Loft Optometry : Your Eyes in Good Hands.

Loft Optometry : Your Eyes in Good Hands. ให้บริการทางทัศนมาตรคลินิก : แก้ไขปัญหาปัญหาสายตา ระบบเพ่งและระบบการมองเห็นอื่นๆ ด้วยเลนส์และอุปกรณ์

Bitcoin 101 ตอน บิทคอยน์มันแพง..หรือเงินมันถูกมีแฟนเพจ คอมเมนท์ว่าอยากให้เขียนเรื่อง bitcoin ก็เลยจัดสักหน่อย เดี๋ยวจะเส...
26/09/2025

Bitcoin 101
ตอน บิทคอยน์มันแพง..หรือเงินมันถูก

มีแฟนเพจ คอมเมนท์ว่าอยากให้เขียนเรื่อง bitcoin ก็เลยจัดสักหน่อย เดี๋ยวจะเสียศรัทธา

แต่ก่อนจะเข้าเรื่อง ผมไม่ได้ชักชวนให้ถือบิตคอยน์และนี่ไม่ใช่การส่งเสริมให้เข้าถือครองบิตคอยน์ เพียงแต่ต้องการทำความเข้าใจว่า บิตคอยน์คืออะไร เกิดขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาอะไร
ส่วนใครได้ฟังแล้วจะถือบิตคอยน์หรือไม่นั้นก็ขอให้เป็นการติดสินใจเฉพาะตน เพราะ “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินในลงทุน”
ผมก็แค่คนที่รู้จักบิทคอยน์ครั้งแรกตั้งแต่ราคา 50,000 บาท/btc แต่ไม่เคยสนใจที่จะถือเลยจนกระทั่งราคาขึ้นไป 1.2 ล้าน/btc เหมือน 4 ปีก่อน และ โดนมามากจากความไม่เข้าใจว่า “การถือโง่ๆเขาทำกันยังไง แต่(เสื_)อยากจะฉลาดกว่าบิทคอยน์ อยากจะชนะตลาด ซื้อถูกขายแพง เข้าๆออกๆ จบด้วยความเละไม่เป็นท่า” เพราะนั่นมันเริ่มจากความไม่เข้าใจ
ขณะที่ผมพิมพ์อยู่นี้ ราคาของบิตคอยน์อยู่ที่ 3,580,000บาท/btc โดยประมาณ ซึ่ง all time high นั้นอยู่ที่ 4,000,000 บาท เมื่อวันที่ 17 ก.ค.68 และ 12 ส.ค.68 ซึ่งเพิ่มจากจุดต่ำสุดสำหรับ wave ที่ผ่านมาเมื่อ 25 พ.ย.2565 ที่ราคา 570,000 บาท/btc หรือเพิ่ม 700% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และจากแหล่งข้อมูล “Bitcoin & Traditional Assets ROI” ระบุว่า 10 ปี บิทคอยน์ให้ผลตอบแทนประมาณ +46,310% เมื่อเทียบกับ USD
แต่สาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่มันเพิ่มขึ้นมากี่เปอร์เซนต์ แต่สำคัญที่ว่ามันกำลังทำอะไร และ เกิดอะไรขึ้นจึงทำให้มูลค่าบิทคอยน์นั้นเพิ่มขึ้นขนาดนั้น เพราะสุดท้ายแล้วเราจะมีบิทคอยน์เท่าที่คุณเข้าใจ เช่นเดียวกันมันไม่ใช่สาระสำคัญว่าปลูกต้นไม้โตเร็วหรือโตช้าหรือเมื่อไหร่จะได้กินลูก มันอยู่ที่ว่าวันนี้เริ่มคิดจะปลูกแล้วหรือยัง
ดังนั้นวันนี้เราจะมาทำความเข้าใจกันในเรื่องนี้และท้ายที่สุดแล้วคุณจะมีบิทคอยน์ติดตัวเท่าไหร่ นั่นก็แล้วแต่ความเข้าใจหรือจะไม่มีเลยก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่ที่สำคัญคือถ้าคิดจะถือ “อย่าเชื่อโดยไม่เข้าใจ เพราะการเชื่อโดยไม่เข้าใจ สุดท้ายคุณจะไม่มีบิตคอยน์หลงเหลือติดตัวอยู่เลย เพราะจริงๆคุณไม่ได้เข้าใจ”
“ทองแพงหรือค่าเงินมันถูก”

ก่อนจะทำความเข้าใจบิทคอยน์ สิ่งที่เราต้องถามตัวเองก่อนว่า “ทองแพงได้ยังไง” “ทองแพงเพราะว่าทองมันแพงหรือเพราะว่าเงินมันถูก จึงต้องใช้เงินมากขึ้นในการซื้อทองปริมาณเท่าเดิม” ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น “เงินมันถูกลงได้อย่างไร” หรือ “ของมันแพงได้อย่างไร”
คนทั่วไป เวลาของแพง จะโทษแม่ค้าว่าขายแพง แต่ไม่เคยโทษหรือสงสัยว่าเงินของตัวเองนั้นมีค่าลดลง เพราะเราเชื่อตัวเลขในกระดาษว่ามันมีมูลค่าที่จะนำไปแลกสินค้าและบริการได้ แต่เราไม่เคยเอะใจเลยว่า ต้นทุนกระดาษกับหมึก ที่เขาเอามาพิมพ์ให้เราใช้นั้นกี่บาท เพราะทุกคนเชื่อแบบเดียวกันหมดว่า แบงค์สีต่างๆนั้น มีมูลค่าในตัวมัน ตามตัวเลขนั้นๆ เพราะเอาไปแลกสินค้าที่ไหน เขาก็รับทั้งหมด แต่ไม่เคยเอะใจว่าทำไมต้องใช้จำนวนใบมากขึ้นเพื่อให้ได้ของปริมาณเท่าเดิม บางประเทศเขาต้องใช้เงินกระดาษเป็นกิโลเพื่อแลกกับไข่แผงหนึ่ง หรือ แม้แต่เงินกระดาษเยอรมันช่วงแพ้สงครามโลกที่มีเรื่องเล่ากันว่า เอาเงินกระดาษใส่เต็มตะกระไปซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อจะดูว่าซื้ออะไรได้บ้าง หันมาอีกที เงินอยู่แต่ตะกร้าหาย !!!!
ถ้ากระดาษมีค่าจริง เราอยากจะสะสม “กีบ” ที่รัฐบาลลาวเป็นคนผลิต หรือเราอยากจะเก็บ “รูปี” ที่รัฐบาลอินเดียผลิต หรือ เงิน “จ๊าด”ที่รัฐบาลพม่าผลิตไหม หรือ เราอยากจะเกิดเงิน “เรียล” ที่ฮุนเซน เป็นคนผลิต
คำตอบคือ “ไม่” เพราะเราไม่เชื่อในรัฐบาลเหล่านั้น แต่เรายังเก็บบาทเพราะเราเชื่อในรัฐบาลไทย อย่างน้อยก็ซื้อกะเพราในไทยได้ จริงๆ ประชาชนในประเทศถูกบังคับให้ใช้เงินตราของตัวเองอยู่แล้วถ้าจากกันแล้วน่าจะปกครองกันยาก
แต่ก็ไม่มีใครปฎิเสธดอลล่าร์เพราะเราเชื่อในรัฐบาลอเมริกา ลองไม่เชื่อเขาสิ เขาก็จะเอาประชาธิปไตยมายัดเยียดให้เหมือนหลายประเทศในตะวันออกกลาง
ความหมายก็คือ เราเชื่อในกระดาษเพราะเราเชื่อในรัฐบาล เราจึงเรียกเงินกระดาษเหล่านี้ว่า “เงินแห่งความเชื่อ” หรือ “ fiat currency” ซึ่งมันก็มีค่าสำหรับชุมชนนั้นๆ หรือ ประเทศนั้นๆ ที่เชื่อในค่าหรือตัวเลขเหล่านั้นที่รัฐบาลผลิตให้ และ เรามักไม่ค่อยสงสัยที่มาของกระดาษเหล่านั้น
บางคนยังเชื่อว่ามีการจะผลิตเงินออกมาได้นั้นจะต้องมีทองคำสำรองที่มีมูลค่าเท่ากับกระดาษที่พิมพ์ออกมา ซึ่งถ้าใครที่คิดแบบนี้ก็คงเป็นคนที่มองโลกสวยไปหน่อย เพราะระบบการเงินของเราออกจาก gold standard มาเป็น fiat standard มาตั้งแต่ 50 ปีก่อนแล้ว
พักเรื่องเงินกระดาษ แล้วนั่ง time machine ย้อนกลับไปเมื่อ 25 ปีก่อน

ค่าเงินบาทก่อนวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 อยู่ประมาณ 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และ ราคาทองคำในตลาดโลก (Gold spot, USD/oz) เฉลี่ยปี 1997 อยู่ที่ประมาณ $331 ต่อออนซ์ (troy ounce)

การแปลงเป็น “ทองคำบาทไทย

น้ำหนักทองคำ 1 บาทไทย ≈ 15.244 กรัม = 0.4901 troy oz
ดังนั้น ราคาทองคำอยู่ที่ ประมาณ 4,260 บาท/บาททอง

ถ้าขณะนั้นผมทำงานได้เงินเดือนๆละ 15,000 บาท กินใช้สักครึ่งนึง เหลือ 7,500 บาท/เดือน เก็บตังค์ 2 เดือนได้มา 15,000 บาท ครึ่งหนึ่งซื้อทองได้มาเกือบ 2 บาททอง อีกครึ่งหนึ่งฝากธนาคารโง่ๆเกินดอกร้อยละ 0.5-1 ต่อปี ตลอด 27 ปี = 9,900 บาท ขณะที่เงินเฟ้อเฉลี่ย 4% ต่อปี ตลอด 27 ปี ก็เฟ้อไปประมาณ 288% (ซึ่งจริงๆมันมากกว่านั้น) จะเห็นว่าฝากโง่ๆก็ได้โง่สมใจ
อีกก้อนหนึ่งผมเอาไปซื้อทองได้มา 2 บาททอง ขายวันนี้ได้ประมาณ 120,000 บาท จะเห็นได้ว่าในเวลา 27 ปี ต้องใช้เงินมากกว่าเดิมถึง 16 เท่า (จาก 7500 บาทได้ทองสองบาท) เพื่อให้ได้ทองเท่าเดิม
ณ ตรงนี้ให้เข้าใจว่า เงินเฟ้อทำให้ค่าในเงินกระดาษลดลง และ ทองคำสามารถต่อสู้เงินเฟ้อได้อย่างไร แต่สิ่งที่ต้องตั้งคำถามก็คือ เงิน 7,500 บาท ที่เนื่อยหาเท่าๆกันในเวลานั้น พอเวลาผ่านไปคุณค่ามันลดลงไม่เท่ากันได้อย่างไร สิ่งนี้เรียกว่า ความสามารถในการสะสมคุณค่าใน asset ที่คุณถือ เพราะเงินกระดาษมันไม่ได้มีความสามารถในการเก็บคุณค่า เพราะมันเฟ้ออยู่ตลอดเวลา ดังนั้นยิ่งเวลาผ่านไป value มันจะลดลงไปเรื่อยๆ
ดังนั้นก่อนที่จะเข้าใจ บิทคอยน์ ต้องทำความเข้าใจกับเงินเฟ้อเสียก่อน จะได้เข้าใจว่า ทำไมการฝากเงินเฉยๆไว้กับธนาคารกับการฝังตุ่มมันต่างกันตรงไหน แน่ๆเลยมันเสื่อมค่าเหมือนๆกัน นอกจากนี้แล้วยังอันตรายจากการโจรกรรม ธนาคารถูกปล้นได้ ถูกมิจฉาชีพดูดเงินออกไปได้ หรือถ้า ฝังตุ่ม ก็อาจจะโดนปลวกหรือราเอาไปกินได้
เงินกระดาษสร้างมาจากทอง ?

