Boom iz บูมไอซี่ สิ่งดีดีเพื่อดวงตา

Boom iz บูมไอซี่ สิ่งดีดีเพื่อดวงตา Boom iz บูมไอซี ผลิตภัณฑ์ดูแลดวงตา เพราะดวงตาเรามีเพียงคู่เดียว

โปรโมชั่นพิเศษ สำหรับคุณ ทักด่วน‼️สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อินบ๊อก หรือ📞: 094 046 8196 ,094 741 9195จัดส่งฟรี มีบ...
29/04/2023

โปรโมชั่นพิเศษ สำหรับคุณ ทักด่วน‼️

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อินบ๊อก หรือ
📞: 094 046 8196 ,094 741 9195
จัดส่งฟรี มีบริการเก็บเงินปลายทาง

5 ประโยชน์ดีๆ จาก “ย่านาง” ดีท็อกซ์ผิว-ลดน้ำตาลในเลือดย่านาง คืออะไร?ย่านางเป็นพืชที่เรานำส่วนใบมาประกอบอาหาร ส่วนใหญ่เป...
10/04/2023

5 ประโยชน์ดีๆ จาก “ย่านาง” ดีท็อกซ์ผิว-ลดน้ำตาลในเลือดย่านาง คืออะไร?

ย่านางเป็นพืชที่เรานำส่วนใบมาประกอบอาหาร ส่วนใหญ่เป็นอาหารพื้นบ้าน มักนำมาต้มกับอาหารที่มีรสขม เพื่อลดรสชาติขมๆ ออกไป นอกจากจะช่วยลดความขมแล้ว ยังมีสารอาหารหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย
ประโยชน์ของย่านาง

1. มีวิตามินเอ และซีสูง จึงช่วยบำรุงสายตา และบำรุงฟัน ป้องกันโรคหวัดได้เป็นอย่างดี

2. มีฤทธิ์เย็น ช่วยดับพิษ และลดไข้

3. น้ำต้มกับใบย่านาง หรือน้ำย่านางสกัดเย็น (อาจผสมใบเตย) ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน

4. มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวพรรณกระชับเต่งตึง และป้องกันมะเร็งได้
5. ช่วยลดอาการหอบ ของผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ช่วยให้หายใจโล่งขึ้น

ถึงแม้ว่าย่านางจะมีประโยชน์ที่ทำให้ใครหลายคนอยากลองทาน แต่ผู้ที่มีธาตุเย็น หรือความดันโลหิตต่ำ เลือดจาง และอ่อนเพลียง่าย ไม่ควรกินติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะจะยิ่งทำให้เลือดจางและอ่อนเพลียมากขึ้นค่ะ

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก นิตยสารชีวจิต
ภาพประกอบจาก istockphoto
ขอบคุณ​ข้อมูล​จาก : www.sanook.com/health/4901

บำรุงดวงตาคู่เดียวของคุณ พร้อมความอร่อย สดชื่นนแบบไม่มีน้ำตาลBoom iZ ทานง่าย สรรพคุณครบ สุดดดปังงง!!! BoomiZxPPkrittBoom...
10/04/2023

บำรุงดวงตาคู่เดียวของคุณ
พร้อมความอร่อย สดชื่นน
แบบไม่มีน้ำตาล

Boom iZ

ทานง่าย สรรพคุณครบ
สุดดดปังงง!!!

BoomiZxPPkritt
BoomiZ PPkritt
มีความสุขทุกการมองเห็นBOOMiZ

แกล้งกะเพรา วิธีปลูกกะเพรา ให้ใบเยอะ ต้นใหญ่ ตายยากเทรนด์ปลูกผักกินเองยังคงมาแรงอยู่ตลอด หนึ่งในนั้นที่นิยมปลูกกันก็คือ ...
08/04/2023

แกล้งกะเพรา วิธีปลูกกะเพรา ให้ใบเยอะ ต้นใหญ่ ตายยาก
เทรนด์ปลูกผักกินเองยังคงมาแรงอยู่ตลอด หนึ่งในนั้นที่นิยมปลูกกันก็คือ กะเพรา เพราะเป็นผักสวนครัวที่ปลูกง่าย ดูแลง่าย ใช้เวลาไม่นานก็เก็บมากินได้แล้ว วันนี้จะมาบอกต่อ เทคนิคปลูกกะเพราให้ดก ยืดอายุกะเพราให้นานขึ้น ให้มีใบเยอะๆ ต้นสูงใหญ่ เอาไว้เก็บใบกินได้นานๆ ซึ่งเค้าเรียกกันว่า วิธี แกล้งกะเพรารู้จัก
กะเพรามี 3 ประเภท คือ
1.ใบเขียว ก้านแดง : เป็นพันธุ์ที่มีใบ และดอกเป็นสีขาว แต่มีลักษณะก้านใบ และก้านดอกเป็นสีแดง รวมถึงใบเขียวหรือเขียวอมแดง เป็นกะเพราที่มีกลิ่นฉุน และ เผ็ดร้อน กำลังพอดี เหมาะสำหรับนำมาทำผัดกะเพรา เพราะจะได้รสชาติกะเพราที่กลมกล่อม หอมกำลังพอดี
2.ใบเขียว ก้านเขียว : หรือก้านขาว เป็นพันธุ์ที่มี ก้านใบ ก้านดอก ใบ เป็นสีเขียว และดอกเป็นสีขาว มีใบใหญ่ รสชาติออกหวาน ไม่ค่อยมีกลิ่นฉุนหรือรสเผ็ด
3.ใบแดง ก้านแดง : เป็นพันธุ์ที่มี ก้านใบ ก้านดอก โดยดอกเป็นสีแดงอมม่วง ใบมีสีแดงม่วงอมเขียว เป็นกะเพราที่มีกลิ่นฉุนมาก และมีรสเผ็ดร้อนมากที่สุดในกะเพราทั้งหมด เหมาะสำหรับนำมาทำอาหารที่ต้องการปรุงรสให้เผ็ดร้อน เช่น ต้มโคล้ง หรือ ผัดกะเพราที่มีรสจัด

กะเพราปลูกได้ 2 แบบ
สามารถปลูกได้ 2 แบบ ได้แก่ ปลูกกะเพราะด้วยเมล็ด และปลูกกะเพราะด้วยการปักชำ

วิธีการปลูกกะเพราด้วยการปักชำทำได้โดยการเลือกเอากิ่ง กลางแก่ กลางอ่อน มาเด็ดส่วนยอดดอก นำไปปักชำในกระถาง หรือแปลงที่เตรียมไว้ เทคนิคการปักคือ ให้ปักต้นเฉียง 45 องศา แล้วนำดินมากลบส่วนที่ปักชำบาง ๆ จากนั้น เอาฟางคลุมและรดน้ำให้ชุ่มเป็นอันเสร็จเรียบร้อย

วิธีการปลูกกะเพราด้วยเมล็ด
1.เตรียมดินละเอียดเทลงไปในกระถาง
2.หว่านเมล็ดให้ทั่วแปลง ใช้ฟางกลบ หรือปุ๋ยคอกโรยทับบางๆ
3.รดน้ำตามทันที ควรใช้บัวรดน้ำต้นไม้รูเล็กๆ นะคะ เพราะไม่ได้ต้องการน้ำมาก รดพอชุ่ม
4.จากนั้นอีกประมาณ 7 วัน เมล็ดจะงอกเป็นต้นกล้า
5.รอจนต้นกล้าอายุ 1 เดือน ก็ค่อยๆ ถอนแยกจัดระยะต้นให้มีระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 20-30 เซนติเมตร
6.รอให้ต้นกล้าโตเต็มที่จากนั้นก็เก็บใบมารับประทานได้

ข้อดีของการ กะเพราปลูกในกระถาง เหมาะกับคนพื้นที่น้อย เช่น คอนโด หอพัก
✨ประหยัดพื้นที่ เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีที่ดินหรือมีที่ดินน้อย
✨สามารถปลูกได้บนดาดฟ้าหรือระเบียงห้องบนตึกหรืออาคารสูง
✨ง่ายต่อการดูแล และการให้น้ำ
✨ยกหรือเคลื่อนย้ายได้ง่าย

