
26/09/2025
Bitcoin 101
ตอน บิทคอยน์มันแพง..หรือเงินมันถูก
มีแฟนเพจ คอมเมนท์ว่าอยากให้เขียนเรื่อง bitcoin ก็เลยจัดสักหน่อย เดี๋ยวจะเสียศรัทธา
แต่ก่อนจะเข้าเรื่อง ผมไม่ได้ชักชวนให้ถือบิตคอยน์และนี่ไม่ใช่การส่งเสริมให้เข้าถือครองบิตคอยน์ เพียงแต่ต้องการทำความเข้าใจว่า บิตคอยน์คืออะไร เกิดขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาอะไร
ส่วนใครได้ฟังแล้วจะถือบิตคอยน์หรือไม่นั้นก็ขอให้เป็นการติดสินใจเฉพาะตน เพราะ “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินในลงทุน”
ผมก็แค่คนที่รู้จักบิทคอยน์ครั้งแรกตั้งแต่ราคา 50,000 บาท/btc แต่ไม่เคยสนใจที่จะถือเลยจนกระทั่งราคาขึ้นไป 1.2 ล้าน/btc เหมือน 4 ปีก่อน และ โดนมามากจากความไม่เข้าใจว่า “การถือโง่ๆเขาทำกันยังไง แต่(เสื_)อยากจะฉลาดกว่าบิทคอยน์ อยากจะชนะตลาด ซื้อถูกขายแพง เข้าๆออกๆ จบด้วยความเละไม่เป็นท่า” เพราะนั่นมันเริ่มจากความไม่เข้าใจ
ขณะที่ผมพิมพ์อยู่นี้ ราคาของบิตคอยน์อยู่ที่ 3,580,000บาท/btc โดยประมาณ ซึ่ง all time high นั้นอยู่ที่ 4,000,000 บาท เมื่อวันที่ 17 ก.ค.68 และ 12 ส.ค.68 ซึ่งเพิ่มจากจุดต่ำสุดสำหรับ wave ที่ผ่านมาเมื่อ 25 พ.ย.2565 ที่ราคา 570,000 บาท/btc หรือเพิ่ม 700% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และจากแหล่งข้อมูล “Bitcoin & Traditional Assets ROI” ระบุว่า 10 ปี บิทคอยน์ให้ผลตอบแทนประมาณ +46,310% เมื่อเทียบกับ USD
แต่สาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่มันเพิ่มขึ้นมากี่เปอร์เซนต์ แต่สำคัญที่ว่ามันกำลังทำอะไร และ เกิดอะไรขึ้นจึงทำให้มูลค่าบิทคอยน์นั้นเพิ่มขึ้นขนาดนั้น เพราะสุดท้ายแล้วเราจะมีบิทคอยน์เท่าที่คุณเข้าใจ เช่นเดียวกันมันไม่ใช่สาระสำคัญว่าปลูกต้นไม้โตเร็วหรือโตช้าหรือเมื่อไหร่จะได้กินลูก มันอยู่ที่ว่าวันนี้เริ่มคิดจะปลูกแล้วหรือยัง
ดังนั้นวันนี้เราจะมาทำความเข้าใจกันในเรื่องนี้และท้ายที่สุดแล้วคุณจะมีบิทคอยน์ติดตัวเท่าไหร่ นั่นก็แล้วแต่ความเข้าใจหรือจะไม่มีเลยก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่ที่สำคัญคือถ้าคิดจะถือ “อย่าเชื่อโดยไม่เข้าใจ เพราะการเชื่อโดยไม่เข้าใจ สุดท้ายคุณจะไม่มีบิตคอยน์หลงเหลือติดตัวอยู่เลย เพราะจริงๆคุณไม่ได้เข้าใจ”