หลายๆคนยังมีความเชื่อว่า “เงินกระดาษที่เราใช้อยู่ขณะนี้ พิมพ์ออกมาการเอาทองไปค้ำ” ซึ่งนั่นมันเมื่อ 50 ปีก่อน (ยุค Gold Standard) ไม่ใช่ในปัจจุบัน เพราะการพิมพ์เงินมันเป็นเรื่องของ ธนาคารกลาง ที่พิมพ์ออกมาจาก asset ที่ถืออยู่ เช่นเงินตราหรือพันธบัตรของประเทศใหญ่ๆ แล้วก็ประเมินว่า อยากจะเฟ้อปีละเท่าไหร่ (เฉลี่ย 3%) เพราะเขาเชื่อว่า “เงินเฟ้อแล้วจะดี เพราะคนจะได้ขยันทำงาน เอาแรงไปแลกเอาเงินมา ยิ่งเงินมีค่าน้อย (ของแพง) ก็ต้องขยันมากขึ้นเพื่อให้ได้กินอยู่สบายเท่าเดิม คนก็จะวิ่งเร็วขึ้น แข่งกันมากขึ้น จะมาชิวๆ slow life แบบนี้ไม่พอกิน สภาพก็ออกมาอย่างที่เห็น คนรุ่นใหม่ไม่กล้ามีลูก เพราะเงินที่หาได้ไม่น่าจะพอที่จะเลี้ยงลูกให้สบายได้ ลำพักหากินกันสองผัวเมียยังไม่ค่อยจะเหลือเก็บเพราะของทุกอย่างมันแพง แล้วก็มาบ่นว่าคนไม่ยอมมีลูก อนาคตเราจะขาดแรงงาน แต่มือหนึ่งก็พิมพ์เงิน ปล่อยให้มันเฟ้อ ไม่ก็บ่นว่าคนไทยไม่มีเงินออม ก็มันจะเหลือที่ไหนให้ออมหล่ะครับเจ้านายขา คือมันก็ย้อนแย้งอะนะ (บนเฉยๆ)
พอมาถึงตรงนี้เราจะเห็นว่า “เงินเรามันเสื่อมค่าไปได้อย่างไร” เราไม่เหลือเงินออมได้อย่างไร ในเมื่อเราก็ขยันเหมือนเดิม และ ส่วนใหญ่ก็ใช้เงินหมดก่อนที่มันจะเฟ้อ คือไม่ทันได้เห็นมันเฟ้อก็หมดไปก่อนแล้ว ก็เลยไม่สนใจที่ศึกษาเงินเฟ้อ
ดังนั้น คนที่มั่งคั่ง เขาจะเลือกที่จะแปลงเงินกระดาษเป็นสินทรัพย์(asset) เช่นที่ดิน ทองคำ ขยายกิจการ เป็นต้น ได้ตังค์มาก็เอาไปขยายกิจการ ดังเราจะเห็นร้านสะดวกซื้อหรือห้างร้านต่างๆที่ขยายกิจการตลอดเวลา ส่วนเราๆ ที่ใช้แรงงาน ก็ใช้แรงแลกเงินกระดาษที่ดูท่าจะไม่มีวันสิ้นสุด แล้วจบที่รอรับเบี้ยคนชรา เพราะไม่เคยเหลือเก็บจากการวิ่งไม่ทันเงินเฟ้อ
ดังนั้น ทองคำ จึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการเก็บเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ ซึ่งก็ทำได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ติดแค่เรื่องการเคลื่อนย้ายทองคำนั้นทำได้ยาก เช่น เรามีทองสัก 1 กิโลกรัม อยากจะเอาไปให้ลูกที่ต่างประเทศ เราจะหิ้วโทงๆแบบนั้นผ่านสนามบินไม่ได้ (แต่ถ้ามีเครื่องบินส่วนตัวก็ไม่แน่) ทั้งๆที่มันเป็นทองของเราแท้ๆ จริงๆมันเป็นทองของเราในพื้นที่ที่เขายอมให้เราเป็นเจ้าของ หรือสมมติว่าเกิดสงครามขึ้นมา แล้วเราแพ้สงคราม แน่นอนว่า ฝ่ายที่ชนะสงครามย่อมมีสิทธิ์ในทองหรือที่ดินนั้นๆ แม้ว่าเราจะอ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของจากโฉนดที่ดินก็ตาม
เหล่านี้คือปัญหาของ hard-asset ซึ่งการเกิดขึ้นของ bitcoin มันก็เกิดขึ้นมาเพื่อที่จะ store of value เหมือนกันกับทองคำ แต่สามารถโยกย้ายไปไหนก็ได้ทั่วทั้งจักรวาลใบนี้ในไม่กี่นาที ไม่มีวันหยุดราชการ ไม่มีเวลาทำการ ขอเพียงแค่มีสัญญาณโทรศัพท์และอินเตอร์เนต เพราะมันคือ digital-asset
บิทคอยน์มีค่าได้อย่างไร

คำถามนี้มันก็ไม่ต่างจากถามว่า “ทองมีค่าได้ยังไง หรือ ทองแพงกว่าหินได้ยังไง” เพราะคำตอบคงไม่ใช่แค่ว่า “เพราะมันมีสีทองวาวๆ” หรือ “เอาไว้ห้อยคอหรือสวมก้อยแล้วมันดูสวยดี” หรือ มันแพงเพราะวันมันเป็นเครื่องประดับ เพราะมีเครื่องประดับสวยๆเยอะแยะแต่ไม่สามารถ store of value ได้แบบที่ทองทำได้ บางคนก็หลอมทองเป็นปั้นๆไม่ได้มีลวดลายอะไร แต่คุณค่ามันก็ยังอยู่ครบ ดังนั้นมันไม่ได้แพงเพราะมันสวยแน่ๆ
ความขาดแคลนและหายาก (Scarcity)

แก่นของทองแพง เพราะว่ามันได้จากการ ลงมือ ลงแรง ลงเวลา ลงเครื่องจักร ลงเงิน ลงทุน ลงความรู้ เพื่อให้ได้มาซึ่งเม็ดทองเล็กๆเท่ากับเม็ดทรายที่เกิดจากการร่อนโดยคน มันไม่ใช่เอารถแบคโฮตักใส่บุ้งกี๋แล้วไปกรองแล้วจะได้มา แต่มันต้องค่อยๆร่อนๆๆ ไปเรื่อยๆ กว่าจะได้มาในแต่ละบาทๆ ทรัพยาการที่ใส่เข้าไปเหล่านี้เองซึ่งมันมีต้นทุนทั้งสิ้น เพราะคนต้องกินข้าว รถเครื่องจักรต้องใช้น้ำมัน ไฟฟ้าต้องมีค่าไฟ พนักงานต้องมีเงินเดือน และยังไม่นับทรัพยากรเวลาที่ต้องใส่เข้าไป ทำให้ value จากการหายากของมันนั้น เข้าไปสะสมอยู่ในตัวทองคำ
ดังนั้นถ้าใครอยากจะมีทอง ก็ถือถาดอันนึง ไปตักดินมาแล้วก็ร่อนเดี๋ยวคงได้ทอง หรือ บ้างก็ไปดูส้วมเอามาตากแห้งแล้วก็เผาก็เคยเห็นเขาได้ทองบ้างอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าใครขี้เกียจร่อนทองแต่มีเงิน ก็ถือเงินเข้าร้านทางก็ซื้อเอาเลย ง่ายดี
ดังนั้นทองมันจะมีค่าตราบใดที่ความขาดแคลนมันยังคงอยู่ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราไปสำรวจดาวเคราะห์อื่นๆหรือขุดเจอแร่ทองขนาดใหญ่ และมันไม่ได้หายากอีกต่อไปแล้วหล่ะก็ มันก็ร่วงได้ แต่วันนี้ยังก่อน
บิทคอยน์ก็เช่นเดียวกัน มันใช้ทรัพยากรมากในการเกิดขึ้นมา โดยเฉพาะทรัพยากรไฟฟ้า ปัจจุบันข้อมูลจาก Cambridge Bitcoin Electricity Consumption Index (CBECI) ปี 2024 ประมาณว่า เครือข่ายบิตคอยน์ใช้พลังงานไฟฟ้ารวม ~138 TWh ต่อปี หรือเฉลี่ยประมาณ 15–16 GW คิดเป็นราว 0.5% ของการใช้ไฟฟ้าทั่วโลก เมื่อเทียบกับประเทศไทยทั้งประเทศซึ่งใช้ไฟฟ้ารวมประมาณ ~217 TWh ต่อปี (เฉลี่ย 24–25 GW) หมายความว่าการขุดบิทคอยน์ใช้ไฟฟ้าประมาณ สองในสามของการใช้ไฟฟ้าของไทยตลอดทั้งปี
กินไฟเยอะขนาดนั้น มันจะดีกับโลกหรือ ?