เทคนิค แกล้งกะเพรา
หมั่นเด็ดยอดอ่อนของใบกะเพราในทุกเช้าทุกวัน โดยเด็ดเฉพาะยอดที่เป็นดอกเท่านั้นเพื่อไม่ให้ออกดอกได้ ถ้ากะเพราออกดอกเมื่อไหร่ต้นจะเหี่ยวเฉาและหมดอายุในที่สุด ดังนั้น เราต้องทำให้ต้นกะเพราเข้าใจว่าไม่สามารถขยายพันธุ์ต่อได้อีกต่อไป ทำให้ต้องรีบแตกหน่อ ออกดอก ออกใบให้เยอะขึ้น จึงเรียกวิธีนี้ว่า แกล้งกะเพรา จากเดิมที่ต้องปักกิ่งใหม่ เพาะเมล็ดใหม่ เราก็จะได้ต้นกะเพราสูงใหญ่ไว้เก็บใบกินได้ตลอดทั้งปี โดยไม่ต้องแรงปลูกใหม่ แต่สิ่งสำคัญคือต้องเด็ดยอดดอกอ่อนออกในทุกวันเป็นประจำด้วย

กะเพราดูแล รดน้ำอย่างไร
รดน้ำเช้า – เย็น ให้สม่ำเสมอ ต้นกะเพราก็เติบโตตามธรรมชาติได้เอง เพราะเป็นพืชที่ทนแล้งได้

วิธีปลูกกะเพราไม่ได้ยุ่งยากจนเกินไปป ทุกคนสามารถนำทริคไปปลูกกันได้ ถือเป็นการประหยัดและได้ปลูกผักกินเองแบบไร้สารพิษ ปลอดภัยดีต่อสุขภาพแน่นอน

ขอบคุณ​ข้อมูลดีๆจาก : -​- mono29.com/life/395616.htmI

BOOM iZ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนช่วยในการบำรุงดวงตาเราคัดสรรสารสกัดมากมายอาทิ Lutein ,Astaxanthin และ Bilberon"ถึงเว...
08/04/2023

BOOM iZ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงดวงตา

เราคัดสรรสารสกัดมากมาย
อาทิ Lutein ,Astaxanthin และ Bilberon

"ถึงเวลาหรือยัง
ที่จะเริ่มดูแลดวงตา"

TheiConGroup
BoomiZ
BOOMiZxPPKritt

วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น คนเป็น.. ฮีทสโตรก Heat Strokeฤดูร้อน อุณหภูมิสูงเสี่ยงต่อการเป็นโรคฮีทสโตรก Heat Stroke หรือโรคลม...
07/04/2023

วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น คนเป็น.. ฮีทสโตรก Heat Stroke
ฤดูร้อน อุณหภูมิสูงเสี่ยงต่อการเป็นโรคฮีทสโตรก Heat Stroke หรือโรคลมแดด หรือ โรคลมร้อน เพราะอุณหภูมิภายนอกที่สูงขึ้นทำให้กลไกการรักษาสมดุลของร่างกายเสียไป อุณหภูมิในร่างกายสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส ทำให้ส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต และระบบสมอง

สัญญาณเตือนของโรคฮีทสโตรก Heat Stroke ที่สำคัญ คือ

ตัวร้อนจัด อุณหภูมิสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส
หน้าแดง
ไม่มีเหงื่อ แม้อากาศจะร้อน
กระหายน้ำ
วิงเวียนศีรษะ
หายใจเร็ว หายใจถี่
คลื่นไส้ อาเจียน
ความรู้สึกตัวลดลง หน้ามืด หมดสติ
หากพบเจอผู้ที่เป็นโรคฮีทสโตรก ควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นดังนี้

ให้นำผู้ป่วยเข้าที่ร่ม
กันคนที่ห้อมล้อมผู้ป่วยออก เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกขึ้น
นอนศีรษะราบ ยกขาสูงทั้งสองข้าง โดยหาของมารองปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้ดีขึ้น
คลายเสื้อผ้าที่รัดแน่น ปลดเข็มขัด ถอดรองเท้า ถุงเท้า
ถอดเครื่องประดับที่ไม่จำเป็นออก
ใช้ผ้าชุบน้ำเย็น หรือน้ำอุณหภูมิห้อง เช็ดใบหน้า ลำตัว ท้ายทอย และข้อพับ โดยการเช็ดทวนรูขุมขนขึ้นไป เช็ดแบบทางเดียว
หรือใช้น้ำแข็งประคบที่ซอกคอ ขาหนีบ รักแร้
-แล้วจึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

ขอบคุณ​ข้อมูลจาก : vichaivej-nongkhaem.com/health-info

ใช้สายตามาทั้งวันแล้ว...บำรุงด้วย Boom iZกันหน่อยนะค้าาา ทานง่าย อร่อยสดชื่นนน...BoomiZxPPkrittBoomiZ PPkrittมีความสุขทุ...
07/04/2023

ใช้สายตามาทั้งวันแล้ว...
บำรุงด้วย Boom iZ
กันหน่อยนะค้าาา

ทานง่าย อร่อย
สดชื่นนน...

BoomiZxPPkritt
BoomiZ PPkritt
มีความสุขทุกการมองเห็นBOOMiZ

วันจักรี 6 เมษายน ประวัติวันจักรี วันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์วันจักรี (Chakri Memorial Day) ตรงกับวันที่ 6 เมษายนของทุ...
06/04/2023

วันจักรี 6 เมษายน ประวัติวันจักรี วันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์
วันจักรี (Chakri Memorial Day) ตรงกับวันที่ 6 เมษายนของทุกปี อันเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หรือพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงเสด็จปราบดาภิเษกขี้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีและเป็นวันครบรอบการก่อตั้งราชวงศ์จักรี ในวันนี้จึงถือเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งที่พวกเราชาวไทยควรให้ความระลึกถึง กว่าจะมาเป็นสยามได้ในทุกวันนี้
ความสำคัญของวันจักรี
วันจักรี (Chakri Memorial Day) คือ วันที่ระลึกถึงมหาจักรีบรมราชวงศ์ เป็นวันที่ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจักรีบรมนาถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์จักรี อีกทั้งยังเริ่มก่อสร้างพระนครแห่งใหม่ในนาม กรุงเทพมหานครบวรรัตนโกสินทร์ ที่นับว่าเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ถัดจากกรุงธนบุรี ซึ่งเมื่อครั้งที่กรุงธนบุรีเป็นราชธานีนั้น มีอาณาบริเวณรวมทั้งสองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้เป็นเมืองหลวงที่มีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมือง ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเปลี่ยนนามใหม่ จาก กรุงเทพมหานครบวรรัตนโกสินทร์ เป็น กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ ซึ่งช่วงเวลาตั้งแต่ก่อตั้งกรุงเทพมหานครฯ เมื่อปี พ.ศ. 2325 มักเรียกกันว่า สมัยรัตนโกสินทร์ เช่นเดียวกันกับที่เคยเรียกยุคสมัยที่ผ่านมาในสยาม โดยพระเจ้าแผ่นดินในสมัยรัตนโกสินทร์นี้ได้สืบสันตติวงศ์ต่อเนื่องกันมาในราชวงศ์เดียวกันจนถึงปัจจุบัน มี 9 รัชกาล รวมระยะเวลาแล้วกว่า 234 ปี

จากบันทึกตามประวัติศาสตร์ระบุว่า ในปี พ.ศ. 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระบรมรูปของบูรพมหากษัตริย์ 4 พระองค์ (รัชกาลที่ 1 – รัชกาลที่ 4) ขึ้นประดิษฐานเอาไว้สำหรับให้พระมหากษัตริย์พระองค์ต่อๆ ไป ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และประชาชนทั่วไปได้ถวายความเคารพสักการะ เพื่อเป็นการระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเป็นธรรมเนียมปีละหนึ่งครั้ง และได้โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญไปประดิษฐานยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ต่อมาก็ได้มีการเปลี่ยนสถานที่ประดิษฐานหลายต่อหลายครั้ง

จนมาถึงในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระองค์ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เคลื่อนย้ายพระบรมรูปของบูรพมหากษัตริย์ 4 พระองค์มาไว้ ณ ปราสาทเทพบิดร ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมกับพระบรมรูปของรัชกาลที่ 5 พระชนกชาถ ซึ่งพระที่นั่งสำหรับประดิษฐานพระบรมรูปองค์นี้ รัชกาลที่ 6 ทรงโปรดให้ซ่อมแซมจากพุทธปรางค์ปราสาทเพื่อการนี้โดยเฉพาะ และได้พระราชทานพระนามว่า ปราสาทเทพบิดร โดยได้มีการซ่อมแซ่มและประดิษฐานพระบรมรูปทั้ง 5 รัชกาลแล้วเสร็จในเดือนเมษายน พ.ศ. 2461 จากนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระบรมราชโองการประกาศตั้งพระราชพิธีถวายบังคมพระบรมรูปขึ้นในวันที่ 6 เมษายนปีเดียวกัน อีกทั้ยังโปรดให้เรียกวันที่ 6 เมษายนนี้ว่า วันจักรี

กิจกรรมที่นิยมปฏิบัติในวันจักรี
เนื่องในวันจักรี 6 เมษายนของทุกปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ จะเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ไปเป็นประธานในพิธีทางศาสนาประกอบการบำเพ็ญพระราชกุศลให้กับบูรพมหากษัตริย์ ณ พระอุโบสถ และจะทรงสักการะพระบรมรูป สมเด็จพระบูรพมหากษัตริย์ ณ ปราสาทเทพบิดร วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ต่อจากนั้นจะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางพวงมาลา ณ พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่ชานชาลา เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า

ในขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นิสิต นักศึกษา หน่วยงานรัฐบาลและเอกชน รวมถึงประชาชนทั่วไปจากทุกสาขาอาชีพ ต่างพร้อมใจกันเข้าร่วมพิธีวางพวงมาลา และบำเพ็ญกุศลให้กับพระมหากษัตริย์ ผู้ที่ทรงอุทิศพระองค์เพื่อความสงบสุขของอาณาประชาราษฎรอย่างแท้จริง

นอกจากนั้น ในวันที่ 6 เมษายน ซึ่งเป็นวันจักรีของทุกปี รัฐบาลยังได้ประกาศเป็นวันหยุดราชการ แต่หากในปีใดที่วันจักรีตรงกับวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ ก็ให้หยุดชดเชยได้ในวันทำการวันต่อไป

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก :
sanook.com/... day/.. chakriday
ภาพประกอบ airportthai.co.t //h

ขอบคุณข้อมูล: Wikipedia.org / 247friend.net ++ ปราสาทพระเทพบิดร

บำรุงดวงตาคู่เดียวของคุณพร้อมความอร่อย สดชื่นแบบไม่มีน้ำตาลตอบโจทย์คนรักสายตามากเลยค่าาBoom iZ BoomiZxPPkrittBoomiZ PPkr...
06/04/2023

บำรุงดวงตาคู่เดียวของคุณ
พร้อมความอร่อย สดชื่น
แบบไม่มีน้ำตาล

ตอบโจทย์คนรักสายตา
มากเลยค่าา

Boom iZ

BoomiZxPPkritt
BoomiZ PPkritt
มีความสุขทุกการมองเห็นBOOMiZ

เก๊กฮวย สรรพคุณไม่ธรรมดา จัดเป็นยากลิ่นหอม สมุนไพรดับร้อนให้ร่างกายดอกเก๊กฮวยที่นิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรสีสวย สร...
05/04/2023

เก๊กฮวย สรรพคุณไม่ธรรมดา จัดเป็นยากลิ่นหอม สมุนไพรดับร้อนให้ร่างกาย
ดอกเก๊กฮวยที่นิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรสีสวย สรรพคุณของเก๊กฮวยก็ใช่ว่าจะน้อยหน้ารสชาติและกลิ่นหอม ๆ ล้อมรอบไปด้วยประโยชน์ดีต่อสุขภาพ !เก๊กฮวย สรรพคุณสมุนไพรชนิดนี้ไม่ได้มีไว้ทำเครื่องดื่มแก้กระหายอย่างเดียว แต่ดอกเก๊กฮวยที่นำมาต้มเป็นชาเก๊กฮวยก็ดี หรือน้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพก็ดี ล้วนแล้วแต่แฝงสรรพคุณเป็นยามาด้วย และหากอยากรู้จักสรรพคุณของเก๊กฮวยให้ถ่องแท้ ลองอ่านบทความด้านล่าง แล้วไปหาน้ำเก๊กฮวยดื่มกันเลย !เก๊กฮวย มีดีที่ดอก

เก๊กฮวยเป็นดอกไม้ตระกูลเดียวกับดอกทานตะวันและดอกดาวเรือง เก๊กฮวยในภาษาจีนเรียกว่า จวี๋ฮัว ถ้าแปลเป็นไทยก็จะเรียกกันว่า ดอกเบญจมาศสวน หรือดอกเบญจมาศหนู ส่วนเก๊กฮวยในภาษาอังกฤษ มีชื่อว่า Chrysanthemum
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของต้นเก๊กฮวย

ต้นเก๊กฮวยเป็นไม้ล้มลุก ขนาดต้นสูงประมาณ​ 60-150 เซนติเมตร เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่อากาศหนาว ในไทยจึงนิยมปลูกเก๊กฮวยบนที่ราบสูงเป็นส่วนใหญ่ ส่วนดอกเก๊กฮวยเป็นดอกขนาดเล็ก มีทั้งดอกเก๊กฮวยสีเหลืองและดอกเก๊กฮวยสีขาว ต้นเก๊กฮวยจะออกดอกได้ดีในช่วงฤดูหนาว โดยส่วนใหญ่จะนิยมเก็บดอกมาตากแห้ง นึ่ง หรืออบแห้ง แล้วนำมาทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพร
เก๊กฮวย สรรพคุณไม่ธรรมดา

สรรพคุณทางยาของดอกเก๊กฮวยมีดีอยู่หลายด้าน โดยสามารถจำแนกประโยชน์ของดอกเก๊กฮวยที่เกี่ยวกับสุขภาพได้ ดังนี้

1. ช่วยดับร้อน ดอกเก๊กฮวยมีฤทธิ์เย็น ช่วยดับพิษร้อนในร่างกาย แก้อาการร้อนใน แก้กระหาย แก้ไข้ โดยใช้ดอกเก๊กฮวยแห้งประมาณ 5-9 กรัม ต้มกิน หรือทำเป็นชา แล้วดื่มในปริมาณที่เหมาะสม

2. ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร โดยเฉพาะดื่มชาเก๊กฮวยร้อน ๆ จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดียิ่งขึ้น ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องจากอาหารไม่ย่อยได้ ทั้งนี้ให้ใช้ดอกเก๊กฮวยแห้งประมาณ 5-9 กรัม ต้มกิน หรือทำเป็นชา แล้วดื่มในปริมาณที่เหมาะสม

3. ดีต่อหัวใจ เก๊กฮวยเป็นพืชสมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ เพราะมีฤทธิ์ลดระดับความดันโลหิต นอกจากนี้ทางมูลนิธิโรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ยังระบุว่า เก๊กฮวยช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อีกด้วย

4. แก้ตาบวมแดง ในตำรับยาสมุนไพรจีนมักใช้ดอกเก๊กฮวยผสมกับใบหม่อน เก๋ากี้ หรือชุมเห็ดไทย รักษาอาการตาบวมแดงจากการตากลม หรือตาบวมแดงจากภาวะตับพร่อง ไฟในตับมาก โดยใช้ดอกสดล้างสะอาด ตำให้แหลก แล้วนำมาประคบที่ดวงตา
5. แก้วิงเวียน หากมีอาการปวดศีรษะ วิงเวียน เนื่องจากการกำเริบของหยางในตับ สามารถใช้เก๊กฮวยร่วมกับโกฐสอและสมุนไพรฤทธิ์เย็นชนิดอื่นเพื่อบรรเทาอาการได้

6. รักษาแผลฝีหนอง และแผลบวม โดยใช้ดอกเก๊กฮวยสด 1 กำมือ ล้างให้สะอาด บดผสมน้ำแล้วดื่ม จากนั้นนำกากดอกเก๊กฮวยมาพอกตามแผล

