ดีคอนแทค Dcontact ดูแลดวงตา by reeya ปรึกษา โทร 065-3561416

ดีคอนแทค Dcontact ดูแลดวงตา by reeya ปรึกษา โทร 065-3561416 ดีคอนแทค Dcontact ต้อเนื้อ ต้อกระจก ต้อลม ต้อหิน วุ้นในตาเสื่อม เบาหวานขึ้นตา จอประสาทตาเสื่อม

10/09/2020

😊หมดปัญหา ต้อยุบ สายตาพร่ามัว
👉ด้วยดีคอนแทค👁️ดูแลสายตาคุณ
ฟื้นฟูดวงตา ให้กลับสู่สภาพปกติ
โทร 065-3561416 คุณลียา
คลิก👉https://lin.ee/a59vWWJ

10/09/2020

👁️เจ็บตา ปวดตา แพ้แสงแดด เป็นต้อหิน ต้อกระจก
เบาหวานขึ้นตา โทรปรึกษาฟรี🤟
📲โทร 065-3561416 คุณลียา
กดลิงก์ 👉 https://lin.ee/a59vWWJ

👀แพ้แสงแดด น้ำตาไหล ภาพเห็นไม่ชัดโทรสอบถาม สั่งซื้อสินค้าได้ที่ โทร 065-3561416 คุณลียา
09/09/2020

👀แพ้แสงแดด น้ำตาไหล ภาพเห็นไม่ชัด
โทรสอบถาม สั่งซื้อสินค้าได้ที่ โทร 065-3561416 คุณลียา

09/09/2020

👉ส่วนประกอบ ของผลิตภัณฑ์ ยอดเยี่ยมขายดี👍อันดับ1 ดีคอนแทค และ 😲ผู้ที่ประสบเหตุการณ์จริง จากการเป็น👁️ต้อเนื้อ👁️ ต้อกระจก ปัญหาสายตาทุกชนิด ทานแล้วได้ผลจริง
โทร สั่งซื้อ 065-3561416 คุณลียา
👉คลิกลิงก์ https://lin.ee/a59vWWJ

09/09/2020

👁️ดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญที่สุด ในการมองเห็น
✋อย่าปล่อยให้ดวงตาของคนอ่อนล้า
👉รีบดูแลกันเถอะ ก่อนที่จะสายเกินไป
🤟ด้วยดีคอนแทค ฟื้นฟูดวงตา 👁️
📲โทร 065-3561416 คุณลียา
👉กดคลิก https://lin.ee/a59vWWJ

08/09/2020

ใครดวงตา👁️มีปัญหา ฟังทางนี้ 👉ตามองไม่ชัด
เป็นต้อทุกชนิด มีคนหายแล้วค่ะ ‼️ไม่เชื่อ
ลองไปฟังจากผู้ที่ประสบเหตุการณ์จริงกับตัวเองกันค่ะ😊 ปรึกษาฟรี‼️โทร 065-3561416 คุณลียา

08/09/2020

📌10 วิธีป้องกันรังสี BLUE LIGHT

💎แสงสีฟ้าสามารถทะลุทะลวงได้ถึงจอประสาทตา มีพลังทำลายกระจกตาหรือจอประสาทตาได้มากกว่าแสงสีอื่น ผู้ที่ขับรถกลางแดด ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน หรือใช้อุปกรณ์ให้แสงสีฟ้าในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น เล่นสมาร์ทโฟนในที่มืด ปิดไฟดูโทรทัศน์ หรือใช้อุปกรณ์ดิจิตอลเป็นระยะเวลานานๆ ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงภัยจากแสงสีฟ้าทั้งสิ้น

วันนี้เราได้นำวิธีการดูแลดวงตาจากอันตรายแสงสีฟ้ามาฝากกันนะคะ

1. ปรับแสงสว่างและความคมชัดของหน้าจอให้รู้สึกสบายตา ภายใต้ระดับความสว่างที่ 300-500 ลักซ์ หรือสังเกตได้ง่าย ๆ จากการที่เราไม่ต้องหรี่ตาเวลามองหน้าจอ รวมทั้งพยายามลดแสงสว่างบริเวณรอบๆ เช่น ปิดไฟดวงที่สะท้อนลงบนหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

2. ติดแผ่นกรองรังสีไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์ที่กันรังสีแสงสีฟ้าได้ ช่วยป้องกันคุณจากรังสีแสงสีฟ้าได้

3. ตำแหน่งของจอภาพควรห่างจากดวงตาประมาณ 20-40 นิ้ว หรือประมาณช่วงแขนเอื้อม และปรับให้ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 15-20 องศา เพราะหากระยะห่างระหว่างตากับจอภาพไม่สัมพันธ์กัน จะทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าและปวดตาได้ง่าย

4. กะพริบตาบ่อยๆ ควรกะพริบตาให้ได้ 1-2 ครั้งต่อ 10 วินาที เพื่อให้มีน้ำหล่อเลี้ยงดวงตาอยู่เสมอ วิธีนี้จะช่วยลดความอ่อนล้าของสายตาได้มาก

5. ใช้สูตร 20-20-20 คือ ทุกๆ 20 นาที ควรละสายตาจากหน้าจอไปมองบริเวณอื่นๆ โดยให้มองห่างจากบริเวณที่นั่งอยู่ประมาณ 20 เมตร เป็นเวลา 20 วินาที เพื่อรีเฟรชสายตาให้ได้ปรับตัวใหม่ และเป็นการออกกำลังกายสายตาไปในตัว

6. ปรับขนาดตัวอักษรให้ใหญ่พออ่านสบายตา การปรับขนาดตัวอักษรให้มองเห็นได้ชัดเจน จะช่วยลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อดวงตาได้เป็นอย่างดี พูดง่ายๆ คือเราไม่จำเป็นต้องเพ่งสายตาอ่านตัวหนังสือมากเกินความจำเป็น