ถ้าว่าด้วยเรื่อง “กินไฟเยอะแล้วคุ้มหรือไม่กับการสูญเสียทรัพยากร” ก็ต้องเข้าใจอย่างนี้ว่า “บิทคอยน์ มันคือระบบธนาคารโลกใหม่ที่เป็นโลกดิจิทัล” ที่เปิดทำการ 24 ชม. ไม่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์ ดังนั้นมันก็ต้องไปเทียบกับธนาคารทั้งโลกว่าใช้ไฟฟ้าเท่าไหร่ ซึ่ง Galaxy Digital ประมาณว่า ระบบธนาคาร (branches, data centers, ATM, card networks ฯลฯ) ใช้พลังงาน ~ 263.72 TWh/ปี ไม่รวม “global payment system” (ระบบชำระเงินดิจิทัล + cash + infrastructure ที่เกี่ยวข้อง) ใช้อีก ~ 47.3 TWh/ปี และ ยังไม่รวมเราๆผู้เป็นลูกค้าที่ต้องขับรถไปธนาคาร เผาน้ำมัน เสียเวลาต่อคิว บางทีก็ไม่ทันเวลาทำการ บางทีโอนไม่ได้ติดเสาร์-อาทิตย์ บางทีมีติดหยุดยาว บางทีบช.โดนอายัติหาว่าเกี่ยวข้องกับ บ.ช.ม้า พอคนตกใจแห่ไปถอนเงิน บอกว่าต้องจองเงินจึงจะได้ (ฮ๊ะ!! ตอนฝากอย่างง่าย ตอนถอนอย่างยาก เพราะจริงๆเขาเอาไปเวียนเทียนปล่อยกู้หมดแล้ว ดอกฝาก 0.25% ดอกกู้ 25% ไม่เคยมีใครสงสัยเรื่องนี้กันเลยหรือ นี่มันรีดเลือดปูกันชัดๆ )
ส่วนการผลิตทองคำนั้นจากการรายงานบอกว่า ทองคำ (เหมืองแร่ + refinery) ใช้ไฟ ~240 TWh/ปี ก็ไม่น้อยนะ และ ยังมากกว่า บิทคอยน์อยู่ดี

แต่ก็ช่างเขาเถอะ ระบบนี้เขามีมายาวนานและผูกพันธ์ต่อความมั่นคงของประเทศหรือรัฐบาลโดยตรง แต่เรามาดูดีกว่าว่าทำไม บิทคอยน์มันต้องกินทรัพยากรขนาดนั้น
ถ้าตอบแบบกำปั้นทุบดินก็คือ “ถ้ามันหาได้ง่ายด้วยค่าแรงถูกๆ คิดหรือว่ามันจะมีค่าได้มากขนาดนี้” มันก็ไม่ได้ต่างจากทำไมดินทรายมันจึงถูกกว่าทอง เพราะต้นทุนในการดูดทรายมันง่ายกว่าร่อนทองไง

แต่ถ้าตอบจริงจังก็คือ “มันใช้กำลังไฟฟ้าจากเครื่องขุดทั้งบนโลกและอวกาศ(ดาวเทียม) ด้วยเหตุเหล่านี้คือ

1.Proof-of-Work (PoW)
Proof-of-work คือ การได้มาต้องเกิดขึ้นจากการลงมือทำไม่ใช่ด้วยการเสกได้เหมือนเงินกระดาษ ดังนั้นทุกบล็อกต้อง “ขุด” ด้วยการแก้สมการแฮช (Hash-function) → ต้องใช้คอมพิวเตอร์ (ASIC) นับล้านเครื่องแข่งกัน ซึ่งต่างจาก crypto อื่นที่ส่วนใหญ่ใช้การ “เสก” เอาจากกรรมการบริษัทหรือผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นเยอะ
ด้วยเหตุนี้ Bitcoiner จะ bully พวก crypto ว่าพวก sh*tcoin ��ระบบของบิทคอยน์จะถูกออกแบบให้ ยิ่งคนขุดมาก → ความยากปรับสูงขึ้นอัตโนมัติ → ทำให้กำลังไฟรวมของทั้งเครือข่ายจึง “scale ขึ้น” คือราคาดีคนก็ยิ่งลงทุนซื้อเครื่อง ASIC มาขุดเพิ่มขึ้น พอเครื่องเพิ่มขึ้นการแข่งขันก็สูงขึ้น การแข่งขันสูงขึ้น สมการ Hash ก็ยากขึ้น พอได้ยากขึ้น เหรียญก็มีราคา มูลค่ามันก็ขึ้นไปพร้อมกับการใช้ไฟฟ้าและแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ
2.ความปลอดภัย = ไฟฟ้า

ยิ่งใช้พลังงานมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้การโจมตีเครือข่าย (เช่น 51% attack) มีต้นทุนสูงมหาศาล คือตัวเองจะโจมตีเขาต้องมีกำลังขุดมากกว่า 51% ของทั้งหมด คือไม่คุ้มถ้าจะโจมตี และ ถ้ามีเงินมากขนาดนั้น ก็เอาไปสร้างเมืองบนดาวอังคารเถอะ จะมาโจมตีบิทคอยน์ทำไม เพราะพอคุณโจมตีได้ ซึ่งระบบมันก็จะตรวจเจอว่า bitcoin ถูก hack จากนั้นราคาก็ทิ้งดิ่งเป็นศูนย์ แล้วคุณใช้เงินมหาศาลที่จะโจมตีบิทคอยน์ ได้บิทคอยน์ที่ตลาดเททิ้งทั้งหมด...ทำเพื่อ ???

พูดง่าย ๆ คือ “ไฟฟ้า = กำแพงป้องกัน”
3.ไม่มีตัวกลาง ( Decenterization )
-ธนาคารใช้พนักงาน+ดาต้าเซ็นเตอร์+ระบบกฎหมาย
-บิตคอยน์ใช้ “พลังงานไฟฟ้า” แทน เพื่อสร้าง trustless system ที่ไม่ต้องพึ่งใคร และ ไม่ต้องเชื่อใคร ดังนั้นพวก bicoiner มักจะมีคำว่า “Don’t Trust ,Just Varify” เป็นสโลแกนหล่อๆ ที่เขามักพูดบ่อยๆ
บิทคอยน์เกิดมาจากอะไร (ขุดยังไง)

เพื่อให้เห็นภาพ ขอเล่านิทาน สองหมู่บ้าน พอให้เห็นภาพเสียก่อน

#หมู่บ้านรวมศูนย์ (centerized village)

ในหมู่บ้านแรก เวลาจะทำธุรกรรมอะไรก็ตาม ต้องไปหาผู้ใหญ่ง่าว ผู้ใหญ่ง่าวจะจดทุกอย่างไว้ในสมุดใบเดียวของเขา เช่น ตามีเอานาไปจำนองให้ตามา ผู้ใหญ่ง่าวก็จะเป็นพยานและเก็บเอกสารไว้เป็นหลักฐาน หรือใครจะขายที่ให้ใคร การบันทึกก็จะอยู่ในสมุดของผู้ใหญ่ง่าวทั้งหมด ดังนั้นธุรกรรมทั้งหมดขึ้นอยู่กับ ความไว้ใจในผู้ใหญ่ง่าว ว่าเขาจะไม่โกงและสมุดบัญชีจะไม่สูญหาย
แต่วันหนึ่ง บ้านผู้ใหญ่ง่าวถูกไฟไหม้ เอกสารหายถูกทำลายหมดหมด หลักฐานการจำนองไม่เหลืออยู่เลย ลูกหลานตามีจึงยึดที่นากลับคืนมาเพราะบอกไม่รู้เรื่องและไม่มีหลักฐาน ผู้ใหญ่ง่าวก็ทำอะไรไม่ได้ ส่วนตามีก็เสียเงินฟรี นี่เป็นลักษณะของระบบรวมศูนย์ที่มีความเสี่ยง เพราะทุกอย่างผูกกับ “จุดเดียว” (single point of failure)
#หมู่บ้านกระจายศูนย์ ( Blockchain village )

ในหมู่บ้านที่สอง มีกฎใหม่ขึ้นมาว่า ใครทำธุรกรรมอะไร จะต้อง “ประกาศผ่านโทรโข่ง” ให้ทุกบ้านได้ยิน และลูกบ้านที่อยากเป็น “ผู้จดบัญชี” (node) ก็จะจดลงสมุดของตนเอง → ทำให้มีสำเนาหลายเล่ม ไม่ใช่เล่มเดียวแบบบ้านผู้ใหญ่
แต่ละวัน ทุกๆ 10 นาที (block) คนในหมู่บ้านต้องเลือกใครสักคนมาเป็น “ผู้ประกาศบัญชีประจำวัน” เพื่อบันทึกธุรกรรมลงใน “หน้าสมุดกลาง” ของหมู่บ้าน ซึ่งถ้าใครได้รับหน้าที่ให้ประกาศจะได้รับรางวัลเป็นกล่องของขวัญที่มีเหรียญอยู่ภายใน และเหรียญที่ว่านั้นถูกตั้งชื่อว่า “บิทคอย์”แต่ความพิเศษของรางวัลคือมันไม่สามารถเสกได้เรื่อยๆ แต่จะลดลงครึ่งหนึ่งในทุกๆระยะเวลา 4 ปี แบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครับ 21 ล้านเหรียญ
ช่วงแรกๆ คนก็ไม่สนใจเท่าไหร่ เพราะคนมาทำธุรกรรมไม่ค่อยมี ลูกบ้านก็ไปทำไร่ไถนาไม่สนใจเรื่องทำบัญชี ได้เหรียญมาก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร เพราะยังขุดปูจับปลาตามห้วยหนองคลองบึงกันอยู่
แต่ระหว่างนั้นมันก็มีโจรพยาบาลจะเผาบ้านลูกบ้านที่ทำบัญชี กะจะทำลายหลักฐานธุรกรรม ซึ่งก็ไฟไหม้ไม่เหลืออะไร แต่ก็ยังมีสำนำของลูกบ้านอื่นๆอีกหลายบ้าน ซึ่งก็นำมาลอกใหม่ การโจรกรรมของโจรครั้งนี้เลยไม่สำเร็จ
เมื่อคนเริ่มเห็นว่าระบบนี้มันดี ก็เริ่มสนใจอยากเข้าใจจอยด้วย แต่การจะทำธุรกรรมในระบบนี้ คู่สัญญาจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเป็นเหรียญบิทคอยน์ ซึ่งถ้าไม่มีก็ต้องไปหาซื้อมา ถ้าไม่ซื้อมาก็มาแข่งขันกันประกาศโทรเข่งตอนสรุปบัญชี จากนั้นก็ทำให้ความต้องการเหรียญบิทคอยน์นั้นสูงมากขึ้น คนเห็นความต้องการเหรียญมีมากขึ้นก็ไปแข่งขันกันเพื่อเป็นผู้ประกาศบัญชี ส่วนคนที่เห็นว่าระบบมีประโยชน์ไม่ได้อยากได้เหรียญแต่อยากจะช่วยรักษาบัญชีก็จะทำเป็นจิตอาสาช่วยจดลงสมุดตัวเอง (node)
พอคนเข้ามามาก ทุกคนเลยต้องแข่งขันกันด้วยการแก้ปริศนายาก ๆ (Hash function ) ใครแก้ได้ก่อนก็ได้สิทธิ์ประกาศและเขียนหน้าสมุดนั้น พร้อมได้ “เหรียญรางวัล” เป็นค่าตอบแทน (เหมือนการขุดบล็อกและได้ Bitcoin) เวลามีธุรกรรมใหญ่ ๆ ชาวบ้านจะไม่รีบเชื่อทันที แต่จะรอดูว่ามีการบันทึกซ้ำ ๆ ต่อเนื่องกันหลายหน้า (confirmations) เพื่อกันการโกง
ดังนั้นจะมีเวลาให้ทุก node ตรวจทานเอกสาร 10 นาที เพื่อให้ธุรกรรมถูกต้องและถ้ามีใครพยายามแก้สมุดบัญชี จะต้อง “บุกปล้นบ้านทุกหลัง” ที่ถือสำเนาไว้ทั้งหมู่บ้าน ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เพราะต้องใช้พลังงานและแรงงานมหาศาล (51% attack)
บทสรุป
-หมู่บ้านผู้ใหญ่ง่าว = ระบบรวมศูนย์ → สะดวก แต่เสี่ยงหากผู้ใหญ่โกงหรือเอกสารหาย

