Chiira Organic จิรา ออร์แกนิค

Chiira Organic จิรา ออร์แกนิค แบ่งปันเรื่องราวดีๆของชาหมักคอมบูชา Kombucha การทำเกษตรอินทรีย์และการปลูกผักหลังบ้าน ^^

18/08/2025
ถึงแม้ว่าจะเปิดขาย SCOBY เป็นรอบๆ และไม่ได้จัด Workshop ทุกเดือนเหมือนเมื่อก่อน แต่ยังสามารถติดตามอ่านบทความเก่าๆ ที่เรา...
01/08/2025

ถึงแม้ว่าจะเปิดขาย SCOBY เป็นรอบๆ และไม่ได้จัด Workshop ทุกเดือนเหมือนเมื่อก่อน แต่ยังสามารถติดตามอ่านบทความเก่าๆ ที่เราได้ให้ความรู้ในเพจได้เสมอนะคะ

ขอบคุณที่ถามไถ่ถึงกันเสมอ ปีนี้ทั้งป่านและต้างานยุ่งมากๆ รวมถึงเดินทางเยอะขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก หวังว่าทุกท่านจะสบายดี ยังหมัก Kombucha และมีวุ้น SCOBY ให้กินมากมายจนเหลือเฟือต่อการแจกจ่าย 😊 ขอให้สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ทั้งก่ยและใจ คิดถึงทุกคนเสมอค่ะ 🙏🏻

21/07/2025

ต้นมะเดื่อ สามารถดูดเก็บและเปลี่ยน CO2 เป็นหิน ช่วยลดโลกร้อนได้

ในขณะที่ต้นไม้ทุกต้นสามารถลดโลกร้อนได้โดยการดูดซับ CO2 แต่บางต้นก็มีคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งที่สามารถเปลี่ยน CO2 ให้กลายเป็นหินได้ การวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่าต้นมะเดื่อบางสายพันธุ์ที่เติบโตในเคนยามีความสามารถพิเศษนี้ ซึ่งอาจช่วยการกักเก็บ CO2 มากกว่าปกติได้

การวิจัยใหม่นี้ ซึ่งจะนำเสนอในสัปดาห์นี้ที่การประชุม Goldschmidt geochemistry ในกรุงปราก มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงการกักเก็บ CO2 เนื่องจากต้นมะเดื่อบางต้นสามารถกักเก็บ CO2 จากชั้นบรรยากาศในรูปของ "หิน" ในดินโดยรอบ จึงอาจเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ปัญหาโลกร้อน

ต้นไม้ลดโลกร้อนโดยการกำจัดคาร์บอนออกจากอากาศและใช้เพื่อสร้างออกซิเจนระหว่างการสังเคราะห์แสง การศึกษาวิจัยในปี 2023 ประเมินว่า หากเราปล่อยให้ป่าไม้เติบโตตามธรรมชาติ ไม่มีมนุษย์ไปรบกวน ป่าทั่วโลกสามารถดูดซับคาร์บอนได้ประมาณ "226 กิกะตัน“ เลยเดียว

การกักเก็บคาร์บอนในธรรมชาติ มีทั้งแบบคาร์บอนอินทรีย์และคาร์บอนอนินทรีย์ แต่การกักเก็บคาร์บอนอนินทรีย์ไม่ใช่สิ่งที่ต้นไม้ทุกต้นสามารถทำได้ มีเพียงต้นไม้บางชนิดเท่านั้นที่สามารถใช้ CO2 เพื่อสร้างผลึกแคลเซียมออกซาเลต ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกของ calcium carbonate pathway เมื่อส่วนหนึ่งของต้นไม้เหล่านี้สลายตัว เชื้อราและชุมชนจุลินทรีย์จะเปลี่ยนผลึกให้กลายเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักที่ประกอบเป็นหินปูนและชอล์ก

ในบางกรณี ปลวกยังช่วยให้กระบวนการนี้เกิดผลโดยการพาใบไม้ที่ร่วงหล่นไปที่กองซึ่งจุลินทรีย์จะเปลี่ยนคาร์บอนเป็นแคลเซียมคาร์บอเนตและเก็บไว้ใต้ดิน

เมื่อคาร์บอนในต้นไม้บางต้นเปลี่ยนเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต จะทำให้ค่า pH ของดินรอบๆ ต้นไม้เพิ่มขึ้น นักวิจัยกล่าวว่าคาร์บอนอนินทรีย์รูปแบบนี้อาจช่วยดูดซับ CO2 ได้อย่างมาก เนื่องจากคาร์บอนอนินทรีย์อยู่ในดินได้นานกว่าคาร์บอนอินทรีย์มาก

