D/Boone ดูแลกระดูกและข้อเสื่อม อ้กเสบ ปวดข้อ

D/Boone ดูแลกระดูกและข้อเสื่อม อ้กเสบ ปวดข้อ ลดอาการภาวะเข่าเสื่อม ฟื้นฟูเข่าเส

ปวดข้อ ข้ออักเสบ เข่าดังก๊อบแก๊บ นั่งยองๆไม่ได้ ยืนนานๆไม่ได้ ชุดนี้ช่วยแก้อาการเหล่านี้ได้

** #ศูนย์ใหญ่ดีบูนเขตภาคเหนือ
-ช่วยเสริมคอลลาเจนในบริเวณข้อต่อของกระดูก เป็นสารเคลือบผิวกระดูก
-ช่วยเสริมสร้างเซลล์กระดูกอ่อนและสารหล่อลื่นไขข้อ
-ช่วยคงสภาพน้ำในไขข้อกระดูก
-ช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับไขข้อ
-ช่วยสร้างคอลลาเจนที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของกระดูก
-ช่วยในการกระตุ้นการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสมีความส

ำคัญในการสร้างกระดูก

**ส่วนประกอบสำคัญของดีบูน**
-คอลลาจนจากปลาทะเล
-กระดูกอ่อนปลาฉลาม
-สารสกัดจากเปลือกสน
-แอสคอร์บิค เอซิด
-สารสกัดจากขมิ้น
-วิตามินD3

เลขที่อย.ดีบูน 10-1-15456-5-0002
#ส่งฟรีเก็บเงินปลายทาง
สายด่วนโทร 098-8276991

เสริมภูมิคุ้มกันด้วยผักผลไม้ 5 สี อร่อยดี มีประโยชน์ By Krungsri Society    ทุกคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ผักและผลไม้มีวิต...
15/09/2021

เสริมภูมิคุ้มกันด้วยผักผลไม้ 5 สี อร่อยดี มีประโยชน์
By Krungsri Society

ทุกคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ผักและผลไม้มีวิตามิน แร่ธาตุ ไฟเบอร์ และสารอาหารอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย แต่หลายคนคงยังไม่ทราบใช่ไหมล่ะคะว่า ผักผลไม้สามารถแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม 5 สี แต่ละสีก็มีสารอาหารและคุณประโยชน์ที่แตกต่างกันไป การทานผักผลไม้ 5 สีให้หลากหลายและครบถ้วนจะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคต่าง ๆ มากมาย เช่น โรคหลอดเลือดในสมอง ความดันโลหิต มะเร็งบางชนิด เป็นต้น อีกทั้งทำให้ร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณสดใส ชะลอความแก่ชราได้อีกต่างหาก วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับผักผลไม้ 5 สี ว่ามีสีอะไรบ้าง และการกินผักหลายสีป้องกันโรคอะไร แต่ละสีมีประโยชน์แค่ไหน ตามมาดูกันเลย
ผักผลไม้สีเขียว
ผักผลไม้ที่มีสีเขียวมีสารสำคัญ คือ คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll), ลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ฯลฯ ประโยชน์ของผักผลไม้แต่ละชนิดแตกต่างกันออกไป สำหรับสีเขียวจะช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง ชะลอการเสื่อมของจอประสาทตา มีไฟเบอร์สูง ช่วยเรื่องการขับถ่าย ยับยั้งการเกิดริ้วรอย ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย
ในบรรดาผักผลไม้ 5 สี ผักผลไม้สีเขียวหาได้ง่ายที่สุด เช่น: กะหล่ำปลีสีเขียว, บรอกโคลี, คะน้า, หน่อไม้ฝรั่ง, อะโวคาโด, แตงกวา, ผักโขม, ถั่วลันเตา, แอปเปิ้ลสีเขียว, องุ่นเขียว เป็นต้น
ผักผลไม้สีแดง
ผักผลไม้ที่มีสีแดงมีสารสำคัญ คือ ไลโคปีน (Lycopene) เบตาไซซีน (Betacycin) และสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ประโยชน์ของผักผลไม้สีแดงคือมีไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดีช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง ทำให้ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งปากมดลูก ช่วยลดปริมาณไขมันไม่ดีชนิด LDL-cholesterol ช่วยชะลอการเกิดโรคหัวใจหลอดเลือด ลดความดันโลหิตและลดการแข็งตัวของหลอดเลือด นอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องของริ้วรอยจากสิวอีกด้วย
ผักผลไม้สีแดง: มะเขือเทศ, กระหล่ำปลีแดง, พริกแดง, หอมแดง, บีทรูท, แอปเปิ้ลสีแดง, สตรอว์เบอร์รี่, เชอรี่, แครนเบอร์รี่, ราสเบอร์รี่, มะละกอ, ส้มโอสีชมพู, ทับทิม, องุ่นแดง, แตงโม และดอกกระเจี๊ยบ เป็นต้น
ผักผลไม้สีม่วงและสีน้ำเงิน
ผักผลไม้สีม่วงและสีน้ำเงินมีสารสำคัญ คือ แอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ช่วยต้านอนุมูลอิสระ มีการวิจัยพบว่า แอนโทไซยานินมีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินซีและอีถึง 2 เท่า ช่วยปกป้องหลอดเลือด กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจหลอดเลือดได้ ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งลำไส้และตับ มะเร็งเม็ดเลือดขาว และมะเร็งของระบบสืบพันธุ์ ยับยั้งเชื้ออีโคไลในทางเดินอาหารที่ทำให้เกิดท้องเสีย ต้านไวรัส และลดการอักเสบ
ผักผลไม้สีม่วงและสีน้ำเงิน: มะเขือม่วง, กะหล่ำปลีสีม่วง, มันสีม่วง, เผือก, บลูเบอร์รี่, แบล็กเบอร์รี่, องุ่นสีม่วง, ลูกพรุน, ลูกไหน, ลูกหว้า, ข้าวแดง, ข้าวนิล, ช้าวเหนียวดำ เป็นต้น
ผักผลไม้สีเหลืองและสีส้ม
สำหรับผักผลไม้ 5 สีกลุ่มที่มีสีเหลืองและสีส้มมีสารสำคัญ คือ แคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ เบต้า-แคโรทีน (Beta-carotene) ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และวิตามินซี (Vitamin C) ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดอาการอักเสบ ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง ช่วยรักษาสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ชะลอการเสื่อมของจอประสาทตา มีส่วนช่วยพัฒนาการมองเห็นของเด็กเล็ก ลดการเสื่อมของเซลล์ร่างกาย สร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย และช่วยให้ผิวพรรณสดใส
ผักผลไม้สีเหลืองและสีส้ม: แครอท, ฟักทอง, มันเทศ, ข้าวโพด, มันฝรั่งหวาน, พริกสีเหลือง, ส้ม, เสาวรส, มะม่วง, แคนตาลูป, มะละกอ, สับปะรด เป็นต้น
ผักผลไม้สีขาว
ผักผลไม้สีขาวมีสารสำคัญ คือ แซนโทน (Xanthone) ซึ่งเป็นสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ช่วยต้านอาการอักเสบ ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดไขมันในเลือด ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตและโรคหลอดเลือดหัวใจ ลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง และช่วยลดอาการปวดตามข้อ
ผักผลไม้สีขาว: กล้วย, ลูกแพร์, น้อยหน่า, ลิ้นจี่, มังคุด, งาขาว, ขิง, กระเทียม, ผักกาดขาว, หัวไชเท้า, ดอกกะหล่ำ, ดอกแค, เห็ด, มันฝรั่ง เป็นต้น
ไม่น่าเชื่อใช่ไหมคะว่าผักผลไม้ที่เราทานกันอยู่ทุกวันจะแบ่งได้ตั้ง 5 สี ถ้าถามว่าการกินผักหลายสีป้องกันโรคอะไร ก็บอกได้เลยว่าต้องมาหาคำตอบจากบทความนี้จริง ๆ เพราะแต่ละสีก็มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราอย่างมหาศาล เพราะฉะนั้นนอกจากจะทานอาหารให้ครบ 5 หมู่แล้ว ทุกคนควรทานผักผลไม้ให้ครบ 5 สีในทุก ๆ วันด้วยนะคะ ร่างกายจะได้มีภูมิต้านทาน แข็งแรงไร้โรคภัย นอกจากนี้ยังทำให้เราหุ่นดี ผิวพรรณสดใสเต่งตึง หน้าใสอ่อนกว่าวัย เรียกว่าถ้ากินผักผลไม้ให้ครบ 5 สีเราก็จะสวยจากภายในออกมาถึงภายนอกกันเลย

