06/09/2025
ยาพาราเด็กไม่เหมือนกัน
✨ “พาราเซตามอล” ยาสามัญประจำบ้านที่ทุกคนคุ้นหู
แต่รู้หรือเปล่าว่า…ยังมีหลายเรื่องที่คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับยาตัวนี้ 🤔
บางคนอาจเคยได้ยินชื่ออื่น เช่น
👉 ไทลีนอล (Tylenol)
👉 ซารา (Sara)
👉 บากาม่อล (Bakamol)
👉 พานาดอล (Panadol)
👉 คาลโพล (Calpol)
📍 ทั้งหมดนี้ จริงๆ แล้วก็คือ “พาราเซตามอล” เหมือนกัน ต่างกันแค่ยี่ห้อเท่านั้นเองครับ
ที่อเมริกาจะเรียกว่า อะเซตามิโนเฟ่น (Acetaminophen) แทนพาราเซตามอล
แต่จริงๆแล้วก็คือยาพาราเซตามอลตัวเดียวกันนี่แหละครับ แค่เรียกคนละชื่อเท่านั้น
หลายคนคิดว่า รู้จักพาราเซตามอลดีอยู่แล้ว
แต่เชื่อไหมครับว่ายังมีหลายประเด็นที่คนส่วนใหญ่เข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่ไม่น้อย…
👉 โพสต์นี้เลยอยากชวนมาลองทำความรู้จัก “พาราเซตามอล”
แบบลึกกว่าที่เคย ทั้งหมด 9 ข้อครับ
=========================
1. พาราเซตามอล ไม่ได้เอาไว้ลดไข้เพียงอย่างเดียว
หลายคนคิดว่า พาราเซตามอล = ยาลดไข้เท่านั้น
แต่จริงๆ แล้วมันยังเป็น"ยาแก้ปวด"ได้ด้วยครับ
👉 ไม่ว่าจะปวดหัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดฟัน ปวดท้องประจำเดือน
ยาตัวนี้ก็ช่วยบรรเทาได้เช่นกัน
ดังนั้น…แม้จะไม่มีไข้ แต่ถ้ามีอาการปวด
ก็ยังสามารถใช้ “พาราเซตามอล” ได้เหมือนกัน ✅
💡 พูดง่ายๆ คือ พาราเซตามอล = ยาลดไข้ + ยาแก้ปวด
เป็นยา 2 in 1 ที่มักถูกเข้าใจผิดว่าใช้ได้เฉพาะตอนเป็นไข้เท่านั้นครับ
=========================
2. พาราเซตามอลทำไมถึงช่วยลดไข้และลดปวดได้?
📍 หลักๆ คือ มันออกฤทธิ์ที่ “สมอง” เท่านั้น ไม่ได้ไปออกฤทธิ์กับอวัยวะอื่นในร่างกาย
• ไปยับยั้งสารที่ชื่อว่า พรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin)
ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เรา “มีไข้” และ “รู้สึกเจ็บปวด”
พอโดนยับยั้ง → ไข้ก็ลดลง → ความเจ็บก็เบาลง
• อีกทางนึงคือ มีผลต่อเส้นทางประสาทที่เกี่ยวกับความเจ็บปวด (เช่นเส้นทางเซโรโทนินที่ลงสู่ไขสันหลัง) ทำให้ความรู้สึกเจ็บปวดน้อยลงอีกขั้น
💡 สรุปง่ายๆ
• พาราเซตามอลเหมือนไปกดปุ่มปรับ “ศูนย์ควบคุมอุณหภูมิในสมอง” → ทำให้ไข้ลดลง
• และยัง “กดสัญญาณความเจ็บปวด” → ปวดก็น้อยลง
⸻
✨ จุดที่อยากเน้นย้ำ คือ
1. พาราเซตามอลลดไข้ได้ทั้งไข้สูงและไข้ต่ำ
ไม่ใช่ “ยาลดไข้ต่ำ” อย่างที่คนเรียกกันติดปาก
2. เพราะออกฤทธิ์เฉพาะในสมองเท่านั้น ไม่ได้ยุ่งกับอวัยวะอื่นในร่างกาย
ไม่ได้ไปรบกวนกระเพาะอาหาร → จึงไม่กัดกระเพาะ
ไม่ได้ไปรบกวนการทำงานของเกล็ดเลือด → จึงไม่ทำให้เลือดออกง่าย
👉 นี่แหละครับคือเหตุผลที่พาราเซตามอลถือว่าปลอดภัย
และผลข้างเคียงน้อยกว่ายากลุ่มอื่น
=========================
3. แล้ว “ไอบูโพรเฟ่น” ต่างจากพาราเซตามอลยังไง?