ทีมวิจัยได้ระบุสายพันธุ์ของต้นมะเดื่อ 3 สายพันธุ์ที่ปลูกในเคนยา ซึ่งเป็นต้นไม้ผลไม้กลุ่มแรกๆ ที่พบว่ามี oxalate carbonate pathway พวกเขาพบว่าแคลเซียมคาร์บอเนตก่อตัวที่ภายนอกลำต้นไม้และลึกลงไปในเนื้อไม้ด้วย

“เมื่อแคลเซียมคาร์บอเนตก่อตัวขึ้น ดินรอบๆ ต้นไม้ก็จะกลายเป็นด่างมากขึ้น” ไมค์ โรว์ลีย์ นักชีวธรณีเคมีจากมหาวิทยาลัยซูริก ซึ่งจะนำเสนอผลการวิจัยนี้ในแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชน กล่าว “แคลเซียมคาร์บอเนตก่อตัวขึ้นทั้งบนพื้นผิวของต้นไม้และภายในโครงสร้างของเนื้อไม้ ซึ่งน่าจะเกิดจากการที่จุลินทรีย์ย่อยสลายผลึกบนพื้นผิวและแทรกซึมลึกเข้าไปในเนื้อไม้มากขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคาร์บอนอนินทรีย์ถูกกักเก็บอย่างล้ำลึกในเนื้อไม้มากกว่าที่เราเคยคาดคิด”

Ficus wakefieldii ซึ่งเป็นพันธุ์ไม้จำพวกมะเดื่อชนิดหนึ่ง มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการกักเก็บ CO2 นักวิจัยมีแผนที่จะทำการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาว่าต้นไม้ชนิดนี้สามารถกักเก็บ CO2 ในสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้ดีเพียงใด

งานวิจัยเกี่ยวกับ calcium oxalate pathway นั้นมุ่งเน้นไปที่สภาพแวดล้อมเฉพาะที่และต้นไม้กลุ่มที่ไม่ผลิตอาหาร เช่น ต้นอิโรโกที่ชายฝั่งตะวันตกของแอฟริกา นักวิจัยระบุว่า ต้นไม้ชนิดนี้สามารถ "กักเก็บแคลเซียมคาร์บอเนตในดินได้หนึ่งตันตลอดอายุขัย"

นักวิจัยแนะนำว่าน่าจะมีความเป็นไปได้อีกมากที่ยังไม่ได้รับการสำรวจสำหรับการกักเก็บคาร์บอนอนินทรีย์ เนื่องจากแคลเซียมออกซาเลตเป็นแร่ธาตุชีวภาพที่ผลิตโดยพืชหลายชนิด และจุลินทรีย์ที่ช่วยให้แคลเซียมออกซาเลตเปลี่ยนเป็นแคลเซียมคาร์บอเนตก็มีมากมายเช่นกัน

หากปลูกต้นมะเดื่อมากขึ้น อาจช่วยลดโลกร้อนได้มากขึ้นเลยทีเดียว

Some Fig Trees Can Turn CO2 Into Stone — A Hidden Talent That Could Combat Climate Change
From air to stone: The fig trees fighting climate change

#โลกร้อน #โลกเดือด

19/07/2025
03/07/2025

อาจารย์นพพร นนทภา คืออาจารย์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้เคยเป็นนักอนุรักษ์ ปลูกป่าอย่างเคร่งครัดตามตำรา แต่วันหนึ่งกลับพบว่าต้นไม้ที่ปลูกในฤดูแล้งตายเรียบหมด เขาจึงเริ่มตั้งคำถามใหม่กับธรรมชาติ และลงมือสังเกตต้นไม้รอบตัวอย่างจริงจัง

เขาเริ่มค้นพบว่าต้นไม้ทำนายฟ้าฝนได้ ตั้งแต่วันที่ลูกยางนาร่วงใส่หัว เขาเก็บข้อมูลดอกไม้ร่วงจากต้นยางนา ตะเคียน เต็ง ยางเหียง ตานเสี้ยน ชุมแสง ฯลฯ เปรียบเทียบกับวันฝนตกนับสิบปี จนถอดรหัสการพยากรณ์ภัยแล้ง-น้ำท่วมได้อย่างแม่นยำ จนกลายเป็นผู้นำองค์ความรู้เรื่องการพยากรณ์ฝนจากธรรมชาติที่แม่นกว่ากรมอุตุฯ

คอลัมน์ อีสาน Lifehacker ตอนนี้ ชวนคุยกับอาจารย์นพพรถึงการถอดรหัสธรรมชาติ ด้วยองค์ความรู้จากวนศาสตร์ ผ่านต้นยางเหียง ต้นไม้ต้นเดียวที่มีพฤติกรรมออกดอกทวายตามมวลฝน จนเกิดแรงบันดาลใจ เพียงแค่เราปลูกต้นไม้ไม่กี่ต้นรอบบ้าน ก็อาจเป็นสถานีพยากรณ์ฝนขนาดย่อมที่ช่วยเตือนภัยให้พื้นที่นั้นได้ https://readthecloud.co/nopporn-nontapa-forest-plantation-school/

