กายกำลังลำบากอยู่แต่ก็ยังพึงกระทำ

ฝึกปฏิบัติภาวนา ภาษาชาวบ้านเรียกว่าการทำสมาธิ แต่การทำสมาธินั้น นอกพุทธศาสนาก็มีการทำสมาธิอยู่แล้ว ดังนั้นการทำสมาธิในปฏิปทาของพุทธศาสนาจึงเรียกกันว่า ภาวนาหรือสมาธิภาวนา

การทำสมาธิจะใช้ท่านั่งก็ได้ ไม่สบายอยู่ก็ให้นอนทำ เริ่มต้นด้วยการหายใจเข้าออก.ใช้จิตตามลมหายใจ แรกๆก็หายใจยาว ต่อไปลมหายใจก็ค่อยๆสั้นลง

เมื่อภาวนาไม่ว่าด้วยกัมมัฏฐานใด จิตจะผ่านกระบวนการที่ค่อยๆสงบลง คิดอะไรอื่นก็ดึงกลับมา เมื่อจิตไม่ซัดส่ายก็เข้าภาวะวิตก วิจาร โดยอยู่กับกัมมัฏฐานที่ทำเช่น ภาวนาคำว่าพุทโธ หรือตามลมหายใจ เรียกว่า ปฐมฌาณ

ต่อไปจะเข้าสู่ภาวะหนึ่งซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกัน ซ่า ชา หนาหนัก เบาลอย เบิกบาน พึงใจ มีบ้างที่ตัวสั่นตัวโยก นี่คือภาวะปีติ ฌาณสอง

จากนั้น เข้าสู่ความสุขสบาย บางคนถึงกับยิ้มแย้มออกมา คือภาวะสุข ฌาณสาม

ละปีติ ละสุขอย่างเป็นไปเอง จะถึงภาวะใจเป็นกลางๆ คือภาวะอุเบกขา ฌาณสี่

เมื่อปฏิบัติภาวนาจะเปิดโอกาสให้เจตสิกฝ่ายกุศล คือ ปีติ สุข เข้าครอบงำจิตแทนที่ฝ่ายบาป ก็เลยเกิดบุญขึ้น แถมเป็นกุศลกรรมขั้นอุกฤต คือครุกรรมฝ่ายกุศล แถมถ้าจิตขึ้นอุเบกขา ก็ได้จิตเป็นกลางๆ เป็นอัพยากตจิต

ครั้นเวลาปกติ ก็ประคองจิตให้อยู่ปัจจุบันเรื่อยๆ ปิดโอกาสจิตกังวล จิตบาปที่จะเข้ามา

เป็นอันว่าในตัวผู้ป่วยที่รู้จักการภาวนา ก็เหมือนแข่งแรลลี่กับโควิดอยู่ โดยตนเองเก็บแต้มบวกให้มากที่สุด

ไล่เลียงมาอย่างนี้ อย่าคิดว่าเรื่องยาก ทำไม่ได้ พระอาจารย์อารยวังโสมีคลิปให้ติดตามอยู่สองคลิป ซึ่งใช้เวลา 28 นาทีอย่างสั้น หรือ 1 ชม.อย่างยาว

ก่อนอื่นไหว้พระ สวดมนต์ แล้วปฏิบัติตามท่านไปเรื่อยๆ ก็จูงจิตเข้าสู่ปีติ สุขได้ (ผู้สนใจเปิดเข้า Youtube ค้นคำว่า อารยวังโส เมตตาเจโตวิมุตติ)

ในภาวะปีติ สุข จะเกิดอำนาจแห่งธรรม เป็นธรรมโอสถบำบัดสรรพโรคได้ แล้วตามด้วยการแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร

ที่บอกว่าคนต่างกับเดรัจฉานก็ตรงนี้ เพราะคนสร้างกรรมใหม่ที่ดีได้ ด้วยกฎเกณฑ์กรรมมีอยู่ว่า เมื่อป่วยหนักก็เพราะกรรมหนัก (ครุกรรม) จะสร้างผลให้สัตว์นั้นเป็นไปตามกรรม แต่ในระหว่างนั้น ถ้ามีปัจจัยอื่นที่มีน้ำหนักพอๆกัน แต่เป็นด้านกุศลกรรม (ครุกรรม) เข้าไปแทรก ก็อาจเกิดการอุปฆาต กรรมเดิมนั้นแม้จะส่งผล แต่ก็มีแรงกุศลมาพยุงไว้ เหมือนคนบนเรือที่จะอัปปาง แม้จะต้องลงว่ายน้ำ ก็จะบังเอิญมีปัจจัยช่วย เช่นทุ่นให้เกาะ หรือคนมาช่วย โดยลอยคออยู่ในทะเลไม่นาน

คิดดูก็แล้วกันว่า ในสถานการณ์นี้ ถ้าคนไทยทั้งป่วยและไม่ป่วย คนดีๆที่กักตัวอยู่บ้าน แทนที่จะฟังแต่ข่าวให้วิตกดังวล (เกิดจิตบาป) หรือเล่นเฟส คอยด่าซ้ำเติมคนที่ชัง หรือเยินคนที่ชอบ (จิตบาปอีกแระ) แต่หันมามีสติและภาวนาบ้าง ก็เกิดกระแสธรรมโอสถที่แรงขนาดไหน

โฮมีโอพาธีย์วิถีชาวบ้าน (7)

"พายุซัยโตไคน์" สาเหตุของปอดอักเสบรุนแรงและผู้ป่วยเสียชีวิต

มันคืออะไร?
ซัยโคไคน์เป็นสารน้ำที่ระบบภูมิต้านทานร่างกายปล่อยออกมา มีผลกระตุ้นหรือยับยั้งกระบวนการอักเสบ เช่น INF gamma, IL-1, IL-6, TNF alpha ฯลฯ การกระตุ้นอักเสบคิดเผินๆก็น่าจะดี โดยเฉพาะเวลาร่างกายติดเชื้อ แต่ที่สำคัญคือ มันถูกปล่อยพรั่งพรูออกมา การอักเสบเกืดมาก เวลาอักเสบผนังเส้นเลือดและเยื่อเมือกร่างกายเกิดเป็นรูพรุนให้น้ำซึมผ่าน

แล้วจะเป็นยังไง? ก็คิดดูว่าอักเสบเกิดที่ปอด ปกติปอดต้องเป็นพื้นที่สำหรับแลกเปลี่ยนอากาศ แต่ถ้าเป็นน้ำพรั่งพรูเข้าไป

เหมือนพายุฝนอันรุนแรง เกิดวาตภัย อุทกภัยขึ้นทันที ซ้ำร้ายเขื่อนพังเข้าไปอีก น้ำก็ท่วมไปทั่ว ปอดจึงบวมน้ำ และผู้ป่วยถึงแก่ชีวิตในที่สุด

พายุซัยโตไคน์จะเกิดในวันที่ 7 ของการป่วย

พายุซัยโตไคน์นี้ การแพทย์พยายามสะกัดกั้นเหมือนกัน ยาตัวใกล้มือที่สุดก็คือสตีรอยด์ (Dexamethasone) และยังมียาตัวอื่นๆ มักให้คู่กับยาต้านไวรัส

ทีนี้ผู้ป่วยนอนรอเตียงอยู่บ้าน จะใช้ยาพวกนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ ตรงนี้โฮมีโอพาธีย์มีคำตอบ