💊 ไอบูโพรเฟ่น (Ibuprofen) เป็น ยาแก้อักเสบ (NSAIDs)
มันออกฤทธิ์โดยการยับยั้งเอนไซม์ที่ชื่อ COX
ซึ่งปกติเอนไซม์ COX เนี่ย จะช่วยสร้างสารที่ชื่อว่า พรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin)
📍 จุดสำคัญคือ…พรอสตาแกลนดินมันมีอยู่ทั้งในสมองและอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย
และมันมีทั้ง “ตัวดี” และ “ตัวร้าย”
• ตัวร้าย → ทำให้มีไข้ และรู้สึกเจ็บปวด
• ตัวดี → มีหน้าที่ช่วยร่างกาย เช่น เคลือบกระเพาะอาหาร, ช่วยเกล็ดเลือดหยุดเลือด, และช่วยไตควบคุมสมดุลน้ำและเกลือแร่
❌ แต่ไอบูโพรเฟ่นไม่ได้เลือกยับยั้งเฉพาะตัวร้ายและไม่ได้เลือกออกฤทธิ์เฉพาะตรงสมองเท่านั้น
แต่มันยับยั้งหมดทั้งตัวดีและตัวร้าย → แถมยับยั้ง “ทั่วร่างกาย” อีกด้วย → จึงเกิดผลข้างเคียงที่มากกว่า
🔹 ผลข้างเคียงที่อาจเจอ
• กระเพาะถูกทำร้าย → เพราะพรอสตาแกลนดินตัวดีที่เคลือบกระเพาะลดลง → ทำให้ปวดท้อง ระคายกระเพาะ หรือเป็นแผลได้
• ไตทำงานหนักขึ้น → เพราะพรอสตาแกลนดินที่ช่วยให้ไตทำงานปกติลดลง → เสี่ยงต่อการทำให้ไตทำงานแย่ลง โดยเฉพาะในเด็กที่ขาดน้ำ เช่น ท้องเสียหรือดื่มน้ำน้อย
• เกล็ดเลือดทำงานแย่ลง → เพราะพรอสตาแกลนดินที่ช่วยเกล็ดเลือดทำงานลดลง → เลือดหยุดยาก เลือดออกง่าย
(ถ้าเด็กเป็นไข้เลือดออกอยู่แล้ว เกล็ดเลือดต่ำอยู่แล้ว → ยิ่งอันตรายกว่าเดิม เหมือนเราล้มแล้วมีคนมาเหยียบซ้ำๆๆ)
⸻
✨ จุดแข็งของไอบูโพรเฟ่น
เพราะมันยับยั้งได้ทั้งในสมองและอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย → เลยลดการอักเสบได้ดีมาก
ทำให้บางครั้ง ลดปวดหรือลดไข้ได้แรงกว่าพาราเซตามอล
👉 แต่ข้อเสียก็คือ ผลข้างเคียงก็มากกว่า
นี่คือเหตุผลที่เวลาเด็กมีไข้ทั่วไป จึงแนะนำให้ใช้พาราเซตามอลเป็นอันดับแรก
ส่วนไอบูโพรเฟ่น เก็บไว้ใช้เฉพาะบางกรณีที่เหมาะสม และควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์ครับ
=========================
4. ทำไมพาราเซตามอลถึงถูกเรียกว่า “ยาลดไข้ต่ำ”?
