WELL KIDS ส่งเสริมพัฒนาการเด็กฉบับนักกิจกรรมบำบัด

เป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนใจจริงๆค่ะ 🥲ขอแสดงความเสียใจกับทุกการจากไปและครอบครัวของผู้เสียชีวิตด้วยนะคะตั้งแต่เมื่อวานจนถึงว...
07/10/2022

เป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนใจจริงๆค่ะ 🥲
ขอแสดงความเสียใจกับทุกการจากไป
และครอบครัวของผู้เสียชีวิตด้วยนะคะ

ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ทามไลน์ก็ยังคงเต็มไปด้วยการพูดถึงเหตุที่เกิดขึ้นนี้ ยังไงก็ตาม ดูแลจิตใจของตัวเองให้เข้มแข็งกันด้วยนะคะ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจไม่น้อยเลย ใครรู้สึกจิตตกกับเหตุการณ์นี้ พักการใช้โซเชี่ยลไปก่อนก็เป็นทางเลือกที่ดีค่ะ ที่สำคัญ “รบกวนทุกท่านงดแชร์ภาพผู้เสียชีวิต” ด้วยนะคะ

ขออนุญาตแชร์บทความดีๆ จาก ตามใจนักจิตวิทยา ค่ะ

“รบกวนทุกท่านงดแชร์ภาพผู้เสียชีวิต”
สำหรับทุกท่านที่เห็นภาพและเกิดความรู้สึกจิตตก และซึมเศร้า ควรงดเสพสื่อ และสังเกตอารมณ์ตนเอง หากยังไม่สามารถเอาตัวเองออกมาจากภาวะนี้ได้ หรือ ต้องการความช่วยเหลือควรไปปรึกษาจิตแพทย์ และนักจิตวิทยานะคะ
“ไม่ควรมีสื่อใดไปสัมภาษณ์ความรู้สึกของพ่อแม่และครอบครัวของผู้เสียชีวิต แต่ขอรณรงค์ให้ช่วยกันเผยแพร่ข้อมูลการดูแลใจเบื้องต้น และแนวทางการช่วยเหลือให้กับผู้ที่สูญเสียและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้”
**********
แนวทางในการช่วยเหลือเด็กและผู้ที่มีบาดแผลทางใจ ซึ่งเกิดจากการได้รับประสบการณ์ที่เลวร้าย มีดังนี้
(1) จัดสภาพแวดล้อมให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเขา
จัดสภาพแวดล้อมที่สงบ มั่นคง เช่น
ห้องนอนที่มีเตียง หมอน และผ้าห่มอุ่นๆ
มีแสงไฟสีเหลืองนวล
มีตุ๊กตานุ่มๆ ให้กอด
และมีกลิ่นที่สะอาด ไม่อับชื้น
(2) เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเขา
เราสามารถเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับใครสักคนได้ โดยเริ่มจาก
1. ให้การรับฟัง
2. ให้การยอมรับในสิ่งที่เด็กเป็น
3. ให้ความรักและการสนับสนุนทางใจ
4. ให้อภัยและการสอน
5. ให้ความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ
การเยียวยาจิตใจที่ดีที่สุดคือการทำให้เด็กรู้สึกปลอดภัยเพียงพอที่ไม่ต้องพยายามทำตัวแข็งแกร่งหรือสร้างกำแพงหนาขึ้นมาอีกแล้ว เพราะตอนนี้เขามีคนที่พร้อมจะช่วยเหลือและปกป้องเขา
“ในวันที่อีกฝ่ายเหนื่อยล้า โปรดออบกอดเขาด้วยความรักและความเข้าใจ”
(3) ขอความช่วยเหลือ
การประสบกับเหตุการณ์ที่รุนแรงมากๆ
เช่น
สงคราม
การประสบอุบัติเหตุ
การเห็นผู้เเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตา
ความรุนแรงต่างๆ
เหตุการณ์ที่ประสบสามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อจิตใจมหาศาล และผู้ที่ประสบอาจจะกลายเป็นโรคจิตเวชได้ ได้แก่ โรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง (Post Traumatic Stress Disorder; PTSD) ตามเกณฑ์การวินิจฉัยโรค DSM-5 ของสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน โรคนี้จัดอยู่ในกลุ่ม Trauma and Stressor Related Disorders ซึ่งผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็น PTSD จะมีอาการดังนี้
(1) ยังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดี ราวกับว่าเหตุการณ์ยังคงเกิดขึ้น
(2) พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ หรือ สิ่งที่ทำให้นึกถึงเหตุการณ์
(3) อารมณ์และความคิดเปลี่ยนแปลงไปในทางลบ
(4) มีอาการตื่นตระหนกกลัว โดยมีอาการเช่นนี้ปรากฏอยู่นานมากกว่า 1 เดือนหลังเหตุการณ์ผ่านไป
ถึงแม้เวลาจะผ่านไปหลายปี คนบางคนยังภาพฝันร้ายในวันนั้นยังคงชัดเจนราวกับว่าเหตุการณ์นั้นเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน ผู้ที่มีอาการ PTSD ควรได้รับการช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา และนักบำบัดต่างๆ เพื่อให้การรักษาที่เหมาะสมต่อไป
**********
“สุดท้าย ไม่ควรมีพ่อแม่คนใดต้องมาสูญเสียลูกจากเหตุการณ์เช่นนี้อีก ขอไว้อาลัยกับทุกชีวิตที่สูญเสียไป และขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของเด็กๆ และผู้เสียชีวิตทุกท่านนะคะ”
ค่ำคืนนี้อย่าลืมดูแลตัวเราและคนข้างกาย
ขอส่งอ้อมกอดให้กับพ่อแม่และทุกท่านนะคะ
ด้วยรักจากใจ
เม
เพจตามใจนักจิตวิทยา
อ้างอิง
American Psychiatric Association (2013) Diagnostic and statistical manual of mental disorders (DSM-5®) American Psychiatric Pub

เป็นความคิดที่น่าชื่นชมมากเลยค่ะ 🙂เพราะคนที่มีความสุขไม่ใช่คนที่เรียนเก่งเสมอไปตัวเลขจากคะแนน หรือเกรดเฉลี่ยอาจวัดผลการเ...
30/08/2022

เป็นความคิดที่น่าชื่นชมมากเลยค่ะ 🙂
เพราะคนที่มีความสุขไม่ใช่คนที่เรียนเก่งเสมอไป


ตัวเลขจากคะแนน หรือเกรดเฉลี่ยอาจวัดผลการเรียนได้ ว่าเด็กๆมีความเข้าใจในเนื้อหาบทเรียนมากน้อยเพียงใด แต่ไม่ได้นำมาตัดสินชีวิตของเด็กคนหนึ่ง ว่าจะเติบโตมาประสบความสำเร็จ หรือโตมาอย่างมีคุณภาพหรือไม่

ดังนั้น คงจะดีไม่น้อยนะคะถ้าผู้ใหญ่ไม่ตัดสินเด็กๆจากตัวเลข 🤍

จากโรงเรียนถึงผู้ปกครองเด็ก : โปรดรับทราบด้วยว่าคนที่มีความสุขในโลกนี้ ไม่จำเป็นต้องจบหมอหรือวิศวะเท่านั้น …

โรงเรียนสิริรัตนาธร กทม. ออกหนังสือถึงผู้ปกครอง แจ้งการสอบปลายภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6

ในหนังสือถึงผู้ปกครอง ระบุข้อความบางตอนว่า

“ … โรงเรียนทราบว่าการสอบในครั้งนี้ อาจจะทำให้ท่านวิตกกังวลว่า นักเรียนของท่านจะทำข้อสอบได้หรือไม่ แต่โปรดเข้าใจไว้ว่าในกลุ่มนักเรียนที่นั่งสอบอยู่นี้ มีนักธุรกิจที่ไม่สนใจเรื่องประวัติศาสตร์หรือการประพันธ์ภาษาอังกฤษ มีนักคอมพิวเตอร์ที่ไม่สนใจเรื่องคะแนนสอบวิชาเคมี มีศิลปินที่ไม่มีความจำเป็นที่จะรู้เรื่องคณิตศาสตร์ มีนักกีฬาที่สนใจความสามารถทางร่างกายมากกว่าวิชาฟิสิกส์ มีนักการเมืองที่สนใจเรื่องข่าวสารบ้านเมืองมากกว่าวิชาศิลปะ

ถ้านักเรียนในปกครองของท่านทำคะแนนได้สูงสุดนั้น หมายถึงเป็นหนึ่งหรือยืนหนึ่ง แต่ถ้าลูกทำไม่ได้โปรดอย่าทำลายความเชื่อมั่นและความนับถือของพวกเขา บอกลูกว่ามันดีมากแล้ว มันแค่การสอบ มันยังมีอะไรอีกมากในชีวิต บอกลูกท่านว่าไม่ว่าคะแนนสอบออกมาแบบไหน คุณก็รักเขาและจะไม่ตัดสินเขา

โรงเรียนขอความอนุเคราะห์ท่านโปรดทำตามนี้ และเมื่อได้ทำตามแล้ว เฝ้าดูลูกของคุณพิชิตความฝันของเขาและโลกนี้ การสอบเพียงครั้งเดียวหรือคะแนนสอบที่ไม่ดี ไม่อาจช่วงชิงความฝันและพรสวรรค์ของเขาไป และโปรดรับทราบด้วยว่าคนที่มีความสุขในโลกนี้ ไม่จำเป็นต้องจบหมอหรือวิศวะเท่านั้น

ในการนี้ โรงเรียนสิริรัตนาธร ขอแจ้งกำหนดการสอบปลายภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ระหว่างวันที่ 19-23 ก.ย. ขอให้ท่านและนักเรียนเตรียมตัวในการสอบนี้ อย่างมุ่งมั่นและตั้งใจให้เต็มที่ที่สุด ครูที่ปรึกษา และครูประจำชั้นทุกวิชา จะช่วยสร้างฝันและพรสวรรค์ของนักเรียนให้ไปถึงจุดที่ตั้งหวังต่อไป …”

กอดวิเศษที่ทำให้ผู้มีภาวะออทิซึมรู้สึกสงบลง 🤍
04/08/2022

กอดวิเศษที่ทำให้ผู้มีภาวะออทิซึมรู้สึกสงบลง 🤍

ถอดบทเรียนจากซีรีย์ “Extraordinary Attorney Woo (2022)”
บทเรียนที่ 2 “กอดวิเศษ ช่วยเยียวยาบรรเทา”
อูยองอู มีภาวะออทิสติก ทำให้เธอมีปัญหากับการบูรณาการทางประสาทสัมผัส (Sensory Integration: SI) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System) ของเราจะประมวลผลเมื่อได้รับข้อมูลจากสภาพแวดล้อมหรือผ่านประสาทสัมผัสต่างๆ จากร่างกายของเรา
ได้แก่
1. Auditory (การได้ยิน)
2. Visual (การมองเห็น)
3. Olfactory (การรับกลิ่น)
4. Gustatory (การรับรสชาติ)
5. Tactile (การรับสัมผัส)
6. Vestibular (ระบบประสาทรับรู้การเคลื่อนไหวและสมดุล) ซึ่งมีผลต่อการเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนท่าทาง การรักษาสมดุล
7. Proprioceptive (ระบบประสาทรับรู้ผ่านกล้ามเนื้อ เอ็น และข้อต่อ) ซึ่งมีผลต่อการรับรู้ตำแหน่งร่างกาย การลงน้ำหนัก การกะแรง กะระยะ
เมื่อประมวลผลข้อมูลที่ได้รับเข้ามาแล้วจึงตอบสนองกลับไป
ถ้าระบบประสาทส่วนกลางมีปัญหาในการประมวลผลข้อมูลทางประสาทสัมผัสใดก็ตาม การตอบสนองของร่างกายนั้นอาจจะผิดปกติไป ซึ่งสามารถสังเกตเห็นความผิดปกตินั้นได้จากการเคลื่อนไหว การสื่อสาร การเข้าสังคม และปัญหาทางด้านอารมณ์ (Jean, 1974)
จึงเห็นได้ว่าอูยองอูจะมีหูฟังประจำตัว เพื่อนำมาใช้เวลาสภาพแวดล้อมมีเสียงดังเกินไป เพราะสำหรับคนทั่วไปเสียงเหล่านั้นอาจจะไม่ได้ทำให้เรารู้สึกอะไร แต่สำหรับอูยองอูเสียงเหล่านั้นส่งผลให้ระบบประสาทของเธอทำงานหนักเพื่อประมวลผลกลับมาตอบสนอง ซึ่งส่งผลให้เธอรู้สึกท่วมท้นหรือถูกคุกคามมากกว่าคนทั่วไป
อย่างไรก็ตาม แม้อูยองอูจะพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่จะทำให้เธอรู้สึกท่วมท้นจนเกินไป
ในชีวิตจริงเธอไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเธอ
เสียงของรถชนกัน
เสียงของผู้คน
เสียงของคนรักที่กรีดร้อง
และความชุลมุนวุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้อูยองอูรู้สึกท่วมท้นเกินกว่าที่ตัวเธอจะรับมือได้
ร่างกายที่ไม่สามารถประมวลผลให้ตอบสนองอย่างเหมาะสม ส่งผลให้อูยองอูรู้สึกคุกคาม และไม่ปลอดภัยอย่างมาก
เธอเริ่มแสดงออกด้วยกาพยายามปิดหู แต่ไม่เป็นผล เธอเริ่มตอบสนองต่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นด้วยการตีหัวตัวเองอย่างแรง
อีจุนโฮ (พระเอก) ซึ่งเห็นอูยองอูที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป รีบปรี่เข้าไปกอดเธอจากด้านหลัง
เขากอดเธอไว้แน่นที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เพื่อบอกเธอว่า “ทุกอย่างจะไม่เป็นไร”
อูยองอูขอร้องให้พระเอกกอดเธอแน่นอีกๆ เพื่อให้ตัวเองรู้สึกสงบลง
อีจุนโฮเข้าใจดีและตอบสนองด้วยการกอดอูยองอูแน่นขึ้นตามที่เธอขอร้อง
ไม่นานอูยองอูค่อยๆ สงบลง
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น อูยองอูขอบคุณที่อีจุนโฮกอดเธอเอาไว้
เธอพยายามจะอธิบายอีจุโฮว่า “สำหรับคนที่มีภาวะออทิสติกแล้ว การกอดแน่นๆ จะช่วยให้สงบลงได้”
ซึ่งตัวอีจุนโฮมีความเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างที่ เพราะตัวเขาเองยังได้บอกกับอูยองอูอีกว่า “ที่ต่างประเทศมีคนผลิตเก้าอี้กอดสำหรับผู้ที่มีความต้องการการกอดแน่นๆ เช่นนี้ด้วย”
**********
“การกอดแน่นๆ”
“การบำบัดด้วยแรงกดสัมผัสอย่างลึก (Deep Pressure Therapy: DTP) คืออะไร?”
การใช้แรงกดสัมผัสอย่างลึกเป็นรูปแบบหนึ่งของการสัมผัสทางประสาทสัมผัส ซึ่งสามารถทำได้ผ่าน...
การกอดแน่นๆ เช่น การกอดบุคคล การกอดสัตว์เลี้ยง
การสัมผัสแน่นๆ จากวัตถุ เช่น ผ้าห่มถ่วงน้ำหนัก
การบีบรัดหรือการจับเครื่องมือที่ออกแบบมาพิเศษ เช่น เก้าอี้กอด ตุ๊กตากอด
(Krauss, 1987)
ในปี 1992 Dr. Temple Grandin ซึ่งเป็นโรคออทิสติกที่มีความสามารถสูง (Autistic Spectrum Disorder with High Function) ซึ่งผู้ที่มีภาวะออทิสติกมักจะมีปัญหากับการบูรณาการทางประสาทสัมผัส (Sensory Integration: SI)
Dr. Temple Grandin จึงได้ประดิษฐ์ ”เครื่องบีบ (Squeeze Machin)” ขึ้นมาเพื่อให้กับตัวเธอเอง เพราะช่วงที่เธอเข้าสู่วัยรุ่นและเข้าในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งเธอต้องเจอกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ที่เต็มไปด้วยคนใหม่ๆ เธอรู้สึกวิตกกังวลและประหม่ามากขึ้น เธอระบุในรายงานของเธอว่าเธอรู้สึกเหมือนอยู่ในสถานะหวาดกลัวตลอดเวลา (State of Stage Fright)
เมื่อเกิดความหวาดกลัว เธอจะนำตัวของเธอเองเข้าไปอยู่ในเครื่องบีบ เพื่อให้เครื่องมือดังกล่าวบีบตัวเธอ การได้รับการสัมผัสด้วยการถูกบีบรัดด้วยแรงกดที่มั่นคง (Firm Tactile Sensory) ส่งสัญญาณที่สม่ำเสมอไปประมวลผลที่ระบบประสาทส่วนกลาง และตอบสนองกลับมาทำให้ร่างกายของเธอสงบลง
**********
นอกจากการกอดแน่นๆ แล้ว ในทางงานวิจัยทางประสาทวิทยาค้นพบหลักฐานมากมายว่า “การกอด” สามารถช่วยให้มนุษย์เติบโตและได้รับการเยียวยาได้
การกอดช่วยเพิ่มความสุข ลดความเครียดและความวิตกกังวล
งานวิจัยของนักจิตวิทยา Grewn (2010) พบว่า “ในระหว่างที่คู่รักกอดกัน ร่างกายของคนทั้งสองจะได้รับการกระตุ้นฮอร์โมนออกซิโทซิน (Oxytocin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุขจากต่อมใต้สมอง (Pituitary Gland) และช่วยลดปริมาณฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดได้อย่างชัดเจน”
ในเด็กเล็กที่สมองด้านการควบคุมอารมณ์ยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ทำให้พวกเขาไม่สามารถจัดอารมณ์ทางลบได้ในหลายๆ ครั้ง เช่น เวลาที่เด็กเล็กๆ เศร้าหรือกลัว พวกเขามีแนวโน้มจะแสดงอารมณ์ออกมา มากกว่ายับยั้งอารมณ์นั้นไว้ ซึ่งพฤติกรรมที่เด็กจะแสดงมา คือ “การร้องไห้” หากผู้ใหญ่เข้าใจและกอดเขาเอาไว้ การกอดช่วยความเครียดและความวิตกกังวล เด็กๆ จะรู้สึกปลอดภัยและเป็นที่ยอมรับ พวกเขาจะสามารถปลดปล่อยความรู้สึกคับข้องใจออกมา และค่อยๆ กลับมารู้สึกเป็นตัวเองได้อีกครั้ง
***
ในวันที่ไม่มีใครให้กอด เราหันกลับมากอดตัวเราเองได้เสมอ
ไม่ใช่แค่เพียงการกอดกับผู้อื่น แต่การกอดที่เกิดจากการกอดตัวเอง หรือ “ท่ากอดผีเสื้อ” (Butterfly hug)
เป็นหนึ่งในเทคนิคจากวิธี EMDR (Eye Movement Desensitization and Reprocessing) ที่นักบำบัดใช้เพื่อบำบัดจิตใจของผู้ที่รับการบำบัดที่ได้รับความเจ็บปวดทางจิตใจจากเรื่องในอดีต มีความทรงจำอันแสนเจ็บปวดที่สร้างบาดแผลทางใจให้บุคคลโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว นอกจากนี้ท่ากอดผีเสื้อช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลได้อีกด้วย (Artigas & Jarero, 2014)
ขั้นตอนการทำท่ากอดผีเสื้อ (Butterfly Hug)
(1) ยกแขนทั้งสองข้างไขว้กัน มือขวาวางบนบ่าซ้าย มือซ้ายวางบนบ่าขวา
(2) หายใจเข้าและออกช้าๆ ระหว่างที่ทำท่ากอดนี้
(3) ยกมือขึ้นตบที่หัวไหล่ทั้งสองข้างเบาๆ เหมือนผีเสื้อกำลังกระพือปีก จะเคาะช้าๆ หรือเร็วๆ ก็ได้ ขึ้นอยู่กับผู้กอดเอง
(4) ระหว่างที่ตบไปที่บ่า ให้เราทำจิตใจให้นิ่งสงบ นึกถึงสิ่งดีๆ ที่ทำให้เรามีความสุข หรือ เหตุการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเอง
(5) เราสามารถทำท่ากอดผีเสื้อตามระยะเวลาที่ต้องการ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 3-4 นาทีต่อครั้ง และควรทำทุกวันต่อเนื่อง เพื่อให้ความรู้สึกดีๆ มาเสริมสร้างจิตใจให้แข็งแกร่ง
การกอดนี้สามารถช่วยให้ผู้กอดรับรู้ได้ถึงความรักจากตัวเอง ซึ่งช่วยให้เกิดความรู้สึกมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจ คุณค่าจากการได้สัมผัสตัวเองด้วยรัก เปรียบเสมือนการเริ่มต้นรักและใจดีกับตัวเอง
***********
สุดท้าย การกอดที่แสนเรียบง่ายธรรมดาที่เกิดขึ้นในทุกๆ วัน เป็นสิ่งที่ช่วยเติมเต็มความรักและคุณค่าให้แก่กัน และการกอดในช่วงเวลาที่สำคัญยังช่วยเยียวยาและบรรเทาความหนักหนาทางใจได้อีกด้วย
ยังไม่มีงานวิจัยใดบอกว่า การกอดที่มากเกินไปจะส่งผลทางลบ แต่มีงานวิจัยมากมายที่บอกว่า “เด็กควรได้รับการกอด” “คู่รักควรกอดกัน” “ผู้สูงอายุต้องการกอด” และ “เราทุกคนควรกอดกัน"
ดังนั้น หากมีโอกาส อย่าลืมมอบ “กอด” ให้กับคนที่เรารักในทุกๆ วัน
ด้วยรักจากใจ
เม
เพจตามใจนักจิตวิทยา

อ้างอิง
Artigas, L., & Jarero, I. (2014). The butterfly hug. Implementing EMDR early mental health interventions for man-made and natural disasters, 127-130.
Ayres, A. Jean (1974). The Development of Sensory Integrative Theory and Practice: A Collection of the Works of A. Jean Ayres.
Krauss, K. E. (1987). The effects of deep pressure touch on anxiety. The American Journal of Occupational Therapy, 41(6), 366-373.
Grewen, K. M., Davenport, R. E., & Light, K. C. (2010). An investigation of plasma and salivary oxytocin responses in breast‐and formula‐feeding mothers of infants. Psychophysiology, 47(4), 625-632.
Temple Grandin, Ph.D (1992), Calming Effects of Deep Touch Pressure in Patients with Autistic Disorder, Journal of Child and Adolescent Psychopharmacology

20/06/2022

📣 #อนุมัติแล้ว 💉💉 #วัคซีนโควิดสำหรับเด็กเล็ก

📌 อย.สหรัฐอเมริการับรองให้วัคซีน และ สามารถฉีดได้ในเด็กอายุมากกว่า 6 เดือน

💉วัคซีน Pfizer
ใช้สำหรับเด็กอายุ 6 เดือน - 4 ปี
โดยจะต้องฉีดขนาด 3 ไมโครกรัม ทั้งหมด 3 เข็ม

💉วัคซีน Moderna
ใช้สำหรับเด็กอายุ 6 เดือน - 5 ปี
โดยจะต้องฉีดขนาด 25 ไมโครกรัม ทั้งหมด 2 เข็ม (ห่างกัน 4 สัปดาห์)

สำหรับในไทยต้องรอ อย. ประกาศอีกทีค่ะ คาดว่าจะมีการรับรองตามมาในเร็วๆ นี้ คุณแม่ติดตามข้อมูลกันให้ดี รวมถึงอย่าลืมศึกษาเรื่องของผลข้างเคียงจากการรับวัคซีนเอาไว้ด้วยนะคะ จะได้ดูแลเจ้าตัวเล็กหลังการฉีดได้อย่างถูกต้อง หากมีข้อมูลอัพเดทอย่างไรจะรีบมาแจ้งให้ทราบนะคะ❤️

ที่มา https://www.cbc.ca/news/health/cdc-recommends-covid-vaccines-young-children-1.6493706?__vfz=medium%3Dsharebar

#สารพันปัญหาการเลี้ยงลูก

⭐️ EP.78 ไม่เป็นไร… ถ้า(บางครั้ง) ไม่ได้มีทุกอย่างที่ต้องการครั้งนึงเคยมีผู้ปกครองท่านนึงสอบถามในห้องพัฒนาการ ว่า..“ถ้าเ...
22/05/2022

⭐️ EP.78 ไม่เป็นไร… ถ้า(บางครั้ง) ไม่ได้มีทุกอย่างที่ต้องการ
ครั้งนึงเคยมีผู้ปกครองท่านนึงสอบถามในห้องพัฒนาการ ว่า..
“ถ้าเราไม่ได้ให้ทุกอย่างที่ลูกต้องการ เป็นอะไรไหมคะ จะส่งผลต่อพัฒนาการน้องไหม จะทำให้น้องรู้สึกว่าขาดรึเปล่า?”
“บางครั้งลูกอยากได้ของเล่น อยากได้บางอย่าง แต่แม่ไม่ได้ซื้อให้ค่ะ เพราะเห็นว่าที่บ้านก็มีของที่คล้ายกันแล้ว หรือแม่มองว่าไม่จำเป็น ก็เลยไม่ได้ให้น้องค่ะ ดูน้องเสียใจมากเลย บางทีก็ทำให้มีปัญหากับคุณพ่อว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำไมต้องทำให้ลูกร้องไห้ด้วย แม่เลยไม่แน่ใจว่าแม่คิดถูกไหม”

ส่วนตัวแล้ว มองว่าสิ่งที่คุณแม่ตัดสินใจถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วค่ะ
ทั้งในเรื่องที่ไม่ให้ซื้อของซ้ำกับที่มีอยู่แล้วหรือของที่ไม่จำเป็น
และในเรื่องที่อาจจะย้อมให้ลูกงอแงบ้างเมื่อน้องถูกขัดใจ


เพราะ…
ที่จริงแล้วเด็กๆ ‘ไม่จำเป็น’ ต้อง ‘มี/ได้ทุกอย่างที่ต้องการ’

ในความเป็นจริงแล้วผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดกับกรณีที่บางครั้งตอบสนองความอยากได้ หรือความต้องการของเด็กๆไม่ได้ทั้งหมด เพราะนั่นไม่ใช่เรื่องผิดแปลกหรือร้ายแรงอะไรที่ในบางกรณีอาจจะเกิดเหตุการณ์ที่ขัดใจเด็กๆบ้าง(กรณีที่ขัดใจเพราะต้องการให้เด็กๆได้เรียนรู้ ไม่ใช่จากเหตุเพราะต้องการแหย่เด็กๆ)

การที่เด็กๆได้เรียนรู้ว่า “บางอย่าง” “บางครั้ง” “บางเรื่อง” อาจจะไม่มีอะไรที่เป็นไปตามที่ตนต้องการ นับว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเด็กๆค่ะ ในขณะนั้นที่อารมณ์ครุกรุ่นเด็กๆอาจร้องไห้งอแงเสียใจ แต่หลังจากที่เด็กๆใจเย็นลงแล้ว นั่นถือเป็นโอกาสให้เด็กๆได้เรียนรู้ และฝึกที่จะจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง

ในเมื่อพ่อแม่สามารถซื้อของที่ลูกทุกอย่างต้องการได้
ทำไมต้องไม่ให้ ทำไม่ต้องขัดใจเด็กๆด้วย ?
ทำไมต้องปล่อยให้เด็กๆร้องไห้งอแง ?

นั่นก็เป็นเพราะว่า เมื่อเด็กๆต้องออกไปใช้ชีวิตในโลกกว้าง
ไม่มีใครตามใจเด็กๆได้ทุกอย่างเหมือนคุณพ่อคุณแม่ค่ะ
ดังนั้น การสร้างภูมิคุ้มกันเรื่องการจัดการกับความรู้สึกของตัวเองในตอนที่ผิดหวัง นับว่าเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำเป็นอย่างมากเลยค่ะเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมที่จะออกไปสู่โลกกว้าง ถ้าเด็กๆได้ในสิ่งที่ต้องการตลอด เมื่อถึงวันนึงที่เขาอาจไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ในวันนั้นเด็กๆอาจจะได้สามารถจัดการกับอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองได้อาจจะทำให้เกิดปัญหาที่ร้ายแรงตามมาในภายหลังได้

ในกรณีที่เด็กๆร้องไห้งอแง คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจมองว่าจะสร้างบาดแผลทางจิตใจให้เด็กๆไหม จะทำให้เด็กๆรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่รักหรือเปล่า จริงๆแล้วตอนที่เด็กๆร้องไห้ไม่แนะนำให้ผู้ปกครองปล่อยเด็กไว้แบบนั้นเพียงลำพังนะคะ ควรจะอยู่กับเด็กและอธิบายให้เด็กทราบถึงเหตุผลหลังจากที่เด็กสงบลง และสอนเรื่องการจัดการอารมณ์ของตัวเองรวมถึงการควบคุมอารมณ์ตัวเองด้วย สอนวิธีที่ต้องการให้เด็กๆแสดงออกเมื่อไม่พอใจหรือเสียใจ เช่น เมื่อหนูเสียใจหนูร้องไห้ได้ แต่พอหนูใจเย็นลงแม่/พ่อ อยากให้เรามาคุยกันดีๆ ร้องไห้งอแงได้แต่ไม่อนุญาตให้ทำร้ายตัวเอง คนอื่น รวมทั้งสิ่งของ

สำหรับคุณพ่อคุณแม่บ้านไหนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันนี้
ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดต่อตัวเอง ต่อลูก หรือต่อใครๆนะคะ
เมื่อบางครั้งเด็กๆไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ
มองว่าเป็นโอกาสที่จะทำให้เด็กๆได้เรียนรู้ค่ะ
สถานการณ์บางอย่าง บทเรียนบางบทเรียน ไม่มีใครสอนลูกได้ดีเท่าพ่อแม่ค่ะ 😀

การมีลูกอาจจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้เติบโตได้เป็นอย่างดีและเป็นคนที่มีประสิทธิภาพเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากและต้องใช้ความพยายามหลายๆอย่างเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวนะคะ 🙃

WELL KIDS 👶🏻

⭐️ EP.77 SOFT SKILL หัดได้ตั้งแต่เด็ก 😀✨ที่ผ่านมาในช่วง 1-2 ปีนี้ เรามักจะเริ่มได้ยินหลายๆคนพูดถึงคำว่า “Soft skill” ซึ่...
12/05/2022

⭐️ EP.77 SOFT SKILL หัดได้ตั้งแต่เด็ก 😀✨

ที่ผ่านมาในช่วง 1-2 ปีนี้ เรามักจะเริ่มได้ยินหลายๆคนพูดถึงคำว่า “Soft skill” ซึ่งส่วนใหญ่เรามักจะเห็นคำนี้ในการพูดถึงเรื่องการทำงาน การใช้ชีวิตของผู้คนในสังคม

Soft skill คืออะไร ทำไมได้ยินบ่อยจังในข่วงนี้ !?
Soft skill คือทักษะลักษณะนิสัยของบุคคล ทักษะความสามารถเชิงสมรรถนะ และรวมถึงทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ที่บอกถึงความสัมพันธ์ของบุคคลกับผู้อื่น การตอบสนองกับบุคคลอื่นๆ อาจมีบางกลุ่มคนที่อธิบายว่า Soft skill คือความหมายของความฉลาดทางอารมณ์ (EQ)

TOP 10 SOFT SKILLS FOR KIDS
(10 Soft skill สำหรับเด็ก)
1. “ความเป็นผู้นำ” (Leadership) เป็นทักษะที่สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการจัดการคนและสถานการณ์ที่หลากหลาย นอกจากจะทำให้เด็กๆเรียนรู้เรื่องการจัดการแล้ว ยังเป็นวิธีสร้างความมั่นใจในตัวเองให้เด็กๆอีกด้วย
2. “ทักษะการสื่อสาร” (Comunication) การสื่อสารเป็นมากกว่าการอ่าน เขียน การฟัง รวมทั้งการพูดให้ดี ยิ่งถ้าสามารถสื่อสารได้ด้วยความมั่นใจ กระชับ และให้เกียรติผู้อื่นก็จะยิ่งเป็นทักษะการสื่อสารที่สมบูณ์แบบมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้การสื่อสารมีบทบาทที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์อีกด้วย
3. “การทำงานเป็นทีมและการทำงานร่วมกัน” (Teamwork and Collaboration) เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เด็กๆเมื่อเติบโตขึ้นจะต้องทำงานร่วมกับคนอื่นๆ ซึ่งการทำงานร่วมกันหรือการทำงานเป็นทีมอาจเป็นเรื่องยาก ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่สามารถทำให้เด็กชื่นชอบหรือสนุกสนานกับการทำงานร่วมกับคนอื่นๆได้ เช่น การชื่นชมหรือให้กำลังใจเด็กๆ เมื่อพวกเขาร่วมมือกันทำบางอย่างหรือแม้แต่การขอความคิดเห็นเด็กๆในการตัดสินใจเพื่อให้เด็กๆได้เริ่มมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม
4. “การแก้ไขปัญหาและการคิดอย่างมีวิจารณญาณ” (Problem Solving and Critical Thinking) เพื่อการเติบโตที่มีประสิทธิภาพนั้นเด็กๆจะต้องมีความสามารถในการสังเกต วิเคราะห์ และแนวทางการแก้ไขปัญหา การทำกิจกรรมง่ายๆเช่นการเล่นจิ๊กซอว์ สามารถช่วยให้เด็กๆสามารถมองได้หลายด้านมากขึ้น รวมทั้งมองอย่างครอบคลุมในสิ่งต่างๆอีกด้วย ในบางครั้งผู้ใหญ่ควรปล่อยให้เด็กๆได้เผชิญปัญหาด้วยตนเองบ้าง ไม่ใบ่เพื่อการรังแกแต่เพื่อให้เด็กๆได้เกิดกระบวนคิด วิเคราะห์ และแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง แต่หากปัญหานั้นยากเกินความสามารถของเด็กๆผู้ใหญ่สามารถแนะนำแนวทางแก้ปัญหาให้เด็กๆได้
5. “ความคิดสร้างสรรค์” (Creativity) ความคิดสร้างสรรค์เป็นทักษะสามารถเพิ่มความสามารถของเด็กๆในด้านการคิดและการแก้ไขปัญหาได้ ดังนั้นเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดและการแก้ไขปัญหาผู้ปกคคองจึงควรเปิดโอกาสให้เด็กๆได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ของตนเองผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การวาด ระบายสี การขีดเขียนต่างๆ
6. “การปรับตัว” (Adaptability) ทักษะการปรับตัวจะเป็นอีกทักษะที่มีความจำเป็นและสำคัญอย่างมากสำหรับผู้คนในการใช้ชีวิต เนื่องจากโลกเราทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด หากใครสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้ก็จะสามารถอยู่ในสังคมได้ง่ายมากขึ้น แต่สำหรับบางคนที่ไม่สามารถปรับตัวได้หรือปรับตัวเองได้ช้า ก็อาจจะทำให้มีความเครียดหรือกดดันเมื่ออยู่ร่วมกับผู้คนในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นทักษะเรื่องการปรับตัวจึงเป็นอีกเรื่องสำคัญที่พ่อแม่ควรสอนและฝึกให้เด็กๆตั้งแต่ที่ยังเล็กๆได้เลย
7. “การเจรจาต่อรองและการแก้ไขข้อขัดแย้ง” (Negotiation and Conflict Resolution) มีหลายสถานการณ์ในชีวิตที่ตัวเด็กๆจำเป็นต้องมีการเจรจาต่อรองหรือแก้ไขข้อขัดแย้ง การโน้นน้าวใจและการรับรู้ความรู้สึกของคนรอบตัวเป็นทักษะการสื่อสารส่วนบุคคล ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริมทักษะนี้ให้แก่เด็กๆพ่อแม่ควรสื่อสารกันอย่างประนีประนอมกันในครอบครัวเพื่อให้เด็กๆได้เห็นและเรียนรู้
8. “คิดบวก/ทัศนคติเชิงบวก” (Positive Attitude) โอปราห์ วินฟรีย์ เคยกล่าวไว้ว่า “คนๆหนึ่งสามารถเปลี่ยนอนาคตของตนได้ โดยเพียงแค่เปลี่ยนทัศนคติ” ทัศนคติเชิงบวกเป็นสิ่งที่ทำให้รู้ว่าคุณรับรู้ตัวเองและโลกอย่างไร ผู้ปกครองควรมุ่งมั่นที่จะสร้างแรงบันดาลใจและสอนเด็กๆในแง่บวกทุกสถานการณ์ แสดงความยินดีในความสำเร็จหรือความพยายามของเด็กๆอยู่บ่อยครั้ง
9. “มีจรรยาบรรณในการทำงาน” (Strong Work Ethic) การมีจรรยาบรรณในการทำงานช่วยให้เก่งในโรงเรียนและที่ทำงาน เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการบริหารเวลา ความใส่ใจรายละเอียด ความน่าเชื่อถือ และการเติบโตไปอีกขั้น สิ่งง่ายๆที่ผู้ปกครองสามารถส่งเสริมให้เด็กในเบื้องต้นได้คือการรู้เวลาและการตรงต่อเวลา
10. “การตัดสินใจ” (Decision Making) ความสามารถในการตัดสินใจและคาดการณ์ผลลัพท์ของการกระทำ นับเป็นอีกทักษะที่สำคัญ ซึ่งผู้ใหญ่สามารถส่งเสริมกระบวนการตัดสินใจที่ดีให้เด็กๆได้ โดยเริ่มจากคำถามง่ายๆเพื่อให้เด็กๆได้ใช้กระบวนการคิดและช่วยคาดการณ์ถึงผลที่จะตามมาเพื่อให้เด็กๆได้คิดอย่างรอบคอบมากยิ่งขึ้น

Soft skill เหล่านี้ในบางหัวข้อสามารถฝึกได้ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็ก เพื่อให้เด็กๆได้เริ่มเรียนรู้และสามารถใช้ทักษะได้อย่างดียิ่งขึ้นเมื่อเติบโตขึ้นในอนาคต ทั้งในเรื่องของความมั่นใจ อารมณ์ และทักษะการจัดการและการใช้ชีวิต และ Soft skill เหล่านี้สามารถพัฒนาได้เรื่อยๆเพื่อพัฒนาระบบการคิดและเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้ดีมากยิ่งขึ้นได้

หวังว่าบทความนี้จะทำให้ผู้ปกครองหลายๆท่านเข้าใจถึง Soft skill มากขึ้น และมีประโยชน์ในการนำไปปรับใช้กับเด็กๆที่บ้านได้นะคะ 😀

WELL KIDS 👶🏻

⭐️ EP.76 ขาโก่งในเจ้าตัวเล็ก 👶🏻“ลูกขาโก่งรึเปล่าคะ ?”“แบบนี้เรียกว่าขาโก่งไหมคะ ต้องดัดรึเปล่า?”“มีวิธีดัดขาลูกไหมคะ รู้...
03/05/2022

⭐️ EP.76 ขาโก่งในเจ้าตัวเล็ก 👶🏻

“ลูกขาโก่งรึเปล่าคะ ?”
“แบบนี้เรียกว่าขาโก่งไหมคะ ต้องดัดรึเปล่า?”
“มีวิธีดัดขาลูกไหมคะ รู้สึกว่าน้องขาโก่งค่ะ”

เรื่อง “ขาโก่งในเด็กเล็ก” เชื่อว่าเป็นปัญหาที่ผู้ปกครองหลายๆท่านมีความกังวลกันอยู่ไม่น้อย เนื่องจากเป็นปัญหาที่ได้ยินจากผู้ปกครองที่มาประเมินพัฒนาการอยู่บ่อยครั้ง

‘ขาโก่ง’ เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในเด็กช่วงก่อน 3 ขวบ เนื่องจากในช่วงที่เด็กๆอยู่ในครรภ์มารดาที่เล็กและคับแคบอาจทำให้กระดูกขาโค้งเล็กน้อย โดยคุณพ่อคุณแม่มักจะสังเกตเห็นได้เป็นคนแรกๆตั้งแต่ช่วงที่น้องเริ่มเดินได้ โดยที่เด็กๆไม่ได้รู้สึกเจ็บปวด หรือไม่สบายจากการที่มีขาโก่ง รวมทั้งไม่ได้มีผลต่พัฒนาการการเดิน การวิ่งที่ช้ากว่าปกติด้วย ลักษณะของขาโก่งมักเห็นว่าช่วงเข่าทั้งสองข้างมีลักษณะโค้งแยกออกจากกันในขณะที่ยืนปลายเท้าชิด จะสังเกตเห็นได้ชัดที่สุดเมื่อเด็กยืน และส่วนใหญ่หลังจาก 2-3 ขวบ ขาที่เคยโก่งจะค่อยๆกลับมาตรงได้เองตามธรรมชาติ โดยที่ไม่ต้องทำการดัดหรือดึงข้อให้เด็กๆ

เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีลูกน้อยอายุต่ำกว่า 2 ขวบ และสังเกตเห็นว่าเด็กมีขาโก่งกว่าเด็กคนอื่นๆในวัยเดียวกัน เมื่อมีโอกาสได้พบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนสามารถแจ้งคุณหมอให้ทราบไว้เบื้องต้นก็ได้ค่ะ แต่ ”ไม่แนะนำให้หาวิธีดัดหรือดึงขาเด็กๆ” นะคะ เพราะอาจะเสี่ยงต่อการขาหักได้

ถึงจะกล่าวว่าเด็กที่มีขาโก่งในช่วง 2-3 ปีแรก จะกลับมามีขาที่เหยียดตรงปกติได้ในภายหลัง แต่มักจะพบว่ามีเด็กบางคนที่ยังมีขาโก่งอยู่เมื่อโตขึ้น ดังนั้นหากพ่อแม่สังเกตเห็นว่าลูกตนเองที่มีอายุเกินกว่า 3 ปีแล้วยังมีขาที่โก่งอยู่ แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อนพิจารณาและหาแนวทางรักษาต่อไป

นอกจากที่ได้กล่าวไปเบื้องต้นแล้ว หากเด็กๆมีอาการเหล่านี้ควรรีบพาไปพบแพทย์ผู้เชียวชาญเพื่อให้วินิจฉัยหาสาเหตุและแวทางการรักษาเพิ่มเติม
- มีการเดินกะเผก
- สังเกตเห็นได้ชัดว่าขาไม่เท่ากัน
- มีอาการปวดข้อเข่าหรือสะโพก

ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับภาวะขาโก่ง
- ลูกขาโก่งเพราะใน่ผ้าอ้อมำเร็จรูป
- อุ้มลูกเข้าเอวทำให้ขาโก่ง
- การดัดขาหรือใช้ผ้ารัดขาเด็กจะทำให้ขาหายโก่ง

สรุปเลยนะคะ… “ขาโก่ง” เป็นสิ่งที่พบได้ในเด็กช่วงก่อน 2 ขวบหรือบางคนสังเกตเห็นได้ตั้งแต่ช่วงที่เริ่มเดินได้ แต่ส่วนใหญ่เมื่อเด็กๆอายุได้ 2-3 ขวบ อาการขาโก่งมักจะเหยียดตรงได้มากขึ้นโดยธรรมชาติ ซึ่งพ่อแม่ไม่จำเป็นต้องดัดหรือดึงขาให้เด็กๆ และสำหรับเด็กบางคนที่เด็กๆมีอาการปวดเข่าปวดสะโพก เดินกะเผลก หรือขาโก่งมากขึ้น แนะนำให้พาน้องไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและหาแนวทางรักษาอย่างถูกต้องและปลอดภัยค่ะ

WELL KIDS 👶🏻
————————————————————————
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม
https://orthoinfo.aaos.org/en/diseases--conditions/bowed-legs-blounts-disease/
https://raisingchildren.net.au/guides/a-z-health-reference/bow-legs
https://www.synphaet.co.th/ภาวะขาโก่งในเด็ก-bowled-leg/

⭐️ EP.75 เจ้าตัวเล็กกับดนตรีและเสียงเพลง 🎼‘ดนตรีกับการเคลื่อนไหว’ เป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กๆเป็นอย่างมาก เด...
19/02/2022

⭐️ EP.75 เจ้าตัวเล็กกับดนตรีและเสียงเพลง 🎼

‘ดนตรีกับการเคลื่อนไหว’ เป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กๆเป็นอย่างมาก เด็กบางคนมีความสุขที่ได้เต้น ได้เคลื่อนไหวร่างกายตามเสียงเพลง ได้ฝึกสหสัมพันธ์ในส่วนต่างๆของร่างกาย ในเด็กบางคนมีความสนใจที่จะเล่นดนตรีก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกอะไร

สำหรับเด็กที่สนใจจะเล่นดนตรี เริ่มได้เมื่อไหร่ดี ?
ช่วงอายุ 4-7 ปี เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดที่เด็กสามารถเริ่มเล่นดนตรีได้แล้ว เพราะนอกจากการควบคุมการใช้มือจะทำได้ค่อนข้างดีแล้ว รวมถึงเด็กๆจะเริ่มเข้าใจพื้นฐานของดนตรีแล้วเช่นกัน

เครื่องดนตรีที่เหมาะกับเด็กๆในช่วง 4-7 ปี ได้แก่
🥁 กลอง
🎸 กีตาร์
🎼 ฮาร์โมนิกา
🎹 เปียโน
🎧 อูคูเลเล่

ส่วนในช่วงวัยหลังจากนั้นสามารถเลือกเรียนได้หลากหลายมากขึ้น ตามที่เด็กแต่ละคนสนใจได้เลยค่า 😉

การเลือกเรียนดนตรี ควรเกิดขึ้นโดยความสมัครใจของเด็กๆ ให้เด็กๆได้เลือกและลองทำในสิ่งที่พวกเขาสนใจ ดนตรีนอกจากจะเล่นเพื่อความสนุก มีงานอดิเรก ได้ส่งเสริมทักษะกล้ามเนื้อมัดเล็ก/กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ยังทำให้เด็กๆได้พัฒนาทักษะ EF ทำให้เด็กๆเกิดความมั่นใจ เสริมสร้าง self esteem ของเด็กๆ และยังได้ฝึกระเบียบวินัย การเคารพกฏกติกา สร้างมิตรภาพกับคนอื่นส่งเสริมทักษะการเข้าสังคมอีกด้วย

ไม่ว่าจะเต้น รำ เคลื่อนไหวร่างกายตามเสียงเพลง หรือการเล่นดนตรีก็เป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น แต่ถ้าเด็กๆยังไม่มีความสนใจก็ยังไม่ควรบังคับ ผู้ปกครองควรเปิดโอกาสให้เด็กๆได้ค้นหาความชอบของตัวเองก่อน เพราะถ้าเด็กๆต้องเรียนเพราะถูกบังคับ การเต้นการเล่นดนตรีคงไม่ใช่กิจกรรมที่สร้างความสุขให้เด็ก แต่กลับเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความเครียด ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าเศร้าเลยนะคะ 🥲

ถ้าบ้านไหนมีเด็กๆที่อยากเรียนดนตรีหรือเต้นอยู่แล้ว แต่คุณพ่อคุณแม่กำลังชั่งใจว่าจะส่งเรียนดีไหม แนะนำให้ส่งเรียนเลยค่า ช่วยส่งเสริมหลายทักษะ ประโยชน์มากมาย แต่การจะส่งเด็กๆเรียนเต้น หรือเล่นดนตรีก็ใช้เงินค่อนข้างเยอะ ลองพิจารณาและคิดให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจก็ไม่เสียหายค่ะ

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังตัดสินใจเรื่องการเจ้าตัวเล็กที่บ้านเรียนดนตรี หรือเต้นนะคะ

WELL KIDS 👶🏻

👍🏼😉
05/02/2022

👍🏼😉

⭐️ EP.74  เจ้าตัวเล็กชอบกัดดดดดดด 👶🏻🦷“ลูกชอบกัดมากเลยค่ะ มันแปลว่ายังไงคะ”“ลูกชอบกัด อันนี้ปัญหาพฤติกรรมรึเปล่าคะ”และอีก...
02/02/2022

⭐️ EP.74 เจ้าตัวเล็กชอบกัดดดดดดด 👶🏻🦷

“ลูกชอบกัดมากเลยค่ะ มันแปลว่ายังไงคะ”
“ลูกชอบกัด อันนี้ปัญหาพฤติกรรมรึเปล่าคะ”
และอีกมากมายเกี่ยวกับ “การกัด” ของเจ้าตัวเล็ก

“การกัด” เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นกับเด็กวัยหัดเดิน
ทารกและวัยหัดเดิน “กัด” ด้วยหลายสาเหตุ เช่น การงอกของฟัน การสำรวจของเล่นหรือของสิ่งใหม่ด้วยปาก การเรียกร้องความสนใจ การแสดงออกถึงความหงุดหงิด การแสดงความโกรธ (เนื่องจากเด็กๆยังไม่สามารถสื่อสาร และจัดการอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ จึงไม่สามารถบอกได้ว่ารู้สึกยังไง) หรือในเด็กบางคนกัดเพื่อทดสอบปฏิกิริยาจากผู้ปกครอง

ส่วนมากจะพบว่าเด็กผู้ชายจะกัดมากกว่าเด็กผู้หญิง ในช่วง 1-2 ขวบปีแรก เมื่อเด็กๆสามารถสื่อสารได้ การกัดจะลดลง

เรื่องการกัด ถึงแม้จะเป็นเรื่องปกติของเด็กๆ แต่ผู้ปกครองสามารถจัดการกับพฤติกรรมชอบกัดของเด็กๆ เพื่อให้พฤติกรรมชอบกัดลดลงหรือหายไป

วิธีรับมือกับเด็กๆชอบกัดอย่างทันทีทันใดที่เกิดเหตุการณ์ 😬
(กรณีที่เจ้าตัวเล็กไปกัดคนอื่น)
1. Be calm and Firm ใจเย็นและมั่นคง : พูดกับเด็กๆอย่างมั่นคงว่า “ไม่กัด” “กัดเจ็บ” (ในตอนนี้หลีกเลี่ยงการอธิบายยืดยาว ใช้คำสั้นๆ เข้าใจง่ายในการบอกเด็กๆ) (ระวังเรื่องการใช้น้ำเสียง*)
2. ปลอบคนที่ถูกกัด : สำรวจว่ามีตำแหน่งไหนที่โดนกัดบ้าง ถ้ามีแผลให้รีบล้างแผลให้เรียบร้อยก่อน
3. ปลอบคนที่กัด : ในช่วงแรกที่ผู้ปกครองบอกกับเด็กว่า “ไม่กัด” หรือ “กัดเจ็บ” กับเด็กคนที่กัดคนอื่น อาจจะตกใจน้ำเสียงของผู้ใหญ่หรือผู้ปกครองได้ ในขั้นตอนนี้หลังจากเด็กๆสงบลงควรอธิบายให้รู้ผลของพฤติกรรมว่าการกัดทำให้เจ็บ เพื่อนเจ็บหนูต้องขอโทษเพื่อนด้วย และบอกให้เจ้าตัวเล็กใช้การสื่อสารแทนการแสดงอารมณ์หรือบอกความต้องการโดยการกัดแบบที่ทำ
4. ให้คนที่กัดไปขอโทษเพื่อน : เมื่อเด็กๆทำพฤติกรรมหรือการกระทำบางอย่างที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน หรือได้รับบาดเจ็บ เด็กๆที่แสดงพฤติกรรมนั้นควรรู้จักที่จะขอโทษผู้อื่น ที่ทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ หลังจากที่เหตุการณ์สงบลงแล้ว

(กรณีกัดผู้ปกครอง)
1. บอกให้เด็กๆ “หยุดกัด” “กัดเจ็บ” โดยขณะนั้นสามารถกอดเด็กเพื่อให้หยุดการก็ถือว่าเป็นอีกทางเลือกที่ดี
2. ถ้าหากเด็กๆร้องไห้โวยวาย ให้เพิกเฉยกับพฤติกรรมนั้นและบอกเด็กๆให้รู้ว่าถ้าหยุดร้อง แล้วมาคุยกันดีๆ (ถ้ายังร้อง งอแง แนะนให้ผู้ปกครองรอไปก่อน เด็กๆยังควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้อาจจะต้องใช้ระยะเวลามากกว่ผู้ใหญ่)
3. เมื่อเด็กๆสงบลง อธิบายให้เข้าใจว่าเพราะอะไรถึงไม่ให้กัด การกัดจะเกิดผลยังไงกับผู้ถูกกัดบ้าง รวมทั้งสอนให้เด็กๆให้บอกความต้องการ หรือตอบสนองโดยการใช้คำพูดเมื่อรู้สึกไม่พอใจหรือโกรธแทนการกัด
*การเพิกเฉยพฤติกรรมที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น เป็นคนละกรณีกับการเพิกเฉยลูก เมื่อลูกหยุดพฤติกรรมที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นแล้วนั้น สามารถเข้าไปพูดคุยและแนะนำเด็กๆได้ตามปกติ เด็กๆจะได้เรียนรู้ว่าถ้าทำพฤติกรรมแบบนี้ผู้ปกครองจะไม่คุยด้วย*

(กรณีกัดสิ่งของ)
ไม่ควรตำหนิหรือต่อว่าเจ้าตัวเล็กเมื่อกัดของ เพราะบางทีอาจจะเพราะเด็กๆคันเหงือกกำลังจะมีฟันขึ้นเพิ่มซึ่งการกัดเป็นสิ่งปกติ แต่สำหรับเด็กอายุมากกว่า 1ขวบเมื่อกัดสิ่งของโดยปราศจากอารมณ์โมโห หรือหงุดหงิด ผู้ปกครองสามารถใช้วิธีเบี่ยงเบนความสนใจให้ไปทำอย่างอื่นแทน

หวังว่าผู้ปกครองที่กำลังพบเจอกับ “การกัด” ของเจ้าตัวเล็กที่บ้าน จะได้รับประโยช์จากบทความนี้ของเรานะคะ นอกจากนี้หากมีไอเดียอื่นๆ สำหรับการรับมือกับการกัดของเจ้าตัวเล็กที่บ้าน สามารถแบ่งปันกันได้เลยนะคะ 😄

WELL KIDS 👶🏻
———————————————————————————
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม https://kidshealth.org/en/parents/stop-biting.html

⭐️ EP.73 ส่งเสริมให้เด็กๆรักการอ่าน 💖😍การที่ผู้ปกครองส่งเสริมให้เด็กๆในความดูแลได้ทำในสิ่งที่พวกเขาชอบนั้นเป็นสิ่งที่ดี ...
27/01/2022

⭐️ EP.73 ส่งเสริมให้เด็กๆรักการอ่าน 💖😍

การที่ผู้ปกครองส่งเสริมให้เด็กๆในความดูแลได้ทำในสิ่งที่พวกเขาชอบนั้นเป็นสิ่งที่ดี ในกรณีที่สิ่งนั้นเป็นการกระทำที่สร้างสรรค์ ทำแล้วเกิดประโยชน์ และไม่ทำให้ตัวเองหรือผู้อื่นเดือดร้อน

การที่เด็กๆมีสมาธิในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการระบายสีตุ๊กตาตัวโปรด การต่อเลโก้ที่ชอบ หรือแม้แต่การนั่งอ่านหนังสือโดยไม่วอกแวก

สำหรับวันนี้ WELL KIDS จะมานำเสนอไอเดียการส่งเสริมทักษะรักการอ่านในเด็กๆกันค่ะ คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ปกครองและสามารถนำไปปรับใช้ได้จริง และเหตุผลที่ทาง WELL KIDS ให้ความสำคัญกับการอ่านเพราะการอ่านมีประโยชน์มากมายทั้งในด้านภาษา ความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในครอบครัว การเสริมสร้างพฤติกรรมที่ดี ส่งเสริมจินตนาการ และเป็นการเพิ่มเติมความรู้ของเด็กๆด้วยเช่นกัน

วิธีการส่งเสริมให้เบบี๋รักการอ่าน 📔
- ใช้ Audio book : สำหรับการอ่านหนังสือนิทาน หรือหนังสือต่างๆภาษาต่างประเทศ การที่เด็กๆได้ฟัง audio book จะช่วยในเรื่องของสำเนียง (Pronounce)
- พ่อแม่เป็นแบบอย่างในเรื่องรักการอ่าน : “like father,like son” คงเป็นประโยคที่คงเคยผ่านมาตามาบ้าง การท่ีพ่อแม่เป็นแบบอย่างในการอ่านที่ดีให้กับลูก จะทำให้พวเขาเรียนรู้ที่จะเลียนแบบพฤติกรรม เพียงแค่พ่อแม่ทำให้ดู ลูกๆที่เห็นบ่อยๆก็ค่อยๆซึมซับ อยากให้ลูกทำแบบไหนเริ่มต้นที่พ่อแม่ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
- เลือกหนังสือที่มีหมวดหมู่เข้ากัน น่าสนใจ เหมาะสมกับวัยของเด็กๆ : โดยทั่วไปแล้วสำหรับเด็กที่พึ่งจะเริ่มอ่านหนังสือได้ ควรเลือกหนังสือที่เหมาะสมกับความสามารถเด็กๆ ไม่ได้ใช้คำที่ยากเกินไป ในช่วงแรกอาจจะใช้หนังสือที่มีรูปการ์ตูนแทรกเป็นช่องๆ และเมื่อเห็นว่าเด็กๆสามารถจดจ่อได้นานมากขึ้นเลือกหนังสือทั่วไปที่ไม่มีภาพรือรูปประกอบก็ได้เช่นกัน
- อ่านหนังสือก่อนแล้วค่อยดูหนัง (สำหรับเด็กโต* เช่น แฮร์รี่พอตเตอร์) : ในข้อนี้ค่อนข้างเหมาะสำหรับเด็กประถมปลาย ทักษะการอ่านดี มีความคล่องแคล่วรวดเร็วในการอ่าน ตีความจากหนังสือที่อ่านได้ การอ่านหนังสือหรือวรรณกรรมที่มีภาษาสละสลวยจะส่งผลให้เด็กๆมีคำศัพท์ในหัวที่เยอะ สามารถเรียบเรียงและสื่อสารเป็นภาษาที่สละสลวยสวยงามตามหนังสือที่เคยอ่านได้ และสำหรับหนังสือบางเรื่องที่ได้นำไปจัดทำเป็นซีรีส์หรือภาพยนต์ต่อ การที่เคยอ่านหนังสือมาก่อนจะทำให้เด็กๆสามารถคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในบทถัดไปสำหรับภาพยนต์หรือหนังที่ดูได้ และสำหรับจุดที่มีความแตกต่างกัน ก็เป็นรื่องที่ทำให้เด็กๆสามารถว่าคิด วิเคราะห์กับผู้ปกครองได้อีกว่าสิ่งใดดีหรือน่าสนใจกว่ากัน อย่างไร เพราะอะไร
- จัดวางหนังสือไว้ในที่ที่หยิบง่าย สามารถมองเห็นได้ง่าย (อยู่ใกล้มือหยิบมาอ่านได้สะดวก) : การที่วางหนังสือไว้ในที่หยิบง่าย สามารถหยิบใช้ได้สะดวกเป็นการส่งเสริมการอ่านที่ได้ผลค่อนข้างดี และลงทุนน้อย เพราะหลายๆคร้ังไม่รู้จะทำอะไร หันไปเห็นกองหนังสือทำให้เด็กๆสนใจและไปหยิบมาอ่านได้ง่าย
- อ่านออกเสียงให้เด็กๆฟัง : สำหรับเด็กๆที่ยังอ่านหนังสือเองยังไม่ได้ หรือยังอ่านได้ไม่คล่อง การที่ผู้ปกครองอ่านหนังสือให้เด็กๆฟังจะช่วยส่งเสริมทักษะการอ่านของเด็กๆได้เช่นกัน
- อ่านหนังสือเล่มเดียวกันกับเบบี๋ให้พวกเค้าฟัง / สลับกันอ่านหนังสือ : การสลับกันอ่านหนังสือ นอกจากจะเป็นการส่งเสริมทักษะการอ่านของเด็กๆแล้วยังเป็นการกระชับความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวอีกด้วย
- ตั้งใจฟังตอนที่เจ้าตัวเล็กกำลังอ่านหนังสือให้ฟัง : เมื่อเด็กๆบางคนเริ่มอ่านหนังสือได้แล้ว พวกเขามักจะอยากแชร์การอ่านของตนเองกับใครสักคน หากมีใครคอยนั่งฟังในสิ่งที่เด็กๆอ่านก็จะยิ่งทำให้เด็กๆมีความสุข ความสนุก ความเพลิดเพลิน และเกิดความมั่นใจ ภาคภูมิใจในตัวเองด้วย เมื่อเกิดความมั่นใจในตัวเองบางครั้งเด็กๆอยากท้าทายขีดจำกัดและความสามารถของตัวเองโดยการอ่านหนังสือที่หนาขึ้นหรือตัวหนังสือเยอะขึ้นอีกด้วย
- Discuss กันเกี่ยวกับหนังสือที่อ่าน : การพูดคุยกันเกี่ยวกับหนังสือที่อ่านเป็นอีกวิธีที่จะทำให้เด็กๆรู้สึกสนใจที่จะอ่านหนังสือมากขึ้นได้เช่นกัน เพราะถ้าไม่อ่านบางครั้งก็จะไม่รู้ว่าคนอื่นคุยอะไรกัน ดังนั้นการสนทนาเกี่ยวกับหนังสือ หรือบทความที่อ่านก็เป็นอีกวิธีที่ปลูกฝังให้เด็กรักการอ่านเช่นกัน
- ทำให้เป็นกิจวัตร : สิ่งใดก็ตามที่เราอยากให้เกิดขึ้นทุกวันจนกลายเป็นนิสัย ควรเริ่มทำสิ่งนั้นๆให้เป็นกิจวัตรประจำวัน ทำทุกวัน ไม่จำเป็นต้องมาอ่านนานหลายๆชั่วโมง แต่การอ่านหลักนาที แต่ต่อเนื่องทุกวันก็สามารถส่งเสริมนิสัยรักการอ่านได้เช่นกัน 🧡

หนังสือที่เหมาะสมกับเด็กๆ
- ภาพเหมือนจริง
- รูปภาพสวยงาม
- จำนวนคำ (เหมาะสมกับเด็กในแต่ละช่วงวัย)
- หน้าหนังสือหลากหลาย
- หนังสือที่สะท้อนความหลากหลาย

การอ่านหนังสือหรือจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่เมื่อพูดถึงเรื่องของพัฒนาการแล้ว ผู้ปกครองควรชักชวนเด็กๆไปทำกิจกรรมอื่นในชีวิตประจำวัน เช่น ทำงานบ้าน รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง หรือออกไปเล่นกับเพื่อนๆบ้าง นอกเหนือจากสิ่งที่พวกเขาชอบด้วยเช่นกัน เพื่อที่จะได้ส่งเสริมพัฒนาการและส่งเสริมศักยภาพของเด็กๆในหลายๆด้านด้วย 😉

WELL KIDS 👶🏻

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ WELL KIDSผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง WELL KIDS:

แชร์