“ทองแพงหรือค่าเงินมันถูก”
ก่อนจะทำความเข้าใจบิทคอยน์ สิ่งที่เราต้องถามตัวเองก่อนว่า “ทองแพงได้ยังไง” “ทองแพงเพราะว่าทองมันแพงหรือเพราะว่าเงินมันถูก จึงต้องใช้เงินมากขึ้นในการซื้อทองปริมาณเท่าเดิม” ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น “เงินมันถูกลงได้อย่างไร” หรือ “ของมันแพงได้อย่างไร”
คนทั่วไป เวลาของแพง จะโทษแม่ค้าว่าขายแพง แต่ไม่เคยโทษหรือสงสัยว่าเงินของตัวเองนั้นมีค่าลดลง เพราะเราเชื่อตัวเลขในกระดาษว่ามันมีมูลค่าที่จะนำไปแลกสินค้าและบริการได้ แต่เราไม่เคยเอะใจเลยว่า ต้นทุนกระดาษกับหมึก ที่เขาเอามาพิมพ์ให้เราใช้นั้นกี่บาท เพราะทุกคนเชื่อแบบเดียวกันหมดว่า แบงค์สีต่างๆนั้น มีมูลค่าในตัวมัน ตามตัวเลขนั้นๆ เพราะเอาไปแลกสินค้าที่ไหน เขาก็รับทั้งหมด แต่ไม่เคยเอะใจว่าทำไมต้องใช้จำนวนใบมากขึ้นเพื่อให้ได้ของปริมาณเท่าเดิม บางประเทศเขาต้องใช้เงินกระดาษเป็นกิโลเพื่อแลกกับไข่แผงหนึ่ง หรือ แม้แต่เงินกระดาษเยอรมันช่วงแพ้สงครามโลกที่มีเรื่องเล่ากันว่า เอาเงินกระดาษใส่เต็มตะกระไปซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อจะดูว่าซื้ออะไรได้บ้าง หันมาอีกที เงินอยู่แต่ตะกร้าหาย !!!!
ถ้ากระดาษมีค่าจริง เราอยากจะสะสม “กีบ” ที่รัฐบาลลาวเป็นคนผลิต หรือเราอยากจะเก็บ “รูปี” ที่รัฐบาลอินเดียผลิต หรือ เงิน “จ๊าด”ที่รัฐบาลพม่าผลิตไหม หรือ เราอยากจะเกิดเงิน “เรียล” ที่ฮุนเซน เป็นคนผลิต
คำตอบคือ “ไม่” เพราะเราไม่เชื่อในรัฐบาลเหล่านั้น แต่เรายังเก็บบาทเพราะเราเชื่อในรัฐบาลไทย อย่างน้อยก็ซื้อกะเพราในไทยได้ จริงๆ ประชาชนในประเทศถูกบังคับให้ใช้เงินตราของตัวเองอยู่แล้วถ้าจากกันแล้วน่าจะปกครองกันยาก
แต่ก็ไม่มีใครปฎิเสธดอลล่าร์เพราะเราเชื่อในรัฐบาลอเมริกา ลองไม่เชื่อเขาสิ เขาก็จะเอาประชาธิปไตยมายัดเยียดให้เหมือนหลายประเทศในตะวันออกกลาง
ความหมายก็คือ เราเชื่อในกระดาษเพราะเราเชื่อในรัฐบาล เราจึงเรียกเงินกระดาษเหล่านี้ว่า “เงินแห่งความเชื่อ” หรือ “ fiat currency” ซึ่งมันก็มีค่าสำหรับชุมชนนั้นๆ หรือ ประเทศนั้นๆ ที่เชื่อในค่าหรือตัวเลขเหล่านั้นที่รัฐบาลผลิตให้ และ เรามักไม่ค่อยสงสัยที่มาของกระดาษเหล่านั้น