เวลาหมอเขียนฉลากยาลดไข้ให้เด็ก มักจะกำหนดอุณหภูมิไว้ต่างกันครับ 👇
• พาราเซตามอล → หมอส่วนใหญ่จะเขียนว่า ให้กินถ้าไข้เกิน 37.8°C
• ไอบูโพรเฟ่น → จะเขียนว่า ให้กินถ้าไข้เกิน 38.5°C (บางคนอาจจะกำหนดไว้ที่ 39 เลย)
พอเห็นตัวเลขแบบนี้ คนทั่วไปเลยเข้าใจว่า…
👉 พาราเซตามอล = สำหรับไข้ต่ำ
👉 ไอบูโพรเฟ่น = สำหรับไข้สูง
📍 แต่เหตุผลจริงๆ ไม่ใช่อย่างนั้นเลยครับ! จริงๆมันเป็นเพราะ
• หมออยากให้เริ่มใช้พาราเซตามอลก่อนเสมอ เพราะปลอดภัยกว่า และผลข้างเคียงน้อยกว่า
• ส่วนไอบูโพรเฟ่น มันมีผลข้างเคียงมากกว่า ก็เลยตั้งเกณฑ์ใช้ยาที่อุณหภูมิสูงกว่าเพื่อ “กันไม่ให้ใช้พร่ำเพรื่อ”
✅ สรุปง่ายๆ
ไม่ว่าจะไข้ 37.8°C, 38.5°C หรือ 40°C สิ่งแรกที่ควรเริ่มใช้คือ พาราเซตามอล ครับ
ถ้าเวลาผ่านไป 1-2 ชั่วโมง แล้วยังดูไม่สุขสบายตัว ดูทรมาน และยังมีไข้สูงอยู่ ก็ค่อยให้ทานไอบูโพรเฟนครับ
=========================
5. พาราเซตามอลในเด็ก มีกี่แบบ ใช้ต่างกันยังไง?
พาราเซตามอลสำหรับเด็กมีหลายรูปแบบ
แต่ละแบบก็เหมาะกับสถานการณ์ต่างกัน 👇
💧 ยาน้ำ (ใช้บ่อยที่สุด)
• เหมาะกับเด็กเล็กที่ยังกลืนยาเม็ดไม่ได้
• ปริมาณยาจะสั่งเป็น มิลลิลิตร (ml) หรือ ซีซี (CC)
• พ่อแม่ควรใช้ ไซริงค์ในการตวงยา ตามขีดบอกปริมาณ
• ❌ ไม่ควรวัดปริมาณเป็นช้อนชาหรือช้อนโต๊ะ → เพราะปริมาณที่ได้อาจไม่แม่นยำ
💊 ยาเม็ด
• ใช้ได้ในเด็กที่โตพอจะกลืนได้แล้ว
• ส่วนมากเริ่มใช้หลังอายุประมาณ 6–7 ขวบ หรือถ้าน้ำหนักเกิน 25 กก.
• ข้อดีคือพกง่าย กินสะดวก
🍑 ยาเหน็บก้น
• ใช้เฉพาะในเด็กที่ กินยาไม่ได้ เช่น
• เด็กที่อาเจียนตลอด กินอะไรเข้าไปก็อาเจียนออก
• เด็กที่ไม่ยอมกินยาจริงๆ พ่อแม่ให้กี่ครั้งก็บ้วนออก
• เด็กที่กำลังชัก → ห้ามเอาอะไรเข้าปาก เพราะเสี่ยงสำลัก
• การดูดซึมของยาเหน็บ ไม่แน่นอนเท่ายากิน และออกฤทธิ์ช้ากว่า จึงไม่ใช่ตัวเลือกแรก
💉 ยาฉีดเข้าหลอดเลือด
• ใช้เฉพาะในโรงพยาบาล กับคนไข้บางรายเท่านั้น
✅ สรุป
• เด็กเล็ก → ใช้ยาน้ำ
• เด็กโต (เริ่มกลืนเม็ดได้) → ใช้ยาเม็ด
• กินไม่ได้ / อาเจียน / ชัก → ใช้ยาเหน็บก้น
=========================
6. กินพาราเซตามอลแล้ว ออกฤทธิ์เมื่อไหร่?