ให้ใช้ Arnica 200c สารบำบัดตัวนี้เป็นที่รู้จักอยู่เดิม เริ่มจากชาวบ้านในยุโรปเวลาจะไปขึ้นภูเขาจะเด็ดเอาสมุนไพรนี้ที่ขึ้นอยู่ตามทางเดินพกติดตัวไปด้วย ถ้าพลัดตกภูเขา ก็จะได้สมุนไพรนี้ต้มกิน เพราะมันรักษาอาการบาดเจ็บฟกช้ำดำเขียวได้ดี ต่อมามีวิจัยสมัยใหม่ว่า Arnica มีฤทธิ์ลดการอักเสบ สำหรับโฮมีโอพาธีย์เราใช้ Arnica ในการบาดเจ็บทุกชนิด

ทีนี้คำถามว่า แล้วทำไม Arnica แก้พายุซัยโตไคน์ได้ เรื่องนี้หมอปองตอบผมขณะที่แลกเปลี่ยนความรู้กันว่า "ก็นึกถึงเวลาผู้ป่วยที่ น่วมไปทั้งตัว เราจะใช้ Arnica ไงครับ พ่อ"

อ้อ บาดเจ็บแบบถูกซ้อมน่วมไปทั้งตัวเราใช้ Arnica ทีนี้พายุซัยโตไคน์ก็กำลังทำให้อักเสบน่วมไปทั้งตัวเหมือนกัน จึงสมเหตุสมผลที่เราจะใช้ Arnica

Dr.Venki ซึ่งให้คำปรึกษาผมในการรักษาผู้ป่วยหนักๆมา 2 ราย คือคุณปุ๊กที่ป่วยเข้าวันที่ 6 มีโควิดลงปอดแล้ว พร้อมอาการปวดเมื่อยตัว ปวดหลังแสนสาหัส เราเลือกใช้ Arnica 200c

อีกคนหนึ่งคือคุณตัวกลม ซึ่งโควิดเข้าปอดจนไอเป็นเลือด ox sat ตกอย่างน่าใจหาย เธอเริ่มได้ flavi และรอรพ. แต่ก็เป็นหน้าที่เราที่ต้องยันสถานการณ์อีกอย่างน้อย 48 ชม. เราเลือกใช้ Arnica 200c เพราะรู้ว่าเธอกำลังโต้พายุซันโตไคน์ภายในตัวอย่างสุดล้าแล้ว

รายนี้เราให้ Bry200c และเปลี่ยน Ars200c ที่ให้คู่กับ Bry200c อยู่เดิม ให้เปลี่ยนมาเป็น Ars30c เพราะจะช่วยการซึมซ่านของออกซิเจนในปอดแก้การหอบได้ดีกว่า Ars200c

ขณะนั้นเราจึงให้กินหมุนเวียน
Bry200c -> Ars30c ->Arnica200c -> ห่างกันทุก 1 ชม. × 4 รอบ

ปรากฏว่าเรายันสถานการณ์ไว้ได้ แถมให้เธอซุกโฮมีโอพาธีย์เข้าไปรักษาต่อที่รพ. สุดท้ายก็ผ่านโค้งรอดมาได้ และขณะนี้ออกจากรพ.มาเรียบร้อยแล้ว

เมื่ออยู่ในรพ.เธอมีเสมหะข้นเหนียวมาก เราให้ Ant tart 30c ซึ่งช่วยละลายเสมหะได้อย่างดี โดยเสียบเข้าไป ทุก 15 นาที × 3 ครั้งในระหว่างยาโฮฯตัวหลัก

Arnica 200c ให้ถือว่า ผป.โควิดทุกรายให้จ่ายในวันที่ 6 ของการเกิดอาการ เพราะพายุฯจะมาในวันที่ 7 โดยให้ได้กินวันละ 3 ครั้ง กินไปจนถึงวันที่ 14 จึงจะนับว่าปลอดภัย

"อย่าไว้ในผู้ป่วยที่ดูดี อาการหายไปหลังเราให้ยาโฮฯไปก็หายป่วยใน 3 วัน เพราะบางรายพอเข้าวันที่ 7 พายุฯก็มาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย" Dr.Venki เตือน

ลุกขึ้นสู้ (6)ฝึกจิตพิชิตโควิดในการแพทย์องค์รวมที่ผมใช้รักษาโควิดด้วย tele medicine ผมใช้ "มวยไทย" คือตะลุมบอนกับมันทั้ง...
09/08/2021

ลุกขึ้นสู้ (6)

ฝึกจิตพิชิตโควิด

ในการแพทย์องค์รวมที่ผมใช้รักษาโควิดด้วย tele medicine ผมใช้ "มวยไทย" คือตะลุมบอนกับมันทั้งหมัด เท้า เข่า ศอก จึงจะชนะมันได้ ก็คือ :โฮมีโอพาธีย์ ยาตำรับแผนจีนหมอลิ้ม ยาไทยพท.คมสัน ทินกร ณ อยุธยา VitC และก็ต้อง ธรรมโอสถ ด้วย

ธรรมโอสถหมายถึงบทบาทของธรรมะ ที่อาจเข้ามาส่งผลต่อทุกข์โรคภัยของคนหนึ่งๆได้

คนเราเป็นสัตว์กรรม เกิดเพราะกรรมผลักดันให้มีชาติภพต่อไปจากจุติจิตที่ดับไปกับนามรูปในชีวิตก่อน ก็เพื่อชดใช้สิ่งที่ได้ทำไปในชาติที่แล้ว

ในระหว่างดำเนินชีวิตใหม่ อิทธิพลของกฎแห่งธรรมชาติ (ธรรมนิยามที่มีมานานแล้ว) ก็ส่งผลผ่านห่วงโช่ปฏิจจสมุปบาท (ที่พระพุทธเจ้าค้นพบกฎนี้ แล้วสั่งสอนสรรพสัตว์) กล่าวคือ:

จิตไม่ได้เกิดขึ้นมาเปล่าๆ จะประกอบด้วยเจตสิกที่แบ่งเป็นกุศลเจตสิก อกุศลเจตสิก และอัพยากตเจตสิกประกอบอยู่เสมอ ทำให้จิตที่อุบัติขึ้นเป็น กุศลจิต (ดี) อกุศลจิต (ชั่ว) และอุเบกขาจิต (กลางๆ)

เนื่องเพราะคนเกิดจากแรงกรรม จึงมีอวิชชาครอบงำจิตอยู่ อวิชชาที่แสดงออกคือตัณหา ที่ form ตัวเป็นพลังหนึ่งที่มีกำลังแรงมากเรียกว่า อุปาทาน ตัวนี้ครอบงำจิตให้เกิดความหลงผิด ยึดติด เกิดตัวตนขึ้นมา

เหตุฉะนี้เมื่อเกิดมามีกายรูป จึงมีอวัยวะรับผัสสะทั้งหก ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เมื่ออายตนะภายนอก (รูป) กระทบอายตนะภายใน (รูป) ก็เกิดกระบวนการเปลี่ยนผ่าน จากเวทนา (รู้ผัสสะ นาม) -> สัญญา (จำแนกตามที่เคยจำได้ นาม) -> สังขาร (ปรุงแต่ง ตีความ นาม) -> วิญญาณ (รับรู้แล้วเกิดชอบ ชังขึ้น นาม) นี่คือกระบวนการเกิดและทำงานของรูป นาม ขันธ์ห้า

จะชอบหรือชังมีอิทธิพลของอุปาทานที่ยึดมั่นในตัวตนมาเป็นตัวตัดสิน เมื่อตัดสินแล้วก็เกิดการกระทำเพื่อดึงเข้าหรือผลักออกสิ่งนั้น เกิดเป็นการกระทำ (กรรม) เพื่อความอยู่รอด สร้างตัวสร้างตน สร้างครอบครัว สร้างธุรกิจการค้า สร้างชุมชน สร้างโลกทั้งใบขึ้น

ดึงเข้าผลักออก ไม่ได้ดั่งใจก็เป็นทุกข์ ได้ดั่งใจก็เป็น โลกียสุขชั่งคราว ครั้นหายไปก็ทุกข์อีก จึงเห็นได้ว่า อวิชชาทำให้เกิดรู้ผิด เห็นผิดคือเหตุแห่งทุกข์ (สมุหทัย)