7. สวมแว่นกรองรังสีจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพื่อถนอมสายตาไม่ให้ปะทะกับแสงสีฟ้าบนหน้าจอโดยตรง วิธีนี้จะช่วยปกป้องดวงตาเราจากแสงสีฟ้าได้พอสมควร

8. ทำความสะอาดหน้าจอ โดยเฉพาะฝุ่นละอองและรอยเปื้อนบนจอทั้งหลาย หากทำความสะอาดหน้าจอได้หมดจดจะช่วยลดทอนการเปล่งแสงสีฟ้าได้ด้วย

9. จำกัดเวลาอยู่หน้าจอ ไม่ควรจ้องหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดนานเกิน 2 ชั่วโมงต่อครั้ง เพราะหากเล่นนานเกินกว่า 2 ชั่วโมง อาจทำให้สายตาอ่อนล้าและปวดเกร็งได้

10. วางต้นกระบองเพชรไว้ข้าง ๆ คอมพิวเตอร์ ผลวิจัยของสถาบัน Recherches en Geobiologie ของสวิตเซอร์แลนด์ และนักวิจัยในอเมริกาพบว่า หนามของต้นกระบองเพชรเป็นสื่อดูดรังสีจากทีวีและคอมพิวเตอร์ได้ รวมทั้งกระบองเพชรยังอาจดูดรังสี UV ที่เปล่งออกมาจากอุปกรณ์ไฮเทคไว้สังเคราะห์แสงแทนแสงแดดด้วยในตัว

ปรึกษาข้อมูลเกี่ยวกับดวงตา
โทร. 065-3561416 คุณลียา

✅อาการของโรคต้อหิน แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ🌟1.อาการต้อหินเฉียบพลัน (Acute glaucoma) ผู้ป่วยจะมีอาการหลัก 3 อย่าง ซึ่งทั้...
08/09/2020

✅อาการของโรคต้อหิน
แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ
🌟1.อาการต้อหินเฉียบพลัน (Acute glaucoma) ผู้ป่วยจะมีอาการหลัก 3 อย่าง ซึ่งทั้ง 3 อย่างจะทำให้ผู้ป่วยทรมานทั้งสิ้น ได้แก่ “ปวดตา (ส่วนใหญ่จะปวดศีรษะข้างเดียวกันร่วมด้วย และอาจร่วมกับมีอาการคลื่นไส้อาเจียน), ตาแดง น้ำตาไหล (ภายใน 30-60 นาที) และตามัว การมองเห็นลดลง มองเห็นแสงสีรุ้งรอบดวงไฟ (ซึ่งอาจทำให้ตาบอดตามมาอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่วันหากรักษาไม่ทัน)” อาการตามัวส่วนใหญ่มักจะมัวมากจนถึงขั้นมองเห็นหน้าคนไม่ชัด อาการปวดตามาก (บางคนอาจปวดศีรษะมากร่วมด้วย) ปวดจนอาเจียน ซึ่งความรุนแรงของอาการหลักทั้ง 3 อย่างจะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย แต่ส่วนมากจะเป็นค่อนข้างมาก
🌟2.ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดตา ตาแดง ตามัว มองเห็นแสงสีรุ้งเป็นพัก ๆ นำมาก่อนเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนได้ ซึ่งมักจะเป็นช่วงหัวค่ำ หรือเมื่อท้องฟ้าเริ่มมืด หรือเมื่ออยู่ในที่มืด หรือในขณะที่กำลังมีอารมณ์โกรธหงุดหงิดกังวล เพราะจะมีเลือดไปคั่งที่ม่านตา มุมระบายน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาที่แคบอยู่แล้วก็จะยิ่งแคบลงไปอีก พอนอนพักหรือเป็นอยู่นานประมาณ 1-2 ชั่วโมงอาการเหล่านี้ก็จะบรรเทาลงได้เอง
ผู้ป่วยที่เป็นต้อหินเฉียบพลัน มักจะมีอาการที่ตาเพียงข้างเดียว แต่ตาอีกข้างหนึ่งยังมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นต้อหินเฉียบพลันได้เช่นกัน
ตาอาจบอดได้ในเวลา 1-2 สัปดาห์ นอกจากจะตาบอดแล้วยังอาจทรมานจากการมีอาการตาแดง ปวดตา และปวดศีรษะอยู่ตลอดเวลาด้วย
สนใจ/ติดต่อ/สอบถาม
☎065-3561416 ลียา
👉คลิกลิงก์ https://lin.ee/a59vWWJ

🔔ดีคอนแทค พลัส 1,260                                 ☑ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ดีคอนแทค พลัส (DContact Plus) สำหรับดวงตาส่วนป...
08/09/2020

🔔ดีคอนแทค พลัส 1,260

☑ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ดีคอนแทค พลัส (DContact Plus) สำหรับดวงตา
ส่วนประกอบที่สำคัญใน 1 แคปซูล
เบต้า-กลูแคน จากยีสต์ (Yeast Beta-Glucan) 180 มก.
แอสคอร์บิก แอซิด (Ascorbic Acid) 50 มก.
เบต้า-แคโรทีน (Beta-Carotene) 30 มก.
วิตามีน บี 2 (Vitamin B2) 0.002 มก.
สารสกัดจากบิลเบอร์รี่ (Bilberry Extract) 100 มก.
สารสกัดจากแครนเบอร์รี่ (Cranberry Extract) 50 มก.
สารสกัดจากดอกดาวเรือง (Marigold Extract) 10 มก.

Inactive Ingredient
Microcrystalline Cellulose 460i 60.998 มก.
Titanium Dioxide 171 9 มก.
Magnesium Stearate 470iii 5 มก.
Silicon Dioxide 551 5 มก.

