สุขภาพดี ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ By แสงเทียน

สุขภาพดี ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ By แสงเทียน เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ดีที่สุด ที่ดูแลตั้งแต่ต้นเหตุ ป้องกัน
ฟื้นฟู และรักษาสุขภาพ

9 เคล็ดลับอยู่อย่างไรให้มีความสุขสมวัยเรื่อง กันย์ ภาพ pixabayฟากฝรั่งตะวักตกมีความเชื่อกันว่าชีวิตเริ่มต้นในวัย 40 ก็ยั...
24/07/2019

9 เคล็ดลับอยู่อย่างไรให้มีความสุขสมวัย

เรื่อง กันย์ ภาพ pixabay

ฟากฝรั่งตะวักตกมีความเชื่อกันว่าชีวิตเริ่มต้นในวัย 40 ก็ยังไม่สายเกินไป ในขณะที่ฝั่งเอเชียอย่างประเทศไทยเราอายุเข้าเลขสี่ถือว่ามาครึ่งหนึ่งของชีวิต เป็นวัยผู้ใหญ่เต็มตัวที่ต้องตั้งหลักปักฐานยืนให้ได้อย่างมั่นคง มีงานวิจัยว่าวัยผู้ใหญ่หลายคนเข้าสู่วัย 50 ด้วยความอ้างว้างโดดเดี่ยว และหลายคนมีภาวะซึมเศร้าในระดับเริ่มต้น วันนี้มีเคล็ดลับมาฝากว่าจะอยู่อย่างไรให้มีความสุขสมวัย

1.มีความสุขสงบในจิตใจ เราจะเรียกความสุขว่าอย่างไรก็ตามแต่ทว่า ความสุขก็คือภาวะแห่งความสันติ เบิกบาน ตื่นรู้ พ้นไปจากความวิตกกังวลทั้งปวง ความสุขนอกกาย มิใช่ความสุขแท้ เป็นเพียงสุขเพื่อประทังชีวิตให้พออยู่ได้ ความสุขที่แท้จริง จะต้องไม่ยึดโยงไว้กับวัตถุหรือบุคคล ความสุขแท้เกิดได้ต่อเมื่ออบรมจิตใจไว้ดีแล้วเท่านั้น ไม่มีอดีตหรืออนาคต ที่เรามีอยู่คือปัจจุบัน อย่าเผาเวลาปัจจุบันไปกับเงาของอดีตและอนาคต

2.ทำงานให้มีความสุข การงานมิใช่เครื่องมือแสวงหาเงินตรา แต่เป็นเครื่องมือขัดเกลากิเลส อย่าทำงานเพื่อเงินเพียงอย่างเดียว แต่จงทำเพื่อสิ่งที่ล้ำค่าไปกว่านั้น จงทำงานที่เป็นประโยชน์กับผู้อื่นได้บ้าง ทำงานด้วยความเพียร ด้วยความปรารถนาดีต่อผู้อื่น อย่าทำงานอย่างเห็นแก่ตัว ไม่เช่นนั้นแล้ว การงานของเราจะกลายเป็นกิจกรรมที่เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์โดยไม่รู้ตัว

3.คำพูดทำลายน้ำใจคนจงอย่าพูด สิ่งใดเป็นการโกหกจงอย่าพูด คำนินทาลับหลังจงอย่าพูด จงประณีตในการสื่อสารด้วยวาจา ผู้ใดถือสัจจะเป็นสำคัญ ผู้นั้นย่อมเป็นที่เชื่อถือในหมู่ชน เมื่อพูดน้อยลง ความคิดย่อมเฉียบคมขึ้น ใช้คำพูดอย่างประหยัด คุณค่าคิดให้มากกว่าพูด ไม่ต้องพูดทุกอย่างที่คิด

4.ใกล้ชิดกับธรรมชาติ อยู่กับท้องฟ้า ก้อนเมฆ ต้นไม้คือเพื่อนแท้ อยู่ใกล้ชิดสิ่งเหล่านี้ช่วยให้จิตใจสงบ ความสงบช่วยให้เท่าทันกิเลสได้ เลือกกินเลือกอยู่ให้เป็นธรรมชาติ กินผักสดผลไม้ให้มาก กินอาหารแปรรูปให้น้อยลง

5.ใช้เงินเท่าที่จำเป็น มีน้อยใช้น้อย มีมากก็ใช้น้อย แล้วจะเป็นนายชีวิตของตนเองอย่าสะสมสิ่งใดเลย เพราะการสะสมก่อให้เกิดการยึดติด และการยึดติดเป็นเหตุสำคัญแห่งทุกข์ เก็บเกี่ยวทุกสิ่งไว้ในความทรงจำ ทิ้งสิ่งรกรุงรังเพื่อให้ชีวิตคม ชัดเจน และรวดเร็วขึ้นเงินตรา อำนาจ ชื่อเสียง เป็นของมีคม จงใช้อย่างระมัดระวัง

6.เรียนรู้อยู่เสมอ โลกนี้มีหลายอย่างที่ยังไม่รู้อย่าหยุดเรียนรู้ทั้งโลกภายนอกและโลกภายในของตัวเอง ที่สำคัญมีสติอยู่เสมอ เดินทางท่องเที่ยวเพื่อเปิดโลกทัศน์

7.รู้จักรักรู้จักให้ ศาสนาที่ยิ่งใหญ่ มิใช่ศาสนาใด นอกจากความรัก ความรักคือศาสนาสำคัญของโลก มีแต่รักเท่านั้นที่โอบอุ้มให้โลกอยู่ได้ มีน้ำใจแบ่งปันยิ่งให้ยิ่งได้ มีความสุขกับเรื่องง่ายๆ เช่น การเดินในสวนหลังบ้าน การให้อาหารนกปลาที่เร่ร่อน มีความสุขกับการปัดกวาดเช็ดถูบ้าน อย่าได้แสวงหาความสุขจากกิจกรรมที่แสนพิเศษ แม้เราทำสิ่งเล็กๆ ให้กลายเป็นความพิเศษ เราย่อมสัมผัสกับความสุขได้ตลอดเวลา ทุกคนมีส่วนสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ดุจญาติพี่น้อง แม้ปรารถนาให้โลกน่าอยู่ จงให้ความรักแก่คนรอบข้าง ความรักจักงอกงาม ผลิบาน ส่งกลิ่นหอมไปไกล เก็บความรักและช่วงเวลางดงามไว้เป็นพลังชีวิต ทิ้งความผิดหวัง ท้อแท้ และเสียใจไว้เบื้องหลัง นำภาพชีวิตดีงามกลับมาในวันที่กำลังใจถดถอย