บางคนยังเชื่อว่ามีการจะผลิตเงินออกมาได้นั้นจะต้องมีทองคำสำรองที่มีมูลค่าเท่ากับกระดาษที่พิมพ์ออกมา ซึ่งถ้าใครที่คิดแบบนี้ก็คงเป็นคนที่มองโลกสวยไปหน่อย เพราะระบบการเงินของเราออกจาก gold standard มาเป็น fiat standard มาตั้งแต่ 50 ปีก่อนแล้ว
พักเรื่องเงินกระดาษ แล้วนั่ง time machine ย้อนกลับไปเมื่อ 25 ปีก่อน
ค่าเงินบาทก่อนวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 อยู่ประมาณ 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และ ราคาทองคำในตลาดโลก (Gold spot, USD/oz) เฉลี่ยปี 1997 อยู่ที่ประมาณ $331 ต่อออนซ์ (troy ounce)
การแปลงเป็น “ทองคำบาทไทย
น้ำหนักทองคำ 1 บาทไทย ≈ 15.244 กรัม = 0.4901 troy oz
ดังนั้น ราคาทองคำอยู่ที่ ประมาณ 4,260 บาท/บาททอง
ถ้าขณะนั้นผมทำงานได้เงินเดือนๆละ 15,000 บาท กินใช้สักครึ่งนึง เหลือ 7,500 บาท/เดือน เก็บตังค์ 2 เดือนได้มา 15,000 บาท ครึ่งหนึ่งซื้อทองได้มาเกือบ 2 บาททอง อีกครึ่งหนึ่งฝากธนาคารโง่ๆเกินดอกร้อยละ 0.5-1 ต่อปี ตลอด 27 ปี = 9,900 บาท ขณะที่เงินเฟ้อเฉลี่ย 4% ต่อปี ตลอด 27 ปี ก็เฟ้อไปประมาณ 288% (ซึ่งจริงๆมันมากกว่านั้น) จะเห็นว่าฝากโง่ๆก็ได้โง่สมใจ
อีกก้อนหนึ่งผมเอาไปซื้อทองได้มา 2 บาททอง ขายวันนี้ได้ประมาณ 120,000 บาท จะเห็นได้ว่าในเวลา 27 ปี ต้องใช้เงินมากกว่าเดิมถึง 16 เท่า (จาก 7500 บาทได้ทองสองบาท) เพื่อให้ได้ทองเท่าเดิม
ณ ตรงนี้ให้เข้าใจว่า เงินเฟ้อทำให้ค่าในเงินกระดาษลดลง และ ทองคำสามารถต่อสู้เงินเฟ้อได้อย่างไร แต่สิ่งที่ต้องตั้งคำถามก็คือ เงิน 7,500 บาท ที่เนื่อยหาเท่าๆกันในเวลานั้น พอเวลาผ่านไปคุณค่ามันลดลงไม่เท่ากันได้อย่างไร สิ่งนี้เรียกว่า ความสามารถในการสะสมคุณค่าใน asset ที่คุณถือ เพราะเงินกระดาษมันไม่ได้มีความสามารถในการเก็บคุณค่า เพราะมันเฟ้ออยู่ตลอดเวลา ดังนั้นยิ่งเวลาผ่านไป value มันจะลดลงไปเรื่อยๆ
ดังนั้นก่อนที่จะเข้าใจ บิทคอยน์ ต้องทำความเข้าใจกับเงินเฟ้อเสียก่อน จะได้เข้าใจว่า ทำไมการฝากเงินเฉยๆไว้กับธนาคารกับการฝังตุ่มมันต่างกันตรงไหน แน่ๆเลยมันเสื่อมค่าเหมือนๆกัน นอกจากนี้แล้วยังอันตรายจากการโจรกรรม ธนาคารถูกปล้นได้ ถูกมิจฉาชีพดูดเงินออกไปได้ หรือถ้า ฝังตุ่ม ก็อาจจะโดนปลวกหรือราเอาไปกินได้
เงินกระดาษสร้างมาจากทอง ?