📌ขนาดบรรจุ : 1 กล่อง 3 แผง แผงละ 10 แคปซูล รวม 30 แคปซูล

📍เลขสารบบ อย. : 10-1-15456-5-0019

วิธีรับประทาน : วันละ 1-2 แคปซูล หลังอาหารเช้า-เย็น
📲โทร 065-3561416 ลียา ดีคอนแทค
👉คลิกลิงก ์https://lin.ee/a59vWWJ

💥โรคสายตาสั้นเทียม💥💢เป็นภาวะสายตาสั้นที่เกิดจากกล้ามเนื้อในเนื้อเยื่อ ในลูกตาที่ใช้ในการเพ่งมองสิ่งที่อยู่ใกล้ มีการทำงา...
07/09/2020

💥โรคสายตาสั้นเทียม💥
💢เป็นภาวะสายตาสั้นที่เกิดจากกล้ามเนื้อในเนื้อเยื่อ ในลูกตาที่ใช้ในการเพ่งมองสิ่งที่อยู่ใกล้ มีการทำงานมาก เกินไปจนเกิดการเกร็งค้าง

❎สำหรับอาการสายตาสั้นเทียมนั้น จะมีอาการที่สังเกตได้ง่ายกว่า ดังนี้

🏒มีอาการมองไม่ชัดค่อนข้างจะทันที เช่น ตามัวมา 1 อาทิตย์ ขณะที่สายตาสั้นจริงจะค่อย ๆ มองไม่ชัดมานาน

🏒มีอาการปวดตา ปวดหัว บางครั้งมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย

🏒หลังการใช้สายตามาก ๆ หรือนาน ๆ จะมีอาการตามัวมากขึ้น

🏒วัดสายตาแล้วได้ค่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่แน่นอน มีค่าสายตาน้อยว่าสายตาจริง

🏒กรณีที่ใช้ยาหยอดขยายม่านตา เพื่อช่วยทำให้กล้ามเนื้อในลูกตาที่หดตัวผิดปกติคลายออก แล้วลองวัดค่าสายตาใหม่ พบว่า ก่อนหยอดยาวัดค่าสายตาได้ สั้น -4.00 แต่หลังหยอดตาวัดแล้วกลับพบว่า ไม่มีอาการสายตาสั้นเลย

⚠👀ฉะนั้นหากสงสัยว่า สายตาสั้นเทียมหรือไม่ เหตุใดใส่แว่นแล้วยังเห็นไม่ชัด หรือใส่แล้วมีอาการปวดหัวร่วมด้วย ควรดูแลสุขภาพตาเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรละเลย

❌ต้องการดูแลฟื้นฟูสุขภาพดวงตา❌
"ดีคอนแทค" คือทางเลือก

ดีคอนแทค ช่วยฟื้นฟูดวงตา คุณกลับสู่สภาพปกติ
07/09/2020

ดีคอนแทค ช่วยฟื้นฟูดวงตา คุณกลับสู่สภาพปกติ

ดีคอนแทค อาหารเสริมเพื่อดวงตา สกัดจากธรรมชาติ 100% 🧡👁 ตาแห้ง แสบตา พร่ามัว👁 ตามัว มองไม่ชัด ปวดกระบอกตา👁 แพ้แสง แพ้ลม แส...
06/09/2020

ดีคอนแทค อาหารเสริมเพื่อดวงตา สกัดจากธรรมชาติ 100% 🧡
👁 ตาแห้ง แสบตา พร่ามัว
👁 ตามัว มองไม่ชัด ปวดกระบอกตา
👁 แพ้แสง แพ้ลม แสบตา น้ำตาไหล
👁 มองเห็นเป็น หยักไย่ ลอยไป-มา
👁 ต้อลม ต้อเนื้อ ต้อกระจก ต้อหิน
ปรึกษาปัญหาดวงตา
สายด่วน ‼️ ติดต่อคุณลียา 🙏🏻
☎️ 065-3561416 ลียา ดีคอนแทค
จัดส่งทุกวันตามปกตินะคะ ลูกค้าสนใจสั่งได้เลยขอบคุณค่ะ 😍

💢อาการของโรคม่านตาอักเสบ💢✅ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตา (เนื่องจากเกิดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อม่านตา) ตามัว ตาสู้แสงไม่ได้ ตาแดงใ...
03/09/2020

💢อาการของโรคม่านตาอักเสบ💢
✅ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตา (เนื่องจากเกิดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อม่านตา) ตามัว ตาสู้แสงไม่ได้ ตาแดงในส่วนรอบ ๆ ตาดำ เคืองตา น้ำตาไหล ซึ่ง
อาจมีอาการเพียงเล็กน้อยจนถึงปานกลาง อาการอาจเกิดขึ้นอย่างฉับพลันหรือเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปก็ได้ และโดยมากมักจะเป็นกับตาเพียงข้างเดียว (ในกรณีที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน อาการมักจะเป็นอยู่ไม่นาน แต่ในรายที่เกิดเป็นโรคเรื้อรัง อาการมักจะกลับมาเป็นซ้ำ ๆ เป็น ๆ หาย ๆ)
✅โรคม่านตาอักเสบนี้ในระยะแรกมักมาด้วยอาการตาแดงและมีอาการปวดตาโดยฉับพลัน หรืออาจมาด้วยอาการตามัวโดยที่ไม่มีอาการปวดตาเลยก็ได้
✅ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกปวดมากขึ้นเมื่ออยู่ในที่แจ้ง และอาการจะดีขึ้นเมื่ออยู่ในที่ร่ม บางรายอาจมีอาการเพียงเล็กน้อยจนไม่รู้สึกว่ามีอาการเลยก็ได้
✅อาการของผู้ป่วยจะเป็นอยู่เพียงไม่กี่วันถึงหลายสัปดาห์ เมื่อหายแล้วอาจกำเริบขึ้นได้ใหม่ ส่วนในรายที่เป็นอย่างเรื้อรังอาจเป็นอยู่นานเป็นแรมเดือนแรมปีเลยก็ได้
💢ภาวะแทรกซ้อนของโรคม่านตาอักเสบ
✅ในรายที่เป็นนาน ๆ อาจทำให้เป็นต้อกระจก (Cataract) ได้
✅ในรายที่เป็นรุนแรง ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้มีเม็ดเลือดขาวที่เกิดจากการอักเสบไปอุดกั้นทางระบายของน้ำเลี้ยงลูกตา และทำให้กลายเป็นต้อหิน (Glaucoma) ได้ หรือไม่ก็อาจมีการยึดติดกันของม่านตากับแก้วตาทำให้เกิดต้อหินได้เช่นกัน
✅อาจทำให้เกิดเส้นเลือดงอกใหม่ในลูกตา มีผลทำให้เกิดเลือดออกในตาได้
✅อาจมีการทำลายจอประสาทตา หรือเกิดจอประสาทตาลอกได้