กรรมใหม่ที่สร้างไปในระหว่างการดำรงชีวิต ก็เกิดวิบาก (ผลแห่งกรรม) ใหม่เรื่อยๆไป ทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่ ก่อเป็นชะตาชีวิตของคนๆนั้น ให้ยาก ดี มี จน แข็งแรง หรือป่วยไข้

เหตุฉะนี้ถ้าคนเราป่วย แท้ที่จริงก็คือผลแห่งกรรมของคนๆนั้น

ถ้าเช่นนั้นถ้าป่วย ยังไงๆก็ต้องชดใช้กรรมอยู่แล้ว จะไปดิ้นรนทำไม

ถ้าคิดแค่นี้คนก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะเดรัจฉานก็เกิดมาใช้กรรมเหมือนกัน แต่คนมีสิ่งที่เหนือกว่าเดรัจฉาน เพราะเกิดมาพร้อมกับจิตที่พิเศษกว่าสัตว์เหล่านั้น คือเป็นจิตที่ฝึกได้ (พระพุทธเจ้าเป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย)

ฝึกอะไร สอนอะไร?
ก็คือให้ฝึกจิตและสอนจิต ฝึกจิตคือไม่ปล่อยให้จิตตกไปสู่โลกที่ชั่ว จิตชั่วคือจิตที่ถูกเจตสิกฝ่ายอกุศลเข้าครอบงำ คือโลภะ โทสะ โมหะ แม้แต่เมื่อเวลาเจ็บป่วยแล้วมัวแต่คิดว่า "แย่แล้ว ฉันป่วย...แย่แล้ว วันนี้มีไข้...ฉันจะหายหรือจะตาย..." ความวิตกกังวลเช่นนี้ก็คือ โมหะที่เข้าครอบงำ จิตก็ตกไปสู่โลกที่ชั่ว เป็นอกุศลจิต เป็นจิตบาป

โอ้โฮ...เป็นผู้ป่วยกักตัวรักษาอยู่บ้านหรือรพ. ไม่ได้ไปทำร้ายใคร ด่าใคร อาฆาตใคร แค่คิดวิตกกังวลเรื่องป่วย ก็กำลังทำบาป คือสร้างจิตที่เป็นอกุศลขึ้นเรื่อยๆ แล้วโรคจะดีได้อย่างไร

พระพุทธเจ้าสอนให้ฝึกจิต เริ่มจากมีสติ รู้อยู่กับปัจจุบัน เป็นโควิดก็รู้ว่าเป็น เจ็บคอก็รู้ว่าเจ็บคอ ให้มีสติรู้อยู่เฉพาะหน้า และดูแลตัวเองให้ดีที่สุด จิตขณะนั้นจะเป็นกลางๆ

ไม่ต้องคิดล่วงหน้าว่า คืนนี้จะมีไข้มั้ย มะรืนนี้จะหายใจไม่ออกหรือเปล่า คิดอย่างนั้นเป็นโมหะจิต หรือถ้ากลัวก็เป็นโทสะจิต เป็นอกุศลจิต จิตบาป

มีสติก็ดีแล้ว ทำอย่างไรให้ดำรงสติได้ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน เรื่องนี้ขึ้นกับกรรมเดิมเป็นทุนรอน เช่นถ้าคนเคยทำบุญ ฟังเทศน์ฟังธรรม ก็มีพฤติจิตที่โน้มไปในทางกุศล ยิ่งถ้าคนเคยฝึกปฏิบัติภาวนา พอได้รับการเตือนให้มีสติ ก็จะรู้ตัวทันที และปรับได้

คนไม่เคยใฝ่ใจด้านนี้เลย ก็ลำบากหน่อย มักตื่นเต้น สติแตก จิตแบบนี้แหละเป็นอาหารอันโอชะของโควิด ที่มันจะกัดกินพลังชีวิตไปได้อย่างสบาย

สำหรับคนไม่เคยใฝ่ธรรมเลย ตอนนี้ก็ชักจะรู้ตัว ผมมักจะแนะนำให้แค่กำหนด นโม ไว้ในใจเรื่อยๆ ถ้าท่องอิติปิโสฯได้ ก็ท่องไว้ในใจ

อีกบทหนึ่งที่มีความขลังที่พระอาจารย์อารยวังโสสอนไว้ก็คือ "...อรหัง พุทโธ อิติปิโส ภควา นะ เมตตา จิตตัง.." คือการอัญเชิญพระเมตตาคุณของพระพุทธเจ้ามาคุ้มครองจิตของตน

เพียงแค่นี้คุณก็ยกจิตจากภาวะจิตบาป เป็นจิตบุญ ทำบุญสร้างกุศลอยู่บนเตียงได้เลย สำคัญคือดำรงสภาวะจิตนั้นให้ยาวนานที่สุดที่เป็นไปได้ หลุดไปก็ดึงกลับมาที่บทสวดมนต์อีก

ถ้าทำได้อย่างนี้ ก็เหมือนคุณป้อนยาที่ขื่อว่า ธรรมโอสถ ใส่ต้วเองไปเรื่อยๆ

แล้วคุณวิเศษก็จะแสดงตัวออกมาเอง

โฮมีโอพาธีย์วิถีชาวบ้าน (6)

ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแบบองค์รวม โดยเฉพาะการใช้โฮมีโอพาธีย์ได้ทันท่วงที ถ้าผ่าน 3 วันแรกแล้วอาการมักดีขึ้น หรือบางคนก็ไม่มีอาการเหลือเลย

นั่นแปลว่าเราสกัดเชื้อให้อยู่แต่ส่วนบนไม่ทันลงปอด แม้บางคนที่ลงปอดแล้ว มีเหนื่อยแน่นอก โฮมีโอพาธีย์ที่แก้ได้ทันก็ ทำให้หมดอาการใยวันรุ่งขึ้นได้

-ผู้ป่วยที่แน่นหน้าอก เริ่มเหนื่อยแปลว่าเริ่มมีอาการลงปอดแล้ว แต่ ox sat ยังไม่ทันตก ให้เลือกใช้:
Bry 200c -> Ars 200c... หมุนเวียนกัน 4-5 รอบ ทุก 1 ชม.

จะพบว่าอาการหายดีในวันรุ่งขึ้น

-ผู้ป่วยแม้ใน 2-3 วันแรก แต่มีปัจจัยเสี่ยงสูง เช่น อ้วน โรตเรื้อรังอื่นๆ หรือติดต่อเราช้า มักจะเชื้อลงปอดเร็ว

ผู้ป่วยจะมีอาการแน่นอก เหนื่อย แม้แต่พูดก็อาจจะเหนื่อย ox sat ตก ให้เปลี่ยน Ars 200c เป็น Ars 30c ซึ่งจะออกฤทธิ์กับอาการเฉียบพลันได้ดีกว่า

คู่ยาจึงเป็น:
Bry 200c -> Ars 30c -> ... 4 รอบ (หรือมากกว่า) ห่างกันทุก 1 ชม. วันรุ่งขึ้นมักจะดีขึ้น

-ผู้ป่วยที่เชื้อลงปอด บางทีจะมีเสมหะเหนียวข้น ขากไม่ออก ทางเดินหายใจแห้ง นอกจากกินน้ำให้มากแล้ว ให้เพิ่ม Ant tart 30c โดยกินแก้อาการเฉพาะหน้า ทุก 15 นาที ×4 ครั้ง

จากนั้นมักจะดีขึ้น ก็ให้กินแทรกในวงจร:
Bry 200c-> Ars 30c -> Ant tart 30c -> ... หมุนเวียนไป 4 รอบ (หรือมากกว่า)

