FTA Watch กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาค? กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน

28/09/2025

FTA EU-ไทย กับเงื่อนไขที่มองข้ามไม่ได้: เมื่อสิทธิมนุษยชน 11 ปี คือตัวแปรหลักในข้อตกลงการค้าไทย-EU
ตั้งแต่ปี 2556 ประเทศไทยและสหภาพยุโรป (European Union: EU) ได้เริ่มการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) แต่ด้วยการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อปี 2557 ทำให้สหภาพยุโรปจึงขอชะลอการเจรจาไว้
ต่อมา ในปี 2562 หลังการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลในไทย สหภาพยุโรปได้มีข้อมติให้ฟื้นความสัมพันธ์ทางการเมืองกับไทยและให้คณะกรรมาธิการยุโรปพิจารณาความเป็นไปได้ในการฟื้นการเจรจา FTA โดยในเดือนตุลาคมคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปด้านการต่างประเทศได้มีมติให้สหภาพยุโรปมีการหารือ เพื่อฟื้นความสัมพันธ์กับไทยในทุกมิติ รวมถึงการดำเนินการไปสู่การฟื้นการเจรจา FTA
สำหรับความคืบหน้าล่าสุด ในปี 2568 ได้มีการประชุมรอบที่ 6 ระหว่างวันที่ 23-27 มิ.ย. และได้กำหนดการประชุมในรอบที่ 7 ในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้
การเจรจาครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการค้าและภาษีศุลกากรเท่านั้น แต่ยังเป็นบททดสอบต่อความมุ่งมั่นของสหภาพยุโรป ในความยึดมั่นต่อหลักประชาธิปไตย นิติธรรม และสิทธิมนุษยชน สนธิสัญญาของสหภาพยุโรปได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนในมาตรา 21 แห่งสนธิสัญญาว่าด้วยสหภาพยุโรป (Treaty on European Union : TEU) และมาตรา 207 แห่งสนธิสัญญาว่าด้วยการดำเนินงานของสหภาพยุโรป (Treaty on the Functioning of the European Union : TFEU) ว่า นโยบายการค้าของ EU ต้อง “ส่งเสริม” สิทธิมนุษยชน
สำหรับสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย นับตั้งแต่ปี 2563 มีประชาชนที่ถูกดำเนินคดีจากการใช้สิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก และการชุมนุมไปแล้วเกือบ 2,000 คน รวมไปถึงเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี กว่า 280 คน ปัจจุบันยังมีผู้ต้องขังทางการเมืองอย่างน้อย 54 คนที่ต้องสูญเสียอิสรภาพ เพียงเพราะพวกเขามีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง
ตลอดระยะเวลา 11 ปี ที่ผ่านมาตั้งแต่การรัฐประหาร ในปี 2566 รัฐสภายุโรป (European Parliament) ได้แสดงความกังวลต่อสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก การชุมนุมอย่างสันติ หรือแม้กระทั่งปัญหาสิทธิแรงงานและสิ่งแวดล้อม สภาฯ เรียกร้องให้รัฐไทยนิรโทษกรรมนักกิจกรรมทางการเมือง แก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 พร้อมกับเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการยุโรป “ใช้การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) เป็นเครื่องมือกดดันประเทศไทยให้ปฏิรูปกฎหมายที่มีลักษณะกดขี่ประชาชน โดยเฉพาะกฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์และให้ปล่อยตัวนักโทษการเมือง”
ในโอกาสที่การเจรจารอบต่อไปจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมอ่านข้อกังวลของรัฐสภายุโรปที่เคยแสดงให้กับประเทศไทยในห้วงเวลา 11 ปีที่ผ่านมา พร้อมข้อเสนอจากองค์กรภาคประชาสังคมต่อปัญหาสิทธิมนุษยชนในไทย
📌อ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้ที่ลิงก์ในคอมเมนต์

นักเคลื่อนไหวทั่วโลกจี้ ‘กิลิแอด’ กำหนดราคายา ‘ลีนาคาพาเวียร์’ 40 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี (ปีละประมาณ 1,200 บาท) เพื่อให้ประเท...
27/09/2025

นักเคลื่อนไหวทั่วโลกจี้ ‘กิลิแอด’ กำหนดราคายา ‘ลีนาคาพาเวียร์’ 40 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี (ปีละประมาณ 1,200 บาท) เพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนาทุกประเทศเข้าถึงนวัตกรรมการป้องกันเอชไอวี โดยมองว่าการที่บริษัทยากิลิแอดประกาศสัญญาการให้ใช้ “สิทธิบัตรโดยสมัครใจ” กับยาป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี “ลีนาคาพาเวียร์” ชนิดฉีดที่ออกฤทธิ์นาน 6 เดือนกับประเทศกำลังพัฒนาเพียง 115 ประเทศ และอีก 5 เขตอำนาจพิเศษนั้น เป็นเงื่อนไขที่สกัดการเข้าถึงยาในอีกหลายประเทศที่อยู่นอกสัญญา ซึ่งอาจเป็นช่องว่างให้บริษัทยากอบโกยกำไรจากประเทศที่อยู่นอกสัญญา โดยตั้งราคาให้ต่างกันจนอาจสู้ราคาไม่ไหว พร้อมค้านการจดสิทธิบัตรยาลีนาคาพาเวียร์และเรียกร้องให้กิลิแอดเร่งขึ้นทะเบียนยาในประเทศต่าง ๆ เพื่อการเข้าถึงยาสำหรับทุกคน

นักเคลื่อนไหวทั่วโลกจี้ ‘กิลิแอด’ กำหนดราคายา ‘ลีนาคาพาเวียร์’ 40 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี (ปีละประมาณ 1,200 บาท) เพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนาทุกประเทศเข้าถึงนวัตกรรมการป้องกันเอชไอวี โดยมองว่าการที่บริษัทยากิลิแอดประกาศสัญญาการให้ใช้ “สิทธิบัตรโดยสมัครใจ” กับยาป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี “ลีนาคาพาเวียร์” ชนิดฉีดที่ออกฤทธิ์นาน 6 เดือนกับประเทศกำลังพัฒนาเพียง 115 ประเทศ และอีก 5 เขตอำนาจพิเศษนั้น เป็นเงื่อนไขที่สกัดการเข้าถึงยาในอีกหลายประเทศที่อยู่นอกสัญญา ซึ่งอาจเป็นช่องว่างให้บริษัทยากอบโกยกำไร โดยตั้งราคาให้ต่างกันจนอาจสู้ราคาไม่ไหว พร้อมค้านการจดสิทธิบัตรยาลีนาคาพาเวียร์และเรียกร้องให้กิลิแอดเร่งขึ้นทะเบียนยาในประเทศต่าง ๆ เพื่อการเข้าถึงยาสำหรับทุกคน
อ่านเพิ่มเติม https://thaiplus.net/contents/3607
#เข้าถึงยา #เอชไอวี #ลีนาคาพาเวียร์