🔊ใครเป็นเบาหวานต้องอ่าน!!!เบาหวานเป็นโรคที่พบได้บ่อย และสถิติผู้ป่วยโรคเบาหวานในประเทศไทยก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ล่า...
03/09/2020

🔊ใครเป็นเบาหวานต้องอ่าน!!!

เบาหวานเป็นโรคที่พบได้บ่อย และสถิติผู้ป่วยโรคเบาหวานในประเทศไทยก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ล่าสุด...มีการสำรวจพบว่ามีประชากรไทยมากกว่า 3 ล้านคนที่เป็นโรคเบาหวาน ซึ่งโรคดังกล่าวเป็นโรคที่ทำให้เกิดความผิดปกติกับเนื้อเยื่อ และอวัยวะในร่างกาย รวมถึง ดวงตา ซึ่งเรามักเรียกอาการนี้ว่า โรค เบาหวานขึ้นตา นั่นเอง
เบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy) เป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน เกิดจากการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน ทำให้เส้นเลือดที่จอประสาทตา (Retina) ได้รับความเสียหายจากน้ำตาลอุดตันทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนได้ตามปกติ ในช่วงแรกอาจไม่พบอาการ หรือมีการมองเห็นผิดปกติเพียงเล็กน้อย แต่หากปล่อยไว้ และไม่รับการรักษาจนมีอาการรุนแรง อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ในที่สุด
อาการของโรค เบาหวานขึ้นตา
ในระยะแรกของโรคเบาหวานขึ้นตา อาจจะยังไม่พบอาการ หรือความผิดปกติในการมองเห็น แต่เมื่อมีความรุนแรงมากขึ้น จะพบอาการต่างๆ เช่น
•มองเห็นจุดหรือเส้นสีดำคล้ายหยากไย่ลอยไปมา
•มองเห็นภาพบิดเบี้ยว
•ตามัว การมองเห็นแย่ลง สายตาไม่คงที่
•แยกแยะสีได้ยากขึ้น
•ภาพที่มองเห็นมืดเป็นแถบๆ
•สูญเสียการมองเห็น
สาเหตุของโรคเบาหวานขึ้นตา
เบาหวานขึ้นตาเกิดจากการมีระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นเป็นเวลานาน ส่งผลให้เส้นเลือดฝอยที่ไปหล่อเลี้ยงจอตาโป่งพองเป็นหย่อมๆ จากผนังหลอดเลือดผิดปกติ ทำให้เลือดและน้ำเหลืองซึมออกมาจากหลอดเลือด กระจายทั่วจอประสาทตา และเส้นเลือดใหญ่ที่จอตาจะเริ่มขยายตัวใหญ่ขึ้นผิดปกติ รวมถึงเส้นใยประสาทของจอตาและจุดภาพชัด (Macula) อาจเริ่มมีอาการบวม ในระยะเริ่มแรกอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่หากมีการอุดตันของเส้นเลือด ที่เพิ่มมากขึ้นอาจทำให้มีอาการรุนแรงได้
เมื่อหลอดเลือดที่จอประสาทตาเสียหาย ร่างกายก็จะสร้างหลอดเลือดใหม่มาทดแทน แต่หลอดเลือดที่สร้างใหม่มีผนังไม่แข็งแรง ฉีกขาดได้ง่าย ทำให้มีเลือดรั่วซึมออกมาที่บริเวณวุ้นตา และอาจทำให้เกิดแผลเป็นซึ่งเป็นสาเหตุให้จอตาลอกออกจากด้านหลังของดวงตา หรือถ้าหากเส้นเลือดใหม่ที่เกิดขึ้นไปแทรกแซงการระบายน้ำออกจากลูกตา ส่งผลให้ความดันตาสูงขึ้น เกิดความเสียหายต่อเส้นประสาทที่ทำหน้าที่ส่งภาพจากดวงตาไปยังสมอง ก็จะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคต้อหินได้
มีปัจจัยมากมายที่เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคเบาหวานขึ้นตา เช่น ระยะเวลาของการเป็นโรคเบาหวาน ยิ่งเป็นนานก็ยิ่งมีความเสี่ยงสูง การไม่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง มีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ หรือ อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ เป็นต้น
ป้องกันโรคเบาหวานขึ้นตาได้ก่อนจะสายไป!