7. รักษาผมร่วง ตำรับยาจากประเทศเวียดนามใช้ดอกเก๊กฮวยสดตำละเอียดแล้วกลั่นเอาแต่น้ำมาหมักผม โดยเชื่อว่าดอกเก๊กฮวยสามารถรักษาอาการผมร่วง ช่วยให้สีผมดำ เงางาม ไม่เปลี่ยนเป็นสีเทาก่อนวัยอันควร

การใช้ดอกเก๊กฮวยให้เป็นประโยชน์เพื่อสุขภาพ ในปัจจุบันจะนิยมนำดอกเก๊กฮวยแห้งมาต้มเป็นน้ำสมุนไพร หรือจิบเป็นชาสมุนไพรกันเสียมากกว่าจะนำดอกเก๊กฮวยมาใช้ภายนอก ดังนั้นเรามาดูวิธีทำน้ำเก๊กฮวยกันค่ะ
วิธีทำน้ำเก๊กฮวย

1. ใช้ดอกเก๊กฮวยแห้งประมาณ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำเดือดประมาณ 2 ลิตร

2. ต้มดอกเก๊กฮวยสัก 2-3 นาที แล้วใส่น้ำตาลทรายลงไป (ความหวานตามชอบ)

3. คนสักพักพอให้น้ำตาลทรายละลายจนหมด ปิดไฟ พักไว้จนเย็น

4. เมื่อน้ำเก๊กฮวยพออุ่น ๆ สามารถเทใส่แก้วแล้วดื่มได้เลย หรือจะพักน้ำเก๊กฮวยให้เย็นจากนั้นเติมน้ำแข็งดื่มแบบเย็น ๆ ให้ชื่นใจก็ได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
health.kapook.co... M
โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ
มูลนิธิโรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

สรุปให้...เปิดแอร์หน้าร้อน วิธีใช้งานให้ประหยัดไฟที่สุด วิธีใช้งานให้ประหยัดไฟที่สุดเปิดแอร์หน้าร้อน วิธีใช้งานให้ประหยั...
04/04/2023

สรุปให้...เปิดแอร์หน้าร้อน วิธีใช้งานให้ประหยัดไฟที่สุด
วิธีใช้งานให้ประหยัดไฟที่สุดเปิดแอร์หน้าร้อน วิธีใช้งานให้ประหยัดไฟที่สุด รวมความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับการเปิด แอร์ หรือ เครื่องปรับอากาศ หน้าร้อนนี้ทำค่าไฟพุ่ง เดี๋ยวโอ๋สรุปให้

เปิดแอร์หน้าร้อน วิธีใช้งานให้ประหยัดไฟที่สุด รวมความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับการเปิด แอร์ หรือ เครื่องปรับอากาศ หน้าร้อนนี้ทำค่าไฟพุ่ง เดี๋ยวโอ๋สรุปให้ฟัง

How to เปิดแอร์ยังไง ให้ประหยัดไฟ
กินไฟ น้อยที่สุด! ไม่จกตา
หลายคนยังมีความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับการใช้แอร์
และหน้าร้อนนี้ แอร์ทำงานหนัก สู้กับอุณหภูมิ
ค่าไฟเม.ย. นี้ อาจแพงหูฉีกที่สุด จะใช้แอร์ยังไง ให้ประหยัดที่สุด แบบที่เป็นเรื่องจริง เด่วโอ๋สรุปให้ฟัง

1.ยิ่งอากาศร้อน แอร์กินไฟมากขึ้น จริงไหม?
จริง เพราะแอร์ ดูดอากาศเข้า เปลี่ยน ให้เท่ากับอุณหภูมิ ที่เรากำหนด ยิ่งอากาศภายนอก กับ อากาศที่เราต้องการ องศา ต่างกันมากแค่ไหน
แอร์ก็ต้องยิ่งทำงานหนัก มากขึ้น ค่าไฟก็แพงขึ้น

2. เปิดแอร์พร้อมพัดลม ช่วยประหยัดไฟ ?

จริง MEA แนะ เปิดแอร์ 26 °C เปิดพัดลมช่วย เย็นไวขึ้น ประหยัดไฟกว่า เพราะพัดลมช่วยเพิ่มความเร็วลม เพิ่มการเคลื่อนที่ของอากาศ ทำให้เกิดการระบายความร้อนจากร่างกาย ทำให้รู้สึกเย็นสบายขึ้น แต่จะประหยัดไฟได้มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับระบบและเทคโนฯ แอร์

3. เปิด-ปิดแอร์บ่อยๆ ประหยัดไฟกว่าเปิดไว้นานๆ

ไม่จริง เพราะบางบ้านอาจจะชอบเปิดแอร์ไว้ช่วงหนึ่งแล้วปิด เปิดพัดลมแทน คิดว่าอาจจะช่วยประหยัดไฟ แต่จริงๆแล้วนั้น ช่วงการทำงานของแอร์ที่กินไฟที่สุดคือ
ช่วงเริ่มเปิดแอร์และสตาร์ทมอเตอร์ ยิ่งเปิดบ่อย ก็ยิ่งกินไฟ

ขอบคุณ​ข้อมูล​จาก ​: www.springnews.co.t/h

“มะเขือพวง” ประโยชน์มหาศาล สรรพคุณทางยากระฉ่อนโลก ปลูกง่าย แถมไม่ต้องใช้สารพิษมะเขือพวง” พืชผักสมุนไพรชนิดกินผลที่ปลูกง่...
03/04/2023

“มะเขือพวง” ประโยชน์มหาศาล สรรพคุณทางยากระฉ่อนโลก ปลูกง่าย แถมไม่ต้องใช้สารพิษ
มะเขือพวง” พืชผักสมุนไพรชนิดกินผลที่ปลูกง่าย โตเร็ว ไม่มีปัญหาเรื่องโรคพืชและแมลงศัตรูพืช ในแถบเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออกนิยมเพาะปลูกใช้เป็นพืชอาหาร

มีถิ่นกำเนิดในแอนทิลลีส (Antilles) ตั้งแต่เขตฟลอริดา หมู่เกาะเวสต์ อินดีส์ เม็กซิโก จนถึงอเมริกากลาง และทวีปอเมริกาใต้แถบประเทศบราซิล เป็นวัชพืชขึ้นกระจัดกระจายเกือบทั่วเขตร้อน ปัจจุบันพบในทวีปแอฟริกา เอเชีย ออสเตรเลีย และหมู่เกาะแปซิฟิกไกล ถึงมลรัฐฮาวายในสหรัฐอเมริกา

“มะเขือพวง” ประโยชน์มหาศาล สรรพคุณทางยากระฉ่อนโลก ปลูกง่าย แถมไม่ต้องใช้สารพิษ

“มะเขือพวง” พืชผักสมุนไพรชนิดกินผลที่ปลูกง่าย โตเร็ว ไม่มีปัญหาเรื่องโรคพืชและแมลงศัตรูพืช ในแถบเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออกนิยมเพาะปลูกใช้เป็นพืชอาหาร
มีชื่ออื่นๆ อาทิ เช่น มะเขือพวง (กลาง) มะแคว้งกุลา (เหนือ) หมากแข้ง (อีสาน) มะเขือละคร (โคราช) เขือน้อย เขือพวง ลูกแว้ง เขือเทศ (ใต้) มะแว้งช้าง (สงขลา)

ชื่อสามัญ : Common Asiatic w**d, Turkey berry, Devil's fig, Prickly nightshade, Shoo-shoo bush, Pea eggplant แถบแคริบเบียนเรียก Susumba ภาษาทมิฬและอินเดียใต้เรียก Sundakkai ชื่อวิทยาศาสตร์ : Solanum torvum Swartz. วงศ์ : SOLANACEAE

ลักษณะทั่วไปของมะเขือพวง เป็นไม้พุ่มเตี้ย สูง 1- 2 เมตร ใบแน่น ทรงพุ่ม ไม่มีรูปแบบที่แน่นนอน ลำต้นตั้งตรงและแข็งแรง ลำต้นมีขนนุ่มขึ้นปกคลุม ลำต้นและใบมีหนามเล็กๆ ห่างขึ้นทั่วไปประโยชน์ต่อสุขภาพ