#อีสานLifehacker #พยากรณ์อากาศ #ฝนฟ้าอากาศ #ประเทศไทย

27/06/2025

กลางถนนสายหนึ่งในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย เจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ป่าพบลูกจิงโจ้กำพร้าตัวน้อยยืนอยู่ลำพัง มันยังเล็กเกินกว่าจะใช้ชีวิตด้วยตัวเองตามธรรมชาติ เมื่อเห็นมนุษย์เข้ามา มันจะรีบกระโดดเข้าหา และยื่นแขนราวกับขอให้ช่วยอุ้ม

เจ้าจิงโจ้ตัวนี้ถูกตั้งชื่อว่า "ดูเดิลบั๊ก" (Doodlebug) และถูกส่งต่อไปยังสถานดูแลสัตว์ป่าเพื่อรับการฟื้นฟู โดยมี จิลเลียน แอ็บบอตต์ อาสาสมัครเป็นผู้ดูแลใกล้ชิด

เพื่อปลอบโยนและเติมเต็มความอบอุ่นที่มันสูญเสียแม่ไป ผู้ดูแลจึงมอบตุ๊กตาหมีตัวนุ่มนิ่มให้มันกอด ไว้แทนการสัมผัสจากแม่จิงโจ้ ซึ่งช่วยให้มันรู้สึกปลอดภัยและผ่อนคลาย และมันก็กอดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

หลายสัปดาห์ผ่านไป แม้จะเติบโตขึ้น แต่เจ้าดูเดิลบั๊กก็ยังคงหวงแหนตุ๊กตาหมีของมัน ไม่ว่าจะนอน หรือนั่งอยู่กลางทุ่ง มันจะโอบกอดเจ้าหมีไม่ห่างตัว

จนกระทั่งถึงเวลาที่ดูเดิลบั๊กเข้าสู่ขั้นตอน "soft release" หรือการฝึกปล่อยคืนสู่ธรรมชาติอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้มันใช้ชีวิตอิสระ โดยยังคงกลับมาเยี่ยมศูนย์ช่วยเหลือเป็นครั้งคราว เพื่อกินอาหาร และกอดตุ๊กตาหมีที่คุ้นเคย

ปัจจุบัน แม้เวลาผ่านไปหลายปีแล้ว แต่จากข้อมูลล่าสุด ดูเดิลบั๊กแข็งแรงดีและกลับไปใช้ชีวิตในธรรมชาติได้แล้ว แต่ยังไม่เคยลืมเพื่อนหมีตัวน้อย ที่เป็นแหล่งความอบอุ่นใจของมันเสมอ

15/05/2025

ดาวน์โหลดฟรี! ภาพวาดสัตว์และพฤกษศาสตร์กว่า 150,000 ภาพ จากห้องสมุดพฤกษศาสตร์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ห้องสมุดมรดกความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Heritage Library) ถือเป็นคลังข้อมูลดิจิทัลแบบเปิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งอุทิศให้กับการรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตบนโลก ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดสัตว์ แผนผังประวัติศาสตร์ การศึกษาทางพฤกษศาสตร์ และงานวิจัยวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ที่รวบรวมมาจากวารสารและห้องสมุดหลายแสนแห่งทั่วโลก เพื่อเปิดให้สาธารณชนเข้าถึงและร่วมกันใช้ความรู้เพื่อรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่กำลังดำเนินอยู่
ปัจจุบันเว็บไซต์ได้รวบรวมหนังสือและเอกสารแล้วกว่า 55 ล้านหน้า บางส่วนมีอายุนับตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 และมีภาพประกอบความละเอียดสูงอย่างน้อย 150,000 ภาพ ที่สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี!
หนึ่งในคอลเลกชันที่โดดเด่น คือ The Zoological Sketches โดย โจเซฟ วูล์ฟ (Joseph Wolf) ซึ่งเป็นหนังสือภาพสัตว์ 2 เล่ม รวมภาพพิมพ์หินราว 100 ภาพของสัตว์ป่าที่เคยอาศัยในสวนรีเจนต์พาร์ก กรุงลอนดอน วาดขึ้นช่วงกลางศตวรรษที่ 19
ผลงานอื่น ๆ ที่น่าสนใจยังรวมถึงโปรเจกต์สีน้ำพรรณไม้พื้นเมืองของฮาวาย และคู่มือสตัฟฟ์สัตว์ด้วยตัวเองที่ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 1833 พร้อมภาพประกอบละเอียดครบถ้วน
เว็บไซต์ยังมีเครื่องมือค้นหาข้อมูล เช่น การค้นหาสายพันธุ์ตามอนุกรมวิธาน และโครงการเผยแพร่บันทึกภาคสนามจากหอจดหมายเหตุของสมิธโซเนียน (Smithsonian Institution) และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งชาติของสหรัฐฯ ที่กำลังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
ตามไปดาวน์โหลดและสำรวจได้ที่: https://www.biodiversitylibrary.org/