เวลาที่พาราเซตามอลจะเริ่มทำงาน ขึ้นอยู่กับรูปแบบยาที่ใช้ 👇
💧 ยาน้ำ / ยาเม็ด (กิน)
• เริ่มออกฤทธิ์ (onset): ประมาณ 30 นาที
• ออกฤทธิ์สูงสุด (peak): ช่วง 30 นาที – 2 ชั่วโมง
🍑 ยาเหน็บก้น
• เริ่มออกฤทธิ์ (onset): ประมาณ 60 นาที
• ออกฤทธิ์สูงสุด (peak): ช่วง 2 – 3 ชั่วโมง
📍 เพราะฉะนั้น…
หลังจากให้ยาไปแล้ว อาจจะต้องรอซักพักกว่าไข้จะเริ่มลง
ไม่ใช่ให้ไปแล้ว 15 นาทีไข้ไม่ลด แล้วรีบคิดว่ายาไม่ได้ผลนะครับ
👉 โดยเฉพาะถ้าใช้ ยาเหน็บก้น ยิ่งต้องรอนานกว่ายากินอีก
แล้วสมมติว่ารอไป 1-2 ชั่วโมงแล้ว ไข้ก็ไม่ลดจริงๆ จะทำยังไงดี
คำถามคือ ไข้ไม่ลง แล้วเด็กดูสุขสบายขึ้นไหม ถ้าเด็กดูสบายดี ก็ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม
แต่ถ้าเด็กยังดูไม่สุขสบาย ก็สามารถให้ยาไอบูโฟรเฟนได้
(เฉพาะกรณีที่มั่นใจว่าไม่ใช่ไข้เลือดออก และต้องให้กินตอนท้องไม่ว่างด้วย)
=========================
7. ยาน้ำพาราเซตามอล มีหลาย “ความเข้มข้น”
ก่อนอื่นต้องเข้าใจศัพท์พื้นฐานนิดนึงครับ 👇
• mg = มิลลิกรัม → ปริมาณตัวยา
• ml = มิลลิลิตร (ซีซี) → ปริมาณของเหลวที่ยาละลายอยู่ในนั้น
📍 “ความเข้มข้น” ของยาน้ำ = มียาอยู่กี่มิลลิกรัมในของเหลวกี่มิลลิลิตร
⸻
💡 ตัวอย่างการอ่านฉลากยา
• ถ้าเขียนว่า Paracetamol 120mg/5ml →
หมายความว่า ถ้าป้อนยาลูกไป 5 มิลลิลิตร ลูกจะได้รับยา 120 มิลลิกรัม
• ถ้าเขียนว่า Paracetamol 60mg/0.6ml →
หมายความว่า ถ้าป้อนยาลูกไป 0.6 มิลลิลิตร ลูกจะได้รับยา 60 มิลลิกรัม
⸻
🧴 ความเข้มข้นที่มีขายในไทย มีหลากหลายมากๆ เช่น
• 60mg/0.6ml
• 80mg/0.8ml
• 100mg/1ml
• 120mg/5ml
• 160mg/5ml
• 250mg/5ml
⸻
📍 แล้วหมอคิดขนาดยาอย่างไร?
การสั่งยาพาราเซตามอลในเด็ก จะคิดจากน้ำหนักตัวเด็ก
• 10–15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม
👉 เช่น เด็กหนัก 10 กิโลกรัม → ต้องได้ยา 100–150 mg
⸻
🔹 ตัวอย่างการสั่งยา
ถ้าเด็กหนัก 10 กก. ต้องการยา 100 mg
• ถ้าใช้ยาความเข้มข้น 100mg/1ml → ป้อน 1 ml (ได้ยา 100 mg)
• ถ้าใช้ยาความเข้มข้น 250mg/5ml → ป้อน 2 ml (ได้ยา 100 mg เช่นกัน)
✅ จะเห็นว่า…
ถ้าเราต้องการป้อนยาลดไข้ให้เด็กที่หนัก 10 กิโลกรัม
ถึงแม้เด็กต้องการตัวยาจริงๆ 100 มิลลิกรัมเท่ากัน
แต่ถ้าเราใช้ยาที่ ความเข้มข้นต่างกัน → ปริมาณยาที่ต้องป้อนก็จะไม่เท่ากันนะ 👇
• ถ้าใช้ 100mg/1ml → ป้อน 1 ml
• ถ้าใช้ 250mg/5ml → ป้อน 2 ml
“ก่อนป้อนทุกครั้งมองดูตัวเลขความเข้มข้นบนฉลากเสมอ”
💡 ตรงนี้เองที่สำคัญมาก เพราะ
• ถ้าให้น้อยเกินไป → ไข้ไม่ลด เพราะยาน้อยเกิน
• ถ้าให้มากเกินไป → อาจเป็นพิษต่อตับ อันตรายได้
=========================
8. กินพาราเซตามอลผิดขนาด อันตรายกว่าที่คิด!