ลุกขึ้นสู้ (4)โฮมีโอพาธีย์เป็นการแพทย์พลังงานรูปแบบหนึ่ง พลังงานมีหลายระดับ พลังงานในรูปแบบที่สัมผัสได้ก็มี อย่างเช่นไออ...
08/08/2021

ลุกขึ้นสู้ (4)

โฮมีโอพาธีย์เป็นการแพทย์พลังงานรูปแบบหนึ่ง พลังงานมีหลายระดับ พลังงานในรูปแบบที่สัมผัสได้ก็มี อย่างเช่นไออุ่นของคนเราที่คุณรู้สึกได้ เมื่อเอามือไปอังที่เหนือผิวหนังของคนอีดคนหนึ่ง ไออุ่นนี้คนจีนเรียกว่า ชี่ คนอินเดียเรียกว่า ปราณ มีศาสตร์ที่ช่วยเพิ่มพลังงานเหล่านี้ตกทอดมาหลายพันปี เช่นการฝึกชี่กง การฝึกปราณ

พลังงานที่ละเอียดลงไปจนถึงที่สุดก็คือ จิต จิตของคนเรานี่เองมีพลังมากมายมหาศาล จะสร้างสิ่งที่ดีๆก็ได้ สร้างสิ่งร้ายก็มากมาย

เมื่อเจ็บป่วย ถ้ารู้จักใช้จิต ก็สามารถเกิดพลังจิตตานุภาพ เกิด ธรรมโอสถ ที่ส่งผลรักษาโรคได้

อยากถามผู้อ่านว่า
"โลกทั้งใบสร้างขึ้นด้วยจิต" คุณเชื่อหรือไม่?

หลายคนไม่เชื่อ จะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าไม่มีปั้นจั่น เสาเข็ม อิฐ หิน ปูน ทราย เหล็ก ไม่มีวิศวกรผู้ออกแบบ ไม่มีเงินทุนที่จะท่มเทลงไป และไม่มีคนงานที่ทำงานแลกเงิน ก็ไม่มีเมือง ไม่มีถนน ไม่มีตึกราม ศูนย์การค้า

แล้วจิตที่ไหนจะมาเสกสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้

แต่ลองคิดซะใหม่ สิ่งที่ยกขึ้นมาทั้งหมดข้างต้น ชี้ขาดที่ "คน" ใช่ไหม

คนคืออะไร? คนคือสัตวะ หรืออีกนัยหนึ่งก้อนธาตุที่มีชีวะเข้าไปอาศัยอยู่ ในคนมีสองส่วนคือ กายกับจิต หรือรูปและนาม และจิตคือผู้บงการให้กายดำเนินไปบนเส้นทางชีวิต จนเมื่อสิ้นสุดชีวิตแล้ว ผลของวิบากกรรมโดยรวมก็ส่งผลให้เกิดจิตใหม่ในชีวิตใหม่ตามกฎกติกาที่ครองจักรวาลนี้ ไม่มีผู้ใดจะละเมิดได้ คือกฎแห่งกรรม

แท้จริงแล้วโลกนี้เป็นมายา คนก็เป็นมายา ชีวิตก็เป็นมายา มันเกิดมีขึ้นด้วยเหตุปัจจัยที่สัมพันธ์เกาะเกี่ยวกัน เรียกว่า อิทัปปัจยตา เกิดการรวมตัวเป็นชีวิตที่ดำรงตนอยู่ชั่วขณะ จนหมดอายุขัยหรือปัจจัยที่อำนวยก็หมดชีวิตไป (อนิจจัง = ไม่เที่ยง อนัตตา = ยึดถือไม่ได้ เอาแน่เอานอนไม่ได้) และมี เกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่เป็นธรรมดา (ทุกข์) เขาเป็นของเขาอย่างนั้นมานานแล้ว พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ คือจับกฎเกณฑ์ข้อนี้ได้ แล้วประกาศแก่ชาวโลก ซึ่งเราก็เห็นๆอยู่เวลาที่มองชีวิตคนอื่น

แต่เรื่องมันยุ่งก็ตรงที่ว่า การแก่ การเจ็บ การตายเกิดขึ้นกับตัวเราเอง (ซึ่งมีอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่เห็น ต่อเมื่อมีเหตุการณ์ใหญ่เช่น ตรวจพบว่าป่วยเป็นโรคร้ายแรง, สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก, สูญเสียเงินทอง, เกียรติยศ) ตอนนั้นแหละที่จะทนไม่ได้เกิดความทุกข์ใจ ทุกข์กาย อึดอัดคับข้องใจ เรียกว่า เกิด "ทุกข์" ขึ้น ถึงตอนนั้นจิตก็จะแสดงบทยึดมั่นถือมั่น ว่านี่เป็นเรา เป็นชีวิตของเรา เป็นตัวตนของเรา จะแก่ จะป่วย จะตายไม่ได้ เงินทอง เกียรติยศชื่อเสียงจะพลัดพรากไปไม่ได้ ฯลฯ

ตรงนี้แหละเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงชี้ว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ ความจริงโดยตัวของมันเองนั้น ไม่มีอะไรเลย คือเป็นปกติธรรมดา เป็นธรรมนิยาม (กฎธรรมชาติ) ที่มีมานานแล้ว แต่การที่จิตทุกข์ ก็เพราะจิตเพี้ยน จิตเห็นผิดมานานแล้ว คือเห็นว่าชีวิตเที่ยง ไม่ควรจะแก่ ไม่ควรจะเจ็บ ไม่ควรจะตาย ก็เลยเป็นทุกข์

ทำไมจิตเพี้ยน? เพราะจิตถูกเกาะเกี่ยวด้วยอวิชชา มีตัณหา ตัณหาสร้างอุปาทาน ซึ่งมีอำนาจมาก ทำให้จิตเกิดเข้าใจผิด เกิดตัวฉัน ของฉัน แล้วก็ยึดเหนี่ยวไว้ (เห็นว่านิจจัง เห็นว่าเป็นอัตตา เห็นว่าเป็นสุข) แต่มันขัดกับหลักธรรมชาติ ที่ว่า สรรพสิ่งเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (อนิจจัง) ยึดถือไม่ได้ (อนัตตา) และก็เลยล้วนเป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงชี้ว่านี่คือสมุหทัย

เมื่อยึดมั่นผิดๆ พอเผชิญความจริง ก็เลยเกิดทุกข์เข้าเล่นงาน

ทีนี้ด้วยอวิชชา ตัณหา อุปาทาน เกิดเป็นตัวตนขึ้น (เกิดรูปนาม) ก็เลยเป็นที่มาของชีวิต (ชาติภพ)

พอมีชีวิต ที่บงการด้วยจิต แต่เป็นจิตเพี้ยน ก็ดำเนินทุกอย่างในชีวิตด้วย กิเลส สร้างกรรม แล้วเกิดวิบาก หมุนเวียนไป
กิเลส

กรรม วิบาก

ด้วยอิทธิฤทธิ์ของจิตเพี้ยน จึงบงการให้รูปกายดำเนินชีวิต สร้างบ้านสร้างเมือง ประกอบอาชีพ ทำธุกิจการค้า สร้างสังคม บ้านเมือง ประเทศชาติ สร้างโลกขึ้นมา

ก็คิดดูซิว่า จิตเพี้ยนที่บงการสร้างโลกด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน แล้วโลกที่สร้างจะเป็นอย่างไร