โรคข้อเสื่อม เป็นโรคข้อเรื้อรัง ชนิดหนึ่ง ที่มีความผิดปกติหลากหลายที่พบได้จากพยาธิสภาพ และจากภาพเอกซเรย์ เริ่มต้นจากมีกา...
30/08/2021

โรคข้อเสื่อม เป็นโรคข้อเรื้อรัง ชนิดหนึ่ง ที่มีความผิดปกติหลากหลายที่พบได้จากพยาธิสภาพ และจากภาพเอกซเรย์ เริ่มต้นจากมีการสึกกร่อนของกระดูกข้อต่อ ส่งผลให้เริ่มมีช่องว่างข้อต่อแคบลง ขนาดของกระดูกข้อต่อใหญ่ขึ้น หรือมีกระดูกงอก ร่วมกับมีการยีด หรือหย่อนยานของเอ็น และกล้ามเนื้อรอบข้อจนส่งผลให้ระยะสุดท้ายมีการผิดรูปของข้อต่อเกิดการคดงอ หรือ ข้อโก่งได้

โรคข้อเสื่อม เกิดขึ้นได้อย่างไร
โรคข้อเสื่อม เป็นโรคข้อเรื้อรัง ชนิดหนึ่ง ที่มีความผิดปกติหลากหลายที่พบได้จากพยาธิสภาพ และจากภาพเอกซเรย์
เริ่มต้นจากมีการสึกกร่อนของกระดูกข้อต่อ ส่งผลให้เริ่มมีช่องว่างข้อต่อแคบลง ขนาดของกระดูกข้อต่อใหญ่ขึ้น หรือมีกระดูกงอก ร่วมกับมีการยีด หรือหย่อนยานของเอ็น และกล้ามเนื้อรอบข้อจนส่งผลให้ระยะสุดท้ายมีการผิดรูปของข้อต่อเกิดการคดงอ หรือ ข้อโก่งได้
ในปัจจุบันยังไม่มีใครทราบว่า โรคข้อเสื่อมเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่สาเหตุหลัก มักเกิดจากการมีแรงกระทำที่ข้อต่อซ้ำๆ มากกว่าปกติ
บุคคลใดที่มีความเสี่ยงต่อโรคข้อเสื่อม ?
ภาวะอ้วน ซึ่งมักพบว่าภาวะอ้วนกับโรคข้อเสื่อมมีความสัมพันธ์กันโดยตรง ซึ่งอาการของโรคจะดีขึ้นเมื่อน้ำหนักลดลง
ความหนาแน่นของกระดูก พบว่าในเพศหญิงที่มีข้อเสื่อม มักมีความหนาแน่นของกระดูกมากกว่าเพศหญิง ที่ไม่มีข้อเสื่อม ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากกระดูกใต้กระดูกอ่อนที่ห่อหุ้มอยู่มีความแข็งตัวมากไม่สามารถดูดซับแรงกระแทกต่อกระดูกอ่อนได้ดี จึงทำให้เกิดการสึกหรอได้ง่าย
โรคความผิดปกติของข้อบางชนิด ซึ่งมักส่งผลให้ผิวของข้อไม่เรียบหรือมีข้อต่อเคลื่นไปจากปกติจึงทำให้เกิดความเสื่อมของข้อตามมาได้
ภาวะบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผิวข้อโดยตรง ทำให้ผิวข้อไม่เรียบ หรือไม่เข้าที่
ลักษณะอาชีพ พบว่าในอาชีพที่ต้องงอเข่าบ่อยๆ หรือนักกีฬาบางประเภท เช่น นักวิ่งมาราธอน ซึ่งมักพบปัญหาของข้อเสื่อได้บ่อยมากกว่าคนทั่วไป ประวัติครอบครัว (กรรมพันธ์) ในเพศหญิงที่มีมารดาเป็นข่อเสื่อม มีโอกาสเป็นข้อเสื่อมมากกว่าคนทั่วไป

บุคคลใดมีความเสี่ยงต่อโรคข้อเสื่อม ?
ผู้ที่มีอายุในช่วง 45-50 ปี
พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
ผู้ที่มีอายุมากว่า 65 ปี จะพบข้อเข่าเสื่อมจากภาพเอกซเรย์ ประมาณ 50%
ผู้ที่มีอายุมากว่า 75 ปี จะพบข้อเสื่อมอย่างน้อย 1 ข้อ แต่มักไม่มีอาการ

อาการของโรคข้อเสื่อมเป็นอย่างไร
ปวดข้อ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรกจะมีอาการหลังจากการใช้ข้อนานๆ เมื่อพักอาการจะดีขึ้นระยะหลังจะมีอาการปวดตลอดแม้กระทั่งเวลานอน
ตึงขัดข้อ แต่ควรเป็นระยะสั้นๆ (ไม่เกิน 15 นาที) และอาการจะแย่ลงเมื่ออากาศเย็น
สูญเสียการเคลื่อนไหว ซึ่งขึ้นอยุ่กับตำแหน่งของข้อที่เสื่อม เช่น ที่ข้อนิ่วมือจะมีอาการเหยีดมือลำบาก หรือถ้าเป็นข้อสะโพกก็จะเดินลำบาก
ข้อไม่มั่นคงแข็งแรง ซึ่งเกิดจากการที่กล้ามเนื้อรอบข้อลีบลงนั่นเอง
ข้อบวมและผิดรูป ซึ่งมักเห็นได้ชัดในข้อเข่าที่ผิดรูป โก่ง หรือกางออก ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของโรค ซึ่งเกิดจากการที่กระดูกอ่อน กระดุ และเนื้อเยื่อรอบข้อ ถูกทำลายไปมากแล้ว

มีวิธีการรักษาอย่างไร จะหายขาดหรือไม่
เนื่องจากเราไม่สามารถรักษาข้อที่เสื่อให้หายเป็นขอปกติได้ แต่เราสามารถรักษาเพื่อชะลอการเสื่อมของข้อ หรือผ่อนหนักเป็นเบาได้ซึ่งจุดมุ่งหมายในการรักษาคือ
บรรเทาอาการปวด
รักษาหน้าที่หรือทให้หน้าที่การทำงานของข้อใกล้เคียงปกติมากที่สุด
ป้องกันความพิการของข้อ

แนวทางการรักษา
รักษาโดยการให้คำแนะนำ เพื่อลดปัจจัยเสี่ยง หรือใช้การทำกายภาพบำบัด เพื่อบรรเทาอาการ
รักษาโดยการใช้ยา
รักษาโดยการผ่าตัด

22/08/2021

10 อาหารช่วยบำรุงกระดูก
01
1. ปลา
ปลานับเป็นหนึ่งในแหล่งของแคลเซียลชั้นยอด โดยเฉพาะปลาชาร์ดีนและปลาแซลมอนในรูปแบบกระป๋อง เพราะด้วยความที่มีกระดูกขนาดเล็กและได้ผ่านกรรมวิธีการผลิต จึงทำให้กระดูกนิ่มและสามารถเคี้ยวได้ทั้งหมด จะได้รับแคลเซียมได้อย่างดี
02
2. โยเกิร์ต
ของหวานยอดฮิตในหมู่สาวๆ คงหนีไม่พ้นโยเกิร์ต เพราะไม่ได้มีแต่รสชาติที่อร่อยถูกปากเท่านั้น แต่การทานโยเกิร์ตสามารถช่วยป้องกันการเกิด “โรคกระดูกเสื่อม” ได้อีกด้วย เพราะอุดมไปด้วยวิตามิน บี2 บี12 แคลเซียม แมกนีเซียม เป็นต้น
03
3. นม
เครื่องดื่มที่คุ้นเคยตั้งแต่เด็กๆ นั่นก็คือ นม เพราะไม่เพียงแต่เป็นแหล่งข้อโปรตีนเท่านั้น นมยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญอย่างแคลเซียลแลัวิตามินอื่นๆอีกด้วย
04
4. ไข่
อาหารสามัญประจำบ้านๆที่เต็มไปด้วยคุณประโยชน์อย่าง แคลเซียม โฟเลต ฟอสฟอรัส ซีลีเนียม วิตามินดี ฯลฯ ทั้งนี้โปรตีนจะช่วยปกป้องกระดูกของคุณ ทำให้ผม และเล็บมีสุขภาพดี
06
5. ผักตระกูลกะหล่ำ
ผักในตระกูลกะหล่ำอุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามินบี6 โฟเลต ธาติเหล็ก แมงกานีส และธาตุจำเป็นต่อการเสริมสร้างมวลกระดูกให้แข็งแรงอย่างแมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และแคลเซียม
07
6. กล้วย
กล้วยเป็นหนึ่งในอาหารที่สามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกเสื่อมได้ ซึ่งการทาานกล้วยเป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียม และสารอาหารอื่นๆ ที่มีส่วนช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้ดี อีกทั้งยังช่วยลดความดันโลหิต ป้องกันโรคหัวใจ และหลอดเลือดตีบตันได้อีกด้วย
08
7. ถั่วฝัก
ถั่วฝักไม่ได้มีแต่เพียงไฟเบอร์ และสารต้านอนุมูลอิสระเท่านั้น แต่ยังมีแคลเซียมสูงอีกด้วย จึงไม่แปลกที่ถั่วฝักจะมีส่วนช่วยในเรื่องการป้องกัน โรคกระดูกเสื่อม
05
8. ผัก และผลไม้บางชนิด
ผัก และผลไม้บางชนิดไม่ว่าจะเป็นแอปเปิ้ล ส้ม เชอร์รี สตรอว์เบอร์รี บีท พริกหวานแดง เป็นต้น ล้วนแต่อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินดี ธาตุแมกนีเซียม และฟอสฟอรัส โดยวิตามินซีจะช่วยชะลอการสูญเสียกระดูก อีกทั้งยังเพิ่มมวลกระดูกและลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะกระดูกหักอีกด้วย
011
9. ถั่วอัลมอนด์
ถั่วที่นิยมนำมาเป็นส่วนหนึ่งของขนมหวานอย่าง ถั่วอัลมอนด์ ถูกจัดว่าเป็นแหล่งของแมงกานีส วิตามินอี ไบโอติน คอปเปอร์ และไบโอฟลาวิน ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงนั้นเอง
09
10. ถั่วงอก
เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไฟเบอร์ ไทอามีน คอปเปอร์ เหล็ก แมงกานีส ฟอสฟอรัส วิตามินดี ฯลฯ ซึ่งนอกจากจะ

นอกจากนี้ผักแต่ละสียังอุดมไปด้วยประโยชน์ต่างกัน เช่น   สีเหลืองส้ม มีสารเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงสายตา ลดความเสี่ยงของโรคหั...
21/08/2021

นอกจากนี้ผักแต่ละสียังอุดมไปด้วยประโยชน์ต่างกัน เช่น สีเหลืองส้ม มีสารเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงสายตา ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สีแดง มีสารไลโคพีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด และยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิด สีเขียว มีสารคลอโรฟิลล์ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันเซลล์ถูกทำลาย ลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง สีม่วง มีสารแอนโทไซยานิน มีส่วนช่วยในการชะลอความเสื่อมของเซลล์ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ และยับยั้งเชื้อ E. coli ในทางเดินอาหารที่ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษได้ สีขาว-น้ำตาลอ่อน มีสารอัลลิซิน ช่วยลดโคเลสเตอรอลในเลือดป้องกันเส้นเลือดอุดตัน ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งได้

ดีบูนช่วยอะไร และดีอย่างไร
19/08/2021

ดีบูนช่วยอะไร และดีอย่างไร

7 ผลไม้ลดความอ้วนแม้ผลไม้จะมีประโยชน์ มีสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยปรับสมดุลให้การทำงานในร่างกายเป็นปกติ แต่ไม่ใช่ผลไม้ทุ...
16/08/2021

7 ผลไม้ลดความอ้วน
แม้ผลไม้จะมีประโยชน์ มีสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยปรับสมดุลให้การทำงานในร่างกายเป็นปกติ แต่ไม่ใช่ผลไม้ทุกชนิดจะเหมาะสำหรับกินในช่วงลดน้ำหนัก โดยต้องเลือกกินผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อย แต่ให้พลังงาน คุณค่าทางอาหาร และช่วยให้อิ่มท้องได้ สำหรับผลไม้ลดความอ้วนที่แนะนำ มีดังนี้

1. แก้วมังกร
แก้วมังกรเป็นผลไม้ลดความอ้วนที่หลายคนเลือกกินแทนมื้อเย็น เนื่องจากมีแคลอรีต่ำ รสชาติไม่หวานมาก แถมยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัย บำรุงผิวพรรณ มีกากใยสูงช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ แนะนำให้หั่นแก้วมังกรเป็นชิ้นเล็กๆ ขนาดพอดีคำแช่ตู้เย็นไว้ หิวเมื่อไรก็หยิบมากินแก้หิวได้เลย


2. อะโวคาโด
เรียกได้ว่าเป็นผลไม้ที่กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ ในผลอะโวคาโดประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงวิตามินอี วิตามินเอ วิตามินบี และวิตามินซี อีกทั้งยังมีกรดไขมันที่ดี ไขมันไม่อิ่มตัว ที่ช่วยเผาผลาญไขมันอิ่มตัวในร่างกาย อะโวคาโดจึงกลายเป็นผลไม้ในเมนูเพื่อสุขภาพ สลัด และอาหารคลีน


3. แอปเปิลเขียว
แอปเปิลเขียวเป็นผลไม้ลดความอ้วนที่มีมีปริมาณน้ำตาลน้อยกว่าแอปเปิลสีแดง โดยแอปเปิลเขียว 100 กรัม จะให้พลังงานประมาณ 52 แคลอรี มีใยอาหารสูง ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย อุดมไปด้วยวิตามินซี ทำให้ผิวสวยแข็งแรง นอกจากนี้ยังมีช่วยลดคอเลสเตอรอล น้ำตาลในเลือด และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้อีกด้วย

4. แตงโม
หลายคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าแตงโมเป็นผลไม้ที่ทำให้อ้วน เนื่องจากมีรสหวานและฉ่ำน้ำ แต่จริงๆ แล้วแตงโมเป็นผลไม้ช่วยลดน้ำหนัก แถมทำให้กินแล้วรู้สึกอิ่มเร็ว มีใยอาหารสูง แคลอรีต่ำ เนื้อแตงโมอุดมไปด้วยแคลเซียม โพแทสเซียม เบตาแคโรทีน ซึ่งมีส่วนช่วยบำรุงร่างกาย และป้องกันภาวะไขมันอุดตันในเส้นเลือด



5. แคนตาลูป
ผลไม้ลดน้ำหนักที่จะลืมไม่ได้เลยคือแคนตาลูป มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวพรรณ เส้นผม และเล็บ ให้มีสุขภาพดี อีกทั้งยังมีวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรง ต้านการอักเสบ ทำให้ร่างกายติดเชื้อยากขึ้น อีกทั้งโพแทสเซียมในเนื้อแคนตาลูปยังช่วยควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติ

6. ฝรั่ง
การกินฝรั่งเป็นหนึ่งในวิธีลดน้ำหนักด้วยผลไม้ เนื่องจากฝรั่งช่วยให้อิ่มง่าย รสชาติกรอบอร่อย อุดมไปด้วยวิตามินซี กินแก้หิวแทนขนมหวานได้ดี ประโยชน์ของฝรั่งยังช่วยสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัย รวมถึงเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยหรือเป็นหวัดบ่อย


7. ส้ม
ส้มเป็นผลไม้ราคาไม่แพง หากินได้ง่าย ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย เนื่องจากมีไฟเบอร์และใยอาหารสูง แคลเซียมและวิตามินจากส้มยังช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงอีกด้วย ผลส้ม 100 กรัม มีพลังงานประมาณ 47 แคลอรีเท่านั้น หลายคนจึงเลือกกินส้มเป็นผลไม้ลดหุ่น รวมถึงนำไปทำน้ำส้มคั้นก็ดื่มอร่อยไม่แพ้กัน


อย่างไรก็ตาม ไม่ควรกินผลไม้ลดความอ้วนเพียงอย่างเดียว เพราะการจะมีหุ่นสวยควบคู่สุขภาพดีได้นั้น ควรกินอาหารประเภทอื่นๆ ให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน พักผ่อนให้เพียงพอ และต้องหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

15/08/2021

ร่างกายของมนุษย์เรานั้นมีองค์ประกอบของน้ำ 50-70% ไม่ว่าจะเป็นภายในเซลล์ ตามอวัยวะต่างๆ ระบบการทำงานของร่างกายทั้งหมด หรือเลือดที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ ทั้งยังเป็นสารอาหารที่สำคัญของมนุษย์ในการดำรงชีวิตในทุกช่วงทุกวัย การดื่มน้ำบ่อยนั้นก็เป็นการสร้างเสริมสุขภาพที่ดี แต่ก็ควรมีระยะเวลาในการดื่มน้ำ และวิธีดื่มน้ำตามที่ร่างกายของมนุษย์สมควรได้รับ



ดื่มน้ำอย่างไร ให้สุขภาพดี

- ตื่นนอนตอนเช้าควรจะดื่มน้ำอุ่น เพราะน้ำอุ่นดื่มง่ายกว่าน้ำธรรมดา และอุณหภูมิของน้ำที่ดื่มไม่ต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกาย จึงไม่เป็นการไปดึงอุณหภูมิร่างกายให้เย็นลง หรืออาจเป็นน้ำที่อุณหภูมิห้องก็ได้ ควรดื่ม 1-3 แก้วให้ได้อย่างต่ำ 500-750 มิลลิลิตร ช่วงเวลาหลังตื่นนอนเป็นช่วงที่มีความเข้มข้นของเลือดสูง ร่างกายและเลือดจะมีลักษณะขาดน้ำ และเพื่อกระตุ้นระบบขับถ่าย

- 15 นาทีก่อนอาหาร ระหว่างทานอาหาร และหลังทานอาหาร 30 นาที ทั้ง 3 เวลานี้ ดื่มน้ำรวมกันทั้งหมดไม่ควรเกินครึ่งแก้ว เพราะหากดื่มน้ำมากเกินไประหว่างทานอาหารจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเจือจางลง ส่งผลต่อระบบการย่อยอาหารร่างกายย่อยอาหารได้ไม่ดี

- ช่วงเวลาประมาณ 9 โมงถึง 10 โมงเช้า ควรดื่มน้ำให้ได้ 2 แก้ว ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีของเสียเกิดขึ้น เพราะร่างกายได้ทํางานไประยะหนึ่งแล้ว ควรดื่มน้ำเพื่อมาชําระของเสียเหล่านั้นออกไป

- ตลอดทั้งวัน ดื่มน้ำทีละนิด แบบจิบทีละ 2 – 3 อึก จิบบ่อยๆ ดีกว่าการดื่มน้ำครั้งละมากๆ เพราะเป็นการเพิ่มภาระให้กับระบบย่อยอาหาร และระบบขับถ่าย

- ก่อนนอนให้ดื่มน้ำอีก 1-2 แก้ว ให้มากกว่า 250 มิลลิลิตร เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลําไส้และกระเพาะอาหาร ถ้าเป็นน้ำอุ่นจะยิ่งช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น

ประโยชน์ของการดื่มน้ำ

1. ช่วยบำรุงสุขภาพผิวให้ดีขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้น ป้องกันเรื่องริ้วรอยและผิวแห้งกร้าน

2. ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย

3. ปรับสมดุลให้แก่ร่างกาย

4. ช่วยให้ระบบการหมุนเวียนของเลือดทำงานได้ดีขึ้น

5. ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่

6. ข้อต่อต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดียิ่งขึ้น

7. ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น

8. ช่วยให้อวัยวะภายในร่างกายต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น หัวใจ ไต เป็นต้น

9. ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

น้ำคือสิ่งที่ร่างกายมนุษย์ต้องการมากที่สุด เป็นยารักษาโรคที่ดีที่สุด เพื่อสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น และป้องกันโรคภัยต่างๆ เราจึงควรหันมาใส่ใจกับการดื่มน้ำให้มากยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการพักผ่อน การทานอาหาร และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

06/08/2021

ปวดข้อ ปวดเข่า เข่าเสื่อม เข่ามีเสียงดังก๊อบแก๊บ น้ำในข้อเข่าแห้ง ข้อเข่าอักเสบ นั่งยองๆไม่ได้ โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท กล้ามเนื้อหนีบเส้นประสาท ปวดสะโพกร้าวลงขา เท้าชา มือชา นิ้วล็อค กล้ามเนื้อยึด เส้นยึด เอ็นยึด ยืนนานๆไม่ได้ ปวดกระดูก กระดูกเสื่อม ปวดหลัง ปวดเอว ปวดคอ/บ่า/ไหล่ ไหล่ตึง กระดูกคอเสื่อม ออฟฟิศซินโดรม..
เลขอย. 10-1-15456-5-0002
1 กล่องมี 5 ซอง ราคากล่องละ 1,085 บาท
สนใจสั่งซื้อ 098-827-6991 เจมส์

28/07/2021

ทำความรู้จักน้ำไขข้อเทียม

ปกติร่างกายจะมีน้ำไขข้อ ลักษณะเหนียวและยืดหยุ่น ช่วยให้ข้อต่อต่างๆ เคลื่อนไหวได้ง่าย ช่วยหล่อลื่นผิวกระดูกอ่อนเพื่อลดการเสียดสีเมื่องอหรือเหยียดหัวเข่า รวมถึงช่วยลดแรกกดของผิวกระดูกข้อเข่า ขณะเดินหรือวิ่ง

ในบางภาวะ เช่น เมื่ออายุมากขึ้นหรือใช้งานข้อต่อหนักเกินไป น้ำในข้อก็จะมีปริมาณลดลง ส่งผลให้ข้อต่อต่างๆ เสื่อมสภาพหรือมีการบาดเจ็บของข้อ น้ำไขข้อจะผิดปกติไป อาจจะมีปริมาณลดลง น้ำไขข้อเทียมเป็นกลุ่มสารประกอบสังเคราะห์ เลียนแบบคุณสมบัติของน้ำในไขข้อ ซึ่งมีคุณสมบัติ สร้างความหล่อลื่นในข้อ ลดการอักเสบ และเป็นสารตั้งต้นให้ผิวข้อและเยื่อหุ้มข้อสามารถสร้างน้ำในข้อเพิ่มขึ้น ดังนั้นการฉีดน้ำไขข้อเทียมเข้าไปทดแทนจะช่วยลดอาการบาดเจ็บของข้อลงได้

น้ำไขข้อเทียมสามารถแบ่งตามขนาดโมเลกุล เป็นกลุ่มโมเลกุลใหญ่ กลุ่มขนาดกลาง และกลุ่มขนาดเล็ก โดยโมเลกุลขนาดใหญ่มีความโดดเด่นในการหล่อลื่น ส่วนขนาดกลางและเล็กจะมีคุณสมบัติเด่นเรื่องการเป็นสารตั้งต้นของน้ำในไขข้อ ผิวข้อ และเยื่อหุ้มข้อ ซึ่งปกติแพทย์จะพิจารณาใช้ตามคุณสมบัติและตามความเหมาะสม
การรักษาด้วยน้ำไขข้อเทียม

ข้อบ่งชี้ชัดเจนที่จำเป็นต้องได้รับการฉีดน้ำไขข้อเทียม คือผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม ในกลุ่มที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบใช้ยา แต่ยังไม่ถึงขั้นต้องเข้ารับการผ่าตัด เรียกว่าอยู่กึ่งกลางระหว่างการใช้ยากับการผ่าตัดนั่นเอง โดยการฉีดน้ำไขข้อเทียมจะมีประสิทธิภาพในการรักษาประมาณ 6 เดือน นอกจากนี้ยังใช้ในกรณีที่ผิวข้อมีการบาดเจ็บร่วมด้วย เช่นผิวข้อลูกสะบ้าบาดเจ็บ และยังสามารถใช้ร่วมกับการผ่าตัดโดยฉีดน้ำไขข้อเทียมหลังการผ่าตัดผิวข้อ เพื่อช่วยฟื้นฟูผู้ป่วยให้สามารถกลับมาใช้ข้อต่อที่บาดเจ็บได้เร็วขึ้น
ความแตกต่างของการใช้ PRP (Platelet Rich Plasma) กับน้ำไขข้อเทียม

การพิจารณารักษาผู้ป่วยข้อเสื่อมว่าควรใช้การฉีดเกล็ดเลือด PRP หรือน้ำไขข้อเทียมขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ เนื่องจากการรักษาทั้ง 2 วิธี มีหลักการแตกต่างกัน

การฉีดน้ำไขข้อเทียม มุ่งเน้นรักษาผู้ป่วยข้อเสื่อม โดยการเพิ่มน้ำหล่อลื่นและกระตุ้นสารตั้งต้นผิวข้อ ส่วนการฉีดเกล็ดเลือดเป็นการรักษาเพื่อกระตุ้นให้มีการซ่อมแซมเนื้อเยื่อหรือข้อที่เสื่อม ซึ่งทั้งสองวิธีสามารถฉีดหลังการผ่าตัด โดยใช้น้ำไขข้อเทียมช่วยปรับสมดุลน้ำในข้อ และฉีดเกล็ดเลือดเพื่อลดการอักเสบ ซึ่งอาจใช้ร่วมกันได้ แต่ไม่นิยมฉีดพร้อมกัน เนื่องจากข้อจะรับภาระมากเกินไป ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ร่วมกันแพทย์อาจพิจารณาให้ฉีดน้ำไขข้อเทียมก่อน จากนั้นจึงนัดมาฉีดเกล็ดเลือด (PRP) ในครั้งต่อไป หรือฉีดเกล็ดเลือด (PRP) ก่อน แล้วจึงฉีดน้ำไขข้อเทียมก็ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับอาการของคนไข้

27/07/2021

โรคข้อเสื่อม เป็นโรคข้อเรื้อรัง ชนิดหนึ่ง ที่มีความผิดปกติหลากหลายที่พบได้จากพยาธิสภาพ และจากภาพเอกซเรย์ เริ่มต้นจากมีการสึกกร่อนของกระดูกข้อต่อ ส่งผลให้เริ่มมีช่องว่างข้อต่อแคบลง ขนาดของกระดูกข้อต่อใหญ่ขึ้น หรือมีกระดูกงอก ร่วมกับมีการยีด หรือหย่อนยานของเอ็น และกล้ามเนื้อรอบข้อจนส่งผลให้ระยะสุดท้ายมีการผิดรูปของข้อต่อเกิดการคดงอ หรือ ข้อโก่งได้

โรคข้อเสื่อม เกิดขึ้นได้อย่างไร
โรคข้อเสื่อม เป็นโรคข้อเรื้อรัง ชนิดหนึ่ง ที่มีความผิดปกติหลากหลายที่พบได้จากพยาธิสภาพ และจากภาพเอกซเรย์
เริ่มต้นจากมีการสึกกร่อนของกระดูกข้อต่อ ส่งผลให้เริ่มมีช่องว่างข้อต่อแคบลง ขนาดของกระดูกข้อต่อใหญ่ขึ้น หรือมีกระดูกงอก ร่วมกับมีการยีด หรือหย่อนยานของเอ็น และกล้ามเนื้อรอบข้อจนส่งผลให้ระยะสุดท้ายมีการผิดรูปของข้อต่อเกิดการคดงอ หรือ ข้อโก่งได้
ในปัจจุบันยังไม่มีใครทราบว่า โรคข้อเสื่อมเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่สาเหตุหลัก มักเกิดจากการมีแรงกระทำที่ข้อต่อซ้ำๆ มากกว่าปกติ
บุคคลใดที่มีความเสี่ยงต่อโรคข้อเสื่อม ?
ภาวะอ้วน ซึ่งมักพบว่าภาวะอ้วนกับโรคข้อเสื่อมมีความสัมพันธ์กันโดยตรง ซึ่งอาการของโรคจะดีขึ้นเมื่อน้ำหนักลดลง
ความหนาแน่นของกระดูก พบว่าในเพศหญิงที่มีข้อเสื่อม มักมีความหนาแน่นของกระดูกมากกว่าเพศหญิง ที่ไม่มีข้อเสื่อม ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากกระดูกใต้กระดูกอ่อนที่ห่อหุ้มอยู่มีความแข็งตัวมากไม่สามารถดูดซับแรงกระแทกต่อกระดูกอ่อนได้ดี จึงทำให้เกิดการสึกหรอได้ง่าย
โรคความผิดปกติของข้อบางชนิด ซึ่งมักส่งผลให้ผิวของข้อไม่เรียบหรือมีข้อต่อเคลื่นไปจากปกติจึงทำให้เกิดความเสื่อมของข้อตามมาได้
ภาวะบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผิวข้อโดยตรง ทำให้ผิวข้อไม่เรียบ หรือไม่เข้าที่
ลักษณะอาชีพ พบว่าในอาชีพที่ต้องงอเข่าบ่อยๆ หรือนักกีฬาบางประเภท เช่น นักวิ่งมาราธอน ซึ่งมักพบปัญหาของข้อเสื่อได้บ่อยมากกว่าคนทั่วไป ประวัติครอบครัว (กรรมพันธ์) ในเพศหญิงที่มีมารดาเป็นข่อเสื่อม มีโอกาสเป็นข้อเสื่อมมากกว่าคนทั่วไป

บุคคลใดมีความเสี่ยงต่อโรคข้อเสื่อม ?
ผู้ที่มีอายุในช่วง 45-50 ปี
พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
ผู้ที่มีอายุมากว่า 65 ปี จะพบข้อเข่าเสื่อมจากภาพเอกซเรย์ ประมาณ 50%
ผู้ที่มีอายุมากว่า 75 ปี จะพบข้อเสื่อมอย่างน้อย 1 ข้อ แต่มักไม่มีอาการ

อาการของโรคข้อเสื่อมเป็นอย่างไร
ปวดข้อ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรกจะมีอาการหลังจากการใช้ข้อนานๆ เมื่อพักอาการจะดีขึ้นระยะหลังจะมีอาการปวดตลอดแม้กระทั่งเวลานอน
ตึงขัดข้อ แต่ควรเป็นระยะสั้นๆ (ไม่เกิน 15 นาที) และอาการจะแย่ลงเมื่ออากาศเย็น
สูญเสียการเคลื่อนไหว ซึ่งขึ้นอยุ่กับตำแหน่งของข้อที่เสื่อม เช่น ที่ข้อนิ่วมือจะมีอาการเหยีดมือลำบาก หรือถ้าเป็นข้อสะโพกก็จะเดินลำบาก
ข้อไม่มั่นคงแข็งแรง ซึ่งเกิดจากการที่กล้ามเนื้อรอบข้อลีบลงนั่นเอง
ข้อบวมและผิดรูป ซึ่งมักเห็นได้ชัดในข้อเข่าที่ผิดรูป โก่ง หรือกางออก ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของโรค ซึ่งเกิดจากการที่กระดูกอ่อน กระดุ และเนื้อเยื่อรอบข้อ ถูกทำลายไปมากแล้ว

มีวิธีการรักษาอย่างไร จะหายขาดหรือไม่
เนื่องจากเราไม่สามารถรักษาข้อที่เสื่อให้หายเป็นขอปกติได้ แต่เราสามารถรักษาเพื่อชะลอการเสื่อมของข้อ หรือผ่อนหนักเป็นเบาได้ซึ่งจุดมุ่งหมายในการรักษาคือ
บรรเทาอาการปวด
รักษาหน้าที่หรือทให้หน้าที่การทำงานของข้อใกล้เคียงปกติมากที่สุด
ป้องกันความพิการของ

20/07/2021

ข้อเข่าเสื่อมและวิธีการถนอมข้อเข่าเทียม
โรคข้อเข่าเสื่อม หมายถึง โรคที่เกิดจากความเสื่อมของกระดูกอ่อนผิวข้อ ทั้งทางด้านรูปร่าง โครงสร้าง การทำงานของกระดูกข้อต่อและกระดูกบริเวณใกล้ข้อ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่สามารถกลับสู่สภาพเดิมและอาจมีความเสื่อมรุนแรงขึ้นตามลำดับ
สาเหตุความเสื่อมของข้อเข่า

ความเสื่อมแบบปฐมภูมิหรือไม่ทราบสาเหตุ เป็นภาวะที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของผิวกระดูกอ่อนตามวัย
ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความเสื่อมของข้อเข่า ได้แก่
อายุ พบว่า อายุ 40 ปี เริ่มมีข้อเสื่อม อายุ 60 ปี เป็นข้อเข่าเสื่อมได้ถึงร้อยละ 40
เพศ ผู้หญิงพบมากกว่าผู้ชาย 2 – 3 เท่า ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อของร่างกาย
น้ำหนักตัวที่เกิน น้ำหนักตัวมีความสัมพันธ์อย่างมากกับเข่าเสื่อม พบว่าน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น 0.5 กิโลกรัม จะเพิ่มแรงที่กระทำต่อข้อเข่า 1 – 1.5 กิโลกรัม ขณะเดียวกันเซลล์ไขมันที่มากเกินไปจะมีผลต่อเซลล์กระดูกอ่อนและเซลล์กระดูกส่งผลให้ข้อเสื่อมเร็วขึ้น
การใช้งาน ท่าทาง กิจกรรมที่มีแรงกดต่อข้อเข่ามาก เช่น การนั่งคุกเข่า พับเพียบ ขัดสมาธิ ขึ้นลงบันไดบ่อย ๆ เป็นต้น
ความบกพร่องของส่วนประกอบของข้อ เช่น ข้อเข่าหลวม กล้ามเนื้อต้นขาอ่อนแรง
กรรมพันธุ์ โรคข้อเข่าเสื่อมมีหลักฐานการถ่ายทอดทางพันธุกรรมน้อยกว่าที่ข้อนิ้วมือเสื่อม

ความเสื่อมแบบทุติยภูมิ เป็นความเสื่อมที่ทราบสาเหตุ เช่น เคยประสบอุบัติเหตุมีการบาดเจ็บที่ข้อ เส้นเอ็น การบาดเจ็บเรื้อรังที่บริเวณข้อเข่าจากการทำงานหรือการเล่นกีฬา โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เกาต์ ข้ออักเสบติดเชื้อ โรคของต่อมไร้ท่อ เช่น อ้วน เป็นต้น

อาการโรคข้อเข่าเสื่อม



อาการระยะแรก เริ่มปวดเข่าเวลามีการเคลื่อนไหว เช่น เดิน ขึ้นลงบันได หรือนั่งพับเข่า อาการจะดีขึ้นเมื่อหยุดพักการใช้ข้อ ร่วมกับมีอาการข้อฝืดขัด โดยเฉพาะเมื่อหยุดการเคลื่อนไหวเป็นเวลานาน เมื่อขยับข้อจะรู้สึกถึงการเสียดสีของกระดูกหรือมีเสียงดังในข้อ
อาการเมื่อมีภาวะข้อเสื่อมรุนแรง อาการปวดจะรุนแรงมากขึ้น บางครั้งปวดเวลากลางคืน อาจคลำส่วนกระดูกงอกได้บริเวณด้านข้างข้อ เมื่อเกร็งกล้ามเนื้อต้นขาเต็มที่จะมีอาการปวดหรือเสียวบริเวณกระดูกสะบ้า หากมีการอักเสบจะมีข้อบวม ร้อน และตรวจพบน้ำในช่องข้อ ถ้ามีข้อเสื่อมมานานจะพบว่า เหยียดหรืองอข้อเข่าได้ไม่ค่อยสุด กล้ามเนื้อต้นขาลีบ ข้อเข่าโก่ง หลวม หรือบิดเบี้ยวผิดรูป ทำให้เดินและใช้ชีวิตประจำวันลำบาก และมีอาการปวดเวลาเดินหรือขยับ

ข้อเสื่อมโรคข้อเสื่อม ระยะเริ่มต้นจะมีอาการปวดสัมพันธ์กับการใช้งาน ระยะปานกลาง เมื่อกระดูกอ่อนเริ่มสึกกร่อน ข้ออาจมีการอ...
19/07/2021

ข้อเสื่อม
โรคข้อเสื่อม ระยะเริ่มต้นจะมีอาการปวดสัมพันธ์กับการใช้งาน ระยะปานกลาง เมื่อกระดูกอ่อนเริ่มสึกกร่อน ข้ออาจมีการอักเสบร่วมกับข้อเริ่มโค้งงอ เหยียดงอไม่สุด ระยะรุนแรง เมื่อกระดูกอ่อนสึกกร่อนมากขึ้น ข้อเริ่มหลวมไม่มั่นคง ข้อหนาตัวขึ้น จากกระดูกงอกหนา ข้อโก่งงอ ผิดรูปชัดเจน เวลาเดินต้องกางขากว้างขึ้น กล้ามเนื้อรอบข้อลีบเล็กลง ขณะลุกขึ้นจากท่านั่งจะมีอาการปวดที่รุนแรง

เอส แอล อี
โรคเอส แอล อี เป็นโรคเรื้อรังที่มีอาการเกิดขึ้นกับหลายอวัยวะหรือหลายระบบของร่างกาย บางรายอาการเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน บางรายมีการแสดงออกเพียงอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งทีละระบบ มักมีอาการทางข้อและกล้ามเนื้อเป็นอาการนำ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการปวดข้อ มักเป็นข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อไหล่ ข้อเข่า หรือข้อเท้า บางครั้งมีบวมแดงร้อนร่วมด้วยคล้ายผู้ป่วยรูมาตอยด์ แต่บางรายอาจรุนแรงถึงชีวิต

รูมาตอยด์
โรครูมาตอยด์ อาการปวดข้อมักเกิดมากที่สุดช่วงตื่นนอน อาจมีอาการอยู่ 1 – 2 ชั่วโมง หรือทั้งวันก็ได้ มีอาการปวด บวม และเคลื่อนไหวข้อลำบาก ตำแหน่งของข้อที่มีอาการปวดมากที่สุดมักจะเป็นที่ข้อมือและข้อนิ้วมือ แต่มีโอกาสปวดข้อไหนก็ได้ ลักษณะอาการปวดข้อช่วงเช้านี้เป็นลักษณะสำคัญของโรครูมาตอยด์ นอกจากอาการทางข้อแล้ว ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มีไข้ต่ำ ๆ ตาแห้ง ปากแห้งผิดปกติ พบก้อนใต้ผิวหนังบริเวณข้อศอกและข้อนิ้วมือ

สาเหตุโรครูมาตอยด์ เกิดขึ้นจากความผิดปกติของระบบภูมิต้านทานอย่างหนึ่ง โดยภูมิต้านทานของผู้ป่วยมีการทำลายและกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อและกระดูกรอบข้อ บางรายรุนแรงจนพิการจากกระดูกถูกทำลาย ผิดรูป จากความก้าวหน้าทางการแพทย์ในระยะหลัง ทำให้เกิดความเข้าใจถึงตัวแปรต่าง ๆ ในกระบวนการอักเสบมากขึ้นจนมีการค้นพบตัวยาใหม่ ๆ ที่จะยับยั้งขบวนการอักเสบ และลดการทำลายของข้อ ซึ่งหากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยและรักษาได้เร็ว จะสามารถยับยั้งการทำลายของเนื้อเยื่อและกระดูกรอบข้อได้ โรครูมาตอยด์จะพบได้ประมาณร้อยละ 0.5 – 1.0 ของประชากรในประเทศไทย

โรคกระดูกสันหลังเสื่อมโรคกระดูกสันหลังเสื่อม มักเกิดในผู้มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไปเกิดได้บ่อยในกระดูกสันหลังระดับคอและระ...
17/07/2021

โรคกระดูกสันหลังเสื่อม
โรคกระดูกสันหลังเสื่อม มักเกิดในผู้มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไปเกิดได้บ่อยในกระดูกสันหลังระดับคอและระดับเอวเกิดจากการเสื่อมสภาพตามธรรมชาติของเนื้อเยื่อ อวัยวะต่างๆรวมถึงกระดูกสันหลังด้วยทั้งนี้กระดูกสันหลังผ่านการใช้งานมานานจะส่งผลให้กระดูกหมอนรองกระดูก เส้นเอ็น กระดูก และกล้ามเนื้อหลังเสื่อมสภาพ หรืออาจเกิดจากการเล่นกีฬา อุบัติเหตุ ภาวะที่มีกระดูกคดงอผิดรูปแต่กำเนิด หรือกระดูกสันหลังติดเชื้อ เช่นวัณโรค

สาเหตุ
การทำงานมากกว่าปกติ การเล่นกีฬา การใช้งานหลังอย่างหนัก ก้มๆเงยๆ น้ำหนักตัวมาก อ้วนกล้ามเนื้อหลังและท้องไม่แข็งแรงและจากหมอนรองกระดูกเคลื่อน
กลุ่มผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปกระดูกสันหลังมักมีการงอกของกระดูกเพิ่มขึ้นมีการเสื่อมของกล้ามเนื้อและเอ็นต่างๆ และอาจมีปัจจัยเสริมจากโรคที่พบร่วมด้วย เช่น โรคหัวใจโรคเบาหวาน ซึ่งจะทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนเพิ่มขึ้น
ปัจจัยอื่นๆ เช่น พันธุกรรมผลข้างเคียงจากยาบางชนิดที่ใช้เป็นประจำ เช่น ยาสเตียรอยด์อาหาร น้ำหนักตัว ความแข็งแรงของร่างกาย
อาการ
ปวดหลัง ปวดคอเป็นๆ หายๆ อาการมักเป็นเรื้อรังอาการรุนแรงมากขึ้นเมื่อเปลี่ยนท่าทาง ขณะทำกิจกรรมต่างๆอาการปวดจะเสียวร้าวลงมาที่สะโพก คอ ไหล่ แขน มือ น่อง เท้าหรือนิ้วอาการปวดร้าวนี้เกิดจากเส้นประสาทที่ไขสันหลังถูกกดทับจากการที่มีกระดูกเสื่อม อาจมีกระดูกสันหลังผิดรูป เช่น หลังคด โก่ง หรือข้อกระดูกเคลื่อน

การรักษา
การรักษาด้วยยา ยาแก้ปวดทั่วไป ยาแก้ปวดต้านอักเสบยาคลายกล้ามเนื้อ
กายภาพบำบัดสามารถลดอาการปวดได้ เช่น การนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังการฝึกใช้กล้ามเนื้อหลังอย่างถูกวิธี รักษาอาการปวดด้วยคลื่นเสียงด้วยความร้อน
การผ่าตัดตามความรุนแรงของอาการเจ็บปวดมีอาการกล้ามเนื้อขาลีบ ชา อ่อนแรงหรือมีอาการรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
การปฏิบัติตัว
ทำกิจกรรมในที่เหมาะสม ไม่ใช้งานหลังที่หนักหรือต่อเนื่องนานเกินไปหลีกเลี่ยงก้มๆ เงยๆ ยกของหนัก พบแพทย์ตามนัดทำกายภาพสม่ำเสมอ และใช้ยาแก้ปวดให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะติดยาแก้ปวด

อาการที่ควรมาพบแพทย์
มีอาการปวดหลังเรื้อรังทั้งส่วนบนและส่วนล่าง เป็นๆ หายๆหรือมีอาการจนมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันมีอาการจากการกดของเส้นประสาทปวดหลังร่วมกับอาการของระบบทางเดินปัสสาวะ เช่นกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ รู้สึกแขนขาอ่อนแรง ชา กังวลในอาการมีปัญหาเดินเกร็ง ท่าเดินผิดปกติ การใช้งานมือไม่คล่องเหมืนเดิม

ปัญหาเรื่องเกี่ยวกับกระดูกดีบูนช่วยท่านได้ #ข้อเข่าเสื่อม #ปวดข้อและกระดูก #รูมาตอยด์  #ข้ออักเสบ #ปวดหลัง #นิ้วล๊อคปรึก...
21/06/2021

ปัญหาเรื่องเกี่ยวกับกระดูก
ดีบูนช่วยท่านได้
#ข้อเข่าเสื่อม #ปวดข้อและกระดูก
#รูมาตอยด์ #ข้ออักเสบ
#ปวดหลัง #นิ้วล๊อค
ปรึกษาฟรี 098-8276991 เจมส์

โรคกระดูกสันหลังเสื่อมกระดูกสันหลังเสื่อม (Spondylosis) เป็นอาการที่กระดูก, หมอนรองกระดูก, ข้อต่อ, เส้นเอ็นกระดูก และกล้...
18/06/2021

โรคกระดูกสันหลังเสื่อม
กระดูกสันหลังเสื่อม (Spondylosis) เป็นอาการที่กระดูก, หมอนรองกระดูก, ข้อต่อ, เส้นเอ็นกระดูก และกล้ามเนื้อหลัง เสื่อมสภาพ ส่งผลให้กระดูกสันหลัง ขาดความยืดหยุ่น แข็งตัวมากขึ้น มักเกิดขึ้นบริเวณกระดูกสันหลังส่วนคอ (Cervical Spine) และกระดูกสันหลังส่วนเอว (Lumbar Spine)
โดยทั่วไปแล้วโรคนี้พบได้ในผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันเริ่มพบในผู้ป่วยที่อายุต่ำกว่านั้นมากขึ้น หากพบว่าความสามารถในการเคลื่อนไหวเริ่มผิดปกติ หรือพบปัญหามือ, แขน, เท้า และขามีอาการชา อ่อนแรง ควรรีบพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุ ประเมินหาแนวทางรักษา และช่วยป้องกันกระดูกสันหลังเสื่อมเพิ่ม
อาการของกระดูกสันหลังเสื่อม
อาการของกระดูกสันหลังเสื่อมจะปรากฏอาการปวดคอ หรือปวดหลังซึ่งอาจเป็น ๆ หายๆ แต่บางคนอาจมีอาการปวดเรื้อรัง หรือบางครั้งอาการปวดอาจจะรุนแรงขึ้นเมื่อเปลี่ยนท่าทาง

อาการอื่น ๆ
อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่
1.ปวดบั้นเอว
2.กระดูกสันหลังติดแข็งและขยับตัวลำบาก
3.มือ แขน เท้า ขา ข้างใดข้างหนึ่ง
หรือทั้งสองข้างมีอาการชา อ่อนแรง และเป็นเหน็บ
4.ปวดศีรษะ มีไข้ กรณีที่เกิดขึ้นบริเวณคอ
5.กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ค่อยอยู่

ในกรณีที่มีการกดเบียดเส้นประสาทรุนแรง จะทำให้เดินลำบาก เดินแล้วไม่สมดุล ไม่มั่นคงเหมือนจะหกล้ม โดยเฉพาะเวลาขึ้นบันได หรือก้าวขาขึ้นรถ เป็นต้น

สาเหตุ
กระดูกสันหลังเสื่อม คือ การที่กระดูก หมอนรองกระดูก ข้อต่อ เส้นเอ็นกระดูก และกล้ามเนื้อหลังเสื่อมสภาพเมื่ออายุเพิ่มขึ้น จากการที่กระดูกสันหลังโค้งงอเป็นเวลานาน จนก่อให้เกิดแรงกดบนหมอนรองกระดูกและข้อต่อของกระดูกสันหลัง และเสียความยืดหยุ่นไป ยกตัวอย่างเช่น การนั่งติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ โดยเฉพาะการนั่งหลังค่อม พอลุกจากเก้าอี้กระดูกสันหลังจะถูกทำให้ตรงในทันทีจึงทำให้เกิดการเสียดทานขึ้น ร่างกายจึงสร้างกระดูกงอกออกมาจากข้อต่อเพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ในบางครั้งกระดูกที่งอกขึ้นมานั้นมีขนาดใหญ่เกินไปจนเบียดกับเส้นประสาทและไขสันหลังทำให้เกิดอาการปวด ซึ่งมักพบทั่วไปในผู้สูงอายุ

อาการปวดจากโรคข้อเข่าเสื่อมหากปล่อยทิ้งไว้ไม่รีบรักษาก็อาจเดินไม่ได้ในที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของ...
21/05/2021