📍 สิ่งที่เกิดขึ้นถ้ากินเกินขนาด
• ยาพาราเซตามอลถูกกำจัดที่ตับ และขับออกทางปัสสาวะ
• ถ้ากินเยอะเกินไป → ตับต้องทำงานหนักมาก
• พอตับขับยาไม่ทัน → ตับอักเสบ → ตับวายตามมา
⚠️ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ทฤษฎีนะครับ
ในประเทศไทยเอง มีเด็กที่กินพาราเซตามอลเกินขนาดจนตับวายอยู่เรื่อยๆ
• บางคนโชคร้าย → เสียชีวิต
• บางคนอาจโชคดีได้ผ่าตัดเปลี่ยนตับ
แต่การมีชีวิตอยู่กับตับที่ปลูกถ่ายมาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
✅ สรุป
พาราเซตามอล ปลอดภัยถ้าใช้ถูกขนาด → แต่กลายเป็นยาพิษทันทีถ้าใช้เกิน
=========================
9. สิ่งที่ไม่ควรทำ (แต่เจอบ่อยมาก)
❌ ให้พาราเซตามอล “ดักไข้” ทุก 4 ชั่วโมง
• หลายบ้านกลัวลูกไข้ขึ้น เลยรีบให้ยาดักไว้ตลอด
• วิธีนี้ทำให้ลูกได้รับยาเกินความจำเป็น
• 📍 ที่ถูกต้องคือ → ให้ยาตอนที่ลูกมีไข้ร่วมกับไม่สบายตัว เท่านั้น เช่น ปวดหัว ปวดตัว กินไม่ได้ นอนไม่หลับ
เพราะ “ไข้” เป็นเพียงสัญญาณว่าร่างกายกำลังสู้โรค ไม่จำเป็นต้องกดตัวเลขให้เป็นปกติทุกชั่วโมง
⸻
❌ เรียกพาราเซตามอลว่ายาลดไข้ต่ำ ยากระจอก
• ความจริงแล้ว พาราเซตามอลคือยาลดไข้และแก้ปวดที่ดีมาก และปลอดภัยถ้าใช้ถูกขนาด
• 💡 ทุกครั้งที่เราเลือกให้ยากับลูก คำถามที่ควรถามตัวเองคือ → “ยานี้ให้แล้วได้ประโยชน์มากกว่าโทษหรือเปล่า?”
⸻
❌ จำปริมาณยาแบบ “ml” แล้วใช้ซ้ำ โดยไม่ดูความเข้มข้น
• เช่น ครั้งก่อนหมอสั่งลูกกิน 5 ml → พอซื้อยามาเองก็ให้ 5 ml เท่าเดิม
• แต่จริงๆ ความเข้มข้นของยาน้ำอาจต่างกัน (เช่น 120mg/5ml vs 250mg/5ml)
• ผลคือ → ลูกอาจได้ ยาน้อยเกินไป → ไม่ได้ผล หรือ ได้มากเกินไป → เสี่ยงตับอักเสบ ตับวาย
⸻
✅ สรุป Check list 5 ข้อ
• ให้พาราเซตามอลเมื่อจำเป็น = ให้เมื่อลูกมีไข้ ร่วมกับ ไม่สุขสบายตัว
• ขนาดพาราเซตามอล 10–15 mg/กก./ครั้ง ทุก 4–6 ชม.
• ยาน้ำต้องดู "ความเข้มข้น" ก่อนป้อนเสมอ
• ดูผลของยาแบบกิน 1 ชั่วโมง, ยาแบบเหน็บก้น 2 ชั่วโมง
• พาราเซตามอลไม่ใช่ยากระจอก แต่เป็นยาที่ดีและปลอดภัย ถ้าใช้ถูกวิธี