มะเขือพวงเป็นพืชที่ช่วยเสริมสุขภาพ โดยมีสรรพคุณตามตำราแพทย์แผนไทยคือ ช่วยเจริญอาหาร ย่อยอาหาร ช่วยระบบขับถ่าย บำรุงธาตุ ขับเสมหะ แก้ไอ ช่วยให้โลหิตหมุนเวียนดี แก้ฟกช้ำ ไอเป็นเลือด ฝีบวมมีหนอง

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ได้แสดงคุณสมบัติที่เด่นชัดของมะเขือพวงในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของลำไส้ เพื่อตอบสนองต่อสารพิษที่เข้ามายังระบบทางเดินอาหาร มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันความเสื่อมและแก่ก่อนวัย มีฤทธิ์ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในโรคเบาหวาน อีกทั้งยังมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด

- สารโซลาโซดีน (Solasodine) ในมะเขือพวงช่วยต่อต้านโรคมะเร็งได้
- สารสกัดจากมะเขือพวงมีผลยับยั้ง Platelet activating factor (PAF) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหอบหืด
- มะเขือพวงมีสารทอร์โวไซด์ เอ, เอช (Torvoside A, H) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 (Herpes simplex virus type 1) โดยมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งไวรัสได้มากกว่าอะไซโคลเวียร์ถึง 3 เท่า
- มะเขือพวงมีสารทอร์โวนินบี (Torvonin B) ซึ่งเป็นซาโพนินชนิดหนึ่ง โดยเชื่อว่ามีฤทธิ์ในการขับเสมหะ
- มะเขือพวงมีสารเพกติน (Pectin) ที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยสารนี้จะมีหน้าที่ช่วยเคลือบผิวในลำไส้ ทำให้อาหารเคลื่อนตัวผ่านลำไส้ได้ช้า จึงช่วยดูดซึมแป้งและน้ำตาลที่ย่อยแล้วได้ช้าลง ทำให้ระดับของน้ำตาลในเลือดคงที่ มีคุณสมบัติช่วยดูดซับไขมันส่วนเกินและอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต
- สารต่อต้านอนุมูลอิสระในมะเขือพวง ช่วยป้องกันความเสื่อมและช่วยชะลอความแก่
สรรพคุณ

- ต้น ใบ และ ผล เป็นยาเย็นรสจืด ทำให้โลหิตหมุนเวียนดี แก้ปวด ฟกช้ำ ตรากตรำทำงานหนัก กล้ามเนื้อบริเวณเอวฟกช้ำ ไอเป็นเลือด ปวดกระเพาะ ฝีบวมมีหนอง อาการบวมอักเสบ ขับเสมหะ

- ต้น อินเดียใช้น้ำสกัดจากต้นมะเขือพวงแก้พิษแมลงกัดต่อย

-ใบสด น้ำคั้นใบสดใช้ลดไข้ ในแคเมอรูนใช้ใบห้ามเลือด ใช้เป็นยาระงับประสาท พอกให้ฝีหนองแตกเร็วขึ้น แก้ปวด ทำให้ฝียุบ แก้ชัก ไอหืด ปวดข้อ โรคผิวหนัง ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อ และแก้ซิฟิลิส

- ผล ของมะเขือพวงมีรสขื่น เฝื่อน อมเปรี้ยวเล็กน้อย หลายประเทศนำผลมาต้มน้ำกรองน้ำดื่ม มีสรรพคุณในการขับเสมหะ ช่วยระบบย่อยอาหาร รักษาอาการเบาหวาน / ประเทศจีนใช้ต้มน้ำดื่มแก้ไอและบำรุงเลือด ทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรง ผลแห้งย่างกินแกล้มอาหารบำรุงสายตาและรักษาอาการติดเชื้อแบคทีเรีย / อินเดียกินผลเพื่อบำรุงตับ ช่วยบรรเทาโรคแผลในกระเพาะอาหาร ขับปัสสาวะ ช่วยย่อย และช่วยให้ผ่อนคลายง่วงนอน บำรุงตับ / อินเดียทางตอนใต้ใช้ผลอ่อนบำรุงกำลังให้ร่างกาย ผลแห้งหุงน้ำมันเล็กน้อย บดเป็นผงกินครั้งละ 1 ช้อนชา ลดอาการไอและเสมหะ / และแคเมอรูนใช้ผลมะเขือพวงรักษาโรคความดันโลหิตสูง

- เมล็ด มาเลเซียนำเมล็ดไปเผาให้เกิดควัน สูดเอาควันรมแก้ปวดฟัน

- ราก มาเลเซียใช้รากสดตำพอกรอยแตกที่เท้า หรือโรคตาปลา / อินเดียนำน้ำมะขามแช่รากมะเขือพวงต้มดื่มลดพิษในร่างกาย

โดยทั่วไปที่ประเทศอินเดียใช้มะเขือพวงกำจัดพยาธิในระบบทางเดินอาหาร และรักษาแผลกระเพาะอาหาร แต่หมอเท้าเปล่าของอินเดียใช้มะเขือพวงอยู่เสมอเป็นอาหารเสริมเพื่อควบคุมความดันโลหิต
ข้อควรระวัง

มะเขือพวงมีสาร “โซลานีน (Solanine)” ซึ่งเป็น “อัลคาลอยด์” ผู้ที่เป็น “โรคไขข้อ” ควรหลีกเลี่ยงการรับประทาน เพราะสารนี้อาจจะทำให้เกิดความไม่สมดุลของแคลเซียมในร่างกายได้

สำหรับประเทศไทยเรานั้นรู้จักมะเขือพวงกันมานานแล้ว โดยนิยมนำผลมาใช้ประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ไม่ว่าจะนำมาทำเป็นแกงหรือน้ำพริก เช่น แกงเขียวหวาน แกงเนื้อ แกงป่า น้ำพริกกะปิ น้ำพริกแมงดา น้ำพริกกุ้งสด ปลาร้าทรงเครื่อง ผัดเผ็ด เป็นต้น

ขอบคุณ​ข้อมูลดีๆจาก
ผู้จัดการออนไลน์​
-clgc.agri.kps.ku.ac.th/resources/herb/---solanum.html medthai.com/มะเขือพวง/

Boom iZวิตามินบำรุงดวงตาที่มีสารสกัดที่มีประโยชน์ร่างกายเช่น บิลเบอร์รี่ ซิงค์
03/04/2023

Boom iZ
วิตามินบำรุงดวงตา
ที่มีสารสกัดที่มีประโยชน์ร่างกาย
เช่น บิลเบอร์รี่ ซิงค์

7 สมุนไพรไล่ยุง วิธีกำจัดยุงในบ้านด้วยธรรมชาติ ไร้สารเคมีสมุนไพรไล่ยุง มีอะไรบ้าง ? มาดู 7 สมุนไพร หาง่าย ใกล้ตัว จะปลูก...
02/04/2023

7 สมุนไพรไล่ยุง วิธีกำจัดยุงในบ้านด้วยธรรมชาติ ไร้สารเคมีสมุนไพรไล่ยุง มีอะไรบ้าง ? มาดู 7 สมุนไพร หาง่าย ใกล้ตัว จะปลูกกันยุงก็ได้ จะสกัดทำสเปรย์ไล่ยุงก็ดี บอกเลยหน้าฝนแบบนี้ ไม่มีไม่ได้แล้ว
1. ตะไคร้หอม สมุนไพรไล่ยุง
ตะไคร้หอม สมุนไพรที่มีกลิ่นเฉพาะตัว เหง้าอยู่ใต้ดิน ลำต้นแตกเป็นกอ ใบยาว สาก หนา และคม มีน้ำมันหอมระเหยชนิด Citronella, Citronellol และ Geraniol เป็นส่วนประกอบ ช่วยไล่ยุงลายได้ เพียงแค่นำมาปลูกโดยใช้แกลบ หิน หรือใบไม้แห้ง รองก้นกระถาง แล้วตามด้วยดินผสมปุ๋ยคอก เท่านี้ก็จะทำให้กลิ่นของน้ำมันหอมระเหยช่วยไล่ยุงออกจากบ้าน หรือไม่เช่นนั้นนำตะไคร้หอมประมาณ 4-5 ต้น มาทุบ แล้ววางไว้ในห้องมืด ๆ อับ ๆ กลิ่นของน้ำมันหอมระเหยก็จะช่วยกำจัดยุงออกไปเอง นอกเหนือจากนี้เรายังสามารถนำตะไคร้หอมไปสกัดทำเป็นครีมทาตัวหรือสเปรย์ฉีดยุงได้อีกด้วย