-หมู่บ้านกระจายศูนย์ = Bitcoin / Blockchain → ทุกคนช่วยกันตรวจสอบ, มีแรงจูงใจในการดูแลสมุด, ไม่มีใครแทรกแซงได้ง่าย, เหรียญที่ได้มีมูลค่าเพราะหายากและเชื่อถือได้
บิทคอยน์จะเกิดใหม่จนถึงเมื่อไหร่

บิทคอยน์จะถูกทำหมันเมื่อออกลูก (เหรียญ) ครบ 21 ล้านเหรียญ ซึ่งเหรียญสุดท้ายจะถูกขุดออกมาในปี ปี ค.ศ. 2140 (พ.ศ. 2683) หรืออีก 115 ปี ข้างหน้า
เหตุผลสั้น ๆ: บิตคอยน์มีเพดานที่ 21 ล้านเหรียญ และรางวัลบล็อกจะ Halving ประมาณทุก 4 ปี (คือทุกๆ 4 ปี รางวัลที่เกิดจากการขุดบิตคอยน์/บล๊อก นั้นจะน้อยลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันขณะนี้ จะมีรางวัลขุดอยู่ที่ 3.125 BTC ต่อบล็อก โดยรางวัลถูกลดลงมาจาก 6.25 BTC หลัง halving เดือนเมษายน 2024 (บล็อกที่ ~840,000)ที่ผ่านมา และจะลดลงเหลือ 1.5625 BTC อีกครั้งในรอบ halving ถัดไปประมาณกลางปี 2028
ดังนั้นรางวัลในการขุดจะลดลงเรื่อย ๆ เข้าใกล้ศูนย์แบบค่อยเป็นค่อยไป จน “เหรียญสุดท้าย” ถูกขุดขึ้นราวปี 2140 หลังจากนั้นรายได้ผู้ขุดจะมาจาก ค่าธรรมเนียมธุรกรรม (fees) เป็นหลัก
ถ้าจะถือบิทคอยน์ต้องเริ่มที่อะไร

1.เริ่มศึกษา ไม่ว่าจะเป็น “เงินเฟ้อคือคดีอาญา” โดย ดร.วิชิต ซ้ายกล้า หรือ The bitcoin Standard แปลโดย อ.พิริยะ ก็ได้ทั้งคู่ หรือ หาดูใน youtube เพื่อทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ อย่าพึ่งรีบที่จะถือครอง เพราะสุดท้ายแล้วมันจะไม่เหลือถ้าไม่เข้าใจ

2.เข้าไปซื้อบิทคอยน์ในตลาด ซึ่งบ้านเรามีอยู่หลาย exchange ก็ศึกษาเอา Bitkub ,Binance เป็นต้น แต่การเก็บเหรียญไว้ใน Exchange ก็เหมือนกับการฝากเงินไว้ในธนาคาร ถ้าธนาคารไม่เจ๊งมันก็ยังเป็นของเรา แต่ถ้าธนาคารเจ๊ง เงินฝากเราก็จะหายไปเช่นกัน ดังนั้น ศึกษาเรื่องการเก็บไว้ใน Hard Wallet และ สำคัญ Password Phrase Key จะต้องเก็บไว้ให้มั่น ถ้ารหัสหาย แปลว่า เงินก็จะหายไปด้วย

Hard Wallet มันคือกุญแจไว้สำหรับไขกล่องเงินดิจิทัลที่ลอยไปลอยมาในอากาศเท่านั้น เงินดิจิทัลไม่ได้ลงมาอยู่ใน hard wallet จริงๆ ซึ่งถ้ารหัสหาย ก็กู้ไม่ได้ กล่องใส่เงินดิจิทัลก็จะลอยอยู่ในอากาศนั้นตลอดไป ไม่มีใครสามารถเอามันออกมาใช้ได้

ดังนั้น ต้องมีความรู้พอสมควรถ้าจะเข้าสู่โลกของบิทคอยน์ แต่เตือนอีกครั้งว่าไม่ต้องรีบ เพราะมันมี loop ของมันอยู่ เดี๋ยวมันจะต้องลงไปเช็คฐาน ซึ่งถึงเวลานั้นค่อยๆ DCA ทะยอยซื้อ ไม่ต้องพรวดพราด และ อย่าเอาเงินร้อน เหมือนอย่างพี่ชิตกล่าวไว้ว่า “แดกก่อน ค่อยเก็บ ถ้าเก็บตั้งแต่ยังไม่แดก เดี๋ยวก็เดือดร้อนต้องขายมาแดก สุดท้ายไม่เหลือ” เกมส์นี้เกมส์ยาว ต้องค่อยๆเล่นกันยาวๆ

สวัสดีครับ

ดร.ลอฟท์

#เงินเฟ้อ #ทองคำ

“ก(บ)ฎ 20-20-20” “หลับตา” กับ “มองไกล” อย่างไหนพักสายตาได้มากกว่ากัน?Intro เมื่อดวงตาเราเกิดความเหนื่อยล้าจากการใช้สายตา...
25/09/2025

“ก(บ)ฎ 20-20-20”
“หลับตา” กับ “มองไกล” อย่างไหนพักสายตาได้มากกว่ากัน?

Intro

เมื่อดวงตาเราเกิดความเหนื่อยล้าจากการใช้สายตาดูใกล้มาหนักๆ มันก็จะมีหลายวิธีทำใด้ดวงตาของเราผ่อนคลาย ซึ่งวิธีที่เราได้เห็นหรือได้ยินมาบ้างเช่น

ถ้าถาม Max Jenmana ก็จะบอกว่า “ถ้าเราเหนื่อยล้า จงเดินเข้าป่า (เพราะ) อย่างน้อยก็ไม่มีคนใจร้าย (อยู่ที่นั่น-แต่อาจมีเสือใจร้าย)”

ถ้าถามหมอยุคเก่าก็จะบอกว่าให้ใช้กฎ 20-20-20 เพื่อให้ตาได้พัก (เพราะการเข้าป่ามันหาโอกาสได้ยาก)

แต่ถ้าถาม Prof. Poo Pongsit Kampee เขาก็จะบอกว่า “พักสายตาเถอนะคนดี...หลับลงตรงนี้..ที่ที่มีแต่เราสองคน (สามคน สี่คน ห้าคน...)

คำถามคือ "กฎเก่า 20-20-20 มันเป็นจริงแค่ไหนหรือว่ามีความจริงที่จริงยิ่งกว่า แล้วกฎที่ว่าดีกว่านั้น เขาว่าอย่างไร"

ดังนั้นวันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องนี้ว่า “หลับตาพัก” กับ “มองไกล” อย่างไหนที่ได้พักตามากกว่ากัน ในเชิงวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
20-20-20 rule