8.รักษาความสมดุล เวลาเป็นสิ่งมีค่า มิได้หมายความว่าท่านต้องทำสิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเวลา หากต้องรู้จักใช้เวลาไปกับทุกมิติของชีวิต ควรมีเวลาออกกำลังกาย มีเวลาแสวงหาความรู้ มีเวลาทำงาน มีเวลาอยู่กับครอบครัว เวลาอยู่กับตนเอง มีช่วงเวลาสงบนิ่งผ่อนคลาย จงจัดสมดุลชีวิต ด้วยการบริหารสิ่งที่ต้องกระทำให้ครบทุกมิติ เก็บความรักและช่วงเวลางดงามไว้เป็นพลังชีวิต จงทิ้งความผิดหวัง ท้อแท้ และเสียใจไว้เบื้องหลัง ขอจงนำภาพชีวิตดีงามกลับมาในวันที่กำลังใจถดถอย

9.ประสบการณ์คือสิ่งดีงาม ทว่า ทุกความกังวลและทุกความกลัว ล้วนเกิดจากประสบการณ์ทั้งสิ้น จงข้ามพ้นประสบการณ์ เข้าสู่ความสดใหม่ในปัจจุบันขณะ ไม่มีใครเข้าใจชีวิตจนวันตาย เพราะชีวิตเป็นเรื่องที่ไม่มีใครในโลกจะเข้าใจได้ ทว่า หนทางยังพอมี เมื่อยอมรับว่าไม่มีวันเข้าใจชีวิตแล้ว จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ก็ไม่ใช่ปัญหา เข้าใจหรือไม่เข้าใจก็เป็นสิ่งงดงามทั้งนั้น อย่าได้ยึดถือสิ่งใดเป็นสรณะ จงมีความสุขและเบิกบานอยู่เสมอ ชีวิตเป็นเรื่องไม่คาดฝัน

มาดูแลสุขภาพกันค่ะ
24/07/2019

มาดูแลสุขภาพกันค่ะ

โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) เป็นหนึ่งในโรคสมองเสื่อมที่พบได้บ่อยที่สุด ผู้ป่วยโรคนี้จะมีอาการสำคัญ คือ ความจำเสื่อม หลงลืม มีพฤติกรรมและนิสัยเปลี่ยนไป อาการจะดำเนินไปอย่างช้าๆ แต่ค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และเสีย ชีวิตในที่สุด ไม่มีวิธีป้องกันหรือวิธีสำหรับรักษาให้หายได้

โรคอัลไซเมอร์จะพบในผู้สูงอายุ ยิ่งอายุมากขึ้นก็จะพบอัตราการเป็นโรคมากขึ้น โดยในช่วงอายุ 65-69 ปี พบอุบัติการณ์การเกิดผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 3 คนต่อพันคนต่อปี แต่หากเป็นช่วงอายุ 85-89 ปี จะพบสูงถึง 40 คนต่อพันคนต่อปี พบได้ในทุกเชื้อชาติ เพศหญิงพบมากกว่าเพศชายเล็กน้อย อาจเนื่องจากเพศหญิงมีอายุยืนยาวกว่า ในประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 2-4% ของผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี และจะพบเพิ่มขึ้น 2 เท่าทุก 5 ปีหลังอายุ 60 ปี

ปรึกษาปัญหาสุขภาพฟรี โทร 0623099985 แสงเทียนค่ะ
หรือคลิ๊กลิ้งไลน์ค่ะ👇👇👇👇
https://line.me/R/ti/p/%40cfy8799q
ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ

24/07/2019
24/07/2019
เคล็ดลับพิชิต ออฟฟิศซินโดรม
24/07/2019

เคล็ดลับพิชิต ออฟฟิศซินโดรม

4 เคล็ดลับพิชิต"ออฟฟิตซินโดรม"

1. บำบัดความเมื่อยล้าด้วยออนเซน (Onsen)

การแช่น้ำแร่ออนเซน เป็นวัฒนธรรมที่คนญี่ปุ่นสืบทอดกันมายาวนาน จนนับว่าเป็นเรื่องในชีวิตประจำวันไปแล้ว ซึ่งการแช่ออนเซนไม่ได้แช่เพื่อความสบายตัวอย่างเดียวนะ จริงๆ แล้วการแช่ออนเซนนี่แหละ ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยต่างๆ ได้และยังช่วยคลายความตึงเครียดจากการทำงานได้ดีเลยล่ะ ไม่เพียงเท่านี้ยังทำให้ผิวพรรณของเราดูสวยเปล่งปลั่ง ระบบการหมุนเวียนของเลือดดีขึ้นด้วย ใครที่ไปเที่ยวญี่ปุ่น ก็อย่าลืมไปแช่ออนเซนผ่อนคลายความเมื่อยล้ากันด้วยนะ แต่จะว่าไปตอนนี้ที่ไทยก็มีบริการออนเซนแล้วด้วย หรือจะเป็นออนเซนไทยๆ อย่างบ่อน้ำพุร้อนที่มีอยู่หลายจังหวัดก็ไม่เลวนะ

2. วิตามินบี1 ลดอาการออฟฟิศซินโดรม

นอกจากจะเยียวยาและบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรมด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ภายนอกแล้ว พนักงานออฟฟิศหลายคนยังเลือกที่จะกินวิตามินเสริม เพื่อบรรเทาอาการอ่อนล้าจากการทำงานและบำรุงร่างกายให้แข็งแรงพร้อมสู้งาน เสมอ ซึ่งอาจแตกต่างกับไทยนิดหน่อยตรงที่คนญี่ปุ่นนิยมกินวิตามินบีมากกว่า วิตามินซีซะอีก ก็เพราะคนญี่ปุ่นทำงานกันหนักก็เลยต้องเสริมด้วยวิตามินบีกันหน่อย อย่างอนุพันธ์วิตามินบี1 ที่มียอดขายอันดับ 1 คือ Alinamin Ex Plus ที่ตอนนี้ก็สามารถหาซื้อในไทยได้แล้วเช่นกัน วิตามินตัวนี้จะช่วยฟื้นฟูความเมื่อยล้าให้กับดวงตา และผ่อนคลายความปวดเมื่อย และที่สำคัญคือ สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีกว่าปกติ ใครที่กำลังเจอออฟฟิศซินโดรมคุกคาม ลองโดปอนุพันธ์วิตามินบี1 เป็นประจำ เท่านี้ก็จะช่วยบรรเทาและโบกมือลาอาการออฟฟิศซินโดรมได้แล้ว

3. เครื่องนวดคลายปวดเมื่อย

อีกหนึ่งวิธีคลายความเมื่อยล้าของคนญี่ปุ่น คือ การนวดตัวด้วยเครื่องช่วยนวดบรรเทาความเมื่อยล้าซึ่งจะมีรูปแบบให้เลือกหลาก หลาย แล้วแต่ความชอบกันเลย โดยเฉพาะอาการออฟฟิศซินโดรม ลองใช้เครื่องนวดก็ดีเหมือนกันนะ สะดวก ใช้งานง่าย แถมยังสามารถพกติดตัวได้ทุกที่ ปวดเมื่อยเมื่อไหร่ก็จัดเลย เครื่องนวดช่วยได้นะเออ เห็นเครื่องนวดจิ๋วๆ แบบนี้แต่แจ๋วนะ จะบอกให้! สำหรับในไทย แม้จะมีรูปแบบน้อยหน่อย และส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเป็นแบบเครื่องนวดไฟฟ้า นิยมอัตโนมือมากกว่าแต่ก็ใช้ได้ดีไม่แพ้กันนะ