#ภาพวาดพฤกษศาสตร์

#ดาวน์โหลดฟรี

รู้จักกันทั่วไปในวงการพืชสวนในชื่อของ Living Stones สายพันธุ์ของสกุล Lithops ที่หาได้ยากมากในป่า พวกมันเป็นไม้อวบน้ำที่ซ...
03/05/2025

รู้จักกันทั่วไปในวงการพืชสวนในชื่อของ Living Stones สายพันธุ์ของสกุล Lithops ที่หาได้ยากมากในป่า พวกมันเป็นไม้อวบน้ำที่ซ่อนตัวอยู่ได้ดี กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมเพื่อซ่อนตัวจากการกินหญ้าของสัตว์กินพืช

เติบโตตามธรรมชาติในนามิเบียและแอฟริกาใต้ในแหล่งที่อยู่อาศัยและระดับความสูงที่หลากหลาย น่าเสียดายที่พวกมันกำลังถูกคุกคามจากนักสะสมเพื่อการค้าพืช

20/04/2025

เบียร์และอารยธรรมของมนุษยชาติ

มีรายงานทางวิทยาศาสตร์หลายฉบับที่เชื่อถือได้โดยไม่ได้รับทุนจากบริษัทเบียร์ พบว่าเบียร์มีประโยชน์สำหรับสุขภาพ
ประวัติศาสตร์ของเบียร์เริ่มมาจากยุคที่มนุษย์รู้จักการเพาะปลูกเพื่อนำธัญพืชมากินจากเดิมที่ล่าสัตว์อย่างเดียวเพื่อหาอาหาร ประมาณเวลาว่าน่าจะหลังจากยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้ายจบลง คือประมาณ 10,000 ปีก่อนคริสตศักราช จุดเริ่มต้นคือดินแดนเมโสโปเตเมียซึ่งคืออิรัก ตุรกี และซีเรียในปัจจุบัน

ธัญพืชเหล่านี้ไม่เหมาะกับการกินดิบ ๆ จึงมีการผสมน้ำร่วมกับเครื่องปรุง เช่น ปลา ถั่ว และผักผลไม้ต่าง ๆ ในภาชนะที่ทำจากตะกร้าพอกด้วยน้ำมันดินหรือผงปูน และทำให้ร้อนโดยใส่หินผ่านการเผาไฟลงไป ธัญพืชเหล่านี้จะแตกตัวออกและปล่อยคาร์โบไฮเดรตคือแป้งลงไปในซุป ซึ่งน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของอาหารที่เรียกว่าโจ๊ก
ต่อมาพบว่าข้าวที่ถูกแช่น้ำทิ้งไว้และเริ่มมียอดอ่อนแทงออกมาจะมีรสหวาน คือจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เรียกว่ามอลต์ซึ่งได้จากการแช่เมล็ดข้าวในน้ำก่อนจะนำไปตากให้แห้ง
มนุษย์ในอดีตพบว่าเมื่อทิ้งโจ๊กไว้ 2-3 วัน จะเกิดการบูด เมื่อกินเข้าไปจะมีรสซ่าเล็กน้อย เกิดอาการมึน และถ้าโจ๊กถ้วยนั้นมีส่วนผสมของมอลต์จะทำให้รสดีขึ้น นี่คือที่มาของเบียร์ซึ่งเริ่มต้นจากโจ๊กบูดนี่เอง

ข้อมูลทางประวัติศาสตร์บางชิ้นบ่งว่าเบียร์อาจจะไม่ใช่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดแรกที่มนุษย์รู้จัก เพราะก่อนหน้านี้พบว่าการหมักน้ำกับน้ำผึ้งทำให้ได้ mead ซึ่งเรารู้จักกันดีในปัจจุบันคือเหล้าหมักจากน้ำผึ้ง ซึ่งทั้งเบียร์และ mead ก็ได้จากความบังเอิญที่มนุษย์ไปกินโจ๊กและน้ำหมักน้ำผึ้งที่บูด
ภาชนะที่ใช้ในการหมักยุคแรกมักเป็นตะกร้าบุด้วยยางไม้ น้ำมันดิน หรือผงปูน ไม่ก็กระเพาะสัตว์ ท่อนไม้ที่เจาะให้เป็นหลุม เปลือกหอยขนาดใหญ่
จากนั้นก็มีการพัฒนาต่อมา โดยใส่มอลต์มากขึ้นเพื่อให้เบียร์มีฤทธิ์แรงขึ้น ยิ่งหมักบ่มนานก็ยิ่งแรง รวมถึงการต้มให้ทั่วถึงก็ทำให้เบียร์แรงขึ้นเช่นกันเพราะทำให้เอนไซม์ถูกกระตุ้นด้วยอุณหภูมิที่สูงจึงเปลี่ยนแปลงเป็นน้ำตาลได้มากขึ้น ยีสต์ก็เปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น

