27/06/2011
อ๊อกซิเจน สำคัญอย่างไร?
- อ๊อกซิเจนในอากาศที่เราหายใจมีเพียง ร้อยละ 21 เป็นไนโตรเจน ร้อยละ 78 และอื่น ๆ อีกร้อยละ 1
- อ๊อกซิเจน มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง มองไม่เห็นและเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของชีวิตมนุษย์ ที่ก่อให้เกิดกระบวนการเผาผลาญอ๊อกซิเจนและน้ำตาลก่อให้เกิดพลังงาน การขาดอ๊อกซิเจนมนุษย์ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้
- การไหลเวียนของเลือดในร่างกาย เกิดจากการสูบฉีดเลือดที่หัวใจ แสดงถึงการยังมีชีวิตอยู่ในขณะเดียวกัน เพิ่มการดูดซึมอาหารและอ๊อกซิเจนจากกล้ามเนื้อเป็นอวัยวะที่ดูดซึมอ๊อกซิเจนจากเลือดมากที่สุด ถึงร้อยละ 30 รองจากอวัยวะในช่องท้อง ร้อยละ 25 และสมองร้อยละ 20
- มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในภาวะขาดสารอาหาร 2 สัปดาห์ ขาดน้ำได้น้อยกว่า 1 สัปดาห์ แต่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ถ้าขาดอ๊อกซิเจน
- เมื่อมีการเจ็บป่วยของเซลล์ หรือเกิดการทำหน้าที่ของเซลล์ผิดปกติ อ๊อกซิเจนสามารถเข้าไปช่วยซ่อมแซมรักษาชีวิตเซลล์ให้คืนสภาพได้
- การขาดอ๊อกซิเจน แม้เพียงเล็กน้อย อาจเกิดอันตรายอย่างรุนแรงกับมนุษย์ ในการทดลองให้เซลล์เพาะเลี้ยงขาดอ๊อกซิเจนเกิดการกระตุ้นให้การสร้าง DNA ผิดปกติ เกิดเป็นเซลล์มะเร็งได้ (Young,S.D., Hill R.P., Univercity of Toronto , Canada)
- ขณะเดียวกัน เซลล์มะเร็งก็ไม่สามารถเจริญเติบโตในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนจำนวนมาก การออกกำลังกายทุกวันและการหายใจลึก ๆ ช่วยให้ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปถึงระดับเซลล์ การบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอย่างหนึ่งในการทำลายเซลล์มะเร็ง
- น้ำและอ๊อกซิเจน ในร่างกายมีความจำเป็นในการคงสภาพ รูปร่างของเซลล์และทำให้เซลล์ทำหน้าที่ดำรงชีวิต เป็นสื่อนำไฟฟ้าในร่างกาย ใช้ในการสร้างพลังงานในกระบวนการเครป (Creb Cycle) ซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอ และรักษาสภาพมีชีวิตของเซลล์ไม่ให้ตาย
- ปริมาณความดันอ๊อกซิเจน (PO2) ในเลือดลดลงตามอายุจากร้อยละ 90 เมื่ออายุ 15 ปี เหลือเพียงร้อยละ 60 เมื่ออายุ 70 ปี
- น้ำดื่มธรรมชาติ มีปริมาณอ๊อกซิเจน 4-5 Mg/L และสามารถเติมอ๊อกซิเจนได้สูงเกือบ 10 เท่า เป็น 40-80 Mg./L โดยใช้นาโนเทคโนโลยี แต่น้ำกลั่น น้ำแร่ นม น้ำส้ม เบียร์ มีปริมาณอ๊อกซิเจนต่ำมาก เพียง 0.4-8 Mg./L และเมื่อเติมอ๊อกซิเจนจะสามารถจับอ๊อกซิเจนไว้ได้น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของน้ำดื่ม น้ำดื่มที่ใสและปราศจากน้ำตาลและเกลือแร่ จึงเหมาะที่จะเป็นน้ำที่เติมออกซิเจนมากที่สุด
- การให้น้ำอ๊อกซิเจนกินเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ซึ่งพัฒนาเป็นครั้งแรกโดย Prof.Dr.A.Pakdaman,MD. , 1970 และนำมาใช้ในการรักษาในประเทศเยอรมันในปลายปี 1988 เซลที่ขาดออกซิเจน (Cellura Hypoxia) จ่ายให้กับผู้ป่วนไมเกรน หัวใจเต้นผิดปกติ โรคตา มะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง และกระตุ้นภูมิคุ้มกันเป็นงานวิจัยที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในประเทศเยอรมัน “Manfred Kohnlachner Stiffung”