เราก็ได้โลกสีฟ้าที่นับวันเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลไหม้ เพราะการเบียดเบียนธรรมชาติ เกิดทุพภิกภัย เกิดสงคราม เราได้บ้านเมืองที่แก่งแย่ง ชิงดี ด่าทอ ฉ้อโกง ปล้นชิง ปล้นบ้านปล้นเมือง เราได้สังคมที่มีคนแต่หัวใจอมุษย์ ดำรงตนอยู่กับอบายมุข พูดจาผรุสวาทหยาบคายลามก ตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่ตั้งแต่คนสามัญถึงนักการเมือง แม้ในสถาบันการศึกษา คิดเห็นแต่พวกพ้อง พูดจาเฉไฉ ไร้เหตุผล บ่อนเซาะสังคมและประเทศชาติ แถมชาติใหญ่ก็รังแกชาติน้อยทั้งบนดินและใต้ดิน ทั้งเปิดเผยและซ่อนเร้น

แล้วโลกก็หันกลับมาสั่งสอนมนุษย์ เหมือนเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่นครเวสาลีในสมัยพุทธกาล คือ ทุพภิกภัย โรคันตภัย และอมุษยภัย

ทางออกของโลกจึงต้องแก้โลกทั้งใบ และหันมาแก้ภายในที่จิตตน แต่ทีนี้จะทำยังไงดี พระพุทธเจ้าไม่ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่แล้ว

โปรดติดตามต่อไป

โฮมีโอพาธีย์วิถีชาวบ้าน (4)

การใช้ในภาคปฏิบัติ
โดยปกติผู้ผลิตโฮมีโอพาธีย์เมื่อเจือน้ำสารละลายได้ระดับ C ที่ต้องการแล้ว เขาจะนำสารละลายนั้นไปสเปรย์บนเม็ดน้ำตาลแล้วตากให้แห้ง เม็ดน้ำตาลแต่ละเม็ดก็จะมีพลังงานของสมุนไพรนั้นในระดับ C ตามต้นแบบ

เมื่อมาถึงผู้ใช้ ก็จะนำเม็ดน้ำตาล 1 เม็ดละลายลงในน้ำปริมาณตามที่ต้องการ (ปกติประมาณ 500 cc. ถ้าน้ำ 1,500 cc. ก็ควรละลายเม็ดน้ำตาลลงไป 3 เม็ด) จากนั้นเขย่าขวดในแนวตั้ง 100 ที น้ำทุกหยดในขวดก็มีพลังตามต้องการ

สารละลายนี้จะมีอายุการใช้งานได้ 7 วัน แต่ถ้าต้องการให้อยู่นานก็ใช้ ethyl alcohol (หรือเหล้าขาว หรือวิสกี้เท่าที่หาได้) หยดลงไป 10 หยด/ขวด (ขวดเล็กใหญ่ไม่เกี่ยง) ก็จะมีอายุใช้งานได้ 30 วัน

การติดฉลาก
ให้ถือเป็นกฎว่า โฮมีโอพาธีย์จะอยู่เฉยๆในซองหรือขวดโดยไม่มีการติดฉลาก ไม่ได้ เพราะเป็นสารไม่มีสี กลิ่น รส จึงต้องติดฉลากทุกครั้ง

เขียนลงไปว่า:
ชื่อสาร...
ศักยภาพ.... (..c)
วันผสมยา.... (ถ้าผสมเป็นน้ำ)

แต่ถ้ายังเป็นเม็ดอยู่ ไม่ต้องเขียนวันหมดอายุ เพราะถ้าไม่ชื้นเสีย อยู่ได้เกิน 200 ปี

วิธีกินยา
-เขย่าขวด 10 ที (เพื่อปลุกพลังงาน) กิน 1 ฝา
เนื่องจากยานี้ออกฤทธิ์ในเยื่อปาก ปากจึงต้องว่างก่อนและหลังกิน 15 นาที (ไม่เกี่ยวกับว่าต้องกินก่อนหรือหลังอาหารแต่อย่างใด) เพื่อมิให้มีพลังงานจากอาหารหรือยาอื่นมาปนเปื้อนในปาก

ถ้ายาขวดนั้นต้องใช้กับหลายคนในบ้านเดียวกัน ให้เทยาแยกใส่ช้อนหรือถ้วยพลาสติก แยกสำหรับแต่ละคน

ไม่ให้ใช้ช้อนหรือถ้วยโลหะ พลังงานจากสารจะถูกปนเปื้อนกับโลหะนั้น

ใช้เชิงป้องกันโควิด-19
-Bryonia 200c 1 ครั้ง สลับ Gelsemium 200c 1 ครั้ง ทุก 3 วัน เช่น Bry วันจันทร์ Gel วันพฤหัสฯ เช่นนี้ไปเรื่อยๆ

ถ้าเป็นเขตระบาดหนัก อาจสลับทุก 2 วัน เช่น
วันที่ 1 Bry
วันที่ 2 เว้น
วันที่ 3 Gel
วันที่ 4 เว้น

ลุกขึ้นสู้ (5)วันนี้จะเผยสูตรโฮมีโอพาธีย์รักษาโควิดทุก stage แต่จะบอกว่า ทาน ศีล ภาวนา คือธรรมโอสถต้านโควิดที่ขาดไม่ได้เ...
07/08/2021

ลุกขึ้นสู้ (5)

วันนี้จะเผยสูตรโฮมีโอพาธีย์รักษาโควิดทุก stage แต่จะบอกว่า ทาน ศีล ภาวนา คือธรรมโอสถต้านโควิดที่ขาดไม่ได้

เราทราบกันว่าในสมัยพุทธกาลเมื่อเมืองเวสาลีเกิดภัยพิบัติสาม คือทุพภิกภัย โรคันตภัย และอมนุษย์ภัย พระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปดับภัยนั้น และเป็นที่มาของบทสวดรัตนะสุตตัง แต่เรื่องราวไม่ใช่ง่ายๆ ใช่เพียงว่าสวดมนต์ ประพรมน้ำมนต์แล้วโรคระบาดจะหาย เรื่องจริงคือพระพุทธเจ้าเสด็จไปนำกษัตริย์ลิจฉวีทั้ง 7,100 องค์ รวมทั้งข้าราชบริพาร พ่อค้าวาณิช ชาวเมืองนับแสนคน (เวสาลีเป็นเมืองใหญ่แต่พุทธกาล) ให้ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม พร้อมๆกันเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน จนกระทั่งเสียงบรรลือ "พุทธัง สรณัง คัจฉามิ..ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ..สังฆัง สรณัง คัจฉามิ.." แซ่ซ้องสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งแผ่นดิน แผ่นฟ้า และผืนน้ำ ทั่วทั้งแว่นแคว้นของเวสาลี

ผลแห่งกุศลธรรมที่คนทำพร้อมๆกันเป็นแสนๆคน และด้วยการนำพาของพระพุทธเจ้าด้วย สามพิบัติภัยจึงอันตรธานสิ้น

ที่เล่ามานี้จะชี้ให้เห็นถึงพลังจิตตานุภาพ ซึ่งเป็นพลังบวก เมื่อทำพร้อมๆกันจะเกิดการสั่นพ้อง (resonance) เกิดการกึกก้องกำจาย ไปสยบพลังลบได้อย่างสิ้นเชิง

ดังที่บอกแล้วว่า โควิดคือผลพวงของโมหะจิต ที่สั่งสมกันจนระเบิดออกมาเป็นโรคระบาด ตัวมันมีแสงน้อยนิด แต่เมื่อเข้าคน มันจะดูดพลังชีวิตของเราไปเพิ่มพลังของมัน เราจึงต้องข่มมันด้วยพลังบวก คือพลังแห่งธรรม

แต่ในเงื่อนไขอย่างประเทศไทยขณะนี้ แม้จะเป็นเมืองพุทธ แต่การจะหันมาใช้จุดแข็งของเมืองพุทธอย่างเรา ยังไม่มีวี่แววเลย