เท้าความย้อนไปสักหน่อยว่า “กฎ 20-20-20” เป็นกฎที่ผมพึ่งได้ยินมาช่วงหลังๆนี้เองจาก นศ.ทัศนมาตรที่มาฝึกงานเล่าให้ฟังถึงกฎนี้ (ประมาณว่ากฎนี้ดังจะตายใครๆก็รู้จัก พี่ไม่รู้ได้ไง) คือสมัยเรียนไม่เห็นมีใครเขาพูดถึงกฎข้อนี้
ผมถามเพื่อนๆไม่ว่าจะเป็น Dr.Jack ,Dr.Dear ซึ่งเป็นผู้คงแก่เรียนก็ไม่เห็นมีใครเคยได้ยิน แสดงว่ามันพึ่งมาดังช่วงหลังๆมานี้เอง พอได้ทราบความหมาย ก็รู้สึกขำๆ ว่าทำไม “ #กระพี้ขนาดนี้ถึงได้ป๊อปนัก” คือมันก็เป็นวิธีที่พอจะแก้ขัดได้แต่ไม่ใช่แก่นที่จะเอามาเป็นสาระขนาดเอาไปออกสอบได้ เพราะ eye stress ,eye strain มันมีเหตุอื่นที่ต้องดูแลเร่งด่วนกว่ามาก ไม่ใช่ว่า ยังจัดสายตากันอยู่ , phoria ไม่ตรวจ , binoc ไม่ทำ แล้วจะคุยกันเรื่อง 20-20-20 อย่างเป็นตุเป็นต่ะ
ดังนั้นวันนี้ผมจึงตั้งเรื่องสนุกๆกว่า “ก(บ)ฎ 20-20-20” เพราะผมมันพวกสงสัยและพร้อมแหกกฎถ้าเรื่องนั้นไม่จริงหรือมีความจริงอยู่น้อย(เกินกว่าจะให้ค่า) ซึ่งเรื่องนี้มันไม่ต่างจากการโยนความผิดให้ blue light ด้วยอ้างเรื่อง eye strain ทั้งๆที่ยังจัดสายตา หรือยังก๊อบปี้ค่าสายตาผิดๆเดิมที่คนไข้ใช้อยู่และมีปัญหา ซึ่งแว่นเก่าเขาอาจจะไปทำมาจากตลาดนัดงานวัดก็ได้ ก็ยังเดินหน้าก๊อปค่าเก่ากันหน้าตาเฉย (กลัวเขาจะปรับตัวไม่ได้)
ดังนั้น คนไข้ทุกคนที่แวะมาใช้บริการที่ loft จึงไม่เคยเห็นผมเอาแว่นเก่าคนไข้ไปเช็คก่อนตรวจ เพราะผมไม่อยากเอาค่าเก่ามาเป็น bias ในการทำงาน และ ผมไม่เชื่อเรื่องความเคยชินกับค่าที่มันผิด เพราะถ้าผิดๆยังชินได้ ทำไมจะไม่ยอมชินกับค่า full rx ที่มันถูกต้องกว่า (ไม่สมเหตุสมผลเลย) เช่นเดียวกับไม่มีใครปฎิเสธขนาดร้องเท้าที่พอดีกับเท้าตัวเองได้ เพราะมันไม่มีเรื่องเคยชินกับใ่ส่รองเท้าหลวมๆ หรือ คับๆ ที่กัดเท้าแล้วสนุกดี เพราะพอดีก็คือพอดี ไม่ซ้าย ไม่ขวา ไม่ขาด ไม่เกิน (แม้นานๆจะเจอ hiphop ชอบใส่รองเท้าเกินเบอร์ไปบ้าง อันนั้นเป็น รสนิยม..)
สำหรับใครที่พึ่งได้ยิน 20-20-20 เป็นครั้งแรก กฎเขาอธิบายอย่างนี้ว่า ถ้าจะให้ดวงตาได้พักหลังจากเครียดจากการดูใกล้เป็นเวลานานๆ ให้ใช้กฎนี้คือ “เมื่อเราดูใกล้เป็นเวลา 20 นาที ให้พักสายตาด้วยการมองไกลไปที่ระยะ 20 ฟุต (ระยะอนันต์) เป็นเวลา 20 วินาที แล้วค่อยกลับมาทำงานดูใกล้ใหม่” เพื่อให้ตาได้พักหรือฟื้นฟูสักแป๊บหนึ่ง แล้วค่อยลุยงานใหม่ (ก็ฟังดูดีนะ)
เรื่องนี้ฟังดูก็ง่ายๆ มันก็เลยติดหูติดตาได้ง่าย แต่มันก็ง่ายเกินจนชวนสงสัย
ดังนั้นวันนี้ เราจะเอาเรื่องนี้มีขยี้กัน ในเชิงวิทยาศาสตร์การแพทย์และหลักฐานงานวิจัย ให้สมกับความเป็นหมอทัศนมาตรกันสักหน่อย
“พัก” หรือ “resting”

Keyword ของเรื่องนี้คือคำว่า “พัก” หรือ “resting” ดังนั้น “การได้พัก” ในเชิงการทำงานของดวงตาคืออะไร และ เวลาไม่พักนั้นดวงตาทำอะไรอยู่ ถ้าจะให้เขาพักต้องทำอย่างไร
#พื้นฐานการทำงานของดวงตา (Ocular Physiology)

เลนส์แก้วตา (crystalline lens) เป็นอวัยวะภายในดวงตาซึ่งถูกควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อภายในดวงตาที่มีเชื่อเรียกว่า ciliary muscle ซึ่ง active อยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะมองไกล(infinity) หรือมองใกล้(near) ทั้งนี้ก็เพื่อพยายามทำให้โฟกัสตกบนจุดรรับภาพอยู่ตลอดเวลา
ดังน้ันทุกครั้งที่มีการลืมตาแล้วมองเห็น เลนส์แก้วตาจะต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา อีกนัยหนึ่งก็คือ “มันแทบจะไม่พักเลย”
#ระบบประสาทที่เกี่ยวข้อง (Innervation)

ระบบประสาทที่เข้ามาควบคุมการทำงานของเลนส์แก้วตาให้เกิดการ “เพ่ง” หรือ “คลายเพ่ง”ก็คือระบบประสาทอัตโนมัติที่รู้จักกันในชื่อว่า Sympathetic และ Parasympathetic ซึ่งมันทำงานด้วยตัวมันเอง เหนือการควบคุมของจิตใจของเรา (ดูภาพและอธิบายในคอมเมนต์ประกอบ)
เมื่อเพ่ง : Accommodation”

เมื่อมีการเพ่ง ระบบประสาทอัตโนมัติ Parasympathetic จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเพ่ง (Accommodation) ผ่านเส้นทาง

เส้นทางหลัก → Edinger-Westphal nucleus → ผ่าน cranial nerve III (oculomotor) → synapse ที่ ciliary ganglion→ ไปที่ ciliary muscle

โดยสารสื่อประสาท Acetylcholine (ACh) ทำให้ ciliary muscle หดตัว

เมื่อ ciliary muscle หดตัว → zonular fibers (suspensory ligaments) หย่อน → เลนส์แก้วตาโค้งขึ้น → กำลังหักเหเพิ่ม → เพ่งใกล้ได้ชัด

ดังนั้น parasympathetic = ทำให้เลนส์ป่องตัวนูนมากขึ้น → โฟกัสใกล้
“เมื่อคลายเพ่ง : relaxed accommodation"

การคลายเพ่งเกิดขึ้นเมื่อกิจกรรมของ parasympathetic หยุด → ciliary muscle คลายตัว (passive relaxation) และมีระบบประสาทอัตโนมัติ Sympathetic จะเป็นตัวช่วยเสริมให้ relaxation นิ่งและยืดเวลานานขึ้น ผ่านทาง...

เส้นทาง → จาก hypothalamus → spinal cord (T1–T2) → superior cervical ganglion → long ciliary nerves → ciliary muscle

โดย Norepinephrine (NE) กระตุ้น β-adrenergic receptors → ทำให้ ciliary muscle คลายตัวช้า ๆ (slow relaxation)

เมื่อ ciliary muscle คลาย → zonular fibers ตึงขึ้น → เลนส์แบนลง → เพ่งไกลได้ชัด

ดังนั้น เมื่อ parasympathetic เลิกถูกกระตุ้น กล้ามเนื้อตาคลายตัว ทำให้ Zonule ตึง ทำให้เลนส์แบนลง ประกอบกับ Sympathetic ช่วยเสริมให้การคลายตัวของกล้ามเนื้อนั้นคงที่และนานขึ้น การแบนตัวของเลนส์ก็จะเสถียรมากขึ้น → โฟกัสไกลชัด
จากความรู้นี้ทำให้เรารู้ว่า ไม่ว่าจะ full accommodate เพื่อดูใกล้ หรือ full relaxed accommodation เพื่อมองไกล ล้วนแต่ผ่านการกระตุ้นของระบบประสาท sympathetic และ parasympatetic ทั้งสิ้น เพื่อให้กล้ามเนื้อตา (ciliary muscle) หดสุดหรือคลายสุดทั้งสิ้น
ดังนั้น ความเชื่อดั้งเดิม: Infinity = Rest อาจไม่จริง เพราะไม่ว่าจะมองไกลหรือดูใกล้ล้วนแต่เป็นการกระตุ้นผ่านระบบ sym และ parasym ทั้งสิ้น
ย้อนความไปสักนิด

ความรู้จากตำราเก่า Helmholtz มีแนวคิดว่า “Infinity = Rest” หมายความว่า ​Helmholtz เชื่อว่า “เมื่อเรามองไกลไปที่ระยะอนันต์ นั่นคือตำแหน่งพักของตา” และ เกิดเป็น “HelmHaltz model” ซึ่งเสนอว่า ...
→ ตำแหน่งพักของการเพ่ง (resting state of accommodation) คือการมองไปที่ระยะไกลสุดตา (infinity)

→ ตาจะได้ relax accommodation เต็มที่ ซึ่งเป็นที่มาของกฎ “20-20-20” ที่ถูกนำไปใช้กันอย่างแพร่หลายในโลกโซเชียลว่า...“เมื่อทำงานดูใกล้ 20 นาที ให้มองไกลไปที่ระยะ 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที”
ซึ่งกฎดังกล่าวก็ไม่ได้แย่อะไร แต่มันก็เกิดคำถามว่า “จริงไหม” หรือ “มีวิธีที่ดีและมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับมากกว่านั้นไหม” เพราะมันไปขัดกับหลักการอันหนึ่งคือ “ resting positioning of accommodation นั้นเป็นจุดที่มี accommodation อยู่ที่ระยะ intermediate ซึ่งมี accommodate อยู่ประมาณ +1.75D ถึง +2.75D และ เป็นสาเหตุของ night myopia หรือ space myopia) และ night myopia
คั่นด้วยเรื่อง Night myopia , space myopia สักหน่อย

space myopia / night myopia เป็นปรากฎการณ์ที่คนมักจะเจอเมื่ออยู่ในภาวะที่ stimulus ต่ำ (low visual stimulus) หรือที่ที่ “สิ่งเร้าที่ชัดเจนต่อการโฟกัสสายตา (accommodative stimulus) มีน้อยหรือแทบไม่มี → ทำให้ระบบการเพ่งของตาไม่รู้จะ “ล็อก” ไว้ที่ระยะไหน เช่นเดียวกับเราเอา iphone ถ่ายบนกระดาษเปล่า มันก็ไม่รู้จะวางตำแหน่งโฟกัสไว้ที่ไหน แต่ถ้ามีเส้นอะไรขึ้นมาสักเส้นหนึ่ง มันก็ล๊อคโฟกัสจาก contrast ของเส้นนั้น

ดังนั้นปรากฎการนี้ในโลกมนุษย์ที่มักเจอภาวะเหล่านี้ได้แก่นักบินหรือนักบินอวกาศ เช่น

cockpit ของนักบินกลางคืน
หน้าต่างมืดมิด มีแต่ท้องฟ้าว่าง ๆ ทำให้ ไม่มี detail หรือ contrast ให้ retina เอาไว้ “จับโฟกัส” เขาจะรู้สึกว่ามองไกลไม่ชัด เหมือนคนสายตาสั้น

มองท้องฟ้า/ดวงดาว
ดวงดาวมีขนาดเล็กเกินไป เป็นแค่จุดแสงไม่มีรายละเอียดและไม่เป็น stimulus ที่ชัดสำหรับ accommodation เราก็จะมองกลางคืนไม่ชัด

ห้องที่มีผนังสีขาวโล่ง
ไม่มี pattern หรือ detail ให้ตาจับโฟกัส แม้เอา iphone 17 promax ก็ถ่ายไม่ได้โฟกัส

เหล่านี้เรียก สายตาสั้น(เทียม) ชนิด space myopia (ไม่รู้ภาษาไทยเรียกว่าอะไร) และการเกิดเช่นเดียวกันกับสายตาสั้นกลางคืน (night myopia)
เกิดอะไรขึ้นเวลา stimulus ต่ำ?

ปกติถ้า stimulus ชัด (เช่น ตัวหนังสือบนกระดาษ, หน้าจอ) → ตาจะ adjust accommodation ตาม detail แต่ถ้า stimulus ไม่ชัด → ตาจะ drift กลับไปที่ dark focus (tonic accommodation)

ผลคือเกิด space myopia = ตาเพ่งเข้ามากลาง/ใกล้ ~1 เมตร ทำให้มองไกลจริง ๆ เบลอ
สรุปง่ายๆ

stimulus ต่ำ = สภาพที่ตาไม่มี detail ให้เพ่ง → accommodation เลยกลับเข้าสู่ dark focus เอง

ดังนั้นจากปรากฎการณ์าข้างต้นเราจะเห็นได้ว่า “เลนส์แก้วตาของเรานั้น” เมื่อไม่รู้จะไปไหนหรือต้องเพ่งอะไร เขาจะกลับมาที่จุด standby mode ที่ระยะ resting ของเขานั่นคือ intermediate zone ซึ่งจะมี accommodadtion อยู่ระหว่าง +1.75 (+/-0.50D) โดยประมาณ
งานวิจัยสนับสุน Dark Focus
อ่านฉบับเต็มได้จากลิ้งค์https://link.springer.com/content/pdf/10.3758/BF03205906.pdf
Leibowitz, Miller, Ostberg ได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับ Dark Focus พบว่า ตาไม่ได้พักที่ infinity อย่างที่คิด เพราะจริง ๆ แล้ว accommodation มี จุดพักธรรมชาติ (tonic state) ที่เรียกว่า Dark Focus ซึ่งอยู่ประมาณ 1.7–2.75D (ระยะราว ๆ 40–60 ซม. ต่อหน้าเราเอง!)

นั่นหมายความว่า แม้เราจะมองไกลสุดสายตา (infinity) → accommodation ก็ยังต้อง “shift ออก” จาก dark focus → ซึ่งนั่นไม่ใช่การพักเต็มที่
หลับตา = Reset กลับมาที่ Dark Focus

เมื่อเราหลับตา หรืออยู่ในที่มืด → ไม่มีสิ่งกระตุ้นให้ accommodation ทำงาน → ตาจะ drift กลับเข้าสู่ dark focus โดยอัตโนมัตินี่จึงเป็นการพักที่ “แท้จริง” ของระบบการเพ่ง เพราะ ciliary muscle ไม่ต้อง contract หรือ relax active เลย
แล้วสรุปอะไรดีกว่ากัน?

มองไกล 20 ฟุต (กฎ 20-20-20) (HemHaltz) Practical ทำง่ายได้ทุกที่ สามารถลดภาระจากการเพ่งใกล้ แต่ไม่ใช่ resting state แท้จริง เพราะยังไม่ตรงกับ dark focus
หลับตาสักครู่ (prof.Poo Pongsit) Accommodation reset กลับเข้าสู่ dark focus ทำให้ได้พักทั้งกล้ามเนื้อการเพ่งและลด stimulus จากสิ่งแวดล้อม ซึ่งทำให้พักสมองได้พักไปพร้อมกัน แต่ทำยากถ้าอยู่กลางที่ทำงานหรือประชุม (เช่นการประชุมสภา ถ้ามานั่งหลับตา น่าจะมีนักข่าวจับเอามาทำมีม)
#ข้อคิดจากงานวิจัย

การพักสายตาที่ดีที่สุดจริง ๆ คือ การหลับตา เพราะทำให้ accommodation เข้าสู่ resting state ที่แท้จริง แต่ในชีวิตจริง การ มองไกลเป็นระยะ ๆ ก็ยังจำเป็นและ practical มาก จะหลับตาสุ่มสี่สุ่มห้าโดยไม่ดูกาละเทสะไม่ได้
#สรุปว่า

ตำรา accommodation แบบ classical ของ Helmholtz เชื่อว่า resting state ของ accommodation = infinity → ตาพักที่ far point เป็นที่มาของกฎ 20-20-20
งานวิจัยใหม่ (Miller, Leibowitz, Ostberg) พบว่า resting state จริง ๆ คือ dark focus → tonic neuromuscular state ที่อยู่ราว ๆ 1.7–2.75D
และพบว่า :

1.ความล้า (Fatigue) ไม่ได้เกิดจากการทำงานใกล้อย่างเดียว แต่เกิดได้ทั้ง near และ far → เพราะทั้งสองต้อง shift ออกจาก dark focus

2.Dark focus มีความเสถียรสูง ไม่เปลี่ยนแม้งานเพ่งยาว 3 ชั่วโมง คือขั้นตอนการทดลอง จะให้ผู้เข้าร่วมถูกกระตุ้นการมองเห็นในที่มืดต่อเนื่องกันหลายชั่วโมง แม้ว่ากลุ่มผู้ถูกทดลองจะถูกกระตุ้นหนักแค่ไหน ค่า dark focus ก็ไม่เปลี่ยน (ตำแหน่งพักคงที่)

ดังนั้น :

การพักตานั้น ต้องมอง accommodation เป็น dynamic balance ระหว่าง parasympathetic และ sympathetic

ส่วนความเข้าใจผิดเรื่อง Infinity นั้น การพักสายตาไม่ใช่การ “ไม่ทำอะไรเลย” แต่คือการกลับเข้าสู่ dark focus
#การนำความรู้เหล่านี้ไปใช้

วิธีที่เวิร์กสุดสำหรับการพักตาคือ สลับใช้ทั้งสองอย่าง: ระหว่างวันหันไปมองไกลบ่อย ๆ และหาเวลาหลับตาพัก 1–2 นาที เพื่อ reset ระบบเพ่งจริง ๆ

ก็หวังว่าบทความเรื่องนี้ พอจะสร้างบันเทิงปนสาระเล็กๆน้อยๆ ได้บ้าง

ขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตาม

ดร.ลอฟท์ ,O.D.

ปรึกษาปัญหาระบบสายตาและการมองเห็นได้ที่
Loft Optometry ,578 ถ.วัชรพล ท่าแร้ง บางเขน กทม. 10220
lineID : loftoptometry
Mobile : 090-553-6554

Special StoryTopic : เมื่อความดื้อพาผมมาเจอเส้นทางชีวิต: กำเนิด Loft Optometryย้อนกลับไปนานนิดนึง สมัยที่ยังเรียนอยู่ ม....
12/09/2025

Special Story
Topic : เมื่อความดื้อพาผมมาเจอเส้นทางชีวิต: กำเนิด Loft Optometry
ย้อนกลับไปนานนิดนึง สมัยที่ยังเรียนอยู่ ม.ปลาย ร.ร.วัดเขมาภิรตาราม ห้องโครงการวิทย์ ซึ่งก็เป็นห้องเรียน(นิดหนึ่ง)ที่ครูบาอาจารย์เขาอยากจะฝากฝังให้เป็นกำลังของชาติต่อไป ซึ่งเพื่อนๆส่วนใหญ่ก็เลือกเรียนสาขาที่เกี่ยวข้องกับวิทย์ ไม่ว่าจะแพทย์ เภสัช วิศวะ สถาปัต สัตว์แพทย์ มหาลัยปิดดังระดับประเทศทั้งนั้น
ส่วนผมเรียน ม.รามคำแหง ซึ่งเป็นมหาลัยที่เด็กห้องคิงไม่ค่อยนึกถึงสักเท่าไหร่ เพราะตอนกวดวิชาจะถูกเสี้ยมโดย​ “พี่ไส-ตัวตึงเดอะเบรนด์” เสี้ยมให้เรากลัวศิลา ทำให้เด็กส่วนใหญ่ไม่กล้าแง้มใจเข้าไปดูว่าในรั้วรามคำแหงมีอะไรที่น่าสนใจ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับวัฒนธรรมนี้มาเต็มๆจากการถูกเป่าหูทุกครั้งที่เข้าเรียน และ ไม่เคยคิดในหัวว่าวันหนึ่งจะได้เป็นเป็นลูกพ่อขุนจริงๆ
ผมเป็นคนหนึ่ง(เหมือนเด็กหลายๆคน)ที่ถูกปลูกฝังค่านิยมว่าถ้าเรียนเก่งต้องเรียนแพทย์ ซึ่งสมัยนั้นใครจะเรียนแพทย์ต้องไปฝึกงานอยู่ รพ. 10 วัน เพื่อเอาหนังสือไปยื่นสมัครสอบ ซึ่งผมเลือก รพ.ทรวงอก (แยกแคลาย) เพราะแม่ผ่าตัดหัวใจที่นั่นและไม่ไกลบ้านเท่าไหร่และที่สำคัญ เจ้าหน้าที่บอกว่า ไม่เคยมีเด็กมาขอฝึกงานที่นี่เลย ดีเลย รอสักครู่ พี่เจ้าหน้าที่ก็โทรหาหมอที่ห้องฉุกเฉินว่า

“คุณหมอคะ....มีเด็กอยากเป็นหมอ คุณหมอสะดวกไหมคะ” - เจ้าหน้าที่ถามหมอ

“ดี ! ส่งมาเลย” -คุณหมอท่านที่อยู่ปลายสาย
นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการไป observe ห้อง Emergency Room เป็นครั้งแรก ของนักเรียนอยากเป็นหมอ (จริงๆก็ยังไม่มั่นใจว่าอยากเป็นไหม แต่ถ้าจะสอบมันก็ต้องไป)
ห้อง ER เป็นห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน ดังนั้นผู้ป่วยที่เข้ามาล้วนอยู่บนเส้นด้ายของความเป็นความตาย รอดก็มาก ตายก็มี เสียงอุปกรณ์ช่วยชีวิตดังปิ๊บๆตลอดเวลา เสียงโอ้ยๆจากความเจ็บปวดตลอดเวลา ที่นั่นไม่มีเสียงเพลง ไม่มี netfllix (สมัยนั้นยังเช่าม้วนเทปลุงหนวดกันอยู่) และ ผมก็ได้เห็นคนที่หัวใจเต้นมากกว่า 400 ครั้งต่อนาทีก่อนกราฟสั่นจนนิ่งไป จากนั้นหมอก็วางอุปกรณ์ลงแล้วบอกว่า

“โอเค เราทำเต็มที่แล้วแล้ว ป่ะ..ไปกินข้าว เดี๋ยวพี่เลี้ยงข้าว” (กินที่โรงอาหารโรงพยาบาลเพราะต้องรีบกลับเข้าไป standby) ผมได้แต่เหวอ..ว่าเราสามารถกินข้าวได้ด้วยหรือในสภาวะนี้
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมมาสาย ซึ่งปกติเขาให้เข้า 8 โมงเลิก 5 โมงเย็น แต่แคลายรถติด ทำให้ผมมาสาย น่าจะประมาณ 15 นาทีได้ เจ้าหน้าที่โกรธมาก เหมือนผมทำผิดร้ายแรง ดูไม่สมเหตุสมผลอะไร เพราะผมมาดูก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี แต่ก็ได้เหตุผลว่า

“ ถ้าอยากจะเป็นหมอ 1 นาทีก็มีค่าสำหรับความเป็นความตาย ถ้าทำไม่ได้ก็ไปหาอาชีพอื่นทำ อย่าเป็นหมอเลย” หน้าชานิดหน่อย แต่ที่เจ้าหน้าที่พูดมันก็จริง
ก่อนจะฝึกครบ 10 วัน คุณหมอท่านนั้น ถามผมเพื่อให้ผมถามตัวเองว่า

“ทำไมจึงอยากเป็นหมอ” ....เพื่อเงินหรือ ? ถ้าเพื่อเงินมันมีอาชีพอีกมากมายที่มีเงินและไม่เหนื่อยเหมือนหมอ พี่เองก็มีเงินมากอยู่ แต่ไม่มีเวลาใช้เงิน ออกจาก รพ.ห้างก็ปิด ร้านก็ปิด พอห้างเปิดเราก็ทำงาน ดึกดื่นง่วงแค่ไหน ถ้ามีสายเรียกเข้าก็ต้องตื่นไปทำงาน ชีวิตมันต้องสแตนด์บายอยู่กับผู้ป่วยตลอดเวลา แต่ถ้าจะเป็นหมอ นั่น! ห้องนอนพี่ (ห้องแคบๆ ในห้อง ER กว้างประมาณวากว่าๆ ลึก 3 เมตร มีโซฟายาวตั้งอยู่) ถ้าวันไหนมีเวรก็ต้องนอนที่นี่ พี่นอนที่นี่มา 2 คืนแล้ว เดี๋ยววันนี้หมดเวร จะได้กลับนอนบ้านแล้ว”
และพี่หมอท่านนั้นก็พูดต่อว่า “การเป็นหมอ มันไม่ได้เป็นกันแค่ปีสองปี แต่มันเป็นสิบ ยี่สิบ สามสิบปี จนกว่าจะเกษียร คิดดีๆอีกที ว่ายังอยากเป็นหมออยู่ไหม ถ้าเห็นแบบนี้แล้วยังอยาก ก็เอา”
แล้วก็จบการฝึก 10 วัน ที่รพ.ทรวงอก พร้อมกับได้ความคิดมาอีกหลายเรื่องให้ต้องตัดสินใจกันใหม่
เอาจริงๆ ผมแค่อยากเป็นหมอเพราะมันรู้สึกเท่ ไม่ได้อยากจะลำบากหรอก คือคนเก่งๆมันต้องเรียนหมอป่ะ! มันถึงจะเท่ ช่วงนั้นหนังเรื่อง “หมอเจ็บ” กำลังดังด้วย เรียกได้ว่า เป็นไอดอลของเด็กที่อยากเป็นหมอเลยก็ว่าได้ ผมก็คนหนึ่ง อยากเป็นหมอเท่ๆ เหมือนหมอถุน ด้วยคณะนั้น “ทัศนมาตรศาสตร์” ยังพึ่งจะเริ่มได้ 4 ปี (หลักสูตร 6 ปี ) ดังนั้นยังไม่มีใครจบและ social media ก็ไม่ได้มีแบบอย่างในวันนี้ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เนต ก็ยังไม่ทั่วถึงเท่าไหร่ ดังนั้นการจะไปหาดูว่าในรั้วรามมีอะไรเรียนนั้น แทบจะไม่เคยอยู่ในหัว
เอาตอนจบเลยนะ ผมเลือกแพทย์ 3 แห่ง ไม่ติดเลยสักแห่ง (ฮา) ชีวิตติดมันส์ไปหน่อย เอาจริงเลยนะ จะโม้ก็ว่าโม้ ผมมาจาก ร.ร.ภูธร หน่อยๆ (ร.ร.บางบัวทอง) อยากจะหาความท้าทายก็เลยไปสอบโครงการวิทย์วัดเขมา ผมได้คะแนนอันดับหนึ่ง ทำให้ผมแอบปรามาสโรงเรียนอยู่เล็กๆในช่วงแรก ต่อมาก็เน้นสนุกอย่างเดียว กว่าจะได้สติก็จวนจะจบม.6 แล้ว ตะลุยอ่านไม่ทัน (สม) ครั้นจะเรียนสาขาที่ติด (วิทย์เคมี ม.เกษตร) เพราะชอบวิชาเคมี (ศิษย์ อ.อุ๊) ก็ดูกะไรอยู่ เอาจริงเลือกทิ้งไว้งั้นแหล่ะ เผื่อคนถามเราจะได้บอกได้ว่า “เอ็นติด” (ฮา) ถามว่าจะเรียนจึงไหม ? ฮึ!. Nop!
ในช่วงที่เคว้งคว้าง เหมือนกองอะไรสักอย่างลอยไปตามน้ำ ก็ไปเจอ โฆษณาในเว็บไซต์ถึง ศาสตร์สาขาใหม่ (ทัศนมาตรศาสตร์) เปิดแห่งแรกในประเทศไทย โดยความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) จากมหาวิทยาลัย อินเดียน่า (Indiana U.,usa) แหม่...แค่ชื่อมันก็ดีจะเท่ๆอยู่นะ ค่าเทอมก็เอาเรื่อง ปี1-2 เทอมละ 45,000/เทอม , ปี 3-6 75,000-90,000 /เทอม (เดี๋ยวนี้ถูกลง แต่ก็ยังแพงอยู่ดี)
ท่านลองคิดตามนะ คณะอะไรก็ไม่รู้ คนจบก็ยังไม่เคยมี ค่าเทอมเกือบแสน เรียนที่รามคำแหงที่ปกติหน่วยกิตละ 25 บาท กลายเป็น หน่วยละ 1,500 บาท แล้วค่าธรรมเนียมการศึกษาอะไรก็ไม่รู้เทอมละ 45,000 บาท ค่าชีต 5,000 บาท มีค่าห้องคอมพิวเตอร์ด้วยอีก 5,000 บาท (แต่ห้องคอมพ์ผมว่าคุ้ม เพราะว่าเอาไว้โหลดบิตประจำ (ฮา)) จบแล้วจะไปทำอะไร ท่านคิดว่าผมจะไปบอกผู้ปกครองยังไงดีให้เขายอม
แต่ผมเป็นเด็กดื้อระเบิด ถ้าจะเรียนก็ต้องได้เรียน ยากตรงไหนค่าเทอมแค่นี้ “ก.ย.ศ.” ช่วยท่านได้ (ฮา) บ้า...น่า ดอกร้อยละบาท ไม่เอาก็บ้าแล้ว จ่ายได้ปีละเทอมก็ยังดี (ยังไงก็ขอขอบคุณ ก.ย.ศ. ที่ช่วยให้เกิด ดร.ลอฟท์ขึ้นมาจนถึงวันนี้)
ดังนั้นการเรียนทัศนมาตรของผมนั้น เกิดขึ้นจากความดื้อของตัวเอง ใครห้ามก็ไม่ฟัง แล้วก็ได้เรียนรามเป็นลูกพ่อขุนสมใจพี่ไส-เดอะเบรนด์ (ฮา)
เริ่มเรียนวันแรกเรามีสมาชิกกันอยู่ 25 คน ที่กำลังงงๆ กับตัวเองว่า

“นี่เรากำลังทำอะไรอยู่ เรียนอะไร เรียนไปเป็นอะไร เรียนจบแล้วจะไปทำงานที่ไหน แม้แต่คนในรามก็ยังไม่รู้เลยว่ามีคณะนี้อยู่ในมอ"

มีครั้งหนึ่ง นศ.รามถามเราที่กำลังเดินไปกินข้าวที่โรงอาหารว่า

“พวกนายเรียนอะไรหรือ”

เราก็ตอบว่า “เราเรียนทัศนมาตรศาสตร์”

นศ.ถามว่า “มันเรียนเกี่ยวกับอะไรหรือเกี่ยวกับการท่องเที่ยวหรือเปล่า”

“เอ่อ! “ไม่ใช่ครับ.. นั่นมันทัศนศึกษาครับ เราเรียนเกี่ยวกับตา”

“เหรอ แล้วเรียนแล้วไปเป็นอะไร เป็นจักษุหรือเปล่า”

“ ไม่ใช่ครับ

“เป็นช่างแว่นหรือเปล่า” “ก็เปล่าครับ”

“แล้วเป็นอะไร” อยากจะบอกจริงๆว่า “ ไม่รู้ครับ” (ฮา)
มีครั้งหนึ่งตอนปรับปริญญา ทัศนมาตรศาสตร์ ชุดครุยเขาจะเป็นสีเขียวขี้ม้า นศ.ราม ก็ถามว่า

“เธอๆ ครุยสีนี้คณะอะไรอะ”

เพื่อนผมตอบว่า “คะน้าหมูกรอบครับ” 555 ,
เอาจริงก็ฮาดีนะครับ คือมันยากในการที่เราจะบอกใครว่า เราเรียนอะไร เรียนออกไปทำอะไร อยู่ตรงไหนของวิชาชีพหรืออาชีพ
ดังนั้นช่วงที่เรียนเรียกได้ว่า Blank กันสุดๆ แล้วท่านคิดว่าพ่อแม่ที่จ่ายค่าเทอม ถ้ารู้ว่า ลูกๆ กำลังเหวอๆ เขาจะรู้สึกอย่างไร มันเหมือนกับการเริ่มต้นเดินทาง ที่ไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางหน้าตามันจะเป็นยังไง เพราะมันยังไม่เคยมีภาพทัศนมาตรทำงานอยู่ในประเทศไทย
ผ่านไป 2 เทอม เราเหลือเพื่อนอยู่ 7 คน ชาย 2 มีผมกับบาส หญิง 5 มี เปิ้ล ตุ๊ ต่าย ปู เอมิ ฮุ้ง หมดแล่ว! ดีว่าตอนปีสาม มีพี่ๆที่เป็น new track เข้ามาจอยอี 5 พี่ทวี พี่บุ๋ม พี่บอย พี่วี พี่อุ้ย สิริรวมได้ 12 คนถ้วนๆ (เริ่มพอเข้าใจว่าทำไมค่าเทอมถึงแพง เพราะมันไม่มีคนช่วยหารกันนี่เอง (ฮา)
ท่ามกลางความระส่ำระส่ายภายในใจถึงอนาคตวิชาชีพของตัวเอง ก็ต้องอาศัยกำลังใจส่งต่อกันและกันให้สู้ต่อไปจวบจนสำเร็จการศึกษา รับใบปริญญาที่ฉันชอบ ดีใจแค่ไหนไม่ต้องบอก เดินพลางยิ้มพลาง สะบายดี....(เหมือนเพลงพี่ปู เป๊ะ) แต่โชคดีที่ไม่มีท่อน “รีบเดินย่ำต๊อกหางาน....” เพราะรุ่นพี่ (ดร.เก่ง) ชวนไปบุกเบิกบริษัทโรเด้นสต๊อกไทยแลนด์ด้วยกัน คือเขามีมาเป็นร้อยปีแล้ว เพียงแต่ว่าพึ่งมาทำตลาดในประเทศไทยเป็นปีที่สอง นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นมนุษย์เงินเดินในตำแหน่งนักวิชาการเลนส์โรเด้นสต๊อก (Rodenstock Lens Consultant Thailand) ชื่อตำแหน่งดูเท่นะ แต่กินเงินเดือน 22,000 บาท(เกือบถ้วน) เดชะบุญ! ว่ามีค่าน้ำมันกับค่าโทรศัพท์ให้เดือนละ 7,000 บาท คือต้องทำงาน 3 เดือน ยังไม่ได้ค่าเทอมทัศนมาตร 1 เทอมเลย (จายร้ายยยยย...)
แต่เอาจริงนะ ผมไม่ได้สนใจเงินเดือนเลย ผมสนใจแค่ว่า ที่ไหนมีที่ให้ผมได้เรียนรู้มากที่สุดแล้วมีค่าขนมให้ผมระหว่างที่ผมเรียนก็ดีโขแล้ว ซึ่งเพื่อนๆผมขณะนั้นกินเงินเดือนเริ่มต้น 45,000 -50,000 บาท (สมัยนั้นทองบาทละหมื่นฝ่าเองนะ) ดังนั้น Rodenstock เป็นบริษัทใหม่ มีอะไรให้ทำเพียบเลย
ตลอด 4 ปี ผมไม่เคยลาป่วย ไม่เคยลาพักร้อน มีลากิจ 5 วันไปอ่านหนังสือสอบบอร์ด ซึ่งก็ผ่านในปีนั้นเลยและทำงานยันวันที่ 31 ธ.ค. ฮึ..ไม่ใช่ขยันหรอก ไม่มีที่ไป อย่างน้อยมา office ก็ได้เจอพี่ๆที่ทำงาน มีคนคุย มีเพื่อนกินข้าว ฮา (ถามพี่ยิ้มได้...เพราะพี่ยิ้มก็ทำงานยันวันสุดท้ายเหมือนกัน...ก็จะมีเสียงประมาณว่า “ปีใหม่ไม่หยุดหรือ ยศซี่....” “ไม่มีที่ไปครับพี่” (ฮา)
ผมใช้เวลา 4 ปี (2010-2014) ใน Rodenstock และ รู้สึกอิ่มในความรู้ปริญญา 4 ปีในโรเด้นสต๊อก เลยมองหาความท้าทายใหม่ คุณบุรินทร์ (direct manager ขณะนั้น) เสนอเพิ่มให้ผมอีกหมื่นเพื่อให้อยู่ช่วยงานต่อ แต่ก็อย่างที่ผมบอกในตอนต้นว่า ช่วงนี้ผมยังไม่ต้องการเงิน ผมแค่ต้องการความท้าทายใหม่ๆ เพราะ 4 ปีแล้วที่ยังไม่ได้ทำงานด้านทัศนมาตรคลินิก
จังหว่ะนั้น มีพี่ท่านหนึ่งชื่อพี่สม (แกไม่อยู่แล้ว) ซึ่งแกเป็นลูกค้าโรเด้นสต๊อก เปิดร้านอยู่ในบ้านที่ลำปาง ชื่อร้านจุ้ยโต ซึ่งร้านนี้ถ้าเป็นคนแถบย่านทางเหนือไม่มีใครไม่รู้จัก หมอสมแห่งจุ้ยโตบ้านแว่นตา เพราะแกเป็น legend ทางด้านนี้ไปแล้ว (ถ้าแกยังอยู่ ผมว่าแกคือช่างแว่นตาเบอร์หนึ่งของประเทศ-ไม่ได้อวย) ระหว่างที่ผมขึ้นเทรนด์โปรดักซ์ให้แก แกก็ challenge ผมว่า

“ความรู้อย่างเอ็งเนี่ย...ทำไมยังทำงานอย่างงี้อยู่วะ! ทำไมไม่เอาความรู้มาทำประโยชน์ให้กับคนมากกว่านี้ ไปที่ไหนก็ต้องพูดแบบนี้ ซ้ำๆ ไม่เบื่อไงวะ อยู่กับพี่ดีกว่า มีอะไรให้เองใช้สมองกว่านี้เยอะ ”
แหม่...มันจี๊ดดด มันโดน มันโดน...เรียกได้ว่า ปั่นได้จังหว่ะซะด้วย จากนั้นแกก็ไปที่บริษัท ไปหาคุณบุรินทร์ในห้องทำงาน

“คุณบุรินทร์ เดี๋ยวผมขอเอาไอ้ยศไปอยู่ด้วยนะ”

คุณบุรินทร์ก็ตอบว่า “ผมก็คงไม่ขัดใจอะไรถ้าเด็กเขาอยากโต ก็ให้เขาตัดสินใจเอาเอง”

หลังจากนั้นแหล่ะที่พี่แกเสนอเพิ่มเงินเดือนให้อีกหมื่นหนึ่ง แต่ไม่ทันแล้วหล่ะ เครื่องมันร้อนนนนน...
ผมอยู่ช่วยงานพี่สมอยู่ 6 เดือน remodel ทุกอย่าง ทั้งในเรื่อง display การแต่งร้าน ทุกสิ่งอย่าง ผมคิดพี่สมจ่าย มันจึงเป็นสนามเรียนการทำธุรกิจตามจินตนาการของเราโดยมีคนลงทุนตามความคิดของเรา ซึ่งผลงานก็ออกมาตามที่ผมจินตนาการและการตอบรับก็ดี ที่เคยดีอยู่แล้วก็เลยดียิ่งขึ้น ซึ่งตลอด 6 เดือน ผมไม่มีเงินเดือน อาศัยบ้านเขาอยู่ กินข้าวกับเขา ดีว่าเขาจ่ายค่างวดรถมาร์ชเดือนละ 7,000 บาท ซื้อ iphone 5 ให้ผมเครื่องหนึ่ง (ปกติผมใช้ samsung hero 400 บาท เพราะไม่เล่น socail ไม่เล่นไลน์ ถ้ามีธุระก็โทรเอา) แล้วก็เรียนจบใน 6 เดือน จะเพราะอะไรก็ช่างมันเถอ! อย่างน้อยที่สุด ผมได้ประสบการณ์การลงมือทำธุรกิจจริงและ work จริง
โมเดลที่ผมสร้างไว้ที่ลำปาง ผมก็เอาความคิดผมมาลงที่ Loft Optometry วัชรพล ในปัจจุบัน เพราะมันคือ DNA ของผม
แต่การเริ่มต้น loft optometry ด้วยเงินติดตัว 10,000 บาท พร้อมหนี้ส่งรถอีกเดือนละ 7,000 บาท ก็ไม่ได้ง่ายเลยสำหรับการที่จะเริ่มสร้างกิจการด้วยทุน 0 บาทถ้วน แต่ช่วงนั้นก็โชคดี พอคุณบุรินทร์ทราบข่าวก็เรียกไปช่วยงานเป็น job ๆ วันละ 2,500 บาท พอให้ได้จ่ายค่ากินใช้ แต่ก็ตั้งใจว่าจะไม่กลับไปทำงาน routine ที่ rodenstock เพราะชอบงานคลินิกมากกว่า เปลี่ยนจาก lens consult มาเป็นลูกค้าก็ดีไปอีกแบบ

และนี่... ก็คือจุดเริ่มต้น Loft Optometry ในปี 2014
เดี๋ยวตอนหน้าผมจะมาเล่าถึงช่วงเริ่มต้นของการเริ่มทำร้าน ว่าผมมีทุนเป็นศูนย์ แล้วผมเริ่มมันยังไง และตลอดระยะ 10 ปีที่ผ่านมา แต่ละช่วงชีวิตตื่นเต้นท้าทายยังไง ไว้จะมาเล่าให้แฟนเพจฟัง สำหรับตอนนี้ขอลากันไปเพียงเท่านี้ หวังว่าจะเป็นเรื่องเล่าพอสนุกๆนะครับ

ขอบคุณที่อ่านกันมาจนจบนะครับ หวังว่าจะได้รับความบันเทิง ไม่มากก็น้อย

สวัสดีครับ

ดร.ลอฟท์

ที่อยู่

Bangkok

เวลาทำการ

อังคาร 09:00 - 18:00
พุธ 09:00 - 18:00
พฤหัสบดี 09:00 - 18:00
ศุกร์ 09:00 - 18:00
เสาร์ 09:00 - 18:00
อาทิตย์ 09:00 - 18:00

เบอร์โทรศัพท์

+66905536554

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Loft Optometry : Your Eyes in Good Hands.ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Loft Optometry : Your Eyes in Good Hands.:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

เรื่องราวของเรา

THE REASONS WHY !

When you have visual problems, This is what The REASONS Why you’ve to come to see us at Loft Optometry.

We Offer The Best Service ,

We Are Optometrist , A doctor who graduated in Doctor of Optometry professional Program for 6 years, well-training for #exam, #diagnose , #manage the disorder of the visual system of the eye and associated structure related condition affecting the eye. We use the most modern wold standard eye exam instruments for diagnose ,treat and prescribe any type of ophthalmic lens precisely and Yes ,We Are The FIRST in Thailand who have and use the hi-end cnc-edging machine ,WECO E.6, import form Germany to precious cutting ,edging , precisely and beautiful especially for #LINDBERG frame.