2. มะกรูด ไล่ยุงไม่ให้วางไข่
มะกรูด พืชยืนต้นมีหนาม มีน้ำมันหอมระเหยที่สามารถจัดการได้ทั้งยุงลาย ยุงเสือ ยุงก้นปล่อง และยุงรำคาญ โดยจะใช้วิธีปลูกด้วยการเพาะเมล็ดลงดินที่มีปุ๋ยคอก แล้วรอจนต้นโตเพื่อให้น้ำมันหอมระเหยส่งกลิ่นไล่ยุงก็ได้ จะนำใบหรือผิวมะกรูดมาบีบให้กลิ่นน้ำมันหอมระเหยฟุ้งเพื่อกำจัดยุงก็ดี นอกจากนี้ยังนำไปสกัดร่วมกับตะไคร้หอมเป็นสเปรย์ฉีดยุงก็เด่น ที่สำคัญถ้าหากนำลูกมะกรูดใส่ไว้ในตุ่มหรือแขวนไว้ใกล้ปากตุ่ม ยังช่วยป้องกันลูกน้ำยุงลาย และช่วยไม่ให้ยุงมาวางไข่ได้อีกต่างหาก

3. โหระพา อีกหนึ่งสมุนไพรไล่โหระพา สมุนไพรกลิ่นหอมคู่ครัวไทย สามารถปลูกเพื่อไล่ยุงออกจากบ้านได้ โดยวิธีที่นิยมมากที่สุดคือ การปักชำ เพราะเพียงแค่เตรียมดินให้ลึก 20-25 เซนติเมตร แล้วนำก้านโหระพาปักลงไป ใช้ฟางคลุมและรดน้ำเล็กน้อย ก็จะได้ต้นโหระพาที่มีกลิ่นฉุนและน้ำมันหอมระเหยมาช่วยไล่ยุงได้ไม่ยากแล้ว หรือถ้าหากใครไม่อยากปลูก จะนำใบโหระพามาขยี้จนมีกลิ่นฟุ้ง แล้วนำไปวางในบริเวณที่มียุงชุมหรือหน้าพัดลมก็ได้ รับรองยุงรีบบินหนีหายแน่ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากนำใบโหระพามาต้มน้ำเปล่า 110 มิลลิลิตร ประมาณ 2-3 ชั่วโมง พร้อมเติมวอดก้า 110 มิลลิลิตร ลงไป ก็จะช่วยให้เรามีสเปรย์ไว้ฉีดตามตัว ช่วยไล่ยุงเวลาออกไปข้างนอกแล้ว

4. สะระแหน่ สมุนไพรไล่ยุงยอดฮิตสะระแหน่ อีกหนึ่งสมุนไพรไล่ยุงยอดฮิต มีน้ำมันหอมระเหย เช่น P-Cymene, B-Pinene, Ocimene และ Limonene เป็นส่วนประกอบ จึงปลูกกันยุงได้ โดยส่วนใหญ่นิยมปักชำด้วยการตัดยอดให้เหลือใบอ่อนประมาณ 5-6 ใบ แล้วนำมาปักลงดินที่ผสมปุ๋ยคอกและกาบมะพร้าวสับ ไม่เช่นนั้นก็สามารถนำใบสะระแหน่มาบดขยี้ให้กลิ่นของน้ำมันหอมระเหยกระจายออกมา แล้วทาลงบนผิวได้โดยตรงสำหรับผู้ที่ไม่แพ้ หรือจะนำไปวางไว้ในบริเวณที่ยุงชุม หน้าพัดลม หรือปัดให้ทั่วบ้านเลยก็ยังได้

5. มะนาว กลิ่นกระจายช่วยไล่ยุงได้มะนาว พืชตระกูลส้ม สีเหลืองสวย รสเปรี้ยวจี๊ด มีน้ำมันหอมระเหยที่สามารถไล่ยุงก้นปล่องได้เป็นส่วนประกอบ บอกเลยแค่นำเปลือกมะนาวมาบีบจนกลิ่นและน้ำมันหอมระเหยกระจายออกมา เท่านี้ก็จะช่วยไล่ยุงในบ้านของเราได้แล้ว

6. ส้ม สมุนไพรมีกลิ่นน้ำมันหอมระเหยช่วยไล่ยุง
ส้ม ผลไม้รสเปรี้ยวหวานสุดโปรดของใครหลายคน ก็เป็นสมุนไพรไล่ยุงอีกหนึ่งชนิด เพราะในผิวส้มมีน้ำมันหอมระเหยที่ช่วยไล่ยุงได้เพียบ ไม่ว่าจะเป็น P-Cymene, B-Pinene, Ocimene, Citral และ Limonene ดังนั้น กินเสร็จแล้วอย่าเผลอทิ้งเปลือกไปเฉย ๆ นำมาบีบ ๆ ขยี้ ๆ ให้น้ำมันหอมระเหยกระจายออกมาก่อน จะได้ช่วยไล่ยุงให้หมดไปจากบ้านด้วยนั่นเอง

7. ยูคาลิปตัส กลิ่นกระจายกำจัดยุงร้าย ยูคาลิปตัส ไม้ยืนต้น ทรงพุ่มหนา ใบยาวรูปหอก สีเขียวหม่น เส้นกลางใบชัด มีน้ำมันหอมระเหยชนิดพิเศษที่มีสรรพคุณช่วยไล่ยุงและแมลง เพียงแค่นำใบสดประมาณ 1 กำมือ มาขยี้ให้กลิ่นของน้ำมันหอมระเหยกระจายออกมา แล้วนำไปวางไว้ตามมุมห้อง ก็จะช่วยกำจัดหรือฆ่ายุงหรือแมลงได้ง่าย ๆ แล้ว

วิธีทำสมุนไพรไล่ยุง
นอกจากจะนำสมุนไพรมาปลูกและขยี้เพื่อใช้ไล่ยุงได้แล้ว ยังนำมาสกัดเพื่อทำเป็นสเปรย์สมุนไพรไล่ยุงได้อีกด้วย โดยมีอุปกรณ์และขั้นตอน ดังนี้

อุปกรณ์
- ตะไคร้หอม
- ผิวมะกรูด
- เอทิลแอลกอฮอล์
- ผ้าขาวบาง
- ขวดโหลแก้ว
- ขวดสเปรย์

วิธีทำ
1. หั่นตะไคร้หอมออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วห่อด้วยผ้าขาวบาง

2. หั่นผิวมะกรูดออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วห่อด้วยผ้าขาวบาง

3. นำห่อตะไคร้หอมและห่อผิวมะกรูดใส่ลงไปในขวดโหล

4. เติมเอทิลแอลกอฮอล์ประมาณ 1 ลิตร ลงไปในขวดโหล

5. ใส่การบูรประมาณ 10 กรัม ลงไปในขวดโหล แล้วปิดผ้าคลุมไว้ให้สนิทเพื่อทำการหมัก

6. เขย่าขวดโหลเป็นประจำทุกวันเพื่อให้ส่วนผสมต่าง ๆ เข้ากัน

7. รอจนครบ 7 วัน แล้วนำไปบรรจุในขวดสเปรย์ จากนั้นก็ใช้ฉีดไล่ยุงได้เลย

เป็นอย่างไรบ้างคะ แต่ละต้นน่าปลูกติดบ้านมากเลยใช่ไหม ส่วนถ้าหากวิธีทำสเปรย์ไล่ยุงจากตะไคร้หอมและผิวมะกรูดยังไม่ถูกใจเท่าไร ก็ตามไปชมวิธีทำสเปรย์กันยุงอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่เลยค่ะ 10 วิธีทำสเปรย์กันยุง ไล่แมลงร้ายด้วยกลิ่นหอม หรือ 7 สเปรย์ไล่ยุงจากตะไคร้หอม ฉีดกันไว้ก่อนขาลาย !
ขอบคุณข้อมูลความรู้ดีๆ จาก :
home.kapook. //com
บทความที่เกี่ยวข้องไล่ยุง
- 10 ต้นไม้ไล่ยุง ปลูกติดบ้านไว้ ไร้เงาแมลงร้ายกวนใจ !