24/09/2025

หัวอกชาวสวนมะพร้าว รัฐนำเข้า ทำให้ชาวบ้านจน #มะพร้าว #ข้าวโพด #มันสำปะหลัง #เนื้อ #นม #ผักผลไม้ #เกษตรกรหัวอกเดียวกัน
https://www.facebook.com/share/v/17EZF42pqf/

18/09/2025

รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยกำลังเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ร่วมกับสภาพยุโรป (European Union: EU) ซึ่งประกอบด้วยประเทศสมาชิกในยุโรป 27 ประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อขจัดหรือลดอุปสรรคด้านการค้าระหว่างกันลง ไม่เฉพาะแต่ภาษีศุลกากร แต่รวมถึงกฎเกณฑ์ด้านการค้าอื่นๆ ด้วย แต่ข้อตกลงเขตการค้าเสรีไม่ได้ ‘เสรี’ จริงตามชื่อ ในการเจรจามีการตั้งเงื่อนไขต่างๆ มาต่อรองกัน เพื่อให้ได้เปรียบหรือได้ประโยชน์มากที่สุด
ปัจจุบันไทยมีกฎเกณฑ์สากลเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาภายใต้องค์การการค้าโลก ที่ประเทศสมาชิก 164 ประเทศต้องปฏิบัติตามอยู่แล้ว ซึ่งกฎเกณฑ์นั้นมีชื่อย่อเป็นภาษาอังกฤษอ่านว่า ‘ข้อตกลงทริปส์’ (TRIPS) เป็นมาตรฐานการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาขั้นต่ำ รวมถึงสิทธิบัตรที่ประเทศสมาชิกต้องปฏิบัติตาม ไทยได้มีกฎหมายต่างๆ ตามเกณฑ์ขั้นต่ำนั้นแล้ว
แต่ประเด็นสำคัญในการเจรจา FTA ระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป ที่ภาครัฐและภาคประชาชนต้องให้ความสนใจไม่น้อยไปกว่า ‘ผลประโยชน์’ เพราะการลงนาม FTA ครั้งนี้มีคำว่าข้อตกลงที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา ที่เกินไปว่าข้อตกลงทริปส์ขององค์การการค้าโลก ซึ่งเรียกว่าข้อตกลงแบบทริปส์พลัส (TRIPS+)
อ่านบทความ การเจรจา FTA อาจส่งผลกระทบต่อ ‘ระบบประกันสุขภาพ’ หากไทยยอมรับข้อตกลง FTA แบบ ‘ทริปส์พลัส’ ได้ทาง https://themomentum.co/feature-fta-trips-plus/
#ระบบประกันสุขภาพ #ข้อตกลงFTA #ข้อตกลงการค้าเสรี

ธุรกับสิทธิมนุษยชน
16/09/2025

ธุรกับสิทธิมนุษยชน

🔴ผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิฯ สะท้อน 3 ปมร้อน มลพิษจากโรงงานขยะภาคตะวันออก-เหมืองโปแตชโคราช-คดีฟ้องปิดปากกรณีการต่อสู้เรื่องปลาหมอคางดำต่อคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน วอนเร่งตรวจสอบการละเมิดสิทธิฯและเร่งคุ้มครองสิทธิฯ ขณะที่ยูเอ็นรับข้อเรียกร้อง เตรียมส่งหนังสือถึงรัฐบาล-หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง-บริษัทเอกชน เพื่อหามาตรการปกป้องคุ้มครองนักปกป้องสิทธิฯต่อไป ด้าน PI ชี้รัฐไทย ทุนไทยและทุนจีนที่เกี่ยวข้อง ต้องถูกตรวจสอบและถูกกดดันให้นำพันธกรณีระหว่างประเทศมาปฏิบัติจริง ไม่ใช่ปล่อยให้การละเมิดดำเนินต่อไปโดยลอยนวล

🔴วันนี้ (16 ก.ย. 2568) เครือข่ายผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหลายกลุ่มรวมตัวสะท้อนปัญหา พร้อมเรียกร้องมาตรการปกป้องผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ถูกคุกคามจากรัฐและธุรกิจที่ละเมิดสิทธิฯ โดยมี ดร.พิชามญชุ์ เอี่ยวพานทอง หัวหน้าคณะทำงานว่าด้วยสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน เข้าร่วมรับปัญหาและข้อเสนอแนะของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน เพื่อเตรียมนำข้อเสนอเข้าสู่เวที การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชนระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 7 (United Nations Responsible Business and Human Rights Forum, Asia-Pacific) ที่จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 16–19 ก.ย. นี้ที่องค์การสหประชาชาติ

🔴สุเมธ ชี้กฎหมายยุค คสช.-ทุนจีน “โรงงานขยะ” ซ้ำเติมชุมชนภาคตะวันออก

สุเมธ เหรียญพงษ์นาม นักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากจังหวัดปราจีนบุรี และตัวแทนเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกากมลพิษและกากอุตสาหกรรมภาคตะวันออก กล่าวในการประชุมครั้งนี้ว่า ปัญหาที่ชุมชนต้องเผชิญมีรากเหง้ามาจากนโยบายและกฎหมายที่ออกในยุครัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งหลังการรัฐประหาร รัฐบาล คสช. ได้ผลักดันกฎหมายพิเศษหลายฉบับที่เปิดทางให้เกิดการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ “ลิดรอนสิทธิประชาชน” และต่อมาได้ขยายผลสู่โครงการเศรษฐกิจพิเศษในภาคใต้ (SEC) ด้วย ซึ่งนโยบายดังกล่าวเปิดทางให้ทุนจีนหลั่งไหลเข้ามา ตั้งโรงงานประเภท 105 และ 106 จัดการขยะและรีไซเคิลกากอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก ส่งผลให้เกิดมลพิษขนาดใหญ่ กระทบสิ่งแวดล้อม สุขภาพประชาชน และสร้างความเดือดร้อนแก่ชุมชนในวงกว้าง