อาการปวดจากโรคข้อเข่าเสื่อมหากปล่อยทิ้งไว้ไม่รีบรักษาก็อาจเดินไม่ได้ในที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
โรคข้อเข่าเสื่อมเกิดจากอะไร
ผู้ป่วยที่มีอาการปวดข้อเข่า ปวดขา ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดจาก “ข้อเข่าเสื่อม” โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป โรคข้อเข่าเสื่อมเกิดจากความเสื่อมของกระดูกอ่อนผิวข้อเสื่อมสภาพและสึกหรอ ทำให้กระดูกบริเวณข้อต่อเสียดสีกันจนเนื้อกระดูกเสื่อมสภาพ เวลาเดินหรือยืนนานๆ ก็จะเริ่มปวด
ปัจจัยที่ทำให้ข้อเข่าเสื่อม
อายุ : อายุมากมีโอกาสเป็นมาก เนื่องจากใช้งานข้อเข่าเป็นเวลานาน
เพศ : เพศหญิงเป็นโรคเข่าเสื่อมมากกว่าเพศชาย 2 เท่า
น้ำหนัก : ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก มีโอกาสข้อเข่าเสื่อมได้มากกว่า
พฤติกรรม : ผู้ที่นั่งยองๆ นั่งคุกเข่า นั่งขัดสมาธิ หรือนั่งพับเพียบนานๆ
เล่นกีฬาที่มีการปะทะ : มักเกิดการปะทะบริเวณหัวเข่า ทำให้หัวเข่าบาดเจ็บ เป็นเหตุให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น
อุบัติเหตุ : ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุมีการกระแทกที่ข้อเข่า หรือกระดูกข้อเข่าแตก เอ็นฉีก ทำให้เกิดข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น
ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก : คนที่ไม่ออกกำลังกายมักมีกล้ามเนื้อข้อเข่าและกระดูกข้อเข่าที่ไม่แข็งแรง
สัญญาณอันตรายของโรคข้อเข่าเสื่อม
เวลาขยับข้อเข่าขึ้นลงจะขยับได้ไม่สุด เนื่องจากปวดข้อ
เวลาขึ้นหรือลงบันได หรืองอเข่ามีเสียงกุบกับ
กินยาแก้ปวดข้อเกิน 3 เดือน แต่อาการไม่ดีขึ้น
อาการสำคัญของโรคข้อเข่าเสื่อม
ในระยะแรกจะมีอาการปวดข้อเข่าเล็กน้อย มีข้อฝืดขัด เมื่อขยับมีเสียงดัง พอขยับหรือเดินก็จะปวดมากขึ้น แต่จะทุเลาลงเมื่อได้พักขา อาการปวดจะค่อยๆ รุนแรงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป การเหยียดเข่าหรืองอเข่าเริ่มทำได้ไม่สุดเพราะมีการยึดติดของข้อเข่า มีอาการเข่าหลวมทำให้เดินล้มบ่อย มีเสียงดังกรอบแกรบในเข่าซึ่งเกิดจากการเสียดสี เข่ามีรูปร่างผิดปกติ โก่งงอผิดรูป อาจโก่งด้านนอกหรือโก่งด้านใน หากมีอาการเหล่านี้ควรพบแพทย์ด้านกล้ามเนื้อ กระดูกและข้อ เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างถูกต้อง
การวินิจฉัย โรคข้อเข่าเสื่อม
แพทย์จะประเมินจากประวัติความเจ็บป่วย ลักษณะการเดิน ตรวจดูรูปร่างของเข่า ลักษณะกล้ามเนื้อขาและรอบเข่า สังเกตอาการอักเสบ ปวด บวม แดง ร้อน ดูการเคลื่อนไหวของข้อ การงอ การเหยียด และฟังเสียงกรอบแกรบ ร่วมกับการทำเอกซเรย์ CT scan หรือ MRI ร่วมด้วย
การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม
การรักษาโรคเข่าเสื่อมมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย ระยะของโรค โดยมีเป้าหมายเพื่อลดอาการปวดข้อเข่า ชะลอการดำเนินโรค ฟื้นฟูการทำงานของข้อเข่า ป้องกันภาวะแทรกซ้อน เพื่อให้ผู้ป่วยดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ หรือใกล้เคียงปกติมากที่สุด ซึ่งวิธีการรักษามีดังนี้ การรักษาโดยไม่ใช้ยา แพทย์จะให้ความรู้เรื่องข้อเข่าเสื่อม เพื่อให้ผู้ป่วยพยายามลดปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เข่าเสื่อมลุกลาม เน้นการออกกำลังและการบริหารกล้ามเนื้อรอบเข่า การใช้อุปกรณ์เครื่องช่วยต่างๆ เช่น การใช้ไม้เท้า การเสริมรองเท้าเป็นลิ่มด้านนอก การใช้สนับเข่า เพื่อช่วยเสริมความมั่นคงของข้อเข่า รวมทั้งช่วยลดอาการปวดข้อเข่า การลดน้ำหนัก หรือใช้วิธีการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น การใช้เลเซอร์ การฝังเข็ม การใช้ความร้อน การใช้สนามแม่เหล็ก ทั้งนี้แพทย์จะพิจารณาการรักษาร่วมกับผู้ป่วย และเลือกทางที่ดีที่สุด การรักษาโดยยา แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาให้ยารับประทานตามอาการของโรค รวมถึงการใช้ยาทาเฉพาะ ประเภทที่เหมาะสมตามอาการของแต่ละราย ในปัจจุบันมีการใช้ยาหลายกลุ่ม ได้แก่
ยาแก้ปวดพาราเซตามอล เป็นยากลุ่มแรกที่ใช้ในการควบคุมอาการ
ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ช่วยลดอาการปวดและการอักเสบของข้อ
ยาช่วยปรับเปลี่ยนโครงสร้างของข้อ เช่น กลูโคซามีนซัลเฟต จะช่วยชะลอโรค ซ่อมแซมผิวข้อ ลดการอักเสบและอาการปวด เป็นยาทางเลือกสำหรับข้อเข่าเสื่อมระยะเริ่มต้น
ยาทาภายนอก ช่วยลดอาการโดยไม่ต้องเสี่ยงกับผลข้างเคียงจากยารับประทาน
การฉีดน้ำเลี้ยงไขข้อ เป็นทางเลือกในการช่วยลดอาการปวดและช่วยให้การเคลื่อนไหวข้อดีขึ้น
การฉีดสเตียรอยด์เข้าข้อ เป็นทางเลือกในกรณีข้อเสื่อมรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาวิธีอื่น
การล้างข้อโดยใช้วิธีการส่องกล้อง
ช่วยล้างน้ำไขข้อที่อักเสบ เศษกระดูก กระดูกอ่อนและเยื่อบุข้อที่หลุดร่อนออก แต่งผิวข้อให้เรียบและกระตุ้นให้มีการสร้างกระดูกอ่อนผิวข้อใหม่
การผ่าตัดจัดแนวกระดูกขา ใช้ในกรณีที่เป็นข้อเสื่อมซีกเดียวร่วมกับมีขาโก่งผิดรูปเล็กน้อย เป็นการผ่าตัดปรับแนวของข้อและขาใหม่ ช่วยลดอาการปวดและเพิ่มอายุการใช้งานของข้อ
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม เป็นการผ่าตัดเอาผิวข้อที่สึกออกไปและทดแทนด้วยผิวข้อเทียม เหมาะกับผู้ป่วยที่มีการสึกของผิวข้ออย่างรุนแรง มีข้อผิดรูปหรือมีข้อยึดติดมาก
แม้ว่าเราจะสามารถสังเกตอาการปวดเข่าและสงสัยว่าอาจจะเป็นข้อเข่าเสื่อมได้เองในเบื้องต้น แต่เพื่อความแน่ใจและได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง จึงควรรีบไปพบแพทย์เพื่อไม่ให้โรคลุกลาม เพราะยิ่งได้รับการรักษาเร็วเท่าไหร่ยิ่งเป็นการดูแลข้อเขาให้ใช้ได้นานยิ่งขึ้น

ที่อยู่

Amphoe Ban Pong

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ D/Boone ดูแลกระดูกและข้อเสื่อม อ้กเสบ ปวดข้อผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง D/Boone ดูแลกระดูกและข้อเสื่อม อ้กเสบ ปวดข้อ:

แชร์