15/09/2022
#หูด และ #ตาปลา ต่างกันยังไง รักษายังไง ?
#ลักษณะ
- หูดที่มือและเท้า โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นตุ่มนูนแข็ง ผิวขรุขระ มีได้หลายสี (เช่น สีผิวหนัง สีเหลือง) เมื่อกดจะรู้สึกเจ็บ
- ตาปลาเป็นโรคผิวหนังที่มีลักษณะเป็นตุ่มหนา แข็ง กดแล้วเจ็บ ผิวหนังตรงกลางตาปลาจะมีสีเทา และผิวหนังรอบ ๆ เป็นสีเหลือง ส่วนใหญ่แล้วตาปลาจะพบได้บ่อยบริเวณนิ้วเท้าและฝ่าเท้า
#สาเหตุ
- หูดเกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า Human Papilloma Virus (HPV) ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้จะไปกระตุ้นให้ผิวหนังเราหนาขึ้น จึงเกิดเป็นลักษณะของหูดขึ้นมานั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าไวรัสนี้ยังสามารถลุกลามไปยังบริเวณอื่นในร่างกายหรือแพร่กระจายสู่ผู้อื่นผ่านการสัมผัสได้อีกด้ว
- ตาปลาบริเวณมือและเท้านั้น เกิดจากการที่ผิวหนังมีการเสียดสีบ่อย ๆ หรือมีการกดทับ เช่น เท้าเสียดสีกับรองเท้า จนทำให้ผิวบริเวณดังกล่าวมีความหนาและด้านขึ้น เป็นต้น
#รักษา
- หูดการรักษามีหลายวิธี โดยหากเบื้องต้นเราสามารถใช้การทายาเพื่อรักษาหูดได้ โดยยาที่นิยมใช้คือ ยาที่มีส่วนผสมของกรดซาลิซิลิก (Salicylic acid) เช่น คอนคอน (Con Con), คอลโลแม็ค (Collomak), ดูโอฟิล์ม (Duofilm), เวอร์รูมาล (Verrumal) โดยส่วนใหญ่แนะนำให้ทาบริเวณหูดวันละ 2-3 ครั้ง ต่อเนื่องประมาณ 12 สัปดาห์ ทั้งนี้หากทาเป็นประจำนานเกิน 12 สัปดาห์ แล้วอาการไม่ดีขึ้น ก็แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจและรักษาด้วยวิธีอื่นเพิ่มเติม
- ตาปลาการรักษามีหลายวิธี โดยหากเบื้องต้นเราสามารถใช้การทายาเพื่อรักษาหูดได้ โดยยาที่นิยมใช้คือ ยาที่มีส่วนผสมของกรดซาลิซิลิก (Salicylic acid) เช่น คอนคอน (Con Con), คอลโลแม็ค (Collomak), ดูโอฟิล์ม (Duofilm), เวอร์รูมาล (Verrumal) โดยส่วนใหญ่แนะนำให้ทาบริเวณหูดวันละ 2-3 ครั้ง ต่อเนื่องประมาณ 12 สัปดาห์ ทั้งนี้หากทาเป็นประจำนานเกิน 12 สัปดาห์ แล้วอาการไม่ดีขึ้น ก็แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจและรักษาด้วยวิธีอื่นเพิ่มเติม
หนึ่งในโรคผิวหนังที่พบได้บ่อยบริเวณมือและเท้าก็คือ หูดและตาปลา แล้วเราจะมีวิธีสังเกตและแยกประเภทอย่าง....