“กลุ่มทุนเหล่านี้เข้ามาเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ในรูปแบบธุรกิจที่แทบไม่ต้องลงทุน แต่กลับสร้างภาระมหาศาลให้ชุมชนท้องถิ่น ขณะที่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบไม่สามารถต่อสู้ได้อย่างเท่าเทียม เพราะทุนมีอำนาจและเป็นทุนขนาดใหญ่เกินกว่าชุมชนเล็ก ๆ จะต้านทานได้ ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องทบทวนและกำหนดมาตรการใหม่อย่างจริงจัง โดยเฉพาะการยกเลิกการผ่อนปรนวีซ่า ให้กับกลุ่มทุนที่เข้ามาก่อผลกระทบ สถาบันทางการเงินต้องควบคุมแหล่งเงินทุนที่สนับสนุนการลงทุนของทุนจีนในธุรกิจที่ก่อมลพิษ และการออกกฎหมายคุ้มครองสิทธิประชาชน ที่ลุกขึ้นมาต่อต้านและตรวจสอบการลงทุนเหล่านี้ เพื่อให้เกิดการบังคับใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ หากรัฐบาลไม่เร่งดำเนินการ ปัญหามลพิษและความเดือดร้อนจากทุนจีน โรงงานขยะจะยิ่งรุนแรงขึ้น และกลายเป็นวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคตะวันออกของไทย” “นักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากจังหวัดปราจีนบุรี และตัวแทนเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกากมลพิษและกากอุตสาหกรรมภาคตะวันออกระบุ

🔴ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯเครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ แฉเหมืองโปแตชด่านขุนทด ลิดรอนสิทธิชุมชน – ทุนใหญ่ไทย-จีนหนุนหลัง

จุฑามาส ศรีหัตถผดุงกิจ ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากเครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ เปิดเผยว่า โครงการเหมืองโปแตชที่อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา เป็นเหมืองใต้ดินที่ต้องขุดเจาะอุโมงค์เพื่อคว้านแร่ขึ้นมาแต่ง ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาหนักต่อสิทธิในที่ดินและสิ่งแวดล้อมของชุมชนโดยเหมืองแห่งนี้ดำเนินการโดยบริษัท ไทยคาลิ จำกัด ซึ่งได้รับประทานบัตรเมื่อปี 2558 ครอบคลุมพื้นที่กว่า 9,005 ไร่ โดยกฎหมายแร่กำหนดให้สิทธิของประชาชนในที่ดินมีเพียงความลึก 100 เมตรแรก เท่านั้น ส่วนที่ลึกกว่านั้นถือเป็นของรัฐทั้งหมด ส่งผลให้บริษัทไม่จำเป็นต้องขอความยินยอมจากเจ้าของที่ดินแม้แต่รายเดียว

การทำเหมืองใต้ดินก่อให้เกิดปัญหาน้ำท่วม น้ำเค็ม ดินเค็ม แหล่งน้ำสาธารณะเสียหาย และบ้านเรือนพังเกือบ 80% ของหมู่บ้านใกล้เคียง แต่ไม่มีการเยียวยา ขณะเดียวกันบริษัทยังเตรียมขยายโครงการ ขุดอุโมงค์เพิ่ม 3 แห่ง ใช้วัตถุระเบิดกว่า 400,000 นัด ภายใน 3 ปี โดยมีทุนใหญ่หนุนหลัง ทั้งบางจากที่ถือหุ้น 65% และ China Coal ภายใต้รัฐวิสาหกิจจีนมูลค่าหลายพันล้านบาท

“ผลกระทบที่เกิดขึ้นชัดเจนว่ามาจากโครงการนี้ เพราะทั้งพื้นที่มีเหมืองโปแตชเพียงแห่งเดียว แต่บริษัทกลับปฏิเสธความรับผิดชอบ และยังสร้างความแตกแยกในชุมชนผ่านโครงการ CSR โดยใช้เงินและสิ่งของเข้าล่อ ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้ที่ได้รับผลกระทบกับผู้ที่ไม่ได้รับผลกระทบ” จุฑามาสกล่าว

เธอยังเผยด้วยว่า ชาวบ้านหลายคนเคยถูกฟ้องปิดปาก (SLAPP) จากการคัดค้านโครงการ แม้ศาลจะยกฟ้องไปแล้ว แต่ความหวาดกลัวยังคงอยู่ ขณะที่กองทุนเยียวยาที่บริษัทเคยประกาศไว้ก็ไม่เคยถูกนำมาใช้จริง เพราะเกรงว่าการจ่ายชดเชยจะเท่ากับการยอมรับว่าเป็นผู้ก่อมลพิษ

จุฑามาสเสนอข้อเรียกร้องสำคัญ 3 ประการ คือ 1. หยุดโครงการทั้งหมดทั้งเก่าและใหม่ทันที โดยเฉพาะการใช้ระเบิด พร้อมตรวจสอบผลกระทบ ฟื้นฟู และเยียวยาชุมชนก่อนดำเนินการต่อ 2.ยกเลิกการโอนสิทธิ์ในที่ดินให้บริษัท และคืนอำนาจจัดการแร่ให้ประชาชนโดยแท้จริง 3.ขอให้ยูเอ็นติดตาม สถานการณ์ในพื้นที่ ทั้งการฟ้องปิดปากและการใช้ความรุนแรงต่อชุมชน รวมถึงการตรวจสอบการดำเนินงานของบางจากและทุนจีนตามหลักการ CSR และสิทธิมนุษยชนสากล

“เมื่อบางจากจับมือกับทุนจีนที่อาจเป็นทุนเทา ก็ทำให้กระบวนการตรวจสอบแทบชะงัก ทุกอย่างถูกถ่วงเวลา ประชาชนถูกกดดัน หน่วยงานรัฐกลับเข้าข้างบริษัท ทั้งที่ข้อเท็จจริงบ่งชัดว่าเหมืองนี้คือต้นตอของปัญหา” จุฑามาสย้ำ

🔴วิทูรย์เผยคดีถูกฟ้องปิดปาก ปมปลาหมอคางดำส่งผลกระทบต่อตนเองและครอบครัวและยังสร้างแรงกดดันต่อวงการนักวิชาการและนักปกป้องสิทธิฯ

วิทูรย์ เลี่ยนจำรูญ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนและเลขาธิการมูลนิธิไบโอไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์การคุกคามทางกฎหมาย หรือคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณะ (SLAPP) ว่า ตนเพิ่งถูกอัยการสั่งฟ้องในคดีที่บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ยื่นฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา 2 คดี สืบเนื่องจากการนำเสนอข้อเท็จจริงเชิงวิชาการเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ และเสนอแนวทางฟื้นฟูเยียวยาระบบนิเวศปัจจุบันปลาหมอคางดำแพร่ระบาดแล้วใน 19 จังหวัด จึงเชื่อว่าสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและระบบนิเวศอย่างรุนแรง เฉพาะสมุทรสงครามเกษตรกรเสียหายกว่า 2,500 ล้านบาท ขณะที่การประเมินรวมทั้งประเทศสูงถึงปีละกว่า 25,000 ล้านบาท ยังไม่รวมผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ

วิทูรย์ย้ำว่า การถูกบริษัทใหญ่ฟ้องร้อง ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อตนเองและครอบครัว แต่ยังสร้างแรงกดดันต่อวงการนักวิชาการและนักปกป้องสิทธิ เขายังได้เสนอ 3 ประเด็นเชิงนโยบายเพื่อยุติการใช้กฎหมายปิดปาก ได้แก่

1. ปฏิเสธคดีตั้งแต่ต้นทาง โดยตำรวจไม่ควรรับคดีลักษณะนี้ตั้งแต่แรก อัยการไม่ควรสั่งฟ้อง และแม้แต่ศาลเองก็ควรกลั่นกรอง ไม่ปล่อยให้ประชาชนต้องต่อสู้กับทุนใหญ่ในกระบวนการยุติธรรม

2. เร่งผลักดันกฎหมายป้องกัน SLAPP ซึ่งประเทศไทยจำเป็นต้องมีกฎหมายคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักวิชาการจากการถูกฟ้องปิดปากเหมือนในหลายประเทศที่ออกกฎหมายนี้แล้ว

3. กดดันภาคเอกชนให้รับผิดชอบ โดยองค์การสหประชาชาติควรมีมาตรการร่วมกับภาคเอกชน เพื่อกดดันให้บริษัทขนาดใหญ่หยุดใช้การฟ้องร้องเพื่อปิดกั้นการเปิดเผยความจริง และให้ความสำคัญกับการตรวจสอบความรับผิดชอบทางสิ่งแวดล้อมและผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อสังคมโดยตรง

“นี่ไม่ใช่เพียงการปกป้องสิทธิส่วนบุคคล แต่เป็นการปกป้องประโยชน์สาธารณะ และเป็นการเรียกร้องให้บริษัทขนาดใหญ่ต้องรับผิดชอบต่อระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และสังคมอย่างแท้จริง” วิทูรย์กล่าวทิ้งท้าย

🔴ยูเอ็นรับฟังเสียงนักปกป้องสิทธิฯ เตรียมประสานรัฐเร่งหามาตรการคุ้มครอง

ดร.พิชามญชุ์ หัวหน้าคณะทำงานว่าด้วยสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน เปิดเผยภายหลังเสร็จสิ้นการรับฟังข้อเสนอจากกลุ่มผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนว่า ข้อมูลที่ชุมชนสะท้อนออกมาถือว่าน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง คณะทำงานฯจะนำข้อเรียกร้องทั้งหมดไปพิจารณา พร้อมประสานไปยังกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำมาตรการคุ้มครองและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

ในกรณีของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนภาคตะวันโดยเฉพาะในส่วนของ คุณจร เนาวโอภาส และคุณสุเมธ เหรียญพงษ์นาม นักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากจังหวัดปราจีนบุรี ที่กำลังเผชิญความเสี่ยงสูงต่อการถูกลอบสังหาร ซึ่งก่อนหน้านี้ องค์กรสิทธิมนุษยชน Protection International (PI) ประเทศไทย และมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) ได้เข้ายื่นหนังสือด่วนต่อ ซินเธีย เวลิโก (Cynthia Veliko) ผู้แทนภูมิภาค สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเรียกร้องการคุ้มครอง ดร.พิชามญชุ์ ยืนยันว่าคณะทำงานฯได้รับเรื่องต่อแล้ว และจะเร่งหามาตรการปกป้องและคุ้มครองทั้งสองโดยด่วน

สำหรับกรณีของ วิทูรย์ นักปกป้องสิทธิอีกคนหนึ่งที่กำลังเผชิญกับปัญหาการถูกดำเนินคดีฟ้องปิดปาก (SLAPP) คณะทำงานธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติยืนยันว่าจะเร่งหามาตรการเชิงกฎหมายและเชิงนโยบายเพื่อแก้ปัญหาการฟ้องคดีลักษณะดังกล่าวโดยเร็วที่สุด

🔴PIระบุ รัฐไทย ทุนไทยและทุนจีนที่เกี่ยวข้อง ต้องถูกตรวจสอบและถูกกดดันให้นำพันธกรณีระหว่างประเทศมาปฏิบัติจริง ไม่ใช่ปล่อยให้การละเมิดดำเนินต่อไปโดยลอยนวล

ขณะที่ปรานม สมวงศ์ จากองค์กร Protection International (PI) ประเทศไทย ระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยวันนี้ โรงงานขยะอุตสาหกรรมที่มีทุนจีนหนุนหลัง เหมืองโปแตชที่บางจากลงทุนร่วมกับทุนจีน และการใช้คดีฟ้องปิดปากกับผู้ที่เปิดโปงข้อมูลกรณีการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ล้วนขัดกับประโยชน์สาธารณะ และไม่ใช่เพียงปัญหาเฉพาะพื้นที่ แต่สะท้อนถึงรูปแบบเชิงระบบที่ธุรกิจและทุนขนาดใหญ่ผูกขาดผลประโยชน์โดยปราศจากการตรวจสอบอย่างแท้จริงจากรัฐ ผลประโยชน์ของทุนถูกวางเหนือสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมอย่างสิ้นเชิง

“ ผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนต้องยืนหยัดอยู่แนวหน้า ทั้งที่เผชิญการข่มขู่ การดำเนินคดี และแม้กระทั่งการคุกคามถึงชีวิต รัฐบาลไทย ทุนไทยและทุนจีนที่เกี่ยวข้อง ต้องถูกตรวจสอบและถูกกดดันให้นำพันธกรณีระหว่างประเทศมาปฏิบัติจริง ไม่ใช่ปล่อยให้การละเมิดดำเนินต่อไปโดยลอยนวล การคุ้มครองผู้ปกป้องสิทธิฯ ไม่ใช่เรื่องสมัครใจ แต่คือพันธกรณีภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ” องค์กร Protection International (PI) ประเทศไทย ระบุ
#ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน #นักปกป้องสิทธิมนุษยชน #คดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณะ #ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน #คณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน #ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชนระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

 #หน้าตาของโลกที่มีอธิปไตยทางอาหาร  ระบบเศรษฐกิจและการค้าโลกในหลายทศวรรษที่ผ่านมามุ่งหน้าสู่ระบบเสรีนิยมได้ส่งผลให้เกิดค...
16/09/2025