สิ่งแรกเลยก็คือการป้องกันหรือลดความเสี่ยงการเป็นโรคเบาหวาน หรือผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานแล้ว ก็ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารที่มีรสเค็ม หวาน และมีไขมันสูง ออกกำลังกายเป็นประจำ เลิกสูบบุหรี่ และเลิกการดื่มแอลกอฮอล์
•รับประทานยารักษาเบาหวานตามกำหนดที่แพทย์สั่ง
•ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด อาจจะใช้เครื่องวัดน้ำตาล เป็นตัวช่วยควบคุม
•ควบคุมระดับความดัน โดยที่ระดับความดันโลหิตของผู้ป่วยเบาหวานไม่ควรเกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอท (mmHg)
•ควบคุมระดับไขมันในเลือด ผู้ป่วยเบาหวานควรมีระดับไขมันในเลือดไม่เกินกว่าค่าปกติ
•สังเกตความเปลี่ยนแปลงของการมองเห็น และควรไปพบแพทย์โดยด่วนหากพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของการมองเห็นอย่างฉับพลัน เช่น ตามัว มองไม่ชัด หรือมองเห็นเป็นจุดดำ เป็นต้น
•ผู้ป่วยเบาหวานควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจตาเป็นประจำทุกปี ถึงแม้ว่าการมองเห็นจะยังคงเป็นปกติก็ตาม
•ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะการตั้งครรภ์ออาจทำให้อาการต่างๆ ของเบาหวานขึ้นตารุนแรงขึ้นได้ ควรตรวจตาทันทีที่ตั้งครรภ์หรือใน 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์
•ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วนหากพบว่ามีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็นอย่างฉับพลัน
การรักษาเบาหวานขึ้นตา
การรักษามีจุดประสงค์เพื่อชะลอหรือยับยั้งอาการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยวิธีการรักษาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของอาการ
•การรักษาเบาหวานขึ้นตาระยะเริ่มแรก ซึ่งเป็นระยะที่ยังไม่มีเส้นเลือดเกิดใหม่ หากมีอาการเพียงเล็กน้อยจนถึงอาการในระดับปานกลาง อาจยังไม่จำเป็นต้องรักษาในทันที แต่แพทย์จะคอยสังเกตอาการหรือความผิดปกติของดวงตาอย่างใกล้ชิด ในระยะนี้ผู้ป่วยอาจต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อยับยั้งไม่ให้อาการลุกลาม
•การรักษาเบาหวานขึ้นตาระยะก้าวหน้า ซึ่งเป็นระยะที่มีเส้นเลือดเกิดใหม่ ในระยะนี้ผู้ป่วยอาจต้องรักษาด้วยเลเซอร์หรือผ่าตัด ซึ่งวิธีการก็จะแตกต่างกันออกไปโดยขึ้นอยู่กับแต่ละปัญหาของจอตา
ภาวะแทรกซ้อนของเบาหวานขึ้นตา
•เลือดออกในวุ้นตา
อาจทำให้ผู้ป่วยมองเห็นเป็นจุดสีดำลอยไปมา แต่หากมีเลือดซึมออกมาในปริมาณมากอาจบังการมองเห็นทั้งหมดได้ โดยปกติแล้วผู้ป่วยที่มีเลือดออกในวุ้นตาจะไม่สูญเสียการมองเห็นแบบถาวร อาจใช้เวลาในการกำจัดเลือดออกจากวุ้นตาประมาณ 2-3 สัปดาห์หรือไม่กี่เดือน ผู้ป่วยก็อาจกลับมามองเห็นได้อย่างชัดเจน
•จอตาลอก
เป็นผลมาจากแผลเป็นที่เกิดขึ้นนั้นดึงจอตาให้หลุดลอกออกจากด้านหลังของดวงตา ซึ่งอาจทำให้เกิดจุดดำลอยไปมาในเวลามองสิ่งต่างๆ มองเห็นแสงวาบ หรือสูญเสียการมองเห็นขั้นรุนแรง
•ต้อหิน
เป็นผลมาจากกลุ่มเส้นเลือดใหม่ที่อาจเกิดขึ้นบริเวณด้านหน้าของดวงตา และไปแทรกแซงการระบายน้ำออกจากลูกตา ส่งผลให้ความดันตาสูงขึ้น เกิดความเสียหายต่อเส้นประสาทที่ทำหน้าที่ส่งภาพจากดวงตาไปยังสมอง
•สูญเสียการมองเห็น
ภาวะเบาหวานขึ้นตาหรือต้อหิน สุดท้ายแล้วอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นได้
☑️อย่าละเลยการดูแลสุขภาพดวงตานะคะ🔊