ภาชนะก็เป็นส่วนประกอบที่สำคัญ คนโบราณพบว่าถ้าใช้ภาชนะเดิมหมักเบียร์จะทำให้ได้รสชาติที่ดีและคงที่ ดังนั้นเวลาเดินทางจึงมีภาชนะหมักติดตัวไปด้วยเสมอ การใช้ภาชนะซ้ำกันสามารถอธิบายได้จากยีสต์ไปสะสมอยู่ตามรอยแยกของภาชนะทำให้การหมักได้ผลดีมากขึ้น และต่อมาก็เรียนรู้การเติมส่วนประกอบเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นลูกไม้ป่า น้ำผึ้ง สมุนไพร เครื่องเทศต่าง ๆ เป็นที่มาของความหลากหลายของเบียร์ในปัจจุบัน ส่วนประกอบที่สำคัญคือฮอปนั้นถูกเพิ่มขึ้นมาภายหลังช่วงที่มีการขนส่งเบียร์มาทางเรือแล้วไม่สามารถควบคุมการเน่าเสียของเบียร์ได้เพราะสมัยนั้นยังไม่มีห้องเย็นจึงใช้ฮอปเพื่อเป็นวัตถุกันเสีย

ผลพลอยได้ที่เกิดพร้อมกับการรู้จักเบียร์ก็คือขนมปัง เชื่อว่าเกิดจากการนำโจ๊กข้นไปตากแดดจนแห้ง เป็นที่มาของขนมปังแบน ส่วนเบียร์ก็คือโจ๊กที่เหลวกว่าและบูด สุดท้ายเบียร์และขนมปังก็มาจากที่มาเดียวกัน เบียร์จึงมีชื่อหนึ่งว่า liquid bread (ขนมปังเหลว)
สิ่งที่ยืนยันว่าโลกรู้จักเบียร์มานานมากแล้วก็คือภาพ เมื่อ 4000 ปีก่อนคริสตศักราชของชาวสุเมเรียนที่เป็นรูปคน 2 คนใช้ก้านไม้ (น่าจะน่าจะเป็นไม้ของต้นกกเพราะใช้กันมากในอดีต) ดูดเบียร์จากภาชนะเดียวกัน เหตุผลที่ต้องใช้ก้านไม้ดูด (เหมือนหลอดในปัจจุบัน) เพราะเบียร์สมัยก่อนมีการปนด้วยเมล็ดพืช แกลบ และซากพืชต่างๆ จึงต้องใช้หลอดดูดขึ้นมาเพื่อไม่ให้ปนเปื้อนจากสิ่งเหล่านี้
คนโบราณนิยมดื่มเบียร์จากภาชนะเดียวกัน มีนัยยะทางสังคมว่าหมายถึงความเท่าเทียมกัน เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับการแบ่งอาหารแล้ว การแบ่งอาหารหรือเนื้อสัตว์จะมีบางคนได้ส่วนที่ดีกว่าคนอื่นไป ในขณะที่เบียร์นั้นมีความเสมอภาคอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังเป็นการยืนยันว่าไม่ได้ปองร้ายโดยใส่ยาพิษในเครื่องดื่ม และมีสมมุติฐานว่าปัจจุบันที่นิยมการชนแก้วเพื่อสื่อความหมายย้อนกลับไปในอดีตว่าเป็นการหลอมรวมของเหลวในแต่ละแก้วมาอยู่ด้วยกันเหมือนสมัยที่คนยังดื่มเบียร์จากภาชนะเดียวกัน

ต่อมาเบียร์ยังถูกนำมาใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา เพราะถือว่าเป็นของขวัญจากเทพเจ้า ชนเผ่าอินคาร์จะบูชาเบียร์ในแก้วทองคำยามรุ่งอรุณเพื่อบูชาพระอาทิตย์หลังจากนั้นจะเทลงพื้นเพื่อบูชาแม่ธรณี เบียร์จึงเสมือนเครื่องดื่มศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังเหนือธรรมชาติ ชาวอียิปต์และเมโสโปเตเมียทั้งเด็กผู้ใหญ่เศรษฐียาจกต่างก็นิยมดื่มเบียร์ แม้แต่บันทึกในอดีตเกี่ยวกับกษัตริย์เมื่อจะอ้างถึงว่าขุนนางผู้ใดมีความสัมพันธ์อันดีกับราชวงศ์ก็จะใช้คำว่ากษัตริย์ทรงไปดื่มเบียร์ที่บ้านของคนนั้น

ในสมัยเมโสโปเตเมีย การแบ่งของบริโภคจะประกอบไปด้วยขนมปัง อินทผลัม หัวหอม และเบียร์เป็นหลัก บางครั้งอาจจะมีเนื้อสัตว์และพืชผักชนิดอื่นร่วมด้วย
บันทึกจากอักษรโบราณที่เรียกว่าคูนิฟอร์มเล่าว่าแรงงานขั้นต่ำในอารามจะได้รับการปันส่วนเป็นเบียร์วันละ 1 ลิตร เจ้าหน้าที่ระดับสูงขึ้นมาก็ได้รับเบียร์มากขึ้น ระดับสูงสุดได้เบียร์ 5 ลิตรต่อวัน สินสอดสมัยโบราณก็ต้องมีเบียร์อยู่ด้วยเสมอ แม้แต่ผู้อพยพหรือทาสและเชลยสงครามก็ได้รับการปันส่วนเบียร์เป็นรายเดือน เช่นผู้หญิงได้ 20 ลิตร เด็กได้ 10 ลิตรต่อเดือน

แรงงานอียิปต์ที่สร้างปีระมิดกิซาร์ก็ได้รับค่าตอบแทนคือขนมปังและเบียร์
เบียร์และขนมปังกลายเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนรวมถึงสิ่งแสดงความร่ำรวยมั่งมีศรีสุข ชาวอียิปต์ใช้คำว่าขนมปังและเบียร์เป็นคำทักทายประจำวันคล้ายคำว่าขอให้โชคดี ผู้หญิงเลี้ยงดูลูกด้วยเบียร์ 2 ไห (ประมาณ 1 ลิตร) และขนมปัง 3 แถวเล็กทุกวันเพื่อให้เด็กมีสุขภาพดี รวมถึงการใช้เบียร์เป็นยา เช่น หัวหอมผสมกับเบียร์ช่วยรักษาอาการท้องผูก เบียร์ผสมมะกอกช่วยย่อยอาหาร นักโบราณคดีพบว่าศพของคนโบราณแถบเมโสโปเตเมียมักะมีไหเบียร์เล็กๆวางอยู่ข้างกาย

ดังนั้นเบียร์จึงน่าจะเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดแรกที่มนุษย์รู้จักก่อนไวน์และเหล้า มีที่มาจากแถบเมโสโปเตเมียและอียิปต์ ประวัติศาสตร์ของเบียร์กับมนุษยชาติจึงผูกพันกันอย่างเลี่ยงไม่ได้

เรียบเรียงโดย
นพ.ดร.ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ
ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
มหาวิทยาลัยรังสิต

15/04/2025

"หาดขนอม" แหล่งทะเลใต้ ชมโลมาสีชมพู นครศรีธรรมราช
🐬
#หาดขนอม
หรือ อุทยานแห่งชาติหาดขนอม-หมู่เกาะทะเลใต้ ตั้งอยู่ที่ ตำบลขนอม อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช
🇹🇭
เป็นหาดที่มีชื่อเสียงของนครศรี ลักษณะเป็นหาดทรายที่ยื่นยาวออกไปในทะเลคู่กับทิวสน มีปะการังสวยงาม อุดมสมบูรณ์ทั้งปะการังจาน ปะการังสมอง และปะการังเขากวาง รอบเกาะจะมีชายหาดและน้ำใส เหมาะกับการดำน้ำดูปะการังและเล่นน้ำ นอกจากนี้ยังมีสามารถพบ โลมาสีชมพู ที่ บริเวณ หาดขนอม นี้ รวมไปถึงเกาะนุ้ยนอก
🏖
หาดขนอม สามารถแบ่งออกได้หลายหาด ทั้ง หาดหน้าด่าน หาดทรายยาวสลับโขดหิน และริมฝั่งขนอมจะมีชายหาดอื่นๆ อยู่อีกหลายแห่งเลยที่เหมาะแก่การเล่นน้ำ ไม่ว่าจะเป็น หาดท้องชิง หาดแฝงเภา หาดท้องโหนด หาดท้องเนียน หาดนางกำ ส่วนทางตอนใต้นั้น จะมีชายหาดที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองนคร นั่นก็คือ หาดในเพลา เป็นหาดสีขาว ยาวโค้งเป็นรูปพระจันทร์ ถึง 18 กิโลเมตร เลยทีเดียว
🐬
"โลมาหลังโหนกหาดขนอม" (Indo-Pacific humpback dolphin; Sousa chinensis) อาศัยอยู่ในบริเวณทะเลชายฝั่งของอำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช
บริเวณหาดขนอมและพื้นที่ใกล้เคียงเป็น แหล่งที่สำคัญ แห่งหนึ่งในการพบโลมาหลังโหนกในประเทศไทย โดยเฉพาะ โลมาหลังโหนกสีชมพู ซึ่งเป็นลักษณะสีที่พบได้บ่อยในประชากรกลุ่มนี้เมื่อโตเต็มวัย ทำให้เป็นที่รู้จักและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาชมโลมา

โลมาหลังโหนก
เป็นสัตว์ทะเลหายากและใกล้สูญพันธุ์ โลมาหลังโหนกได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย
เป็นตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ การมีอยู่ของโลมาบ่งบอกถึงสุขภาพที่ดีของท้องทะเล

The Earth
#นครศรีธรรมราช
#โลมา
#ชายหาด
#ขนอม

ที่มาของคำว่า “กลิ่นทะแม่งๆ” มาจากกลิ่นกะปิจริงๆ นี่เอง
07/02/2025

ที่มาของคำว่า “กลิ่นทะแม่งๆ” มาจากกลิ่นกะปิจริงๆ นี่เอง

"ทะแม่งๆ คำนี้มีที่มาจากคำเรียกกะปิปลาร้าในภาษามอญ"

'ထမၚ်' (ทะแม่ง) ပ္ဍဲဘာသာသေံကၠုၚ်နူမအရေဝ်ကော်စ 'ဖရံက်ဓမၚ်"

นักประวัติศาสตร์นักโบราณคดีระบุว่า "ปลาร้า" เป็นวิธีการถนอมอาหารที่แพร่หลายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อ 2-3 พันปีมาแล้ว โดยเฉพาะในดินแดนที่วัฒนธรรมมอญ-เขมรเคยเคลื่อนเข้าไป ดังปรากฏหลักฐานจากการขุดค้นทางโบราณคดี รวมทั้งพฤติกรรมการกินปลาร้าของชนชาติมอญและเขมรที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

ปลาร้าอยู่ในวัฒนธรรมมอญ-เขมรมายาวนาน ทุกวันนี้มอญเขมรยังคงกินปลาร้าอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ใช้เหยาะเติมรสแกง ผัด และยำ รวมทั้งจิ้มกินเหมือนคนไทยใช้น้ำปลา โดยเฉพาะครัวมอญในเมืองมอญ ประเทศพม่าทุกวันนี้ ยังใช้น้ำปลาร้าจากไหเติมแกง หรือเรียกว่า "น้ำปลาปากไห" นอกจากหาปลาร้าไม่ได้จึงใช้เกลือ หรือที่รุ่นใหม่จริงๆ รับเอาวัฒนธรรมน้ำปลาไปจากไทยสถานการณ์ก็จะต่างไปจากนี้ แต่จะอย่างไรก็ตาม สำรับข้าวทุกมื้อมักจะต้องมีปลาร้าเสมอ ยิ่งเป็นร้านอาหารมอญและพม่าซึ่งรับอิทธิพลวัฒนธรรมปลาร้าไปจากมอญ (เว้นในเขตพม่าแท้ เช่น พุกาม มัณฑะเลย์) จะมีปลาร้าและผักจิ้มฟรีไม่อั้นแบบเดียวกับน้ำพริกผักเหนาะปักษ์ใต้บ้านเรา

ในเมืองเขมร แม้แต่ยำแตงกวาก็ยังใส่ปลาร้า อีกทั้งคนเวียดนามในทุกวันนี้ (ใช้ภาษาตระกูล Austro-Asiatic กลุ่มเดียวกับมอญ-เขมร) ก็อยู่ในวัฒนธรรมปลาร้าด้วยเช่นกัน

แม้ว่าปลาร้าของเวียดนามจะผสมสับปะรดแต่ก็ยังคงเป็นปลาร้า นิยมกินกันแพร่หลายแถบเวียดนามตอนใต้ หากเป็นครัวของคนเวียดนามตอนเหนือจะเป็นวัฒนธรรมถั่วเน่าหรือจำพวกซอสถั่วเหลือง ไม่ก็เต้าหู้

ส่วนลาว บ้านใกล้เรือนเคียง กิตติศัพท์การกินปลาร้าก็คงเป็นที่คุ้นเคยกันดีในในปัจจุบัน กระทั่งคนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าลาวเป็นเจ้าของวัฒนธรรมปลาร้าแต่ดั้งเดิม แต่นักประวัติศาสตร์โบราณคดีไม่คิดเช่นนั้น เพราะความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ หลักฐานโบราณคดีบอกกับเราว่า ดินแดนที่พบซากวัฒนธรรมปลาร้าล้วนเป็นพื้นที่ของคนโบราณที่ใช้ภาษาตระกูลมอญ-เขมร

ดังจะเห็นว่าคนมอญให้ความสำคัญกับปลาร้ามาก มีวิธีการหมักปลาร้าที่ประณีต พิถีพิถัน ในภาษามอญมีคำใช้เฉพาะสำหรับการหลนปลาร้า โดยจะไม่ใช้คำนี้ในการทำอาหารอื่นเลย นั่นคือคำว่า “กะเซียก” (ကသေက်) แม้ไม่ต้องมีปลาร้าต่อท้ายก็รู้ทันทีว่าหมายถึงการหลนปลาร้าเท่านั้น

คำมอญอีกคำที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสังคมไทยอย่างน่าสนใจคือ “ทะแม่ง” ด้วยปลาร้านั้นมีกลิ่น เพราะทำด้วยปลาผ่านวิธีการที่ทำให้ “เน่า” เป็นกระบวนการหมักปลาให้เน่าแล้วอร่อย (พูดแบบสุจิตต์ วงษ์เทศ) ปลาร้าจึงมีกลิ่นรุนแรง โคลงสี่สุภาพของไทยจึงมีว่า “ปลาร้าพันห่อหุ้ม ใบคา ใบก็เหม็นคาวปลา คละคลุ้ง”

นอกจากนั้น หากอะไรที่กลิ่นไม่ดี การกระทำที่ดูไม่ชอบมาพากลเราก็พูดกันว่า "มีกลิ่นทะแม่งๆ" สิ่งที่เราเรียกอะไรก็ตามที่มันดู “ทะแม่งๆ” นี้ ว่ากันว่า เกิดจากคนมอญขณะที่กำลังตากกุ้งและปลาเล็กปลาน้อยทำกะปิ ระหว่างนั้นกลิ่นมันคงจะตุๆ ชอบกล คนไทยที่พบเข้าจึงถามว่า “อะไร” คนมอญก็ตอบว่า “ฮะร่อกฮะแหม่ง” (ဖရံက်ဓမၚ်) หรือกะปินั่นเอง ด้วยเหตุนั้น เมื่อเกิดเรื่องราวอะไรที่ทำท่าชอบกล กลิ่นออกตุๆ จึงเอามาเปรียบเปรยเข้ากับกะปิมอญว่า "ทะแม่ง" อย่างที่หลายคนใช้พูดกันติดปากจนทุกวันนี้

เนื่องจากมอญคิดทำปลาร้าขึ้นก่อน และเรียกว่า ฮะร่อก (ဖရံက်) เมื่อเกิดกะปิขึ้นทีหลังจึงเรียกกะปิว่า ฮะร่อกฮะแหม่ง (ဖရံက်ဓမၚ်) ที่ยังเรียกกันมาจนทุกวันนี้เช่นกัน แต่กะปิที่มอญชอบกิน นิยมว่าเป็นของดีของเด่นคือ กะปิทวาย (ဖရံက်ဟဝါဲ) ) ว่ากันว่าคนทวายเป็นลูกทะเลโดยแท้ ทำกะปิอร่อยกว่าใครแต่ไหนแต่ไรมา

Admin อาโด๊ด

ที่อยู่

Bangkok
10310

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 17:00
อังคาร 09:00 - 17:00
พุธ 09:00 - 17:00
พฤหัสบดี 09:00 - 17:00
ศุกร์ 09:00 - 17:00
เสาร์ 09:00 - 17:00
อาทิตย์ 09:00 - 17:00

เบอร์โทรศัพท์

+66806419563

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Chiira Organic จิรา ออร์แกนิคผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Chiira Organic จิรา ออร์แกนิค:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

Chiira’s Story

Chiira Organic was born of our passionate in ‘Organic Life’ eat drink live and garden keeping and with the heart full of passion in Kombucha , travelling and taste many brand in everywhere we went . We found out that we have many great local ingredients in our hometown , then we start to make our own “ Organic Scoby” from out homegrown fruit.

After we continue drinking our own Kombucha , Our healthy got improve from time to time

We’ve learn both ingredients and brewing technique and been testing out in various ingredients till we got our best one :) Giving them to our friend and family and they all love them.

Then we start to do Chiira Organic fanpage just to make people know more about this magic drink :) Our aim is to spread out this knowledge , know how to brew them not just selling our baverage . We need people to know that it’s not too hard and it’s really really good for your health