#หน้าตาของโลกที่มีอธิปไตยทางอาหาร

ระบบเศรษฐกิจและการค้าโลกในหลายทศวรรษที่ผ่านมามุ่งหน้าสู่ระบบเสรีนิยมได้ส่งผลให้เกิดความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจอย่างมากมาย แต่ทว่ากลับอยู่ภายใต้การกระจุกตัวของผลประโยชน์กับกลุ่มทุนบางกลุ่ม เกิดความเสื่อมโทรมต่อสิ่งแวดล้อมทั้งบนดิน ในน้ำและอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง องค์ความรู้ดั้งเดิมค่อยๆสูญหาย วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในชนบทเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล ผู้ที่พ่ายแพ้ต่อระบบเศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะหนี้สิน เกิดความเครียดที่หาทางออกไม่ได้ ยิ่งประเทศมหาอำนาจและกลุ่มล็อบบี้ทางเศรษฐกิจพยายามกดดันให้เกิดการเปิดตลาดและแปรรูปกิจการของรัฐเป็นเอกชนเพื่อทำให้เศรษฐกิจทุกด้านเสรีมากขึ้นเท่าไร การประท้วงและเรียกร้องให้เกิดการปรับเปลี่ยนนโยบายและทิศทางของโลกก็ปรากฎให้เห็นมากขึ้น

แน่นอน ใครก็ตามที่ได้เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวในแวดวงเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศและเห็นภาพขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม ย่อมมีคำถามว่า ถ้าไม่เอาการค้าเสรี แล้วจะเอาอะไร

#ทางเลือกแทนการค้าเสรี
ทางเลือกที่มีการนำเสนอและพูดถึงกันมากที่สุดในเวทีระหว่างประเทศ คือ เศรษฐกิจที่อยู่บนพื้นฐานแนวคิด “อธิปไตยทางอาหาร” แนวคิดนี้ถูกพูดถึงครั้งแรกในปี 2539 โดยขบวนการชาวนาสากล หรือ ลา เวีย คัมเปซินา ในระหว่างการประชุมสุดยอดอาหารโลก (World Food Summit) หลังจากนั้นก็ได้รับการยอมรับและนำเสนอในฐานะทางเลือกที่จะมาทดแทนแนวคิดเสรีนิยมใหม่ในขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมระหว่างประเทศที่เกี่ยวเนื่องกับภาคเกษตรและอาหาร

ขบวนการชาวนาสากลประกาศชัดเจนว่า “การเข้าถึงตลาดในต่างประเทศ ไม่ตอบโจทย์ของชาวนาหรือเกษตรกร” ดังนั้น ความพยายามใดๆของรัฐบาลในการเปิดตลาดต่างประเทศ ไม่ว่าจะผ่านข้อตกลงพหุภาคีขององค์การการค้าโลก หรือข้อตกลงทวิภาคีแบบเอฟทีเอ จึงไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาต้องการคือ การมีนโยบายดีๆหลายๆชุดที่จะสร้างความแข็งแกร่งและสนับสนุนภาคการเกษตรของครัวเรือนและชุมชนให้อยู่ได้และยั่งยืน รวมถึงการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอันเป็นฐานทรัพยากรที่สำคัญในการดำรงชีวิตและการผลิตของภาคการเกษตร

แต่เดี๋ยวก่อน...หากคุณคิดว่าอธิปไตยทางอาหารไม่ใช่เรื่องของคุณ เพราะคุณไม่ได้เป็นชาวนาหรือเกษตรกร และคุณไม่ได้อาศัยอยู่ในภาคชนบท ขอให้อ่านต่อด้านล่าง เพราะ อธิปไตยทางอาหาร ไปไกลและลึกกว่าที่คุณคิด
อธิปไตยทางอาหารสำหรับทุกคน

ในปี 2550 ณ การประชุมโลกว่าด้วยอธิปไตยทางอาหารนเยเลนี (Nyéléni Global Forum) แนวคิดอธิปไตยทางอาหารถูกขยายนิยามออกไปว่า คือ “สิทธิของประชาชนในการเข้าถึงอาหารที่ผลิตโดยคำนึงถึงวัฒนธรรมและสุขภาพ ภายใต้กระบวนการผลิตที่ยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม และการเคารพสิทธิของประชาชนในการกำหนดระบบเกษตรและอาหารด้วยตนเอง หัวใจของอธิปไตยทางอาหารอยู่ที่ความจำเป็นและความต้องการของผู้ที่ทำหน้าที่ผลิต แจกจ่ายและบริโภคอาหาร ไม่ใช่ ความต้องการของตลาดหรือบรรษัทข้ามชาติ”

ดังนั้น อธิปไตยทางอาหารจึงประกอบด้วย 6 เสาหลัก ได้แก่

1.อาหารที่ดีต่อสุขภาพมีไว้สำหรับทุกคน ไม่ต้องขึ้นกับระดับรายได้ สถานภาพ เงื่อนไขทางกาย เพศ หรือเชื้อชาติ แต่เป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์

2.ระบบอาหารที่ให้คุณค่ากับผู้ผลิตอาหาร ไม่ว่าจะเป็นชาวนา เกษตรกร ชนพื้นเมือง ผู้หญิง คนงานหรือคนชายขอบอื่นๆที่มีส่วนร่วมในกระบวนการผลิตอาหาร คนเหล่านี้จะต้องได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม และมีสิ่งแวดล้อมที่สนับสนุนการทำงานของพวกเขา

3.ทำระบบอาหารคืนสู่ระดับท้องถิ่น คนในท้องถิ่นจะเป็นคนตัดสินใจว่าพวกเขาต้องการระบบอาหารแบบใด ไม่ใช่บนฐานการลงทุนและผลกำไร การนำเข้าอาจเกิดขึ้นได้ หากมีความต้องการอาหารที่ผลิตไม่ได้ในท้องถิ่น

4.ให้อำนาจการควบคุมกลับสู่ท้องถิ่น ทวงอำนาจการตัดสินใจคืนจากรัฐบาลส่วนกลางและบรรษัทข้ามชาติ

5.ให้ความสำคัญกับการดูแลระบบนิเวศน์และสิ่งแวดล้อมในระบบอาหารเพื่อความยั่งยืน

6.ให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนแบ่งปันความรู้ด้านการเกษตรและการฟื้นฟูองค์ความรู้ดั้งเดิมที่เกี่ยวข้องซึ่งมีหลากหลายมิติมากไปกว่ามิติทางเศรษฐกิจและผลกำไร

เป็นที่ชัดเจนว่า โลกที่มีอธิปไตยทางอาหารมีหน้าตาไม่เหมือนโลกในระบบทุนและเสรีนิยมเลยสักนิดเดียว ขบวนการชาวนาสากลประกาศชัดเสียงดังซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “เราไม่ได้ต้องการแค่การปฏิรูปผิวเผิน เรากำลังเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงที่ระดับราก” และ “ระเบียบการค้าโลกใหม่ไม่ใช่เป็นจำเป็นเท่านั้น แต่ยังต้องมีเร่งด่วนด้วย”