นี่เป็นการอธิบายเชิงสามัญธรรม

แต่ในเชิงปรมัตถธรรม โควิดก็คือความ "ปกติ" ที่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ที่มีกฎเกณฑ์แน่นอนของเขา (ธรรมนิยาม) สรรพสิ่งเกิดขึ้นด้วยอาศัยปัจจัยพึ่งพาเกาะเกี่ยวกัน สิ่งนี้มีอยู่เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้ก็ไม่มี สิ่งนี้ดับสิ่งนี้จึงดับ ก็เมื่อความเป็นไปของโลกดำเนินมาด้วยกิเลสเพราะจิตเพี้ยนที่สะสมกันมาอย่างที่เราเห็นๆ ย่อมเกิดโรคระบาดใหญ่มาทวงคืนความสมดุลที่เสียไป จะเกิดการกวาดล้างครั้งใหญ่เพื่อสร้างสมดุลใหม่ ถ้าเรารู้และยอมรับความ "ปกติ" นี้ เราก็จะอยู่กับเขาได้ ในสมดุลที่ปรับไป

ในเมื่อบ้านเมืองเรายังไม่ใช้พลังแห่งธรรมขนาดใหญ่มาช่วยในเรื่องนี้ ก็เห็นจะต้องใช้ ความเข้าใจใน "ปกติ" ของธรรมะ ที่เราแต่ละคนจะต้องเข้าใจ

ทีนี้มาอธิบายทางวิทยาศาสตร์

ว่าด้วยระบบร่างกายจิตใจกับภูมิต้านทาน

ภูมิต้านทานเป็นกลุ่มเซลล์เม็ดเลือดขาวที่สร้างจากไขกระดูก สร้างออกมาแล้วยังไม่เก่ง เปรียบเหมือนทหารเกณฑ์ ต้องไปฝึกก่อน ที่ต่อมไทมัสกับต่อมน้ำเหลือง

ทีนี้ร่างกายมีระบบควบคุมให้ผลิตเม็ดเลือดขาวมากหรือน้อย ด้วยปัจจัยภายนอกและภายใน กระตุ้นและยับยั้ง

ปัจจัยภายนอกคือ พอมีเชื้อโรคเข้าร่างกายๆก็ผลิตเพิ่ม ปัจจัยที่สองคือ ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตที่ควบคุมโดยต่อมใต้สมองที่จิตใจเราคุมอีกทอดหนึ่ง (HPA axis)

ที่ต่อมหมวกไต มีฮอร์โมนสองชนิดที่ตอบสนองกับความเครียด

สารอะดรีมาลินจะหลั่งเมื่อเราเครียด ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันขึ้นสูง กล้ามเนื้อเกร็งเพื่อเตรียมการต่อสู้ สังเกตได้เวลาเราตื่นเต้น

ขณะเดียวกันจะมีฮอร์โมนคอร์ติโซล จากต่อมหมวกไต ทำหน้าที่กดการทำงานของภูมิต้านทาน

ดังจะเห็นได้ว่า เวลาเด็กใกล้สอบจะป่วยง่าย เพราะภูมิฯตก

ตรงนี้เองที่ต้องทำความเข้าใจ เมื่อป่วยด้วยโควิด คือ
-อย่าตื่นเต้น ตกใจ หวั่นกลัว วิตกกังวล เพราะทันทีนั้นคอร์ติโซลจะออกมายับยั้งการทำงานงานของภูมิฯทันที ผมจึงเตือนผู้ป่วยตั้งแต่วันแรก
-หยุดหาความเครียดใส่ตัว การนอนดึกนั่นเรื่องหนึ่ง การเล่น social media มีงานวิจัยเลยว่าเพิ่มความเครียดให้คนเล่น โดยเฉพาะเวลานี้ เปิดเข้าไปจะเจอแต่ข่าวไม่ดี การแพร่กระจายของเชื้อ การป่วยการตาย อีกพวกเป็น fake news ซึ่งมีกลุ่มคนจงใจปลุกปั่นให้สะเทือนขวัญ หรือไม่ร่วมมือกับทางการ ซึ่งบ้านเมืองยิ่งปั่นป่วน ขวัญผู้คนก็ยิ่งตก ภูมิฯรวมหมู่ก็ยิ่งตก

ยิ่งถ้าเราเข้า social แล้วไปแชร์เรื่องด้านลบ ไปบ่น หรือก่นด่า จิตใจเราตอนที่ทำก็ไม่ดีแล้ว สังคมก็ยิ่งมีคลื่นที่ไม่ดีเพิ่มเข้าไป ย้อนกลับที่ตัวเราเองด้วย

แต่ทั้งนี้ เราอาจเข้าเพื่อรู้ข่าวสารก็พอแล้ว

-ทำจิตให้สงบ จิตสงบมีผลมากมาย เพราะความเครียดลดลง การกดภูมิฯก็น้อยลง เราก็สู้โรคได้ดีขึ้นและมีสิทธิ์ชนะ จิตที่ดีสารเอนดอร์ฟิน สารออกซิโตซินจะหลั่ง ยิ่งส่งเสริมภูมิต้านทาน

สถานการณ์ขณะนี้เราจะเห็นข้อดีว่า มีคนจำนวนมากช่วยกันแจกข้าวของ อาหาร สิ่งจำเป็น แก่กันและกันมากมาย นั่นคือ ทาน บาทก้าวแรกของการเป็นคนดี

จากทานแล้ว เราควรมีศีล มีความสังวรณ์ในศีลห้า เป็นบาทก้าวที่สอง

บาทก้าวที่สามคือภาวนา ซึ่งหมายถึงการเจริญสติ ทำสมาธิภาวนา ก็จะมีผลเป็นประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน

ตัวเราเองเกิดภูมิต้านทาน สังคมได้รับพลังบวกเข้าไปเสริมเติม ขจัดความมืดบอดทั้งปวง

พอดีมีข้อมูลการวิจัยเล็กๆชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจขอนำมาเผยแพร่ส่งท้าย

แต่จะบอกว่า คนที่ไม่เคยปฏิบัติสมาธิภาวนามาก่อน เมื่อมาป่วยจะมาหัดทำก็ยาก (แม้ว่าใน 14 วันนั้น วันที่วิกฤตมีอยู่ 7-8 วันแรก ถ้าผ่านก็สบายแล้ว การจะใช้เวลานั้นฝึกปฏิบัติย่อมเป็นไปได้)

แต่เอาเป็นว่าใช้การสวดมนต์ไปก่อนในตอนที่ป่วย มีอาการต่างๆ จงคุมสติไว้แล้วสวดมนต์ บทสวดที่จะแนะนำในที่นี้คือบทสวดแผ่เมตตาหลวง โดยพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ครับ

https://th.m.wikisource.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87_%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99_%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B9%82%E0%B8%95
××××××××××××××

รู้ไหมว่าระหว่างสวดมนต์กับนั่งสมาธิ ได้ผลดีต่างกันอย่างไร

*ผลการวิจัยออกมาแล้วโดย K. Kijsarun Chanpo

ได้ทำการทดลองกับนิสิตจุฬา ฯ จำนวน 60 คนโดยให้สวดมนต์ 30 คน และทำสมาธิ 30 คน ชาย-หญิงอย่างละ 15 คน และทำการวัดคลื่นสมองทีละคนในขณะสวดมนต์ 30 นาที และผู้ทำสมาธิ 30 นาที

บันทึกการทำงานของสมองตลอดระยะเวลา 30 นาที ผลปรากฎ ว่าทั้ง 30 คนในการสวดมนต์ทีละคน ได้ผลเหมือนกัน คือนาทีที่ 0-5 นาทีแรกจิตยังซัดส่าย พอนาทีที่ 5-10,10-15,15-20,20-25,25-30 คลื่นสมองจะบอกถึงการดิ่งของจิตที่สงบจนจบต่อเนื่องถึงหลังการทดลองอีกระยะหนึ่ง. สุดยอดไหม

ส่วนการทำสมาธิจะได้ผลดีที่สุดอยู่ที่ นาทีที่ 0-5 พอเข้านาทีที่ 5-10,10-15,15-20... จบจนการทดลองจิตจะซัดส่าย คลื่นสมองจะไม่นิ่ง อันเนื่องจากมีนิวรณ์ 5 เข้ามาเป็นเครื่องกั้นการทำงานของจิตต่อการทำสมาธิ ดังนั้นจิตที่ยังมีนิวรณ์ 5 อยู่เช่นนี้ย่อมจะไม่สามารถเป็นสมาธิได้ ต้องฝึกเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอจะสามารถกำจัดนิวรณ์ได้.