ขอบคุณข้อมูลจาก สสส., คณะเภสัชศาสตร์ มหิดล, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร และ rspg

https://home.kapook.com/view214926.html

บำรุงดวงตาเพื่อการมองเห็นที่ดีBoom iZ ตอบโจทย์ต่อผู้ที่รักสายตามากเลยค่าาา BoomiZxPPkrittTheiConGroupBoomiZ PPkritt มีคว...
02/04/2023

บำรุงดวงตา
เพื่อการมองเห็นที่ดี

Boom iZ
ตอบโจทย์ต่อผู้ที่รักสายตา
มากเลยค่าาา

BoomiZxPPkritt
TheiConGroup
BoomiZ PPkritt
มีความสุขทุกการมองเห็นBOOMiZ

มีความเชื่อว่าการดื่มน้ำในปริมาณมาก ๆ ทำให้ร่างกายทำงานได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยในการลดน้ำหนักและบำรุงสุขภาพผิว โดยเฉ...
01/04/2023

มีความเชื่อว่าการดื่มน้ำในปริมาณมาก ๆ ทำให้ร่างกายทำงานได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยในการลดน้ำหนักและบำรุงสุขภาพผิว โดยเฉพาะการดื่มน้ำแร่ เพราะมีข้อมูลที่กล่าวอ้างว่าเป็นน้ำดื่มจากแหล่งธรรมชาติซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุนานาชนิด หลายคนจึงเชื่อว่าน้ำแร่ดีต่อสุขภาพร่างกาย มากกว่าน้ำเปล่าหรือน้ำประปาทั่วไป

ดื่มน้ำ
น้ำหนักตัวของคนเราประกอบไปด้วยน้ำถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ร่างกายอาจสูญเสียน้ำได้จากการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การออกกำลังกาย การดื่มน้ำจึงเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก แต่คนส่วนใหญ่ไม่ใส่ใจกับการดื่มน้ำมากนัก และมักไม่คำนึงถึงปริมาณที่เหมาะสม บ้างก็ดื่มน้ำน้อยเกินไปหรือมากเกินไป จนทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพตามมา อีกทั้งอาจไม่ทราบด้วยว่า หากร่างกายขาดน้ำเพียง 5 วันหรือ 1 สัปดาห์ ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้

ประโยชน์ของการดื่มน้ำ
น้ำเป็นปัจจัยสำคัญต่อกระบวนการทำงานภายในร่างกาย เช่น การล้างสารพิษออกจากอวัยวะ หรือการนำสารอาหารและออกซิเจนไปสู่เซลล์ต่าง ๆ รวมถึงประโยชน์อื่น ๆ ดังต่อไปนี้

ลดน้ำหนัก การดื่มน้ำอาจมีส่วนช่วยให้อัตราการเผาผลาญพลังงานแคลอรี่เพิ่มสูงขึ้น
บำรุงสุขภาพผิว
เป็นส่วนประกอบของน้ำหล่อลื่นข้อต่อ
เสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร
ขับแบคทีเรียจากกระเพาะปัสสาวะ
มีส่วนช่วยทำให้อัตราการเต้นของหัวใจปกติ
ควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย
ควบคุมความดันโลหิต
ป้องกันอาการท้องผูก
ป้องกันความเสียหายของเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ
รักษาสมดุลของอิเล็กโตรไลต์ (โซเดียม)
ควรดื่มน้ำวันละเท่าไร ?
ในทุก ๆ วัน ร่างกายจะสูญเสียน้ำผ่านการปัสสาวะ เหงื่อ การหายใจ หรืออื่น ๆ การดื่มน้ำเพื่อทดแทนในส่วนที่สูญเสียไปจึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่การดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมอาจเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า เพราะหากดื่มน้ำมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ และอย่างที่ทราบกันทั่วไปว่าการดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว นั้นเพียงพอต่อการทำงานของร่างกาย แต่แท้จริงแล้วปริมาณที่เหมาะสมอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ของผู้บริโภค เช่น กิจกรรมที่ทำ เพศและอายุ

ปริมาณการดื่มน้ำที่เหมาะสมมีดังนี้
สำหรับผู้ที่อายุ 4-8 ปี 5 แก้วต่อวัน (ประมาณ 1,200 มล.)
สำหรับผู้ที่อายุ 9-13 ปี 7-8 แก้วต่อวัน (ประมาณ 1,600-1,900 มล.)
สำหรับผู้ที่อายุ 14-18 ปี 8-11 แก้วต่อวัน (ประมาณ 1,900-2,600 มล.)
สำหรับผู้หญิงที่อายุ 19 ปีขึ้นไป 9 แก้วต่อวัน (ประมาณ 2,100 มล.)
สำหรับผู้ชายที่อายุ 19 ปีขึ้นไป 13 แก้วต่อวัน (ประมาณ 3,000 มล.)
ปริมาณดังกล่าวได้นับรวมปริมาณน้ำที่ได้จากอาหาร ผักหรือผลไม้ต่าง ๆ เช่น เบอร์รี่ แตงโม แตงกวา พริกหยวก ผักโขม ขึ้นฉ่ายหรือดอกกะหล่ำ เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ อาจจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำให้มากขึ้น เมื่อต้องออกกำลังกายอย่างหนัก อยู่ในสภาพอากาศร้อน ป่วย มีไข้หรือมีปัญหาสุขภาพ เช่น ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ โดยเฉพาะหากกำลังตั้งครรภ์ ควรเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำเป็น 10 แก้วต่อวัน และ 13 แก้วต่อวันสำหรับผู้ที่ต้องให้นมบุตร

ช่วงเวลาใดเหมาะสมที่สุดในการดื่มน้ำ?
นอกจากเรื่องปริมาณการดื่มน้ำแล้ว การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายให้ดีขึ้น อาจทำได้โดยการดื่มน้ำในช่วงเวลาที่เหมาะสมดังนี้

หลังตื่นนอน การดื่มน้ำ 1 แก้วหลังจากตื่นนอน ช่วยให้ร่างกายขจัดสารพิษต่าง ๆ และช่วยกระตุ้นการทำงานของอวัยวะภายใน
หลังจากอาบน้ำ การดื่มน้ำ 1 แก้วหลังจากอาบน้ำ ช่วยลดความดันโลหิตได้
ก่อนมื้ออาหาร การดื่มน้ำ 1 แก้ว 30 นาทีก่อนรับประทานอาหาร ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งดื่มน้ำอีก 1 แก้วหลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว 1 ชั่วโมง เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหาร แต่น้ำย่อยอาจเจือจางได้หากดื่มน้ำแล้วเว้นช่วงเวลาไว้นานเกินไป
ก่อนนอน การดื่มน้ำ 1 แก้วก่อนนอนช่วยแทนที่ของเหลวที่จะสูญเสียในตอนกลางคืนได้
ดื่มน้ำประปาอันตรายหรือไม่?
หลายคนอาจเชื่อว่าน้ำประปานั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพ จากสารและกลิ่นต่าง ๆ ที่พบ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณะสุขเปิดเผยว่า กลิ่นที่พบในน้ำประปานั้นคือคลอรีน เป็นสารที่ได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลกว่าช่วยฆ่าเชื้อโรคในน้ำได้ และยังเป็นตัวช่วยยืนยันว่าน้ำนั้นได้ผ่านการฆ่าเชื้อเรียบร้อยแล้ว แต่หากผู้ใดที่ไม่ชอบกลิ่นคลอรีน อาจตั้งน้ำทิ้งไว้ 20-30 นาที กลิ่นคลอรีนก็จะหายไป และสำหรับผู้ที่กลัวสารไตรฮาโลมีเทน (Trihalomethanes) ในน้ำประปา หากคำนวณจากค่าความเข้มข้นของสารไตรฮาโลมีเทน ที่ถูกกำหนดไว้ให้ไม่เกิน 0.08 มิลลิกรัมต่อลิตร กรมอนามัยยืนยันว่าผู้บริโภคต้องบริโภคสารไตรฮาโลมีเทนนานถึง 252 ปี ถึงมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งได้

ปัจจุบันผู้บริโภคนิยมใช้เครื่องกรองน้ำที่มีชั้นหินดูดกลิ่น และสารเรซินลดความกระด้าง หรือนำไปฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ผ่านแก๊ซโอโซนและแสงยูวี ทั้งนี้ท่อกรองน้ำที่เป็นเหล็กอาจมีสนิมสะสม หากใช้ไปนาน ๆ อาจทำให้น้ำกรองติดเชื้อได้ จึงควรทำความสะอาดเครื่องกรองน้ำอย่างสม่ำเสมอ แต่หากผู้บริโภคยังไม่มั่นใจในการดื่มน้ำประปา การนำน้ำไปต้มเป็นเวลา 3-5 นาทีจนเดือดหรือที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส จะยังคงไว้ซึ่งแร่ธาตุ ทำให้น้ำสะอาดปราศจากจุลินทรีย์ แบคทีเรีย และลดความเสี่ยงจากสารไตรฮาโลมีเทนได้ จึงมั่นใจได้ว่าน้ำประปาสามารถดื่มได้ และไม่เป็นอันตรายต่อทั้งมนุษย์และสัตว์เลี้ยง

น้ำแร่ดีกว่าน้ำเปล่าหรือไม่ อย่างไร?
หลายคนเชื่อว่าน้ำแร่นั้นมีประโยชน์มากกว่าน้ำเปล่า อาจเพราะแหล่งที่มาของน้ำแร่นั้นมาจากธรรมชาติ และไม่มีกลิ่นคลอรีน จึงทำให้ผู้บริโภคมั่นใจมากกว่า อีกทั้งน้ำแร่มีสารอาหารรอง (Micronutrients) เช่น แคลเซียม ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและมีรสชาติที่ดีกว่า ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกไม่แนะนำให้ผู้บริโภคมุ่งความสนใจไปที่ส่วนประกอบสำคัญในน้ำแร่มากนัก เนื่องจากสารอาหารที่อยู่ในน้ำแร่นั้นยังไม่สามารถระบุปริมาณที่แน่นอนได้

อย่างไรก็ตาม น้ำแร่อาจปนเปื้อนสารตกค้างได้จากบรรจุภัณฑ์ หากเก็บไว้เป็นเวลานาน เก็บไว้ในที่มีอากาศร้อนหรือในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เพราะอาจทำให้จุลินทรีย์ก่อตัวในน้ำเป็นอันตรายต่อร่างกาย

น้ำอุ่นหรือน้ำเย็น อะไรดีกว่ากัน ?
จริง ๆ แล้วไม่อาจตัดสินได้ว่าน้ำอุ่นหรือน้ำเย็นนั้นดีกว่ากัน เพราะมีประโยชน์แตกต่างกันไป เช่น น้ำอุ่นมีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของอวัยวะภายใน เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง เพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายและเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต รวมไปถึงบรรเทาอาการคอแห้ง

แต่หากต้องทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ออกกำลังกาย ยกน้ำหนัก ปั่นจักรยานหรือวิ่งในสภาพแวดล้อมที่ร้อนและชื้น การดื่มน้ำเย็นจะช่วยลดอุณหภูมิภายในร่างกายได้ดีกว่าน้ำอุ่น รวมไปถึงช่วยให้ทำกิจกรรมนั้น ๆ ได้นานขึ้นโดยไม่รู้สึกเหนื่อย

ดื่มน้ำเยอะ ๆ ดีจริงหรือ ?
การออกกำลังกายอาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมาก โดยเฉพาะหากอุณหภูมิยิ่งสูงขึ้น อาจจำเป็นต้องดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อทดแทนส่วนที่สูญเสียไป อย่างไรก็ตาม การดื่มน้ำในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้เป็นอันตรายร้ายแรงได้ เช่น ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ (Hyponatremia) มักพบได้ในการแข่งขันดื่มน้ำ การแข่งวิ่งระยะไกลหรือผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำเรียกอีกอย่างได้ว่า ภาวะน้ำเป็นพิษ เกิดขึ้นจากการดื่มน้ำปริมาณที่มากเกินไปภายในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่น การดื่มน้ำรวดเดียวเป็นจำนวน 7 ลิตรหรือดื่มน้ำ 4 ลิตรภายใน 2 ชั่วโมง ที่อาจส่งผลให้เสียชีวิตได้ ผู้ป่วยอาจปรากฏอาการป่วย ปวดหัว อาเจียน อ่อนเพลีย รวมไปถึงเวียนศีรษะ สับสน มือและเท้าบวม หากไม่รีบไปพบแพทย์ ผู้ป่วยอาจมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น สมองบวม และเสียชีวิต
โทษจากการดื่มน้ำน้อยเกินไป
การดื่มน้ำน้อยเกินไปอาจเกิดจากความกังวล หรือกลัวอันตรายของการดื่มน้ำมากเกินไป หรืออาจเข้าใจว่าการดื่มน้ำเพียง 8 แก้วต่อวันก็เพียงพอต่อร่างกายแล้ว ยิ่งหากเป็นผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ร่างกายจะสูญเสียน้ำมากกว่าปกติ หากไม่เพิ่มปริมาณการดื่มน้ำ อาจทำให้ร่างกายขาดน้ำได้

ภาวะขาดน้ำ เกิดจากการที่ร่างกายสูญเสียน้ำไปกับเหงื่อและปัสสาวะ มากกว่าปริมาณน้ำที่ดื่มเข้าไป ผู้ป่วยอาจสังเกตได้ว่าปัสสาวะมีสีเข้ม และปัสสาวะไม่บ่อยเท่าปกติ หรืออาจปรากฏอาการเหนื่อยล้าและกระหายน้ำอย่างรุนแรง สำหรับผู้ป่วยเด็ก อาจสังเกตได้ว่าผ้าอ้อมแห้งกว่าปกติ หรือปรากฏอาการต่าง ๆ เช่น ลิ้นแห้ง ปากแห้งและร้องไห้ไม่มีน้ำตา อาการดังกล่าวทั้งหมดของภาวะขาดน้ำอาจก่อให้เกิดอาการอื่น ๆ เพิ่ม เช่น

อารมณ์เปลี่ยนแปลง
สับสนหรือเบลอ
ท้องผูก
อุณหภูมิร่างกายสูงเกินไป
นิ่วที่ไต
ช็อก
อย่างไรก็ตาม ภาวะขาดน้ำอาจรักษาได้โดยการดื่มน้ำให้มากขึ้น แต่หากอาการรุนแรง ควรเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล แพทย์อาจให้น้ำเกลือผู้ป่วยจนกว่าอาการจะหายไป

รู้ได้อย่างไรว่าดื่มน้ำเพียงพอแล้ว ?
วิธีที่ง่ายที่สุดคือการสังเกต ผู้ที่ดื่มน้ำเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจะขับถ่ายสะดวก และมีปัสสาวะสีเหลืองใส แต่ผู้ที่ดื่มน้ำไม่เพียงพอจะมีปัญหาการขับถ่ายหรือท้องผูก และมีปัสสาวะสีเข้ม แต่หากมีปัญหาสุขภาพ เช่น ปัญหาเกี่ยวกับไตหรือภาวะหัวใจล้มเหลว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำ

ไม่ควรดื่มน้ำระหว่างกินข้าวจริงหรือ ?
หลายคนมีความเชื่อว่าไม่ควรดื่มน้ำระหว่างกินข้าว เพราะอาจทำให้อาหารไม่ย่อยและเป็นโรคอ้วนได้ ซึ่งตรงข้ามกับความจริง การดื่มน้ำระหว่างมื้ออาหาร ช่วยให้ร่างกายย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงช่วยให้อุจจาระไม่แข็งเกินไป ป้องกันอาการท้องผูก และช่วยให้ไม่รับประทานอาหารมากเกิน เพราะน้ำช่วยให้อิ่มเร็วขึ้นและกินช้าลง อย่างไรก็ตาม ไม่ควรดื่มปริมาณมากจนเกินไป
ขอบคุณ​ข้อมูลดีๆ จาก : www.pobpad.com

ที่อยู่

888/65 แขวงออเงิน เขตสายไหม
Bangkok
10220

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Boom iz บูมไอซี่ สิ่งดีดีเพื่อดวงตาผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

วิดีโอทั้งหมด

แชร์