#เส้นทางสู่อธิปไตยทางอาหาร
เมื่อมองการปกครองของโลกในทุกวันนี้ กลไกและเครื่องมือระหว่างประเทศถูกสร้างมาเพื่อรองรับระบบทุนและเสรีนิยมเต็มไปหมด หากโลกของเราจะเปลี่ยนหน้าตาไป เราจะต้องลงทุนร่วมกันสร้างเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้นอย่างมาก นั่นคือ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงในระดับรากฐานเชิงนโยบาย กฎระเบียบ และแนวทางปฏิบัติที่สอดคล้องกับอธิปไตยทางอาหาร
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเริ่มจากศูนย์ สิทธิมนุษยชนเป็นหลักการที่สอดรับกับแนวคิดอธิปไตยทางอาหารมากที่สุด ซึ่งหลายประเทศให้การยอมรับ สิทธิด้านอาหารซึ่งเป็นหนึ่งในสิทธิมนุษยชนที่ให้ความสำคัญกับการขจัดความหิวโหยและรับรองการเข้าถึงอาหารของประชาชน แม้จะยังไม่มีการรองรับเรื่องสิทธิด้านการผลิตและการเข้าถึงอาหารของชุมชนก็ตาม

แต่ปัญหาที่สำคัญกว่าคือ ภายใต้หลักการสิทธิมนุษยชน การบังคับใช้ยังอยู่ในระดับรัฐภาคี แต่ยังไม่มีเครื่องมือหรือกลไกระหว่างประเทศที่มีผลบังคับใช้ ลองนึกถึงกลไกระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชน (ISDS) ซึ่งเป็นกลไกอนุญาโตตุลาการด้านการลงทุนระหว่างประเทศ ภายใต้เอฟทีเอ กลไกนี้สามารถทำให้รัฐตกเป็นคู่กรณีของบรรษัทข้ามชาติในกรณีนโยบายสาธารณะละเมิดผลประโยชน์ด้านการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ กลไกระหว่างประเทศที่มีอำนาจบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นนี้ยังไม่พบภายใต้หลักการสิทธิมนุษยชน

ดังนั้น เราอาจสรุปว่า เส้นทางสู่อธิปไตยทางอาหารนั้นมีให้เห็นแล้ว แต่ต้องถมทำทางต่อ ซึ่งขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมต่างๆก็ไม่ย่อท้อ
มาร่วมส่งกำลังใจให้พวกเขาในการผลักดันระเบียบโลกใหม่ที่อยู่บนฐานของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสิ่งแวดล้อมเหนือทุน การประชุมสมัชชาโลกนเยเลนี (Nyéléni Global Forum) ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 6-13 กันยายน 2568 น่าจะมีความก้าวหน้าออกมาให้สังคมโลกได้รับรู้

เอกสารอ้างอิง
The Land Workers’ Alliance. 2022. “Food Sovereignty Is About More Than Just Food”.

La Via Campesina. 2025. “A New Global Trade Framework Based On Food Sovereignty Is Urgent And Necessary” – La Via Campesina.

Institute for Agriculture and Trade Policy. 2003. Towards Food Sovereignty: Constructive Alternatives to the World Trade Organization’s Agreement on Agriculture.

15/09/2025

หน้าตาของโลก
ที่มีอธิปไตยทางอาหาร ทางเลือกแทนการค้าเสรี พึงมีหน้าตาเป็นเช่นไร

FTA ไทย-อียู กับอนาคตความ(ไม่)มั่นคงทางยา?เมื่อดูรายละเอียดของข้อตกลงที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจา ก็ทำให้หลายคนก็เกิดข้อก...
12/09/2025

FTA ไทย-อียู กับอนาคตความ(ไม่)มั่นคงทางยา?

เมื่อดูรายละเอียดของข้อตกลงที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจา ก็ทำให้หลายคนก็เกิดข้อกังวลว่าเงื่อนไขบางอย่างอาจกำลังส่งผลกระทบต่อคนไทยได้อย่างร้ายแรงในหลายมิติ นับตั้งแต่ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมบางประเภทที่อาจต้องเสียประโยชน์จากสินค้าต่างชาติที่จะเข้ามาแข่งขันอย่างเสรีขึ้น ไปจนถึงประเด็นที่จะกระทบถึงชีวิตความเป็นอยู่และปากท้องของคนไทยอย่างถ้วนหน้า โดยเรื่องหนึ่งที่กำลังเป็นที่จับตาคือ ‘ความมั่นคงทางยา’ ของคนไทย และประเด็นนี้เองที่อาจกำลังมีผลไปถึงความมั่นคงของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยในอนาคต

https://www.the101.world/thai-eu-fta-uhc/?fbclid=IwdGRjcAMwUdVjbGNrAzBRyWV4dG4DYWVtAjExAAEe-hdB-ENbxc4pB4LQE-i_l4CpUQgeaI_U9HlhHp3clm4OlkQfdKaH5K_UvnU_aem_vuAZBUxV820vuj7Hd7v32Q

เอฟทีเอว็อทช์ เตือนไว้เมื่อ 20 ปีก่อน ตอนนี้เป็นจริงทั้งหมด !  #ผลกระทบของเอฟทีเอต่อเกษตรกรและภาคเกษตรกรรมไทยFact Sheet ...
03/09/2025

เอฟทีเอว็อทช์ เตือนไว้เมื่อ 20 ปีก่อน ตอนนี้เป็นจริงทั้งหมด ! #ผลกระทบของเอฟทีเอต่อเกษตรกรและภาคเกษตรกรรมไทย

Fact Sheet ผลกระทบของข้อตกลงเขตการค้าเสรีและข้อเสนอแนะทางนโยบาย ตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน (ปี พ.ศ.2548) โดยใช้ชื่อว่า "ข้อเสนอแนะ..ก่อนหายนะ" โดยแบ่งเป็นหัวข้อต่างๆ หนึ่งในหัวข้อสำคัญคือ "ข้อตกลงเขตการค้าเสรี ผลกระทบที่มีต่อเกษตรกรและภาคเกษตรกรรม" ปรากฎว่าการวิเคราะห์ดังกล่าว เป็นจริงทั้งหมดแล้ว

Fact Sheet ผลกระทบของข้อตกลงเขตการค้าเสรีและข้อเสนอแนะทางนโยบาย ตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน โดยใช้ชื่อว่า "ข้อเสนอแนะ..ก่อน...
03/09/2025

Fact Sheet ผลกระทบของข้อตกลงเขตการค้าเสรีและข้อเสนอแนะทางนโยบาย ตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน โดยใช้ชื่อว่า "ข้อเสนอแนะ..ก่อนหายนะ" โดยแบ่งเป็นหัวข้อต่างๆ หนึ่งในหัวข้อสำคัญคือ "ข้อตกลงเขตการค้าเสรี ผลกระทบที่มีต่อเกษตรกรและภาคเกษตรกรรม" ปรากฎว่าการวิเคราะห์ดังกล่าว เป็นจริงทั้งหมดแล้ว