ซึ่งการทดลองนี้สอดคล้องกับมาตรฐานสัญญาณคลื่นสมองอัลฟ่าผ่อนคลายเมื่อหลับตาลงซึ่ง เป็นช่วงที่ดีที่สุดในระยะแรก

ฉะนั้นทำให้เรารู้ว่าการสวดมนต์ก่อนทำสมาธิจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจิตเราจะจดจ่อกับ บทสวดมนต์อยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงของคลื่นสมองอัลฟ่าเกิดขึ้นและคงอยู่ได้อย่างต่อเนื่องจนหลังการ ทดลองอีก 5 นาที. ซึ่งจะเป็นช่วงที่เข้าสู่ การทำสมาธิ ได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อฝึกบ่อย ๆ นิวรณ์5 ก็จะหมดไป*

ร่วมกันอนุโมทนาบุญกับผลงานวิจัยครั้งนี้ ซึ่งสามารถแนะนำคนที่ยังไม่เคยทำ ได้ทดลองปฏิบัติดู ขออนุโมทนา ครับ

ส่งต่อ 5 คน ท่าน ได้บุญต่อชีวิต ครับ
××××××××××××

โฮมีโอพาธีย์วิถีชาวบ้าน (5)

แนวปฏิบัติเมื่อพบผป. 1 คนติดเชื้อ
1.แยกผู้เกี่ยวข้องเป็นระดับ
-tier 1 ผู้สัมผัสใกล้ชิดผป. เช่นคนในครอบครัว คนในททง.ห้องเดียวกัน คนเคยกินอาหารวงเดียวกัน
-tier 2 คนสัมผัสใกล้ชิดคน tier 1

ยา Ho สำหรับคน tier 1
-Bry 200c ทุก 2 ชม. x 4 ครั้ง
-ครบ 7 วัน ลดเป็นวันละ 1 ครี้ง
-จากนั้นกินเชิงป้องกัน

ยา Ho สำหรับคน tier 2
-Bry 200c วันละ 1 ครั้ง × 7 วัน
-จากนั้นกินเชิงป้องกัน

ใครมีอาการเปลี่ยนแปลงและตรวจ ATK +ve ก็คัดเป็นผู้ติดเชื้อ

ผู้ติดเชื้อ มีอาการแต่ยังไม่เด่นไปที่ยาตัวใดตัวหนึ่ง ให้เริ่มยาด้วย:
-Bry 200c ทุก 1 ชม.ไปเรื่อยๆ × 8 ครั้ง หรือจนเข้านอน ระหว่างนั้นสังเกตอาการต่างๆเพื่อเลือกคู่ยาตามอาการที่แสดงออก

การพิจารณาอาการว่าไปทางไหน เพื่อเลือกคู่ยา วันแรก 1-2 วันมักมีอาการ:
-ไข้ แสบคอ ท้องเสีย และอาการอื่นทางกระเพาะลำไส้ Bry 200c สลับ Ars 200c
-ไข้ แสบคอ ปวดเมื่อยตัว อ่อนเพลีย อยากนอน Bry 200c สลับ Gels 200c
-ไข้ คัดจมูก น้ำมูกไหล Bry 200c สลับ Ars 200c
หมายเหตุ อาการไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส ใช้จำแนกได้ยาก

การให้คู่ยา ให้สลับกันทุก 1 ชม.จำนวน 4 รอบ

ถ้าได้ยาตรง มักจะทุเลาในวันรุ่งขึ้น ก็ให้คู่ยานั้นต่อไปจนถึงวันที่ 5 ของการป่วย พอวันที่ 6 ต้องเปลี่ยนคู่ยา เพื่อต้านพายุซัยโตไคน์ (ซึ่งจะกล่าวต่อไป)

-ใน 1-2 วันแรกถ้ามีไข้สูง ปวดหัว อาจถึงอาเจียน ให้แทรกด้วย Belladonna 30c แก้อาการเหล่านี้ได้ดี พร้อมกับแช่เท้าด้วยมะนาว ฯลฯ
Bell 30c ให้ 1 ครั้งทุก 15 นาที × 4 ครั้ง มักได้ผลดี หลังจากนั้นอาจยังมีไข้กรุ่นๆ ก็อาจแทรก Bell 30c เข้าไปในคู่ยาหลักที่เลือก เช่น
Bry 200c -> Ars 200c ->
Bell 30c -> Bry 200c -> Ars 200c -> Bell 30c... ทุก 1 ชม. รวม 4 รอบ

วันรุ่งขึ้นถ้าไข้ไม่มาก ไม่ปวดหัวมาก ก็หยุด Bell 30c จากวงรอบของการกินคู่ยาหมุนเวียน

ลุกขึ้นสู้ (3)คุณรู้มั้ยว่า "คนบ้านั้นไม่ติดโควิด"  ไม่ใช่พูดเล่น  ผมเจอมาคนหนึ่ง เป็นสมาชิกในบ้านของครอบครัวที่ติดโควิด...
05/08/2021

ลุกขึ้นสู้ (3)

คุณรู้มั้ยว่า "คนบ้านั้นไม่ติดโควิด" ไม่ใช่พูดเล่น ผมเจอมาคนหนึ่ง เป็นสมาชิกในบ้านของครอบครัวที่ติดโควิดทั้งบ้าน ตัวเธอเป็นโรคซึมเศร้าประเภทว่าต้องคุมด้วยยาตลอด ถ้าขาดยาก็จะบ้าอาละวาด จนหลานชายในบ้านมีหน้าที่ต้องวางยาเธอ ด้วยการแอบหยอดยาลงในกระติกของเธอ

พอคนในบ้านบอกว่า "เราติดโควิดกันแล้วนะ"
เธอตอบว่า "ใครติดก็ไปตายซะ"

เมื่อสมาชิกทุกคนถูกรับเข้ารพ.และ hospitel แล้ว เธอเหลืออยู่ในบ้านคนเดียว ทุกคนง่วนอยู่กับการถูกรักษา มานึกได้อีกทีเมื่อหายแล้ว กำลังจะกลับบ้าน

นึกขึ้นได้ก็สยอง ใช่ไม่ใช่ว่า เปิดประตูเข้าบ้าน อาจพบเธอนอนตายมาหลายวันหรือเปล่า

แต่ตรงกันข้าม เธอยังคงเดินไปเดินมาในบ้านหน้าตาเฉย ต้องนับว่า "เธอมาสายแข็ง แม้โควิดยังเรียกเพ่" (เธอไม่ได้สนใจเรื่องฉีดวัคซีนเลยนะ)

เคสน่าสนใจยังมีอีกว่า ภรรยาของพนักงานส่งเอกสารบริษัทหนึ่ง สามีพาโควิดมาให้ เธอเป็นคนซื่อ เป็นแม่บ้านที่ดี ไม่มีไลน์ ไม่เล่นเนต ใช้เป็นแต่โทรศัพท์ เธอเรียกตัวเองว่า หนูนา แสดงความพาซื่อของเธอ ปรากฏว่า ตอบสนองต่อการรักษาด้วโฮมีโอพาธีย์และยาไทยได้ไวมาก

อีกคู่หนึ่งคืออากงอายุ 90 ปี และอาเจ็กอายุ 40 ปี ติดโควิดมาพร้อมกัน ใครๆก็ห่วงอากงมาก แต่อากงกลับรู้สึกเฉยๆ เพราะอากงเคยป่วยด้วยโรคร้ายแรงมาแล้วแต่ก็รอดมาได้ อากงจึงหันหาธรรมะ ปฏิบัติกัมมัฏฐานมิได้ขาด ส่วนอาเจ็กก็ได้วัตรปฏิบัติที่ดีจากอากงไป คือปฏิบัติกัมมัฏฐานเช่นกัน แต่เขาอ้วน นน.ตัวถึง 100 กว่ากก.