4. ยานวดหรือแผ่นแปะบรรเทาความเมื่อยล้า

มีเครื่องนวดไปแล้ว จะขาดยานวดได้ยังไง เพราะนี่เป็นวิธีแก้อาการออฟฟิศซินโดรมที่ได้ผลดีอีกวิธีหนึ่ง เมื่อรู้สึกเมื่อยล้าจากการทำงาน คนญี่ปุ่นจะนิยมใช้ยานวดหรือแผ่นแปะลดอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป แถมราคาไม่แพงด้วย ถ้ามีเวลาว่างหลังเลิกงานก็แวะซื้อยานวดซะหน่อย กลับบ้านมานวดเองเพลินๆ รับรองสบายตัว วิธีนี้หลายเสียงการันตีว่าใช้ได้ผลด้วยนะ

ปรึกษาปัญหาสุขภาพฟรี โทร 0623099985 แสงเทียนค่ะ
หรือคลิ๊กลิ้งไลน์ค่ะ👇👇👇👇
https://line.me/R/ti/p/%40cfy8799q
ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ

โรคเบาหวาน เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม แล้วแต่ก็ยังมีพฤติกรรมเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคเบาหวานได้อีกเช่น อ้วนเกินไปมีน้ำห...
30/01/2018

โรคเบาหวาน เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม แล้วแต่ก็ยังมีพฤติกรรมเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคเบาหวานได้อีกเช่น อ้วนเกินไปมีน้ำหนักเกิน ไม่ออกกำลังกาย หรือจะเป็นคนที่มีไขมันในเลือดสูง ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ก็สุ่มเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานเช่นกัน

แต่ก็น่าแปลกใจไม่น้อยว่าถึงแม้ทุกคนจะรู้ว่าโรคเบาหวานเป็นโรคที่น่ากลัว และมีผลแทรกซ้อนมากมาย แต่จนถึงปัจจุบันสถิตการพบผู้ป่วยโรคเบาหวานในประเทศไทยไม่ได้น้อยลงแต่อย่างใด วันนี้ HonestDocs จึงนำท่านมาทำความรู้จักกับโรคเบาหวานในเบื้องต้นกัน

เบาหวานมีมากกว่า 1 ชนิด
เบาหวาน เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่ผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ จึงส่งผลให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงเกินไป โดยโรคเบาหวานจะมีอาการเกิดขึ้นมาจากการที่ร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลได้อย่างเหมาะสมนั่นเอง ซึ่งปกติน้ำตาลจะเข้าสู่เซลล์ร่างกายเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนอินซูลิน แต่ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานร่างกายจะไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลที่เกิดขึ้นจึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ในระยะยาวจึงอาจมีผลในการทำลายหลอดเลือด และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ก็อาจนำไปสู่สภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้

ซึ่งหากจะเปรียบเทียบโรคเบาหวานแบบง่ายๆ ก็คือร่างกายเราเหมือนระบบปั๊มน้ำ และน้ำก็คือเลือด โดยปกติแล้วปั๊มน้ำก็จะทำงานอย่างปกติ แต่หากมีการทำให้น้ำในระบบเกิดความข้นขึ้น ซึ่งก็คือการเติมน้ำตาลลงไปในน้ำจะทำให้น้ำในระบบมีความหนืดขึ้น ปั๊มหรือหัวใจ ก็จะต้องทำงานหนักขึ้น และท่อน้ำหรือหลอดเลือดก็ต้องรับแรงดันที่มากขึ้น จึงทำให้คนที่เป็นโรคเบาหวานมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนกับอวัยวะต่างๆ เพิ่มขึ้นได้

ปรึกษาปัญหาสุขภาพฟรี โทร 0623099985 แสงเทียนค่ะ
หรือคลิ๊กลิ้งไลน์ค่ะ👇👇👇👇
https://line.me/R/ti/p/%40cfy8799q
ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ

อาการหลักของโรคเบาหวาน1.ปัสสาวะบ่อยขึ้น หิวน้ำมากขึ้น หากเริ่มมีอาการปัสสาวะบ่อยขึ้น และหิวน้ำมากขึ้น โดยเฉพาะตอนกลางคืน...
30/01/2018

อาการหลักของโรคเบาหวาน
1.ปัสสาวะบ่อยขึ้น หิวน้ำมากขึ้น หากเริ่มมีอาการปัสสาวะบ่อยขึ้น และหิวน้ำมากขึ้น โดยเฉพาะตอนกลางคืน จะกระหายน้ำมากกว่าเดิม นี้เป็นสัญญาณของโรคเบาหวาน เพราะร่างกายต้องการขับน้ำตาลที่มีอยู่สูงในเลือด ออกมาทางปัสสาวะ
2.น้ำหนักลด น้ำหนักที่ลดผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคบางชนิดก็ได้ โดยเฉพาะเบาหวาน การมีน้ำตาลในเลือดสูง จะทำให้น้ำหนักลดลงอย่างเร็วมาก ประมาณ 5-10 กิโลภายใน 2-3 เดือน
3.บาดแผลหายช้า หากมีแผลที่บริเวณผิวหนัง เช่น มีดบาด การติดเชื้อ หรือรอยฟกช้ำ และแผลหายช้ามาก นั้นเป็นสัญญาณบ่งบอกให้รู้แล้วว่า คุณเป็นเบาหวานแล้ว เพราะระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงของผู้ป่วยเบาหวาน จะไปขัดขวางการทำงานของหลอดเลือด
4.หิวบ่อย กินจุบจิบ ถ้าเกิดหิวบ่อยและกินจุบจิบขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ คุณอาจเป็นเบาหวานแล้วก็ได้ เพราะเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ จะทำให้ร่างกายต้องการอาหาร เพื่อเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด จึงส่งสัญญาณเป็นความหิวนั้นเอง
5.อ่อนเพลีย อารมณ์ไม่คงที่ อาการอ่อนเพลีย และอารมณ์ฉุนเฉียว เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยเบาหวาน เมื่อมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดส่งผลต่อการทำงานทุกระบบ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับอารมณ์ด้วย..