เอฟทีเอว็อทช์ทำ Fact Sheet ผลกระทบของข้อตกลงเขตการค้าเสรีและข้อเสนอแนะทางนโยบาย ตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน โดยใช้ชื่อว่า "ข้อเสนอแนะ..ก่อนหายนะ" โดยแบ่งเป็นหัวข้อต่างๆ หนึ่งในหัวข้อสำคัญคือ "ข้อตกลงเขตการค้าเสรี ผลกระทบที่มีต่อเกษตรกรและภาคเกษตรกรรม" ปรากฎว่าการวิเคราะห์ดังกล่าว เป็นจริงทั้งหมดแล้ว

ทั้งเอฟทีเอไทย-จีน เอฟทีเอไทย-ออสเตรเลีย เอฟทีเอไทย-นิวซีแลนด์ และอาจรวมทั้งการเปิดเสรีนำเข้าข้าวโพดและถั่วเหลืองจากสหรัฐ ภายใต้บริบทของภาษีทรัมป์

แอดค้นเจอในห้องทำงานเลยเอามาโพสต์ให้ดูกัน รายละเอียดการวิเคราะห์อยู่ในคอมเม้นท์นะครับ

01/09/2025

ขบวนการดัน UPOV1991 คราวนี้มามุกใหม่
ไม่ต้องเข้าร่วมก็ได้แก้ไขกฎหมายเลย
ยกการ์ดสูง เตรียมรับมือ
เสียงเตือนภัยจาก รศ.ดร.สุรวิช วรรณไกรโรจน์ อาจารย์คณะเกษตร ม.เกษตรศาสตร์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองพันธุ์พืชหลายสมัย

Send a message to learn more

คุณผู้อ่านที่รัก  มีจดหมายเปิดผนึกฉบับหนึ่งส่งมาถึงคุณ ...  #จดหมายจากขบวนการชาวนาสากล หรือ เวีย คัมเปซินา (La Vía Campe...
30/08/2025

คุณผู้อ่านที่รัก มีจดหมายเปิดผนึกฉบับหนึ่งส่งมาถึงคุณ ... #จดหมายจากขบวนการชาวนาสากล หรือ เวีย คัมเปซินา (La Vía Campesina)

พวกเขาต้องการแจ้งให้ทุกคนทราบว่า วันที่ 10 กันยายนที่จะถึงนี้เป็นวันสำคัญที่ไม่อยากให้ทุกคนลืม

วันนั้นเมื่อกว่า 20 ปีก่อน ลี คยอง แฮ (Lee Kyung Hae) ชาวนาจากจากเกาหลีใต้ได้เดินทางไปที่เมืองแคนคูน ประเทศเม็กซิโก เพื่อคัดค้านการเปิดเสรีทั่วโลก ในระหว่างการประชุมระดับรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลก (WTO) ตอนนั้นเขาอายุ 55 ปี เป็นผู้นำชาวนา และเป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในขณะที่ฝูงชนพยายามทลายกำแพงขวางกั้นเข้าไปยังที่ประชุม เขาได้ปลิดชีวิตตัวเองลงต่อหน้าสาธารณะ พร้อมกับทิ้งจดหมายที่มีข้อความตอนหนึ่งว่า “บรรษัทข้ามชาติที่ไร้การควบคุม และสมาชิกมหาอำนาจในองค์การการค้าโลกไม่กี่รายกำลังพาไปสู่โลกาภิวัฒน์ที่ไม่น่าปรารถนา ไร้มนุษยธรรม ทำลายสิ่งแวดล้อม คร่าชีวิตชาวนา และไร้ประชาธิปไตย” องค์กรชาวนาโลกจึงอยากให้เราได้กลับมาระลึกถึงลี คยอง แฮและกำหนดให้วันที่ 10 กันยายนนี้ เป็น #วันสากลแห่งการลงมือต่อต้านองค์การการค้าโลกและเอฟทีเอ

#ภาคเกษตรภายใต้กระแสการเปิดเสรี

การได้ระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตทำให้เราได้มีโอกาสหยุดคิดและตั้งคำถามถึงทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของโลกและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนอีกครั้ง ประเทศที่มีเรื่องราวแห่งความสำเร็จในการพัฒนา สามารถผันตัวเองจากประเทศเกษตรกรรมมาเป็นประเทศอุตสาหกรรมได้ภายในไม่กี่ทศวรรษอย่างเกาหลีใต้ แต่ปรากฎว่าประชากรในภาคเกษตรกลับได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วง มีการเคลื่อนย้ายของประชากรออกจากชนบท ราคาอาหารตกต่ำ มีการทะลักเข้ามาของสินค้าจากต่างประเทศ ชาวนาตกอยู่ในภาวะระส่ำระส่าย และภาวะหนี้สินมากมาย ก่อนหน้าลี คยอง แฮ ชาวนาเกาหลีใต้หลายคนตัดสินใจฆ่าตัวตายที่บ้านเกิดของตน

การเจรจาเปิดเสรีของโลกในช่วงระยะเวลานั้น ภาคเกษตรยังถือว่าเป็นภาคอ่อนไหวที่ต้องได้รับการปกป้องเพราะเกี่ยวพันกับวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของประชากรจำนวนมาก จึงไม่ได้เข้าสู่การเจรจาการเปิดเสรี แต่กลุ่มล็อบบี้ก็ทำงานกันอย่างหนัก เพื่อกดดันให้มีการรวมภาคเกษตรในการเจรจา

ขณะนั้น เกาหลีใต้ยังอยู่ในสถานภาพประเทศกำลังพัฒนาและสหรัฐอเมริกาต้องการกดดันให้ประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ รวมถึงเกาหลีใต้เปิดเสรีตลาดหลายอย่างรวมถึงข้าว ท้ายที่สุดในปี 2539 หลังการเจรจาการค้าโลกในรอบอุรุกวัย เกาหลีใต้ยินยอมเปิดเสรีตลาดข้าวมากขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ดี แนวโน้มของการเปิดตลาดเสรีในระยะยาวนี้เองที่ก่อให้เกิดบรรยากาศแห่งความตึงเครียดและความกังวลต่ออนาคตกับเกษตรกรรายย่อย

ในปี 2562 เกาหลีใต้ยอมถอนตัวเองจากสถานภาพประเทศกำลังพัฒนาในองค์การการค้าโลกภายใต้การกดดันจากสหรัฐอเมริกา นั่นหมายถึงภาคเกษตรของเกาหลีใต้จะไม่ได้รับสิทธิพิเศษที่จะได้รับการปกป้องอีกต่อไป เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในประเทศได้รวมตัวกันแสดงความคัดค้านและอาลัย พวกเขากล่าวว่า “นี่คือความอัปยศของชาติในทางการค้า” เพราะสิ่งนี้กำลังบอกพวกเขาว่า พวกเขาไม่ต้องปลูกข้าวอีกต่อไป การเปิดตลาดเสรีข้าวจะทำให้ข้าวที่พวกเขาปลูกถูกสินค้าข้าวนำเข้าตีตลาด ทั้งทุนข้ามชาติ บรรษัทเมล็ดพันธุ์ข้ามชาติจะเข้ามามีอิทธิพลแทน