🌼ดอกดาวเรือง เป็นดอกไม้มงคลชนิดหนึ่ง ตามความเชื่อของคนโบราณจะเชื่อกันว่า การปลูกดอกดาวเรืองไว้ในบ้านนั้น จะช่วยหนุนนำให้...
03/09/2020

🌼ดอกดาวเรือง เป็นดอกไม้มงคลชนิดหนึ่ง ตามความเชื่อของคนโบราณจะเชื่อกันว่า การปลูกดอกดาวเรืองไว้ในบ้านนั้น จะช่วยหนุนนำให้ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรือง นำเงินทองเข้ามาให้ เนื่องจากดอกดาวเหลืองมีสีเหลืองทองนั่นเอง นอกจากนี้ดอกดาวเรืองยังเป็นดอกไม้ที่แข็งแกร่ง ปลูกง่าย โตเร็ว และทนทาน
ดาวเรือง เป็นไม้ล้มลุก อายุไม่ถึง 1 ปี ลำต้นมีสีเขียวผิวเกลี้ยงและเป็นสัน ขึ้นแบบตั้งตรง ด้านในมีเนื้ออ่อน ความสูงประมาณ 30-100 เซนติเมตร แตกกิ่งเป็นทรงพุ่มแน่น มีใบประกอบแบบขนนก ปลายคี่ ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ มีใบย่อยประมาณ 11-17 ใบ ลักษณะคล้ายรูปหอก โคนใบสอบ ปลายใบแหลม ขอบใบหยัก ใบยาวประมาณ 4-11 เซนติเมตร ออกดอกที่ปลายก้าน สีขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ได้แก่ เหลือง ส้ม ทอง ขาว ฯลฯ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5-15 เซนติเมตร มีสันเป็นทางยาว 7-13 สัน เมล็ดมีลักษณะแห้ง เป็นสีดำ โคนมนกว้างปลายเรียว
เรามาดูสรรพคุณทางยาและประโยชน์เพื่อสุขภาพ ดอกดาวเรืองกันค่ะว่าจะมีประโยชน์อะไรกันบ้าง
1. แก้ร้อนใน
ด้วยคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ และแก้ปัญหาผิวหนังแตกแห้ง รวมทั้งฤทธิ์ต้านอาการอักเสบที่มีอยู่ในดอกดาวเรือง จึงทำให้ดอกดาวเรืองเป็นดอกไม้รักษาอาการร้อนในได้ โดยการใช้เพียงแค่นำดอกดาวเรืองไปตากแห้งแล้วมาชงเป็นชาดื่ม จะช่วยลดความร้อนในร่างกายและทำให้อาการร้อนในลดลงได้ นอกจากนี้ยังสามารถนำชาจากดอกดาวเรืองมาบ้วนปากเป็นประจำเพื่อรักษาแผลร้อนในได้อีกด้วย
2. บำรุงสายตา
ดอกดาวเรืองมีสารแซนโทฟิลล์ ซึ่งเป็นแคโรทีนอยด์ (สารต้านอนุมูลอิสระ) ชนิดหนึ่ง โดยมีส่วนประกอบเป็นโมเลกุลที่มีออกซิเจน อันได้แก่ ลูทีนและซีแซนธิน ซึ่งจัดว่าเป็นสารบำรุงสายตาจากพืชมีสี โดยทั้งสองสารนี้มีคุณสมบัติช่วยป้องกันความเสื่อมของจอประสาทตาได้ ช่วยกรองแสงสีฟ้า และยังเป็นสารออกซิเดชั่น ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่จะทำลายประสิทธิภาพการทำงานของจอประสาทตา โดยการนำเอาสารบำรุงสายตาจากดอกดาวเรืองมาใช้ แนะนำให้นำดอกดาวเรืองไปตากแห้ง แล้วนำมาชงเป็นชาดื่ม 1หยิบมือ ต่อน้ำร้อน 1 แก้วกาแฟ เท่านี้ก็จะได้รับสารบำรุงสายตาที่ซ่อนอยู่ในดอกดาวเรือง
3. รักษาสิว
สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องสิว จะใช้ดอกดาวเรืองแต้มสิวก็ได้เหมือนกัน แต่ควรใช้ดอกดาวเรืองที่สกัดมาเรียบร้อยแล้วนะคะ เนื่องจากสารสกัดจากดอกดาวเรืองอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มไตรเทอปีน ฟลาโวนอยด์ และซาโปนิน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ซึ่งมีคุณสมบัติในการสมานแผล ช่วยทำความสะอาดเนื้อเยื่อ และป้องกันการติดเชื้อบนผิวหนัง ได้
แต่ถ้าหากใครนะค่ะอยากได้แบบธรรมชาติจริง ๆ ก็สามารถนำใบดอกดาวเรืองมาล้างให้สะอาด จากนั้นนำใบดอกดาวเรืองไปตำแล้วเอามาพอกบริเวณที่เป็นสิว หรือจะนำใบไปต้มแล้วนำน้ำมาล้างบริเวณที่เป็นสิวก็ได้ เพราะใบดอกดาวเรืองก็มีรสชุ่มเย็น ใช้แก้ฝี แผลพุพอง ตุ่มมีหนอง และอาการบวม อาการอักเสบโดยไม่ทราบสาเหตุได้
4. บำรุงผิวพรรณ ลดริ้วรอย
ได้มีการวิจัยสารสกัดจากดอกดาวเรืองและพบว่า สารสกัดจากดอกดาวเรืองมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียและยังสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ดี เนื่องจากมีกรดฟีนอลิกที่สำคัญ ซึ่งมีประโยชน์ช่วยลดริ้วรอยและทำให้ผิวพรรณดูอ่อนวัย อีกทั้งยังสามารถป้องกันผิวหนังจากรังสียูวีได้อีกด้วย
โดยนำดอกดาวเรืองสดไปตากแห้ง แล้วแช่ในเอทานอล อาจแช่ทิ้งไว้เป็นเวลา 2-3 สัปดาห์ หรือแช่ในน้ำบริสุทธิ์แล้วให้ความร้อนอย่างน้อย 15 นาที โดยใช้เตาไมโครเวฟ 15-35 นาที จะทำให้ได้สารสกัดจากดอกดาวเรืองที่สามารถนำไปต่อยอดพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่าง ๆ เช่น สเปรย์น้ำฉีดผิวหน้าและผิวกาย ให้ความชุ่มชื้น บรรเทาอาการระคายเคืองต่อผิว แก้ผื่นคัน หรือถ้านำไปผสมในครีมหรือโลชั่นทาบำรุงผิวพรรณเพื่อช่วยลดริ้วรอยก็ได้เช่นกัน
5. ละลายเสมหะ บรรเทาอาการไอ
ช่อดอกดาวเรืองมีรสขม กลิ่นฉุนเล็กน้อย มีสรรพคุณทางยาช่วยขับร้อนจากร่างกาย ละลายเสมหะ แก้ไอหวัด ไอกรน บรรเทาอาการหลอดลมอักเสบ คางทูม และสามารถสมานแผลให้หายเร็วขึ้นได้ โดยการใช้ภายในให้นำช่อดอกดาวเรือง 3-10 กรัม ต้มน้ำแล้วจิบเป็นชา ส่วนวิธีใช้ดอกดาวเรืองรักษาแผลภายนอก ให้นำช่อดอกดาวเรืองต้ม รอให้อุ่น แล้วนำน้ำต้มดาวเรืองมาชะล้างบริเวณที่เป็นแผล
6. บรรเทาโรคผิวหนัง
ในดอกดาวเรืองมีสารคาเลนดูลา ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติช่วยบรรเทาปัญหาผิวหนัง เช่น โรคผิวหนังอักเสบ แผลเป็น และผิวหนังแห้งแตก โดยการนำดอกดาวเรืองมาบรรเทาและดูแลปัญหาผิวหนังเหล่านี้ ควรใช้สารสกัดจากดอกดาวเรืองที่อยู่ในรูปครีมยา น้ำมันหอมระเหย หรือโลชั่นบำรุงผิวพรรณ
7. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
จากการศึกษาของสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยา พบว่า สารสกัดดอกดาวเรืองมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์แอลฟา-กลูโคซิเดส ซึ่งมีหน้าที่ย่อยสลายน้ำตาลในลำไส้ส่วนเล็กเพื่อให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลได้ดีขึ้น ดังนั้นสารสกัดจากดอกดาวเรืองจึงมีฤทธิ์ลดการดูดซึมกลูโคสในร่างกาย มีคุณสมบัติช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ดี โดยเฉพาะในกรณีน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นหลังรับประทานอาหาร และการที่ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงก็จะส่งผลดีในด้านช่วยลดภาวะเครียดออกซิเดชั่น ที่อาจเกิดในผนังหลอดเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน ทำให้อัตราความเสี่ยงโรคแทรกซ้อน ในผู้ป่วยเบาหวานลดลงได้อีกด้วย
8. ลดไขมันในเลือด
นอกจากสรรพคุณช่วยลดน้ำตาลในเลือดแล้ว สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ยังพบว่า สารสกัดดอกดาวเรืองมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไลเปส เอนไซม์ช่วยย่อยไขมันจากตับอ่อน ได้เทียบเท่ากับสารสกัดของดอกดาวกระจาย และดอกเฟื่องฟ้า โดยจัดเป็นสารพฤกษเคมีประเภทสารประกอบฟีนอลิก มีฤทธิ์ทำให้เอนไซม์ย่อยไขมันทำงานไม่เป็นปกติ ส่งผลให้การย่อยอาหารที่มีไขมันและการดูดซึมไขมันของร่างกายลดลง จึงช่วยลดปริมาณไขมันในเลือด และลดโอกาสเกิดโรคอ้วนได้นั่นเอง
9. ต้านอนุมูลอิสระและยับยั้งเซลล์มะเร็ง
จากการศึกษาสารสกัดน้ำของดอกไม้ 4 ชนิด (ดาวเรือง ดาวกระจาย พวงชมพู และเฟื่องฟ้า) ของสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า สารสกัดจากดอกดาวเรืองจะมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระดีที่สุด และสารที่พบในดอกไม้ทั้ง 4 ชนิด พบว่าส่วนใหญ่เป็นพวกกรดฟีนอลิก และฟลาโวนอยด์ โดยดอกดาวเรืองจะมีกรดฟีนอลิกสูงกว่าดอกไม้อื่น ๆ ประมาณ 3-4 เท่า
ส่วนการทดลองฤทธิ์ในการยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งลำไส้ เซลล์มะเร็งกระเพาะอาหาร และเซลล์มะเร็งท่อน้ำดี พบว่า สารสกัดน้ำจากดอกดาวเรืองมีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งทั้ง 3 ชนิดได้เทียบเท่ากับสารสกัดน้ำดอกพวงชมพูและดอกเฟื่องฟ้า อีกทั้งการศึกษายังพบว่า สารสกัดดอกดาวเรืองจะมีฤทธิ์ดีที่สุดในการยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งลำไส้ ได้
10. แก้ปวดฟัน
ดอกดาวเรืองถ้าหากนำดอกแห้ง 7-8 ดอกไปต้มกับน้ำในปริมาณที่พอเหมาะแล้วจิบทั้งวัน ก็สามารถลดอาการปวดฟันได้โดยไม่ต้องพึ่งยาแก้ปวด อีกทั้งยังสามารถขับร้อนในร่างกายได้อีกด้วย
11. แก้วิงเวียนศีรษะ
น้ำมันหอมระเหยจากดอกดาวเรืองมีคุณสมบัติแก้อาการวิงเวียน หน้ามืด เป็นลม ได้ และยังมีประโยชน์ช่วยบำรุงเส้นผมและลดริ้วรอยจากอาการผิวแตกลายได้ด้วย
12. ขับลม แก้ท้องผูก รักษาริดสีดวงทวารหนัก
ดอกดาวเรืองถือว่ามีพิษร้ายต่อโรคริดสีดวงทวารหนักเลยนะค่ะ เพราะดอกดาวเรืองมีฤทธิ์ขับลมในกระเพาะอาหาร และมีฤทธิ์รักษาโรคริดสีดวงทวารโดยตรง โดยตำรับจากอินเดียจะใช้น้ำคั้นจากช่อดอกดาวเรืองมาดื่มแก้ริดสีดวงทวาร หรือบางกรณีจะใช้น้ำคั้นจากช่อดอกผสมน้ำอุ่นแล้วนั่งแช่ลดอาการบวมของแผลริดสีดวงทวารหนัก ซึ่งจะช่วยให้หลอดเลือดหดตัว อาการริดสีดวงทวารก็จะบรรเทาลงได้
13. แก้ปวดประจำเดือน
ชาดอกดาวเรืองมีสรรพคุณช่วยลดอาการปวดประจำเดือนของสาว ๆ ได้ โดยสารในดอกดาวเรืองจะช่วยในการขับลมจากอาการท้องอืด พร้อมทั้งมีส่วนช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตในร่างกาย ส่งผลให้กล้ามเนื้อที่ตึงเครียดคลายตัวลง อาการปวดประจำเดือนก็จะบรรเทาลงด้วยค่ะ

👉อาการของโรคต้อหิน แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ1.อาการต้อหินเฉียบพลัน (Acute glaucoma) ผู้ป่วยจะมีอาการหลัก 3 อย่าง ซึ่งทั้ง...
03/09/2020

👉อาการของโรคต้อหิน แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ
1.อาการต้อหินเฉียบพลัน (Acute glaucoma) ผู้ป่วยจะมีอาการหลัก 3 อย่าง ซึ่งทั้ง 3 อย่างจะทำให้ผู้ป่วยทรมานทั้งสิ้น ได้แก่ “ปวดตา (ส่วนใหญ่จะปวดศีรษะข้างเดียวกันร่วมด้วย และอาจร่วมกับมีอาการคลื่นไส้อาเจียน), ตาแดง น้ำตาไหล (ภายใน 30-60 นาที) และตามัว การมองเห็นลดลง มองเห็นแสงสีรุ้งรอบดวงไฟ (ซึ่งอาจทำให้ตาบอดตามมาอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่วันหากรักษาไม่ทัน)” อาการตามัวส่วนใหญ่มักจะมัวมากจนถึงขั้นมองเห็นหน้าคนไม่ชัด อาการปวดตามาก (บางคนอาจปวดศีรษะมากร่วมด้วย) ปวดจนอาเจียน ซึ่งความรุนแรงของอาการหลักทั้ง 3 อย่างจะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย แต่ส่วนมากจะเป็นค่อนข้างมาก
2.ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดตา ตาแดง ตามัว มองเห็นแสงสีรุ้งเป็นพัก ๆ นำมาก่อนเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนได้ ซึ่งมักจะเป็นช่วงหัวค่ำ หรือเมื่อท้องฟ้าเริ่มมืด หรือเมื่ออยู่ในที่มืด หรือในขณะที่กำลังมีอารมณ์โกรธหงุดหงิดกังวล เพราะจะมีเลือดไปคั่งที่ม่านตา มุมระบายน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาที่แคบอยู่แล้วก็จะยิ่งแคบลงไปอีก พอนอนพักหรือเป็นอยู่นานประมาณ 1-2 ชั่วโมงอาการเหล่านี้ก็จะบรรเทาลงได้เอง
ผู้ป่วยที่เป็นต้อหินเฉียบพลัน มักจะมีอาการที่ตาเพียงข้างเดียว แต่ตาอีกข้างหนึ่งยังมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นต้อหินเฉียบพลันได้เช่นกัน
ตาอาจบอดได้ในเวลา 1-2 สัปดาห์ นอกจากจะตาบอดแล้วยังอาจทรมานจากการมีอาการตาแดง ปวดตา และปวดศีรษะอยู่ตลอดเวลาด้วย

👉สาระน่ารู้ดีๆ  โรคตาแห้ง‼️สาเหตุของโรคตาแห้ง👁‍🗨👁‍🗨 ส่วนใหญ่ไม่พบสาเหตุที่ชัดเจน แต่มักพบในผู้หแญิงที่มีอายุมากขึ้น ซึ่ง...
03/09/2020

👉สาระน่ารู้ดีๆ โรคตาแห้ง
‼️สาเหตุของโรคตาแห้ง👁‍🗨
👁‍🗨 ส่วนใหญ่ไม่พบสาเหตุที่ชัดเจน แต่มักพบในผู้หแญิงที่มีอายุมากขึ้น ซึ่งการสร้างน้ำตาจะค่อยๆลดลงเอง โดยเฉพาะในวัยหลังหมดประจำเดือน เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนในร่างกาย และจะพบในผู้ป่วยที่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome ซึ่งมีอาการตาแห้งร่วมกับข้ออักเสบและปากแห้ง
👉 ยาบางชนิดอาจทำให้กระบวนการสร้างน้ำตาลดลง เช่น ยากลุ่มแอนตี้ฮิสตามีน ใช้รักษาหวัดและภูมิแพ้ ยากล่อมประสาท ยาทางจิตเวช ยาลดความดันโลหิตสูงในกลุ่มที่ออกฤทธิ์โดยการขับปัสสาวะ เป็นต้น หากมีความจำเป็นต้องใช้ยาสามารถใช้ต่อไปได้ แต่ต้องรักษาอาการตาแห้งร่วมไปด้วย
👉 ผู้ป่วยที่มีเยื่อบุตาอักเสบรุนแรงจากการติดเชื้อ หรือจากการแพ้ยาที่เรียกว่า Stevens-Johnson Syndrome การอักเสบที่รุนแรงและเรื้อรัง อาจไปทำลายต่อมสร้างน้ำตาเล็กๆ ที่เยื่อบุตาขาว ทำให้ผู้ป่วยเกิดตาแห้งชนิดรุนแรงได้
👁‍🗨 การใช้คอนแทคเลนส์ทำให้ตาแห้งได้ เนื่องจาก คอนแทคเลนส์จะดึงน้ำที่ตาเพื่อทำให้ตัวคอนแทคเลนส์เองสามารถคงความใสอยู่ได้
- การใช้สายตาเป็นเวลานาน เช่น อ่านหนังสือ ดูโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ(สมาร์ทโฟน) แท็บเล็ต เป็นต้น
👉 การนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือ หลับไม่สนิท ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ส่งผลให้การสร้างน้ำตาลดลงได้
👉👉สิ่งแวดล้อมมีผลทำให้ตาแห้งได้ เช่น เจอสภาพอากาศแห้ง มีความชื่นในอากาศน้อย, อยู่ในห้องแอร์มีอุณหภูมิเย็นแห้ง, ปะทะลมหรือแสงแดดเป็นประจำ เป็นต้น จะทำให้น้ำตาระเหยได้ง่าย
จักษุแพทย์จะวินิจฉัย “โรคตาแห้ง” โดยการซักประวัติ และในบางครั้งอาจใช้วิธีทดสอบโดยการวัดปริมาณน้ำตา ที่เรียกว่า Schrimer’s Test โดยการให้ผู้ป่วยหลับตา แล้วใช้แถบกระดาษกรองมาตรฐาน สอดไว้ที่ซอกเปลือกตาด้านล่างค่อนไปทางหางตา ใช้เวลา 5 นาที แล้วเริ่มวัดระยะความเปียกของกระดาษจากขอบตาออกมาบันทึกไว้ ซึ่งหากปริมาณน้ำตาเป็นปกติจะวัดแถบน้ำตาที่เปียกได้ 10 มิลลิเมตร ขึ้นไป
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลจักษุ รัตนิน

ที่อยู่

Bangkok

เบอร์โทรศัพท์

+66653561416

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ดีคอนแทค Dcontact ดูแลดวงตา by reeya ปรึกษา โทร 065-3561416ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง ดีคอนแทค Dcontact ดูแลดวงตา by reeya ปรึกษา โทร 065-3561416:

แชร์