20/07/2025
สปสช.แจงสุ่มตรวจเวชระเบียนเพื่อความเป็นธรรม ยันงบผู้ป่วยใน “ไม่ได้ลด” ขณะที่ ชมรม รพศ./รพท. ชี้กลายเป็นการตัดงบแฝง หวั่นกระทบหนัก
• สปสช. ยืนยันงบประมาณสำหรับบริการผู้ป่วยในยังคงเท่าเดิม ไม่มีการลดลงตามที่มีข้อกังวลจากบางฝ่าย ชี้การสุ่มตรวจสอบเวชระเบียนผู้ป่วยใน เป็นไปตามมาตรฐานการควบคุมคุณภาพการเบิกจ่าย เพื่อให้หน่วยบริการได้รับงบตามผลงานที่แท้จริง
• ด้านกลุ่มโรงพยาบาลรัฐออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย ชี้ว่าการนำผลสุ่ม 3% ไปขยายผลทั้งระบบ อาจกระทบงบประมาณที่ควรได้รับจริงกว่า 4,000 ล้านบาท
◤ สปสช.แจง ตรวจเวชระเบียนเพื่อเพิ่มความโปร่งใส ไม่ใช่ตัดงบ
ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. ในฐานะโฆษก เปิดเผยว่า การสุ่มตรวจสอบเวชระเบียนเป็นแนวปฏิบัติตามมติบอร์ด สปสช. เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและความเป็นธรรมในการจ่ายค่าบริการผู้ป่วยใน โดยตรวจสอบเวชระเบียนจำนวน 3% จากทั้งหมด ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ผ่านการคำนวณตามหลักสถิติ (confidence interval 95%) ร่วมกับคำแนะนำจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ
จากการตรวจสอบ พบว่ามีทั้งกรณีที่บันทึกเวชระเบียน “น้อยกว่าการให้บริการจริง” ซึ่ง สปสช.จะปรับ “เพิ่ม” ผลงาน และกรณีที่ “มากเกินจริง” ซึ่งจะถูก “ปรับลด” เพื่อสะท้อนผลงานที่แท้จริง โดยยืนยันว่า เงินยังอยู่ในกองทุนผู้ป่วยใน ไม่ได้ถูกส่งคืนมายัง สปสช. แต่อย่างใด
“หากปลายปีงบประมาณมีเงินคงเหลือ ก็จะโอนคืนให้โรงพยาบาลทั้งหมด หากไม่พอ สปสช.จะใช้งานข้อมูลจริงที่ผ่านการตรวจสอบขอรับงบเพิ่มเติมจากรัฐบาล” ทพ.อรรถพรกล่าว พร้อมระบุว่าแนวทางนี้เป็นมาตรฐานวิชาชีพที่ประเทศต่างๆ ใช้เพื่อป้องกันการเบิกเกินจริง และคุ้มครองโรงพยาบาลที่อาจบันทึกข้อมูลไม่ครบแต่ทำบริการจริง
◤ โรงพยาบาลรัฐโต้กลายเป็นการตัดงบแฝง – ห่วงบริการประชาชนสะดุด
นพ.อนุกูล ไทยถานันดร์ อดีตประธานชมรมโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป แสดงความกังวลว่า แนวทางของ สปสช.ในการนำผลตรวจเวชระเบียนเพียง 3% ไปคูณขยายเป็นผลการตรวจทั้งหมด อาจกลายเป็นการ “ลดงบแฝง” ที่ส่งผลกระทบต่อการบริการผู้ป่วยอย่างมีนัยสำคัญ
เขาระบุว่า หาก สปสช.เดินหน้าแนวทางนี้ต่อ อาจทำให้โรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศสูญเสียงบประมาณรวมกว่า 4,000 ล้านบาท และในบางกรณี อาจส่งผลให้โรงพยาบาลที่ทำการรักษาจริงแต่มีข้อผิดพลาดด้านเอกสารไม่ได้รับค่ารักษาเลย
“ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยที่รักษาหาย แต่เอกสารสรุปการนอนโรงพยาบาลหายไป 1 หน้า กลายเป็นว่า สปสช.ไม่จ่ายค่ารักษาทั้งหมด หรือบางกรณีแพทย์ผ่าตัดจริง แต่เอกสารบันทึกไม่ตรงแบบฟอร์ม สปสช.ก็ปฏิเสธการจ่าย เช่น จากที่ควรได้ 18,696 บาท กลับได้แค่ 5,700 บาท ทั้งที่ต้นทุนจริงเกือบ 30,000 บาท แบบนี้ถือว่ายุติธรรมกับโรงพยาบาลหรือไม่” นพ.อนุกูลตั้งคำถาม
◤ ต้นทุนจริงสูงกว่าอัตราจ่าย ระบบปลายปิดซ้ำเติม รพ.รัฐ
ข้อมูลจากการวิจัยของนักวิชาการในสังกัดสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ระบุว่า ต้นทุนการรักษาผู้ป่วยในในโรงพยาบาลรัฐเฉลี่ยอยู่ที่ 13,240 บาทต่อหน่วย แต่ สปสช.จ่ายเพียง 8,350 บาท หรือราว 60% ของต้นทุน ทำให้โรงพยาบาลต้องรับภาระต้นทุนส่วนต่าง
นอกจากนี้ นพ.อนุกูลยังวิจารณ์ว่า สปสช.ประเมินจำนวนผู้ป่วยในต่ำกว่าความเป็นจริง ส่งผลให้งบไม่เพียงพอดูแลผู้ป่วยตลอดทั้งปี จึงเลือกใช้นโยบาย “ปลายปิด” ไม่ให้ขอเพิ่มงบอัตโนมัติ แม้มีผู้รับบริการเกินเป้า โดยสปสช.เสนอแนวทางปรับลดอัตราจ่ายผู้ป่วยในจาก 8,350 เหลือ 7,000 บาทต่อหน่วย เพื่อให้งบประมาณเพียงพอ (ข้อมูจาก เก็บตกจากวชิรวิทย์)
สปสช.แจงสุ่มตรวจเวชระเบียนเพื่อความเป็นธรรม ยันงบผู้ป่วยใน “ไม่ได้ลด” ขณะที่ ชมรม รพศ./รพท. ชี้กลายเป็นการตัดงบแฝง หวั่นกระทบหนัก
• สปสช. ยืนยันงบประมาณสำหรับบริการผู้ป่วยในยังคงเท่าเดิม ไม่มีการลดลงตามที่มีข้อกังวลจากบางฝ่าย ชี้การสุ่มตรวจสอบเวชระเบียนผู้ป่วยใน เป็นไปตามมาตรฐานการควบคุมคุณภาพการเบิกจ่าย เพื่อให้หน่วยบริการได้รับงบตามผลงานที่แท้จริง
• ด้านกลุ่มโรงพยาบาลรัฐออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย ชี้ว่าการนำผลสุ่ม 3% ไปขยายผลทั้งระบบ อาจกระทบงบประมาณที่ควรได้รับจริงกว่า 4,000 ล้านบาท
◤ สปสช.แจง ตรวจเวชระเบียนเพื่อเพิ่มความโปร่งใส ไม่ใช่ตัดงบ
ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. ในฐานะโฆษก เปิดเผยว่า การสุ่มตรวจสอบเวชระเบียนเป็นแนวปฏิบัติตามมติบอร์ด สปสช. เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและความเป็นธรรมในการจ่ายค่าบริการผู้ป่วยใน โดยตรวจสอบเวชระเบียนจำนวน 3% จากทั้งหมด ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ผ่านการคำนวณตามหลักสถิติ (confidence interval 95%) ร่วมกับคำแนะนำจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ
จากการตรวจสอบ พบว่ามีทั้งกรณีที่บันทึกเวชระเบียน “น้อยกว่าการให้บริการจริง” ซึ่ง สปสช.จะปรับ “เพิ่ม” ผลงาน และกรณีที่ “มากเกินจริง” ซึ่งจะถูก “ปรับลด” เพื่อสะท้อนผลงานที่แท้จริง โดยยืนยันว่า เงินยังอยู่ในกองทุนผู้ป่วยใน ไม่ได้ถูกส่งคืนมายัง สปสช. แต่อย่างใด
“หากปลายปีงบประมาณมีเงินคงเหลือ ก็จะโอนคืนให้โรงพยาบาลทั้งหมด หากไม่พอ สปสช.จะใช้งานข้อมูลจริงที่ผ่านการตรวจสอบขอรับงบเพิ่มเติมจากรัฐบาล” ทพ.อรรถพรกล่าว พร้อมระบุว่าแนวทางนี้เป็นมาตรฐานวิชาชีพที่ประเทศต่างๆ ใช้เพื่อป้องกันการเบิกเกินจริง และคุ้มครองโรงพยาบาลที่อาจบันทึกข้อมูลไม่ครบแต่ทำบริการจริง
◤ โรงพยาบาลรัฐโต้กลายเป็นการตัดงบแฝง – ห่วงบริการประชาชนสะดุด
นพ.อนุกูล ไทยถานันดร์ อดีตประธานชมรมโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป แสดงความกังวลว่า แนวทางของ สปสช.ในการนำผลตรวจเวชระเบียนเพียง 3% ไปคูณขยายเป็นผลการตรวจทั้งหมด อาจกลายเป็นการ “ลดงบแฝง” ที่ส่งผลกระทบต่อการบริการผู้ป่วยอย่างมีนัยสำคัญ
เขาระบุว่า หาก สปสช.เดินหน้าแนวทางนี้ต่อ อาจทำให้โรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศสูญเสียงบประมาณรวมกว่า 4,000 ล้านบาท และในบางกรณี อาจส่งผลให้โรงพยาบาลที่ทำการรักษาจริงแต่มีข้อผิดพลาดด้านเอกสารไม่ได้รับค่ารักษาเลย
“ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยที่รักษาหาย แต่เอกสารสรุปการนอนโรงพยาบาลหายไป 1 หน้า กลายเป็นว่า สปสช.ไม่จ่ายค่ารักษาทั้งหมด หรือบางกรณีแพทย์ผ่าตัดจริง แต่เอกสารบันทึกไม่ตรงแบบฟอร์ม สปสช.ก็ปฏิเสธการจ่าย เช่น จากที่ควรได้ 18,696 บาท กลับได้แค่ 5,700 บาท ทั้งที่ต้นทุนจริงเกือบ 30,000 บาท แบบนี้ถือว่ายุติธรรมกับโรงพยาบาลหรือไม่” นพ.อนุกูลตั้งคำถาม
◤ ต้นทุนจริงสูงกว่าอัตราจ่าย ระบบปลายปิดซ้ำเติม รพ.รัฐ
ข้อมูลจากการวิจัยของนักวิชาการในสังกัดสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ระบุว่า ต้นทุนการรักษาผู้ป่วยในในโรงพยาบาลรัฐเฉลี่ยอยู่ที่ 13,240 บาทต่อหน่วย แต่ สปสช.จ่ายเพียง 8,350 บาท หรือราว 60% ของต้นทุน ทำให้โรงพยาบาลต้องรับภาระต้นทุนส่วนต่าง
นอกจากนี้ นพ.อนุกูลยังวิจารณ์ว่า สปสช.ประเมินจำนวนผู้ป่วยในต่ำกว่าความเป็นจริง ส่งผลให้งบไม่เพียงพอดูแลผู้ป่วยตลอดทั้งปี จึงเลือกใช้นโยบาย “ปลายปิด” ไม่ให้ขอเพิ่มงบอัตโนมัติ แม้มีผู้รับบริการเกินเป้า โดยสปสช.เสนอแนวทางปรับลดอัตราจ่ายผู้ป่วยในจาก 8,350 เหลือ 7,000 บาทต่อหน่วย เพื่อให้งบประมาณเพียงพอ
“สิ่งที่ สปสช.ควรทำคือ รายงานรัฐบาลให้ทราบว่า งบไม่พอ ต้องขอรับงบกลางเพิ่มเติม ไม่ใช่เลือกวิธีลดงบผ่านการขยายผลการตรวจเพียง 3% ไปครอบคลุมผู้ป่วยในทั้งหมด ซึ่งจะทำให้งบที่ควรได้รับจริงหายไปถึง 3,600 ล้านบาท”
แม้ สปสช.จะย้ำว่าไม่มีการลดงบผู้ป่วยในโดยตรง แต่แนวทางปฏิบัติที่พยายามควบคุมงบผ่านการประเมินเอกสารและผลการตรวจเพียงบางส่วน กำลังสร้างความกังวลต่อผู้ให้บริการในระบบที่ต้องแบกรับความเสี่ยงทั้งจากภาระงานสูงและความผิดพลาดทางเอกสาร
ข้อเรียกร้องจากโรงพยาบาลรัฐคือ ขอให้ สปสช.ทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนประชาชนที่ “ซื้อบริการ” จากโรงพยาบาลอย่างแท้จริง ไม่ใช่ “ซื้อข้อมูลเอกสาร” โดยละเลยข้อเท็จจริงว่าผู้ป่วยได้รับการรักษาแล้วหรือไม่
#เก็บตกจากวชิรวิทย์ #นักข่าวสาธารณสุข