#การค้าเสรี #แข่งขันได้จริงหรือ
ในการพิจารณาเรื่องการค้าเสรี เราจำเป็นจะต้องมองนอกกรอบระดับประเทศ การแบ่งแยกง่ายๆเป็นประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนาไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะภายในประเทศ ยังมีความแตกต่างกันในระดับผู้ผลิต มีบรรษัทข้ามชาติที่มีความซับซ้อนในเชิงโครงสร้าง และมีอำนาจในการแข่งขันสูง มีเกษตรกรรายใหญ่ รายกลาง และรายย่อยที่มีความสามารถในการแข่งขันลดหลั่นกันลงไป ดังนั้น การแข่งขันจึงไม่มีทางเสรีได้จริง เพราะความเสมอภาคปรากฏอยู่ตั้งแต่พื้นฐานและเหตุปัจจัยในแต่ละภูมิภาค ในแต่ภาคการผลิต และในแต่ระดับของผู้ผลิต ลองเปรียบเทียบระหว่างบรรษัทเกษตรข้ามชาติจำนวนหยิบมือที่มีถิ่นฐานอยู่ที่สหรัฐอเมริกาและได้รับเงินอุดหนุนที่มาจากภาษีอากรของประชาชนแต่ละปีจำนวนมหาศาล กับ ชาวนารายย่อยในประเทศกำลังพัฒนาที่รัฐบาลไม่มีความสามารถที่จะอุดหนุน การแข่งขันย่อมนำมาซึ่งผลลัพท์ที่มองออก

กว่า 20 ปีมาแล้ว กลุ่มภาคประชาสังคมและเกษตรกรรายย่อยจากประเทศต่างๆซึ่งได้ทบทวนไตร่ตรองเนื้อหาของการเจรจาเปิดการค้าเสรีพบว่า ไม่ว่าจะพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมเสนอแนะปรับปรุงการเจรจาเพียงใด การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมีเพียงน้อยนิด ไม่ได้จัดการกับรากฐานความไม่เป็นธรรมทางการค้าในกรณีของภาคเกษตร และไม่มีทางจะนำไปสู่อธิปไตยและความมั่นคงทางอาหาร

เกษตรกรรายย่อยและชนชั้นแรงงานถูกการแข่งขันเสรีเบียดขับให้ออกจากระบบเศรษฐกิจที่พวกเขาเคยสามารถพึ่งพิงตนเองได้มากกว่านี้ ปัจจุบันพวกเขาส่งเสียงดังๆซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “ไม่ต้องการการค้าเสรี ไม่ต้องการองค์การการค้าโลก และไม่ต้องการเอฟทีเอ”

#สิ่งที่พวกเขากำลังแสวงหา คือ #การค้าโลกแบบใหม่ที่อยู่บนพื้นฐานอธิปไตยทางอาหาร ซึ่งจะสนับสนุนให้แต่ละประเทศกำหนดนโยบายที่ดำรงรักษาวิถีชีวิตที่เหมาะสมดีงามสำหรับประชาชนทุกคน โดยเฉพาะผู้ผลิตอาหารรายย่อย

เป็นที่น่าเสียดายว่า สิ่งนี้ยังหาไม่ได้ในเวทีการเจรจาการค้าเสรีไม่ว่าจะในระดับใดก็ตาม

#แสวงหากระบวนทัศน์การค้าใหม่ของโลก

หลักการของ อธิปไตยทางอาหาร เรียกร้องให้แต่ละประเทศกลับมาให้ความสำคัญกับ สิทธิ ได้แก่ สิทธิเข้าถึงอาหาร สิทธิมนุษยชน และสิทธิของแต่ละประเทศในการมีอธิปไตยด้านอาหาร หลักการเหล่านี้ปรากฎอยู่แล้วในข้อตกลงพหุภาคีและข้อตกลงระหว่างประเทศจำนวนมากมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน อาหาร ความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นต้น พวกเขาต้องการให้มีกลไกเชิงนโยบายในระดับประเทศ ได้แก่ การกำหนดราคาขั้นต่ำ การจัดการห่วงโซ่อุปทานอาหาร การจัดซื้อจัดจ้างอาหารจากภาครัฐ กำแพงภาษีและที่ไม่ใช่ภาษี ฯลฯ ซึ่งจะรับประกันว่าครอบครัวผู้ผลิตอาหารรายย่อยอย่างพวกเขาจะได้รับการปกป้องคุ้มครอง ไม่ใช่ปล่อยให้กลไกของมือที่มองไม่เห็นทำงานอย่างไม่มีข้อจำกัด

ระหว่างวันที่ 6-13 กันยายน 2568 จะมีงานสมัชชาโลกนเยเลนี (Nyéléni Global Forum) ครั้งที่ 3 เกิดขึ้นที่ศรีลังกา เป็นเวลา 17 ปีมาแล้วนับแต่สมัชชาโลกนี้ถูกจัดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศมาลี ผู้แทนขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมกว่า 500 คนจาก 80 กว่าประเทศที่ไม่เห็นด้วยกับระบบเศรษฐกิจโลกปัจจุบันจะมารวมกันเพื่อเสนอการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจโลกบนฐานความยั่งยืนและอธิปไตยด้านอาหาร นอกจากนี้ การสร้างการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่ในระดับนโยบาย แต่ยังรวมถึงการปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงอำนาจในความหมายกว้าง ซึ่งครอบคลุมถึงความเป็นธรรมด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความเป็นธรรมทางเพศสภาพ อธิปไตยทางเศรษฐกิจและระบบประชาธิปไตย
...
แหล่งอ้างอิง

Hankyoreh. 2019. Farmers rally against Seoul’s decision to relinquish developing country status under WTO. 28 October.

Institute for Agriculture and Trade Policy. 2003. Towards Food Sovereignty: Constructive Alternatives to the World Trade Organization’s Agreement on Agriculture.

La Via Campesina. 2025. 2025. “10 September 2025 – The international day of action against WTO and FTAs”. 19 August.

La Via Campesina. 2025. “Building Momentum for an Alternative Global Trade Framework Grounded in Food Sovereignty”. 21 August.

Zeisl, Yasemin. 2019. “The Implications of South Korea’s Relinquishment of its WTO Status as a Developing Country”.

ที่อยู่

ไทย
11000

เบอร์โทรศัพท์

029853838

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ FTA Watchผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram