
08/09/2025
#เมื่อตราบาปซ้ำเติมอาการ
ถ้าหากคนๆหนึ่ง ตรวจพบมะเร็งชนิดหายาก ที่คุณและใคร ๆ ก็ไม่คุ้นชื่อ
แต่ร่างกายของเขาเปลี่ยนไปชัดเจน - ซูบผอม เหนื่อยง่าย
และเมื่อมะเร็งแพร่กระจาย เขาก็ปวดไปทั้งตัว
คุณคิดว่าตนเองจะสามารถนึกภาพตาม แล้วรู้สึกเห็นใจเขา ได้บ้างไหมคะ?
หรือ จะมองว่า ที่เขาทำงานไม่ไหว ใช้ชีวิตลำบาก ก็เพราะอ่อนแอ
และ“คิดไปเอง”…ว่าปวด ว่าเหนื่อย ทั้งที่ชีวิตด้านอื่นก็ดี
โรคทางจิตเวช ทำให้เกิดอาการทั้งทางกายและใจ
ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ความคิด การรับรู้ พฤติกรรม หรือร่างกาย
และสร้างผลกระทบได้ตั้งแต่ระดับน้อยๆ - สุขยากขึ้น ไปจนถึงไร้สุขและทุกข์มาก...ถึงระดับไม่อยากมีชีวิตอยู่
ซึ่งอาการทั้งหมด และ ความทรมานเหล่านั้น เกิดขึ้นจริง
(แม้ว่าคนไข้จำนวนไม่น้อย จะนึกว่าตัวเองขี้เกียจเองก็ตาม)
แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ ทัศนคติของผู้คนในสังคม
ซึ่งแม้ว่าในวันนี้จะรับรู้เกี่ยวกับการมีอยู่และผลกระทบของโรคทางจิตเวช
แต่ก็ยังมีคนจำนวนอีกไม่น้อย ที่ยังเข้าใจผิดว่าอาการ คือความอ่อนแอ หรือ ก็แค่คิดมากเกินไป
ปฏิเสธไม่ได้ว่า วิธีคิดหลาย ๆ รูปแบบทำให้เกิดความทุกข์โดยใช่เหตุ
แต่ลำพังเพียงการคิดมาก คงไม่สามารถทำให้เกิดกลุ่มอาการ (syndrome) ที่ส่งผลต่อทั้งสุขภาพ การใช้ชีวิต และความสัมพันธ์ได้
ในปี 2022 องค์การอนามัยโลก (WHO) ประมาณการณ์ว่า มีคน 1 ใน 8 บนโลกใบนี้กำลังเผชิญโรคทางจิตเวชอยู่
นั่นหมายถึง คนจำนวน ประมาณ 1,000,000,000 คน
แต่ความเป็นจริงที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ก็คือ ไม่ถึงครึ่งของผู้ที่มีโรคเหล่านี้ที่เคยพบแพทย์
ซึ่งนอกจากการขาดความรู้ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออาการของ "โรคที่รักษาได้"
อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนจำนวนมากไม่กล้าไปพบจิตแพทย์ ยังคงเป็นเพราะ "ตราบาป" หรือ stigma ที่สังคมมีต่อโรคทางจิตเวชนั่นเอง
#ตราบาป (stigma) คือ ภาพพจน์ในแง่ลบที่สังคมมองคนบางกลุ่ม เช่น คนที่มีเชื้อ HIV หรือ กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ เป็นต้น
ขึ้นชื่อว่าภาพพจน์ มันแสดงถึง “ความคิดเห็น” … ซึ่งอาจไม่ตรงกับ “ความเป็นจริง”
สำหรับโรคทางจิตเวช
มุมมองที่สังคมมีต่อคนที่ไปพบจิตแพทย์ ในยุคก่อน อาจจะเป็นเรื่อง “เป็นบ้า”
ส่วนในยุคนี้ แม้การแนะนำให้ไปพบจิตแพทย์คือความปรารถนาดี
แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังมองว่า คนที่พบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยานั้น คิดมาก / ดราม่า / อ่อนไหวเกินเหตุ ฯลฯ ซึ่งก็คือตราบาปอยู่นั่นเอง
ทัศนคติเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบให้ผู้ที่มีโรคทางจิตเวช (หรือแค่เคยมี แต่รักษาหายแล้ว) ถูกนินทา ถูกเลือกปฏิบัติ กีดกัน แบ่งแยก (discrimination)
ซึ่งอาจกระทบถึงการทำงาน และเสียโอกาสในชีวิตที่สำคัญบางอย่าง เช่น การทำประกันสุขภาพ
ส่วนในแง่ของการรักษา
ตราบาปทำให้คนๆนั้นไม่กล้าไปพบจิตแพทย์ เพราะกลัวคนหาว่าใกล้บ้าหรือดราม่า ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงคนจะมองว่าป่วย ก็เพราะอาการออกชัด เนื่องจากไม่ได้รับการรักษามากกว่า
และแม้จะยอมพบแพทย์ แต่ก็อาจยอมรับการทานยาได้ยาก
เพราะอดรู้สึกไม่ได้ว่า ยาคือเครื่องหมายของความอ่อนแอ
คือเครื่องยืนยันความเจ็บป่วย หรือเป็นมาตรวัดว่าป่วยมาก
แทนที่จะมองว่า มันคือ #หลักฐานของการดูแลเอาใจใส่ตนเอง
😔 สิ่งที่มีส่วนอย่างมากในการทำให้เกิดตราบาป คือการนำเสนอของสื่อ 😔
บ่อยครั้งที่ข้อมูลถูกนำเสนออย่างไม่ถูกต้องหรือบิดเบือน ทำให้สังคมเข้าใจผิดว่า โรคทางจิตเวชจะทำให้เกิดพฤติกรรมที่ก้าวร้าวรุนแรง น่ากลัว อันตราย
และคาดเดาไม่ได้ .. ทั้งที่ความจริงแล้ว โอกาสที่เขาจะทำร้ายผู้อื่นมีน้อยกว่าที่จะทำร้ายตัวเองมาก …
คดีที่ผู้กระทำมีโรคทางจิตเวช มักจะถูกตีเป็นข่าวครึกโครม แม้ว่านานทีปีหนจะเกิดสักครั้ง
ในขณะคดีส่วนใหญ่ ไม่ว่าเกี่ยวกับความหึงหวง ความไม่พอใจบนท้องถนน ฯลฯ อาชญากรก็เป็นคนทั่วไป...อย่างเราๆ (ที่ก็มองว่าตัวเองปกติ) นี่แหละ
ส่วนในละคร ผู้ป่วยมักจะมีบทที่พูดคนเดียวแบบเพ้อๆ นั่งเหม่อด้วยแววตาเลื่อนลอยแล้วอยู่ ๆ ก็ร้องไห้โวยวาย หรือ นั่งโยกตัวอุ้มตุ๊กตา ฯลฯ ซึ่งจากประสบการณ์เกินทศวรรษที่เป็นจิตแพทย์มา หมอยังไม่เคยเจอคนไข้ทำแบบนี้สักรายเดียวเลยค่ะ
คนที่ปรึกษาจิตแพทย์มีทุกอาชีพค่ะ - เจ้าของกิจการ พนักงานบริษัท/เอเจนซี่/ธนาคาร อาจารย์มหาวิทยาลัย ศิลปิน คนในวงการบันเทิง ฯลฯ
ส่วนตัวหมอเอง คนไข้เกินครึ่ง เป็นกลุ่มวิชาชีพ 40(6) ค่ะ ไม่ว่าจะเป็น สายกฎหมาย วิศวะ สถาปัตย์ บัญชี รวมไปถึง เภสัช พยาบาล และ หมอด้วยกัน .. เพราะขึ้นชื่อว่า “โรค” มันย่อมเกิดขึ้นกับ “ใครก็ได้” …
😊 คงจะดีไม่น้อยหากพวกเราทุกคน
ลดอคติและการแบ่งแยก ด้วยการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
ไม่เพ่งเล็งแต่ข้อจำกัด(ชั่วคราว) อันเกิดจากตัวโรค
มองคนเป็นคน - ที่มีทั้งความสามารถเฉพาะตัว จุดแข็งและจุดอ่อน นิสัยที่ไม่ดี มุมที่น่ารัก คุณสมบัติที่น่าชื่นชม ฯลฯ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องใดใดกับตัวโรค
เรายังคงสามาถที่จะอยู่ร่วมกัน อย่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน
เพราะการยอมรับ คือ สิ่งที่ทุกหัวใจ ล้วนต้องการไม่แตกต่างกัน
🌻สำหรับผู้ที่กำลังมี(หรือสงสัยว่ามี)โรคทางจิตเวช หมอขอฝากแนวทางในการดูแลตัวเอง ดังนี้ค่ะ
✔️1. ✔️พบจิตแพทย์
หากคุณมีอาการที่รบกวนการใช้ชีวิตของตัวเอง หรือมีคนทักว่าควรปรึกษาหมอ
ปฏิบัติตามที่คุณหมอแนะนำ และหากคุณมีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถาม
✔️2. ✔️หาความรู้หาข้อมูลอ่านเพิ่มเติมจากแหล่งที่ ** เชื่อถือได้ **
เพื่อจะได้ไม่วิตกกังวลเกินกว่าเหตุ หรือคล้อยตามความเห็นของผู้ที่มี "ความหวังดี" แต่อาจไม่มี "ความรู้ทางการแพทย์" เพียงพอค่ะ
เราจะดูแลตัวเองด้วยข้อมูลจากคุณหมอเฉพาะทาง ไม่ใช่จากคำบอกเล่าหรือประสบการณ์ของใครบางคนค่ะ
✔️3. ✔️มีวิธีผ่อนคลายเมื่อไม่สบายใจ
ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ
ไม่ว่าจะเป็นงานอดิเรก การออกกำลังกาย การ(เลือกที่จะ)อยู่เฉยๆ ฯลฯ
การเรียกชื่อความรู้สึกเป็น เรียบเรียงสิ่งที่อยู่ภายในออกมาได้เป็นคำพูดได้ จะช่วยให้ความรู้สึกตึงเครียดหรือเป็นลบลดลงส่วนหนึ่งทันทีค่ะ
✔️4. ✔️ใช้โอกาสนี้แบ่งปันประสบการณ์ตรงแก่ผู้อื่น
เช่น แชร์ลงในในสังคมออนไลน์ เพื่อให้สังคมรู้ว่า มันเป็นเรื่องที่ธรรมดา และรับรู้ถึงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะอาการลดลง โดยเฉพาะผู้ที่ทานยาแล้วไม่เจอผลข้างเคียงอะไร ซึ่งจริง ๆ แล้วมีจำนวนมากกว่าผู้ที่เจอผลข้างเคียงค่ะ
⚠️ หมายเหตุ ⚠️ คนจำนวนไม่น้อยไปรับการรักษาช้ากว่าที่ควรไปมากเพราะมัวแต่วิตกกังวลเรื่องผลข้างเคียง เพราะข้อมูลเชิงลบที่มีอยู่ในโลกออนไลน์ ล้วนมาจากส่วนมากของคนที่รู้สึกไม่ ok ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่า
(พูดง่ายง่ายก็คือ คนไข้ส่วนใหญ่ไม่บ่น เพราะไม่มีผลข้างเคียงอะไร ดังนั้นข้อมูลส่วนใหญ่เลยมาจากส่วนใหญ่จองคนส่วนน้อยที่เจอผลข้างเคียง - ซึ่งส่วนใหญ่สามารถจัดการได้)
V
V
สุดท้ายนี้
✳️ อย่าลืมว่า อาการจะดีหรือไม่ จะหายหรือไม่หาย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า ใครคิดอย่างไร เข้าใจถูกหรือผิด ปฏิบัติกับเราดีหรือไม่ดี
แต่ขึ้นอยู่กับ #การดูแลตัวเองให้ถูกทาง รับการรักษาถูกวิธี
เฉกเช่นกับที่ #ผลการแข่งขันย่อมขึ้นอยู่กับนักกีฬา มากกว่ากองเชียร์
ดังนั้น อย่าให้ท่าทีหรือความคิดของคนรอบข้างเป็นเหตุผลขัดขวางการดูแลตัวเอง
ถ้าเราไม่กินข้าว ก็คงไม่มีใครสามารถรับประทานจนอิ่มแทนเราได้ ถ้าเราไม่สบาย ก็ไม่ต่างกันค่ะ
✳️ อย่าคาดหวังว่าคนอื่น - ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัวหรือเป็นคนสนิทแค่ไหน - จะเข้าใจหรือเห็นใจเรื่องของโรคที่เขาไม่เคยประสบเอง
น้อยใจได้ แต่อย่าให้เยอะจนมันเบียดเบียนพื้นที่ความสุขของใจคุณเองค่ะ
✳️ อย่าลืมว่า “ความจริง” แม้ไม่มีใครรู้ ก็ยังเป็นความจริง
หากมีโรคที่ต้องรักษา แล้วไม่รักษา โรคก็ไม่ได้หายไปเอง
และคนอื่นก็จะรู้จากอาการที่เก็บไว้ไม่อยู่ ไม่ใช่ซองยาที่คุณไม่จำเป็นต้องให้ใครเห็น
การรักษาต่างหากที่จะทำให้อาการของคุณน้อยลงตามลำดับและกลับมาสบายดี จนคนอื่นอาจไม่เคยคิดว่าคุณเคยป่วยมาก่อน
✳️ อย่าลืมว่า คุณไม่ได้ "เป็น" โรค .. คุณเพียงแต่ "มี" โรคบางอย่างเกิดขึ้นเท่านั้น - คุณอาจจะมีเหาบนหัว แต่คุณไม่ได้เป็นเพียงแค่เหาหนึ่งตัว
เช่นเดียวกัน คุณอาจจะมีโรคจิตเวช
แต่ คุณค่าความเป็นมนุษย์ ก็ยังคงเท่าเดิมเสมอ
.. ชีวิตที่ดีไม่ใช่ชีวิตที่ปราศจากปัญหา
… จิตใจที่สงบและเป็นอิสระ เริ่มต้นที่การมองเห็น เข้าใจและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ตามความเป็นจริงค่ะ ...
#หมอมีฟ้า