- น้ำและอ๊อกซิเจนที่กินเข้าไปถูกดูดซึม ภายใน ๕ นาทีทางลำไส้เล็ก โดยการกระจายและการออสโมซิสอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มอ๊อกซิเจนในเลือด
- ใช้เป็นการรักษาเสริม (Additional Therapy) ร่วมกับการรักษาเดิมตามวิธีการทางการแพทย์ ไม่มีผลข้างเคียงหรือข้อห้ามใดๆ แม้แต่ในเด็กและหญิงตั้งครรภ์
- ระดับเซลล์ที่ป่วยจากการขาดออกซิเจนเนื่องจากเลือดไปเลี้ยงไม่พอจะทำหน้าที่ลดลงและตายไป กระบวนการทำงานของเซลล์ที่ทำหน้าที่คุ้มกัน เช่น Phagocyte ซึ่งจะทำได้ดีมากน้อยผกผันตรงกับความดันอ๊อกซิเจนในเลือด (Partial Pressure) ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น
น้ำอ๊อกซิเจนกับโรคมะเร็ง
- วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลล์มะเร็งได้รับอาหาร ที่ทำให้เซลล์เจริญเติบโต ได้แก่ นม เนื้อสัตว์ และน้ำตาล
- สภาวะที่ทำให้ภูมิคุ้มกันต่างๆ ในร่างกายลดลง เช่น การให้เคมีบำบัด (Chemotherapy) การฉายแสง (Radiotherapy) หลังการผ่าตัด เครียด เกิดจาก Hypoxia ของ เซลล์และขาดแคลนพลังงานจำเป็นต้องรักษาด้วยการให้อ๊อกซิเจน
- มีการวิจัยอ๊อกซิเจนในเนื้อเยื่อของมะเร็งที่คอ ๒๐ รายโดย Eble M. Jetal (1996) หลังดื่มน้ำที่มีอ๊อกซิเจนเข้มข้น 60 Mg./L 300 cc. (เครื่องมือชื่อ Kimo-PO2-Histography) พบปริมาณอ๊อกซิเจนในเซลล์มะเร็งสูงขึ้น ช่วยให้เซลล์ไวต่อการให้ยาเคมีบำบัดหรือฉายแสง ทำให้เซลล์มะเร็งถูกทำลายรวดเร็วขึ้น (Hockel M.,1994)
- คนไข้มะเร็ง ๓๒ ราย ที่ได้รับการผ่าตัดฉายแสงให้เคมีบำบัด มีอาการคลื่นไส้อาเจียน เวียนหัว ปวดหัว เดินเซ พูดไม่ชัด ลดลงในผู้ป่วยที่ได้รับน้ำดื่มอ๊อกซิเจน (A. Pakdomen,1998)
- มีการศึกษามากมายพบว่าภาวะการณ์ขาดอ๊อกซิเจนทำให้มะเร็งโตเร็วและอายุขัยผู้ป่วยสั้นลง การให้อ๊อกซิเจนสูง ๆ และแก้ปัญหาโลหิตจาง ทำให้มะเร็งโตช้าลง ลดความรุนแรงของมะเร็ง
น้ำอ๊อกซิเจนกับโรคปวดศีรษะ
- ไมเกรน เส้นเลือดสมองตีบ โรคปวดหัวเวียนหัวทุกชนิด เกิดจากสมองขาดอ๊อกซิเจน (Cerebral Hypoxia) งานวิจัยของ Prof. A.Pakdaman ทดลองกินน้ำดื่มที่มีอ๊อกซิเจนสูง ในผู้ป่วย 12 ราย เป็นหญิง 8 คน ชาย 4 คน ที่มีอาการปวดหัวธรรมดา ปวดหัวไมเกรน ปวดหัวเครืยด ปวดประจำเดือน ปวดเมื่อยตามข้อและกล้ามเนื้อ 330 cc. วันละ 2-3 ครั้ง พบว่า ผู้ป่วย 9 ใน 12 คน มีอาการดีขึ้นมาก (ร้อยละ 75) และอีก 3 คน มีอาการดีขึ้นเล็กน้อย (ร้อยละ 25)
น้ำออกซิเจนกับโรคตา
- ผู้ป่วย 6 ราย ที่เป็นโรคตาชนิด (Sicea-Syndromp Gland-papillae) รักษาโดย Prof. A.Pakdaman ด้วยน้ำดื่มออกซิเจนสูง 4 สัปดาห์ พบว่าความดันในลูกตาลดลง อาการทั้ง Subjective และObjective ดีขึ้น
การตรวจวัดคลื่นหัวใจก่อนและหลังการดื่มน้ำออกซิเจนสูง
- ผู้ป่วย 6 ราย มี Cadiac Arrythmia และ Cingetive Heart Failure มีการเปลี่ยนแปลงดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งด้านคลื่นไฟฟ้าหัวใจระยะยาว และ Exercise ECG.หลังได้รับน้ำออกซิเจนสูง
น้ำออกซิเจนกับโรคทางเดินอาหาร
- การศึกษาทางคลินิก พบว่า เมื่อดื่มน้ำออกซิเจนไปในสภาวะที่เห็นกรด เช่นในกระเพาะอาหาร ออกซิเจนจะทำปฏิกิริยากับกรดเกลือที่ผลิตจาก (HCl) เซลของกระเพาะอาหารเกิดเป็นน้ำตามสูตรเคมี 1/2O2+2e-+2H+-->H2O ( Pakdaman A. Der Freic Arzt,S.54-65 (11/1992) การดื่มน้ำออกซิเจนสูงๆจึงช่วยลดกรดและรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้
- น้ำออกซิเจนสูงๆ ยังช่วยทำให้การเคลื่อนไหวของกระเพาะดีขึ้น ลดปัญหาท้องอืด และอาการจุกแน่นหน้าอกจากภาวะกรดไหลย้อน ทั้งยังฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เฮลิโกแบคเตอร์ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคแผลในกระเพาะอาหารแบบเรื้อรังด้วย
- น้ำอุ่นจะมีปริมาณออกซิเจนน้อยกว่าน้ำเย็น ออกซิเจนแทรกอยู่ระหว่างโมเลกุลของน้ำเรียกว่า Water Membrane และจะปล่อยจากน้ำเมื่อสัมผัสถึง Mitrocondival Tissue ในอวัยวะต่างๆ
- การวัดความดันของออกซิเจน (PO2: Oxygen Pratial Pressure) ในเลือดดำ ก่อนและหลังการกินน้ำออกซิเจนที่มีปริมาณ 45 Mg./L 330 cc. ในคน 20 คน พบว่า PO2 ในเลือดสูงขึ้นจาก 19.5 mmHg. เป็น 30 mmHg. ในเวลา 30 นาที และคงอยู่นาน 3-4 ชั่วโมง (Institute of Anesthesiology , Johannes
– Gratenberg University Mainz/Germany 92/1992)
- ทารกในครรภ์ นอกจากได้รับออกซิเจนจากแม่ทางสายสะดือแล้ว ถุงลมในปอดทารกซึ่งอยู่ในน้ำคร่ำดูดซึมออกซิเจนจากน้ำคร่ำของแม่อีกทางหนึ่ง ด้วย แสดงให้เห็นความสำคัญของออกซิเจนในน้ำเป็นเหตุผลที่นำน้ำที่มีออกซิเจนสูงมา ใช้ในการแพทย์
รพ.จอห์น ฮอพกินส์
ทุกคนที่เซลล์มะเร็งอยู่ในร่างกาย แต่จะถูกทำลายด้วยระบบภูมิคุ้มกันตรวจจับและทำลาย เซลล์มะเร็งจะเติบโตขึ้นในภาวะที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันลดลง เกิดจากสภาวะทุโภชนาการสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ยีนต์ในร่างกายบกพร่อง และอารมณ์เครียด วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือ การให้เซลล์มะเร็งได้รับอาหารที่ทำให้เซลล์มะเร็งเติบโต ได้แก่
1. น้ำตาล ใช้น้ำผึ้งหรือน้ำตาลเทียมแทน
2. นม ใช้นมถั่วเหลืองแทน
3. เนื้อสัตว์ ใช้เนื้อปลาแทน
4. พยายามดื่มน้ำ ผักสด และผักดิบ 2-3 ครั้ง/วัน
5. หลักเลี่ยงชา กาแฟและช็อคโกแลต
6. สารอาหารช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน เร่งกำจัดเซลล์มะเร็ง
IP6 (Instill Hexa Phosephose) or Phylic acid
Flor-Essence
Essiac
Anti Oxidant
Vitamin E
น้ำดื่มออกซิเจน
เซลล์มะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาพวะที่มีออกซิเจนเป็นจำนวนมาก การออกกำลังกายทุกวัน และการหายใจลึก ๆ ช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปถึงระดับเซลล์ การบำบัดด้วยออกซิเจนถือเป็นวิธีการอีกทางหนึ่งในการทำลายเซลล์มะเร็ง เมื่อเซลล์ป่วยยากจะไปทำลายเชื้อโรคที่ทำให้เซลล์ป่วย แต่ออกซิเจนจะเข้าไปซ่อมแซมเซลล์ที่ป่วยให้กลับคืนสู่สภาพเซลล์ปกติ