ทั้งสองคนมาเริ่มใช้การแพทย์องค์รวมเมื่อมีอาการทางปอดแล้ว จนต้องย้ายจาก hospitel เข้ารพ.

ในวันแรกที่รพ.อากงยังคงวางเฉย แต่อาเจ็กหงุดหงิดมาก ปรากฏว่าอาการของอาเจ็กทำท่าแย่ลงอย่างรวดเร็ว

"เราเป็นนักปฏิบัติอย่าลืมคำว่า สติ สติ และสติ" ผมส่งข้อความไป
"ร่างกายคือรูปธาตุที่เพียงแปรเปลี่ยนตามเหตุปัจจัย เหตุปัจจัยที่มีผลต่อรูป คือ จิต อุตุ อาหาร และ กรรม เมื่อไหร่ที่จิตตกอกตกใจ กลัว วิตกกังวล จิตนั้นก็เป็นอกุศล ยิ่งทำให้รูปธาตุเปลี่ยนแปรไปในทางร้าย เพราะฉะนั้นขอให้ครองสติ สวดมนต์ สมาธิภาวนา สร้างกุศลจิต และเอกัคคตาจิตขึ้นมา...ยิ่งไม่ต้องกลัวหอบเหนื่อย เพราะเมื่อจิตสงบจะหายใจช้าลง ร่างกายก็ต้องการออกซิเจนน้อยลงด้วย จิตสงบจะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานนะ อย่าลืม"

อาเจ็กตั้งสติได้แล้วก็เริ่มการภาวนา ผลก็คืออาการของเขาดีขึ้นเป็นลำดับ และวันนี้เอง ข่าวดีคือทั้งอากง อาเจ็กได้ออกจากรพ.แล้ว

ผมเล่าเรื่องนี้เพียงแต่กำลังจะบอกว่า "จิตคือนายของจักรวาล ในระดับโลกจิตคือเหตุปัจจัยสำคัญที่ก่อการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมและพันธุกรรมทั้งสัตว์และพืช (อุตุนิยามและพีชนิยาม ในพุทธศาสนา) จิตที่โลภ โกรธ หลง ทำให้รุกรานสิ่งแวดล้อม เข่นฆ่า ทำสงคราม ทำลายความสงบของบ้านเมือง บั่นทอนศีลธรรมจรรยาบรรณของชาติ สุดท้ายก็เกิดทุพภิกภัย โรคันตรภัย อมนุษย์ภัย โควิดจึงเป็นพลังงานด้านลบ ตัวมันเองมีแสงนิดเดียว แต่เมื่อเข้าไปในคน นอกจากแบ่งตัวทางกายภาพแล้ว ยังดูดกลืนพลังชีวิตในตัวคน ไปขยายพลังลบของมันอีก

แต่พลังบวกเป็นอะไรที่โควิดมันกลัว พลังด้านบวก เราต้องสร้างพลังด้านบวกขึ้นมาในจิตใจคน ตั้งแต่ในผู้ป่วย ในชุมชน ในสังคม และทั้งประเทศ

พลังบวกคือความเมตตา เอื้อเฟื้อต่อกัน ช่วยเหลือกันในชุมชน เลิกก่นว่าด่าทอ เลิกสร้างความวุ่นวายในสังคม เลิกสร้าง fake news เลิกแชร์พร่ำเพรื่อ พลังบวกคือเสียงระฆัง เสียงสวดมนต์ การมีศีล ให้ทาน ฟังธรรม มีสติ สมาธิ และสร้างปัญญา

เมื่อมีพลังบวกมากๆ วิทยาศาสตร์ทางจิตแสดงภาพสั่นพ้องของพลังงานรอบบริเวณที่พระอาจารย์อารยวังโสไปในที่ต่างๆเป็นตัวอย่าง (ภาพ 5)

สำหรับใครที่ติดโควิด ประโยคเดียวที่เตือนตอนนี้ "หยุดกลัว สร้างสติ และลุกขึ้นสู้"

โฮมีโอพาธีย์วิถีชาวบ้าน (3)
การใช้ในโรคโควิด-19
-Bryonia ตรงกับโควิดที่แพร่ในประเทศไทยขณะนี้มากที่สุด ครอบคลุมอาการแสบคอ คอแห้ง กระหายน้ำ ไอแห้ง เสียงแหบ (เป็นกลุ่มอาการทางเดินหายใจส่วนบน) หายใจไม่สุด แน่นอก หอบเหนื่อย (กลุ่มอาการทางเดินหายใจตอนล่าง)
-Arsenicum ครอบคลุมอาการน้ำมูกไหล แสบจมูก แสบคอ คัดจมูก กระวนกระวาย หงุดหงิด หายใจลำบาก หอบเหนื่อย หายใจแน่นอก มีอาการขึ้นมากลางดึก ต้องนั่งจึงจะหายใจดีขึ้น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ถ่ายเป็นน้ำ จนแสบก้น
-Gelsemium ครอบคลุมอาการปวดเมื่อยตัว ปวดเมื่อยหลัง แขนขาไม่ค่อยมีแรง อยากแต่จะนอน ไม่อยากลืมตา

Bryonia เป็นเถาไม้เลื้อยป่าที่มีพิษ (ภาพ 1, 2)
Arsenicum คือสารหนู (ภาพ 3)
Gelsemuim เป็นเถาไม้เลื้อยดอกสีเหลืองสวย มีพิษเช่นกัน บางทีเรียก เพชรฆาตสีทอง (ภาพ 4)

ที่อยู่

วิทยาลัยการแพทย์บูรณาการ ม. ธุรกิจบัณฑิตย์ 110/1-4 ถ. ประชาชื่น เขตหลักสี่ กทม. 10210
กทม

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ หมอบรรจบ (แพทย์ทางเลือก)ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง หมอบรรจบ (แพทย์ทางเลือก):

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ประเภท

ภาระหน้าที่ของแพทย์ Wellness

Wellness กลายเป็นวิถีสุขภาพที่ก้าวหน้าที่สุด พัฒนามาจากธรรมชาติบำบัด โฮมีโอพาธีย์ การบริหารกายและจิต เป็นการบริการสุขภาพแบบบูรณาการ:

ในระดับบุคคลคือการให้คำแนะนเพื่อช่วยให้แต่ละบุคคลสามารถปรับชีวิต เปลี่ยนอาหารได้อย่างมีประสิทธิผล แทนการใช้ยาอย่างไม่มีวันจบสิ้น

ในระดับหน่วยงานแพทย์ Wellness คือที่ปรึกษาเพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจ Spa พัฒนาสู่ Wellness center

แพทย์ธรรมชาติบำบัดจึงต้องพร้อมให้บริการรายบุคคล และรับเชิญเป็นวิทยากรให้คำบรรยายแก่หน่วยงาน รวมถึงการจัดบริการสุขภาพแนว Wellness แก่คณะบุคคลและหน่วยงาน