ปรึกษาปัญหาสุขภาพฟรี โทร 0623099985 แสงเทียนค่ะ
หรือคลิ๊กลิ้งไลน์ค่ะ👇👇👇👇
https://line.me/R/ti/p/%40cfy8799q
ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ

สาเหตุของโรคเบาหวานเบาหวานเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุด้วยกัน ซึ่งสาเหตุหลักๆ ก็คือการรับประทานน้ำตาลและไขมันในปริมาณที่มากเกิน...
30/01/2018

สาเหตุของโรคเบาหวาน
เบาหวานเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุด้วยกัน ซึ่งสาเหตุหลักๆ ก็คือการรับประทานน้ำตาลและไขมันในปริมาณที่มากเกินไป ส่งผลให้อินซูลินเกิดความผิดปกติ และนำมาซึ่งอาการป่วยเบาหวานได้ นอกจากนี้ โรคเบาหวานก็ยังมีสาเหตุมาจากสิ่งเหล่านี้อีกด้วย

1. กรรมพันธุ์

สำหรับผู้ที่มีพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เป็นเบาหวานมาก่อน ก็อาจจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานได้เช่นเดียวกัน แต่นั่นก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะหากรู้จักดูแลตนเองให้ดี และควบคุมอาหาร โดยหลีกเลี่ยงการรับประทานของหวาน ของมัน คุณก็จะปลอดภัยจากโรคเบาหวานได้มากขึ้น นอกเสียจากว่าจะเป็นโรคเบาหวานมาอยู่แล้วโดยกำเนิด

2. ความอ้วน

ร้อยละ 80 ของคนที่เป็นโรคอ้วนส่วนใหญ่มักมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานค่อนข้างสูง เนื่องจากไขมันส่วนเกินจะทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน ประสิทธิภาพในการจัดการกับน้ำตาลและไขมันต่ำลง และเป็นผลให้เกิดโรคเบาหวานได้ในที่สุด

3. ความผิดปกติของตับอ่อน

เนื่องจากตับอ่อนจะทำหน้าที่ในการผลิตอินซูลิน ดังนั้นหากตับอ่อนมีการเสื่อมสภาพหรือเกิดความผิดปกติก็ย่อมส่งผลต่อการเกิดโรคเบาหวานได้ด้วย นอกจากนี้ ในคนที่ดื่มเหล้าหรือรับประทานยาที่มีผลต่อตับอ่อนก็จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานได้สูงอย่างมากทีเดียว

4. อาหารการกิน

เนื่องจากปัจจุบันนั้น วิธีการทานอาหารที่เปลี่ยนไป โดยพฤติกรรมการทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ซึ่งเต็มไปด้วยแป้งและไขมัน อีกทั้งรวมไปถึงเครื่องดื่มแต่ละชนิด ที่มีน้ำตาลมากเกินกว่าที่ร่างกายจะสามารถขจัดให้หมดไปจากร่างกายได้ใน 1 วัน

5. การออกกำลังน้อย

ผู้คนในยุคนี้มีการขยับตัวกันน้อยจนเกินไป จนร่างกายมีประสิทธิภาพในการขจัดน้ำตาลได้น้อย เนื่องจากมีกิจกรรมทางกายน้อยจนเกินไป จึงทำให้น้ำตาลถูกสะสมในเลือดได้ง่าย

ปรึกษาปัญหาสุขภาพฟรี โทร 0623099985 แสงเทียนค่ะ
หรือคลิ๊กลิ้งไลน์ค่ะ👇👇👇👇
https://line.me/R/ti/p/%40cfy8799q
ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ

วิธีป้องกันโรคเบาหวานการป้องกันตนเองไม่ให้เป็นโรคเบาหวานนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก แค่เริ่มจากการป้องกันที่ต้นเหตุก็สามารถลดคว...
30/01/2018

วิธีป้องกันโรคเบาหวาน
การป้องกันตนเองไม่ให้เป็นโรคเบาหวานนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก แค่เริ่มจากการป้องกันที่ต้นเหตุก็สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานได้มากขึ้นแล้ว สำหรับวิธีการป้องกัน คุณสามารถปฏิบัติตามได้ง่ายๆ ดังนี้
1. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
หากไม่อยากให้โรคเบาหวานถามหาก็ควรหมั่นออกกำลังกายประจำ และควรออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องให้ได้อย่างน้อยครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ทั้งนี้ก็เพื่อให้แป้งและน้ำตาลที่สะสมอยู่ในกล้ามเนื้อ ถูกดึงออกไปใช้เป็นพลังงาน ซึ่งก็จะทำให้ระดับแป้งและน้ำตาลลดลงตามความเหมาะสมไปด้วย

2. ควบคุมน้ำหนักให้คงที่
สำหรับคนที่มีหุ่นดีอยู่แล้วก็ควรควบคุมน้ำหนักให้คงที่ต่อไป โดยพยายามอย่าให้น้ำหนักเกินเกณฑ์หรือหากใครที่เป็นโรคอ้วนก็ควรรีบลดน้ำหนักโดยด่วน ทั้งนี้ก็เพราะจากการวิจัยพบว่าผู้ที่มีน้ำหนักเกินล้วนมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานสูงถึง 80% เลยทีเดียว และแน่นอนว่าคุณคงไม่อยากเป็นหนึ่งในบุคคลเหล่านั้น เพราะฉะนั้น การควบคุมน้ำหนักจึงถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
3. รับแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าหรือเย็น
เพราะแสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้าและตอนเย็นนั้น จะอุดมไปด้วยวิตามิน D ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งวิตามินดีไม่เพียงแต่จะบำรุงผิวพรรณให้ดูเปล่งปลั่งมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันโรคเบาหวานอีกด้วย เพราะการขาดวิตามินดีจะทำให้มีโอกาสเป็นเบาหวานได้สูง การเสริมวิตามินดีอย่างเพียงพอ จึงเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด แต่ทั้งนี้หากออกกำลังกายไปพร้อมๆ กันด้วยก็จะยิ่งดีมาก
4. รับประทานข้าวกล้องแทนข้าวขาว
ข้าวกล้อง เป็นข้าวที่อุดมไปด้วยวิตามินและสารอาหารต่างๆ มากมาย อีกทั้งยังไม่ทำให้อ้วนอีกด้วย และที่สำคัญข้าวกล้องยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้ดี ดังนั้น จึงควรรับประทานข้าวกล้องแทนข้าวขาวทั่วไป หรือจะหุงรวมกับข้าวขาวด้วยก็ได้
5. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำลายตับให้เสื่อมสภาพลงและเสี่ยงต่อภาวะตับแข็ง ซึ่งเมื่อตับอ่อนเกิดความผิดปกติก็จะทำให้ผลิตอินซูลินได้น้อยลง ส่งผลให้เกิดการสะสมน้ำตาลในร่างกายและในเส้นเลือดเป็นจำนวนมาก กระทั่งเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานในที่สุด
6. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารและวิตามินอย่างเพียงพอ ส่งผลให้ทุกส่วนในร่างกายมีความแข็งแรงสมบูรณ์มากขึ้น จึงลดความเสี่ยงเบาหวานได้ดีนั่นเอง แต่ทั้งนี้ควรเน้นเมนูผักผลไม้ให้มากๆ พร้อมทั้งลดคาร์โบไฮเดตจากแป้งและไขมันให้น้อยลง เพราะการได้รับไขมันและคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป ก็ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานได้เช่นกัน

ปรึกษาปัญหาสุขภาพฟรี โทร 0623099985 แสงเทียนค่ะ
หรือคลิ๊กลิ้งไลน์ค่ะ👇👇👇👇
https://line.me/R/ti/p/%40cfy8799q
ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ

สมุนไพรรักษาโรคเบาหวานนอกจากการรักษาโรคเบาหวานตามวิธีทางการแพทย์และธรรมชาติบำบัดแล้ว ก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งซึ่งคือการรับประ...
30/01/2018

สมุนไพรรักษาโรคเบาหวาน
นอกจากการรักษาโรคเบาหวานตามวิธีทางการแพทย์และธรรมชาติบำบัดแล้ว ก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งซึ่งคือการรับประทานสมุนไพรที่มีสรรพคุณป้องกันและรักษาอาการของโรคเบาหวานให้ทุเลาลง โดยมี 5 ชนิด ดังนี้

1. มะระขี้นก
มะระขี้นก เป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยสารซาแลนติน มีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการผลิตอินซูลินของตับอ่อนจึงสามารถช่วยบรรเทาอาการของผู้ป่วยเบาหวานได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ มะระขี้นกยังไปเปี่ยมไปด้วยคุณประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันโรคต้อกระจก ชะลอความเสื่อมของไต ซึ่งก็เรียกได้ว่าเป็นสมุนไพรที่มากไปด้วยประโยชน์อย่างแท้จริง
2. อบเชย
สมุนไพรที่สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างดีเยี่ยม แถมยังรับประทานง่าย เพียงแค่นำอบเชยมาโรยลงบนอาหาร ก็สามารถรับประทานเพื่อบรรเทาอาการของโรคเบาหวานลงได้แล้ว ที่สำคัญอบเชยยังสามารถรักษาได้ทั้งเบาหวานประเภทที่ 1 และประเภทที่ 2 เพียงแต่ต้องหมั่นรับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ
3. ตำลึง
สมุนไพรหาง่ายที่มักจะพบตามข้างรั้วบ้าน หรือขึ้นเป็นเถาพันต้นไม้อื่นๆ ซึ่งนอกจากจะมีรสชาติอร่อย รับประทานง่ายแล้ว ตำลึงยังมีส่วนช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือดอีกด้วย แนะนำสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ควรรับประทานตำลึงวันละ 50 กรัม และเมื่อรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน คุณจะพบว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลง อีกทั้งยังอาจกลับมาอยู่ในระดับปกติได้อีกด้วย
4. ชาเขียว
หลายคนอาจจะมองว่าชาเขียวไม่มีประโยชน์ในด้านการรักษาเบาหวาน แต่ความเป็นจริงแล้ว ชาเขียวก็สามารถดื่มเพื่อบรรเทาโรคเบาหวานได้ดีเช่นกัน โดยชาเขียวนั้นจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและค่อยๆ ลดลงจนปกติ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการทำงานของอินซูลินได้ดี แต่ทั้งนี้ ควรเลือกดื่มเฉพาะชาเขียวแท้ที่ไม่มีความหวานสูงจะดีที่สุด
5. กระเทียม
กระเทียมเป็นสมุนไพรในครัวเรือนที่หลายคนอาจยังไม่รู้ ว่าสามารถช่วยรักษาโรคเบาหวานได้เช่นกัน โดยกระเทียมนั้นมีสารอัลซิลีนที่มีสรรพคุณในการลดความดันโลหิต ช่วยลดไขมันในเลือดและลดระดับน้ำตาลในเลือด สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน แต่แนะนำว่าควรรับประทานแบบสดๆ เพราะอุดมไปด้วยคุณประโยชน์และมีประสิทธิภาพในการรักษาเบาหวานได้สูงกว่าการรับประทานแบบสุกนั่นเอง
เพราะโรคเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรัง ปัจจุบันยังไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้
การป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด และที่สำคัญควรหมั่นตรวจระดับน้ำตาลอยู่เสมอ โดยเฉพาะการตรวจสุขภาพประจำปี เพราะการตรวจพบเบาหวานเร็วขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะมีโอกาสควบคุมดูแลไม่ให้อาการของโรคหนักขึ้น หรือสามารถป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจนอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

ปรึกษาปัญหาสุขภาพฟรี โทร 0623099985 แสงเทียนค่ะ
หรือคลิ๊กลิ้งไลน์ค่ะ👇👇👇👇
https://line.me/R/ti/p/%40cfy8799q
ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ

โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) เป็นหนึ่งในโรคสมองเสื่อมที่พบได้บ่อยที่สุด ผู้ป่วยโรคนี้จะมีอาการสำคัญ คือ ความจำเสื...
30/01/2018

โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) เป็นหนึ่งในโรคสมองเสื่อมที่พบได้บ่อยที่สุด ผู้ป่วยโรคนี้จะมีอาการสำคัญ คือ ความจำเสื่อม หลงลืม มีพฤติกรรมและนิสัยเปลี่ยนไป อาการจะดำเนินไปอย่างช้าๆ แต่ค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และเสีย ชีวิตในที่สุด ไม่มีวิธีป้องกันหรือวิธีสำหรับรักษาให้หายได้

โรคอัลไซเมอร์จะพบในผู้สูงอายุ ยิ่งอายุมากขึ้นก็จะพบอัตราการเป็นโรคมากขึ้น โดยในช่วงอายุ 65-69 ปี พบอุบัติการณ์การเกิดผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 3 คนต่อพันคนต่อปี แต่หากเป็นช่วงอายุ 85-89 ปี จะพบสูงถึง 40 คนต่อพันคนต่อปี พบได้ในทุกเชื้อชาติ เพศหญิงพบมากกว่าเพศชายเล็กน้อย อาจเนื่องจากเพศหญิงมีอายุยืนยาวกว่า ในประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 2-4% ของผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี และจะพบเพิ่มขึ้น 2 เท่าทุก 5 ปีหลังอายุ 60 ปี

ปรึกษาปัญหาสุขภาพฟรี โทร 0623099985 แสงเทียนค่ะ
หรือคลิ๊กลิ้งไลน์ค่ะ👇👇👇👇
https://line.me/R/ti/p/%40cfy8799q
ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ

10 สัญญาณบ่งบอกว่าคุณกำลังเป็น โรคอัลไซเมอร์ ความจำเสื่อม1. การสูญเสียความจำหนึ่งในสัญญาณเบื้องต้นของโรคอัลไซเมอร์ คือ ก...
30/01/2018

10 สัญญาณบ่งบอกว่าคุณกำลังเป็น โรคอัลไซเมอร์ ความจำเสื่อม

1. การสูญเสียความจำ
หนึ่งในสัญญาณเบื้องต้นของโรคอัลไซเมอร์ คือ การสูญเสียความจำ โดยเฉพาะการลืมสิ่งที่เพิ่งเรียนรู้ได้ไม่นาน รวมถึงการลืมวันที่หรือเหตุการณ์สำคัญ นอกจากนี้อาจมีอาการสอบถามข้อมูลเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกทั้งต้องมีสิ่งที่ช่วยเตือนความจำอย่างการจดบันทึกในกระดาษโน้ตหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิค ทั้งนี้อาจไม่รวมถึงอาการลืมเพียงชั่วคราวซึ่งสามารถนึกขึ้นได้ในภายหลัง

2. มีปัญหากับการวางแผนหรือการแก้ไขปัญหา
ผู้ป่วยอัลไซเมอร์บางคนอาจไม่สามารถคิดหรือทำงานตามแผนซึ่งเกี่ยวข้องกับตัวเลข เช่น มีปัญหากับการทำอาหารตามสูตรที่คุ้นเคย การจัดการหรือติดตามบิลค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน เป็นต้น ซึ่งผู้ป่วยจะใช้เวลาทำสิ่งดังกล่าวนานกว่าแต่ก่อน

3.ไม่สามารถทำสิ่งที่คุ้นเคยได้
ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ มักจะไม่สามารถทำสิ่งที่คุ้นชินได้ ไม่ว่าจะเป็นงานบ้าน งานที่ออฟฟิต หรือแม้แต่งานอดิเรก เช่น มีปัญหากับเส้นทางเมื่อต้องเดินทางไปยังสถานที่คุ้นเคย เมื่ออยู่ที่ทำงานก็ไม่สามารถจัดการกับงานอย่างที่เคยทำทุกเดือน หรือแม้กระทั่งลืมวิธีการเล่นเกมที่มักเล่นเป็นประจำ เป็นต้น

4. สับสนกับเวลาหรือสถานที่
หากคุณมักลืมวันที่ เวลา หรือฤดูกาลโดยต้องไม่ใช่การสับสนเพียงชั่วคราวแล้วนึกขึ้นได้ในภายหลัง ให้สันนิษฐานได้เลยว่าคุณมีแนวโน้มที่จะเป็น โรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจมีปัญหากับการเข้าใจบางสิ่งหากสิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นให้เห็น ณ ขณะนั้นเลย อีกทั้งอาจลืมว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ใดและเดินทางมายังสถานที่นั้นได้อย่างไร

5. มีปัญหากับการเข้าใจภาพที่เห็น
ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ บางคนอาจมีปัญหากับการมองเห็น ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือได้ยากขึ้น การวัดระยะทางหรือการมองเห็นสีหรือความเข้มสีเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งล้วนแต่ส่งผลต่อการขับรถได้

6. ลำบากในการพูดหรือเขียน
ผู้ที่เป็น โรคอัลไซเมอร์ อาจมีปัญหาในการต่อบทสนทนา โดยอาจหยุดพูดกลางคันและไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรต่อหรือพูดย้ำกับตัวเอง รวมถึงมีปัญหาในการเลือกใช้คำศัพท์

7. วางของไม่เป็นที่เป็นทาง
หากคุณมักวางสิ่งของไว้ต่างจากบริเวณที่เคยวางและหาสิ่งนั้นไม่เจอเมื่อต้องการใช้ หรือในบางครั้งอาจกล่าวหาว่าคนอื่นขโมยไป ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณมีโอกาสที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์

8. ตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้ไม่ดี
ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ มักจะมีการตัดสินใจหรือใช้ดุลยพินิจไม่ดีเท่าที่ควร เช่น ตัดสินใจในเรื่องของการใช้จ่ายสิ่งต่าง ๆ ไปอย่างไม่คุ้มค่า ขาดการคิดอย่างรอบคอบเมื่อต้องตัดสินใจทำบางสิ่ง เป็นต้น รวมถึงอาจละเลยในการดูแลตนเองโดยเฉพาะการทำความสะอาดร่างกาย

9. ขาดความสนใจสิ่งรอบตัวหรือสิ่งที่เคยชอบ
คนที่เป็น อัลไซเมอร์ มักจะนำตัวเองออกห่างจากสังคม งาน กีฬา หรือแม้แต่งานอดิเรกที่ตนเคยสนใจ ซึ่งหากคุณมีอาการดังกล่าวเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน นี่อาจเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังเป็นโรคอัลไซเมอร์

10. อารมณ์และลักษณะนิสัยเปลี่ยนแปลงไป
ผู้ป่วยโรค อัลไซเมอร์อาการ มักจะมีนิสัยหรืออารมณ์แตกต่างจากเดิม โดยอาจรู้สึกสับสน วิตกกังวล กลัวหรือมีอาการซึมเศร้า อีกทั้งรู้สึกฉุนเฉียวง่ายโดยอาจจะแสดงอาการดังกล่าวกับคนในครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงาน

ปรึกษาปัญหาสุขภาพฟรี โทร 0623099985 แสงเทียนค่ะ
หรือคลิ๊กลิ้งไลน์ค่ะ👇👇👇👇
https://line.me/R/ti/p/%40cfy8799q
ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ

9 สมุนไพรแก้โรคอัลไซเมอร์1. กลีบบัวแดง เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการต่อต้านอนุมูลอิสระ และยังส่งผลต่อการช่วยป้องกันการเกิ...
30/01/2018

9 สมุนไพรแก้โรคอัลไซเมอร์
1. กลีบบัวแดง เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการต่อต้านอนุมูลอิสระ และยังส่งผลต่อการช่วยป้องกันการเกิดความจำเสื่อมได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาวด้วย ทำให้ลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้มาก

2. เกสรบัวหลวง ส่วนใหญ่จะใช้แบบแห้งแล้วนำมาปรุงเป็นยา (มีสูตรต้มรวมกับตะไคร้ มะตูม และใบเตย) มีฤทธิ์ในการต้านปฏิกิริยาออกซิเดชัน มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยขยายเส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจ ทำให้ชุ่มชื้น บำรุงปอด บำรุงกำลัง ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น และยังมีสรรพคุณป้องกันไม่ให้สมองเสื่อมได้อย่างดี จึงจัดเป็นหนึ่งในสมุนไพรแก้โรคอัลไซเมอร์ได้เป็นอย่างดี

3. มะตูม เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเหมาะกับผู้สูงอายุมาก นอกจากจะสามารถช่วยป้องกันอาการของโรคอัลไซเมอร์เมื่อปรุงเป็นยาร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นแล้ว ยังมีฤทธิ์ช่วยให้ร่างกายปรับสมดุลภายในได้ดี บำรุงกำลัง และช่วยคลายความวิตกกังวล ทำให้มีสมาธิมากขึ้นด้วย

4. ตะไคร้ เมื่อนำมาตากแห้งแล้วใช้ต้มน้ำดื่มจะมีสรรพคุณทางยาที่ช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่ระบบประสาทได้เป็นอย่างดี ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายดีขึ้น คนที่ชอบเป็นตะคริวบ่อยๆ อย่างวัยผู้สูงอายุก็จะเกิดอาการน้อยลง

5. ใบเตย เป็นสมุนไพรแก้อัลไซเมอร์ที่หลายคนคาดไม่ถึง แต่ไม่ต้องแปลกใจเพราะใบเตยมีคุณสมบัติที่ช่วยบำรุงกำลัง แก้อาการอ่อนเพลีย ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า บำรุงหัวใจและหลอดเลือด และช่วยบำรุงระบบประสาท จึงช่วยรักษาและป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้นั่นเอง

6. ใบแปะก๊วย เป็นสมุนไพรของจีนที่ได้รับการยอมรับว่ามีคุณสมบัติช่วยรักษาอาการความจำเสื่อมและป้องกันโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีสรรพคุณในเรื่องของการบำรุงสมองมาก ช่วยเพิ่มความจำ และมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดซึ่งจะป้องกันไม่ให้เซลล์สมองถูกทำลาย ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น ลดโอกาสจะเกิดการอุดตันของหลอดเลือดสมองและโรคอัลไซเมอร์ได้สูง

7. ใบบัวบก เราต้องยอมรับในเรื่องสรรพคุณช่วยแก้อาการช้ำใน แต่ใบบัวบกยังมีฤทธิ์ที่ช่วยคลายความเมื่อยล้า บำรุงหัวใจ รวมทั้งบำรุงสมอง ซึ่งในหลายประเทศก็มีตำรายาระบุว่าช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้ไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ของร่างกายทำให้ความจำดีขึ้น และป้องกันอาการสมองเสื่อมหรืออาการหลงๆ ลืมๆ ในผู้สูงอายุ เรียกว่าเป็นทั้งสมุนไพรแก้ช้ำในและแก้โรคอัลไซเมอร์ได้ดีเยี่ยมอีกด้วย

8. ขมิ้นชัน จากการวิจัยในต่างประเทศพบว่า หากใช้ในปริมาณที่เหมาะสมขมิ้นชันจะมีประโยชน์ช่วยบำรุงสมองและป้องกันโรคความจำเสื่อมได้ โดยช่วยกระตุ้นเซลล์ประสาทให้ฟื้นตัวจากภาวะถดถอยให้กลับมาทำงานได้เป็นปกติ

9. พริกไทยดำ มีนักวิจัยในประเทศไทยค้นพบสารชื่อว่า “พิเพอรีน (Piperine)” ซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ แต่ควรใช้ในปริมาณที่เพียงพอและพอดีคือประมาณ 300 มิลลิกรัม จะช่วยรักษาอาการโรคความจำเสื่อมได้

ได้รู้จักกับสมุนไพรแก้อัลไซเมอร์ทั้ง 9 ชนิดกันไปแล้ว...ทุกวันนี้อาการสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์อาจไม่ใช่โรคของผู้สูงอายุเพียงเท่านั้น เมื่อพบว่าตัวเองและคนในครอบครัวเริ่มจะมีอาการหลงลืมมากขึ้นจนผิดปกติละก็ หันมาพึ่งการใช้สมุนไพรแบบไทยๆ ที่เรานำมาฝากกันได้นะ ซึ่งไม่มีอันตรายต่อร่างกายด้วย

ปรึกษาปัญหาสุขภาพฟรี โทร 0623099985 แสงเทียนค่ะ
หรือคลิ๊กลิ้งไลน์ค่ะ👇👇👇👇
https://line.me/R/ti/p/%40cfy8799q
ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ

โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) คือภาวะที่เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ ทำให้สมองขาดเลือดและออกซิเจน หากไม่ได้รับการรั...
30/01/2018

โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) คือภาวะที่เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ ทำให้สมองขาดเลือดและออกซิเจน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะทำให้เซลล์สมองค่อย ๆ ตายลง

อาการของโรคหลอดเลือดสมอง

อาการที่เกิดขึ้นจะอยู่กับความเสียหายของสมอง โดยอาการของโรคหลอดเลือดสมองทั้ง 2 ชนิดจะค่อนข้างคล้ายกัน แต่ชนิดเลือดออกในสมองจะมีอาการปวดศีรษะและอาเจียนร่วมด้วย ทั้งนี้ผู้ป่วยแต่ละคนอาจมีหลายอาการร่วมกัน เช่น

-ร่างกายอ่อนแรง หรือมีอาการอัมพฤกษ์ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย และมีอาการเหน็บชาร่วมด้วย
-มีปัญหาเกี่ยวกับการพูด หรือการเข้าใจคำพูดผิดเพี้ยน
-มีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว และมีอาการบ้านหมุน
-สูญเสียการมองเห็นบางส่วน หรือเห็นภาพซ้อน
-มีอาการมึนงงอย่างรุนแรง

ปรึกษาปัญหาสุขภาพฟรี โทร 0623099985 แสงเทียนค่ะ
หรือคลิ๊กลิ้งไลน์ค่ะ👇👇👇👇
https://line.me/R/ti/p/%40cfy8799q
ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ

การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองโรคหลอดเลือดสมองสามารถป้องกันได้ด้วยการลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือด ซึ่งการลดความเสี่ยงทำได้ด้วยกา...
30/01/2018

การป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง

โรคหลอดเลือดสมองสามารถป้องกันได้ด้วยการลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือด ซึ่งการลดความเสี่ยงทำได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต การรับประทานอาหาร และการออกกำลังกาย ดังนี้

-รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองได้ โดยเฉพาะผัก ผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เพราะจะส่งผลให้เกิดภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูง รวมถึงอาหารที่มีรสเค็มจัด ที่เป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง

-ควบคุมน้ำหนัก โรคอ้วนเป็นสาเหตุของโรคร้ายแรงต่าง ๆ รวมทั้งโรคหลอดเลือดสมอง การควบคุมน้ำหนักจะช่วยลดความเสี่ยงลงได้

-ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายสามารถช่วยควบคุมน้ำหนัก และช่วยลดระดับคอเลสเตอลรอล รวมถึงความดันโลหิตสูงได้ โดยระยะเวลาในการออกกำลังกายที่เหมาะสมคือ 2.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สำหรับการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ส่วนเด็กและวัยรุ่น ควรออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง

-งดสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยหลักที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง การเลิกสูบบุหรี่จะช่วยลดความเสี่ยงลงได้ แต่หากไม่สามารถเลิกได้ด้วยตนเองควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาวิธีเลิกบุหรี่อย่างมีประสิทธิภาพ

-ควบคุมปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะจะช่วยลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจได้ แต่ถ้าหากไม่ดื่มเลยจะดีที่สุด หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็สามารถดื่มได้ แต่ควรดื่มในปริมาณที่แนะนำ คือ ผู้ชายไม่ควรเกินวันละ 2 แก้ว และผู้หญิงไม่ควรเกินวันละ 1 แก้ว

ปรึกษาปัญหาสุขภาพฟรี โทร 0623099985 แสงเทียนค่ะ
หรือคลิ๊กลิ้งไลน์ค่ะ👇👇👇👇
https://line.me/R/ti/p/%40cfy8799q
ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ

ขิง พุทราจีนแห้ง และเห็ดหูหนูดำมาตุ๋นรวมกันแล้วดื่มเพื่อช่วยอาการโรคหลอดเลือดสมองตีบว่า จากการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบมา...
30/01/2018

ขิง พุทราจีนแห้ง และเห็ดหูหนูดำ

มาตุ๋นรวมกันแล้วดื่มเพื่อช่วยอาการโรคหลอดเลือดสมองตีบว่า จากการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบมาเป็นเวลานานพบว่าเป็นโรคที่ติดอันดับต้นๆ ของการเสียชีวิต ปี 2557 เส้นเลือดในสมองตีบทำให้คนเสียชีวิตเป็นอันดับ 2 และก่อให้เกิดความพิการเป็นอันดับ 1 ค่าใช้จ่ายในการรักษาค่อนข้างสูงมาก การรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันเฉลี่ยครั้ง 15,000 บาทต่อครั้ง และการใส่สายสวนเพื่อขยายหลอดเลือดแดงเฉลี่ย 200,000 บาทต่อครั้ง

ปรึกษาปัญหาสุขภาพฟรี โทร 0623099985 แสงเทียนค่ะ
หรือคลิ๊กลิ้งไลน์ค่ะ👇👇👇👇
https://line.me/R/ti/p/%40cfy8799q
ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ

สาเหตุของอัมพฤกษ์ อัมพาต1.หลอดเลือดแดงสมองเสื่อม หรือหลอดเลือดแดงตีบแข็ง (Atherosclerosis) เกิดจากการสะสมของไขมันที่ผนัง...
30/01/2018

สาเหตุของอัมพฤกษ์ อัมพาต

1.หลอดเลือดแดงสมองเสื่อม หรือหลอดเลือดแดงตีบแข็ง (Atherosclerosis) เกิดจากการสะสมของไขมันที่ผนังชั้นในหลอดเลือดแดง ส่งผลให้หลอดเลือดตีบ แข็ง สูญเสียความยืดหยุ่น ปัจจัยเสี่ยง ที่ทำให้เกิดหลอดเลือดแดงเสื่อม เกิดจากการมีสิ่งแวดล้อม และวิถีการดำเนินชีวิตที่ไม่ส่งเสริมให้มีสุขภาพดี เช่น การสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารไขมันสูง การมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ หรือจากโรคที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงภายในหลอดเลือดแดงที่สำคัญ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง และเบาหวานอัมพาต
2.หลอดเลือดแดงสมองอุดตันจากลิ่มเลือด หรือชิ้นส่วนของไขมันที่หลุดลอยมา ปัจจัยเสี่ยง ที่สำคัญ คือ การมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งอาจเกิดจากภาวะที่หัวใจห้องบนบีบตัวไม่เป็นจังหวะ (Atrial Fibrillation) โรคของลิ้นหัวใจ หรือภาวะหัวใจโต เป็นต้น
3.หลอดเลือดแดงสมองแตก เมื่อเลือดออกมาก ก้อนเลือดจะกดเนื้อสมอง ทำให้เนื้อสมองขาดออกซิเจน ขาดอาหาร ถ้าได้รับการรักษาไม่ทัน เนื้อสมองจะตายในที่สุด ปัจจัยเสี่ยง สำคัญของการเกิด คือ ภาวะความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้หรือไม่ดี

ปรึกษาปัญหาสุขภาพฟรี โทร 0623099985 แสงเทียนค่ะ
หรือคลิ๊กลิ้งไลน์ค่ะ👇👇👇👇
https://line.me/R/ti/p/%40cfy8799q
ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ

ดีปลี+ผักเสี้ยนผี+มะตูม+พริกไทยดำ แก้อัมพฤกษ์-อัมพาตใช้สมุนไพรแห้ง 4 ชนิด ได้แก่ ผักเสี้ยนผี 1 กำมือ ดีปลี 30 ดอก มะตูม ...
30/01/2018

ดีปลี+ผักเสี้ยนผี+มะตูม+พริกไทยดำ แก้อัมพฤกษ์-อัมพาต

ใช้สมุนไพรแห้ง 4 ชนิด ได้แก่ ผักเสี้ยนผี 1 กำมือ ดีปลี 30 ดอก มะตูม 1 ขีด และ พริกไทยดำ 2 ช้อนโต๊ะ นำมาห่อผ้าขาวบางต้มในน้ำขนาดพอท่วมยา เคี่ยวไฟอ่อน เอาให้คนป่วยดื่ม ก่อนและหลังอาหาร ทุกมื้อ และดื่มอีกครั้งก่อนนอน สามารถช่วยบรรเทาและรักษาอาการ อัมพฤกษ์-อัมพาต ได้ เป็นสูตรยาโบราณ ที่มีผู้ใช้แล้วได้ผลมาจนถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม การรักษาให้หายได้เร็วหรือช้า อยู่ที่ความหนักหนาของอาการด้วย ซึ่งเราสามารถสังเกตสัญญาณเตือนได้ล่วงหน้า จากการสังเกต

อาการเตือนว่าเราเริ่มมีอาการ อัมพฤกษ์-อัมพาต ได้แก่

1. มีปัญหาทางด้านการมองเห็น อาจจะเป็นอาหารตามัว เห็นภาพซ้อน ซึ่งอาจจะเป็นข้างเดียวหรือทั้งสองข้างพร้อมกันก็ได้

2. รู้สึกชาตามแขนขา หรือใบหน้า อาจจะเป็นซีกใดซีกหนึ่ง

3. พูดไม่ออก พูดไม่ชัด อย่างกะทันหัน

4. การทรงตัวไม่ดี อาจจะเดินเซ เสียการทรงตัว

5. รู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรง

เหล่านี้เป็นอาการที่บ่งชี้ว่ากำลังมีปัญหาเรื่องหลอดเลือดในสมอง ที่เสี่ยงต่อการเกิดอาการ อัมพฤกษ์-อัมพาต หากมีอาการร่วมกันหลายอย่าง ไม่ต้องรอให้ครบทุกอย่างก็ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อที่จะได้ทำการตรวจรักษา และหากมีอาการเบื้องต้น เราสามารถรักษาด้วยสมุนไพรได้ เป็นทางเลือกอีกทางที่สามารถช่วยให้อาการดีขึ้นและหายเป็นปกติได้

ปรึกษาปัญหาสุขภาพฟรี โทร 0623099985 แสงเทียนค่ะ
หรือคลิ๊กลิ้งไลน์ค่ะ👇👇👇👇
https://line.me/R/ti/p/%40cfy8799q
ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ

ที่อยู่

Bangkok

เบอร์โทรศัพท์

+66908246579

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ สุขภาพดี ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ By แสงเทียนผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง สุขภาพดี ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ By แสงเทียน:

แชร์

รายละเอียดสินค้า

เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ดีที่สุด ที่ดูแลตั้งแต่ต้นเหตุ ป้องกัน ฟื้นฟู และรักษาสุขภาพองค์รวมทั้ง 10 ระบบของร่างกาย ด้วยสารอาหารนวัตกรรมสกัดเข้มข้นจากธรรมชาติ ปลอดภัยต่อร่างกาย แก้ปัญหาได้ตรงจุด