หลายๆคนยังมีความเชื่อว่า “เงินกระดาษที่เราใช้อยู่ขณะนี้ พิมพ์ออกมาการเอาทองไปค้ำ” ซึ่งนั่นมันเมื่อ 50 ปีก่อน (ยุค Gold Standard) ไม่ใช่ในปัจจุบัน เพราะการพิมพ์เงินมันเป็นเรื่องของ ธนาคารกลาง ที่พิมพ์ออกมาจาก asset ที่ถืออยู่ เช่นเงินตราหรือพันธบัตรของประเทศใหญ่ๆ แล้วก็ประเมินว่า อยากจะเฟ้อปีละเท่าไหร่ (เฉลี่ย 3%) เพราะเขาเชื่อว่า “เงินเฟ้อแล้วจะดี เพราะคนจะได้ขยันทำงาน เอาแรงไปแลกเอาเงินมา ยิ่งเงินมีค่าน้อย (ของแพง) ก็ต้องขยันมากขึ้นเพื่อให้ได้กินอยู่สบายเท่าเดิม คนก็จะวิ่งเร็วขึ้น แข่งกันมากขึ้น จะมาชิวๆ slow life แบบนี้ไม่พอกิน สภาพก็ออกมาอย่างที่เห็น คนรุ่นใหม่ไม่กล้ามีลูก เพราะเงินที่หาได้ไม่น่าจะพอที่จะเลี้ยงลูกให้สบายได้ ลำพักหากินกันสองผัวเมียยังไม่ค่อยจะเหลือเก็บเพราะของทุกอย่างมันแพง แล้วก็มาบ่นว่าคนไม่ยอมมีลูก อนาคตเราจะขาดแรงงาน แต่มือหนึ่งก็พิมพ์เงิน ปล่อยให้มันเฟ้อ ไม่ก็บ่นว่าคนไทยไม่มีเงินออม ก็มันจะเหลือที่ไหนให้ออมหล่ะครับเจ้านายขา คือมันก็ย้อนแย้งอะนะ (บนเฉยๆ)
พอมาถึงตรงนี้เราจะเห็นว่า “เงินเรามันเสื่อมค่าไปได้อย่างไร” เราไม่เหลือเงินออมได้อย่างไร ในเมื่อเราก็ขยันเหมือนเดิม และ ส่วนใหญ่ก็ใช้เงินหมดก่อนที่มันจะเฟ้อ คือไม่ทันได้เห็นมันเฟ้อก็หมดไปก่อนแล้ว ก็เลยไม่สนใจที่ศึกษาเงินเฟ้อ
ดังนั้น คนที่มั่งคั่ง เขาจะเลือกที่จะแปลงเงินกระดาษเป็นสินทรัพย์(asset) เช่นที่ดิน ทองคำ ขยายกิจการ เป็นต้น ได้ตังค์มาก็เอาไปขยายกิจการ ดังเราจะเห็นร้านสะดวกซื้อหรือห้างร้านต่างๆที่ขยายกิจการตลอดเวลา ส่วนเราๆ ที่ใช้แรงงาน ก็ใช้แรงแลกเงินกระดาษที่ดูท่าจะไม่มีวันสิ้นสุด แล้วจบที่รอรับเบี้ยคนชรา เพราะไม่เคยเหลือเก็บจากการวิ่งไม่ทันเงินเฟ้อ
ดังนั้น ทองคำ จึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการเก็บเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ ซึ่งก็ทำได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ติดแค่เรื่องการเคลื่อนย้ายทองคำนั้นทำได้ยาก เช่น เรามีทองสัก 1 กิโลกรัม อยากจะเอาไปให้ลูกที่ต่างประเทศ เราจะหิ้วโทงๆแบบนั้นผ่านสนามบินไม่ได้ (แต่ถ้ามีเครื่องบินส่วนตัวก็ไม่แน่) ทั้งๆที่มันเป็นทองของเราแท้ๆ จริงๆมันเป็นทองของเราในพื้นที่ที่เขายอมให้เราเป็นเจ้าของ หรือสมมติว่าเกิดสงครามขึ้นมา แล้วเราแพ้สงคราม แน่นอนว่า ฝ่ายที่ชนะสงครามย่อมมีสิทธิ์ในทองหรือที่ดินนั้นๆ แม้ว่าเราจะอ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของจากโฉนดที่ดินก็ตาม
เหล่านี้คือปัญหาของ hard-asset ซึ่งการเกิดขึ้นของ bitcoin มันก็เกิดขึ้นมาเพื่อที่จะ store of value เหมือนกันกับทองคำ แต่สามารถโยกย้ายไปไหนก็ได้ทั่วทั้งจักรวาลใบนี้ในไม่กี่นาที ไม่มีวันหยุดราชการ ไม่มีเวลาทำการ ขอเพียงแค่มีสัญญาณโทรศัพท์และอินเตอร์เนต เพราะมันคือ digital-asset
บิทคอยน์มีค่าได้อย่างไร
คำถามนี้มันก็ไม่ต่างจากถามว่า “ทองมีค่าได้ยังไง หรือ ทองแพงกว่าหินได้ยังไง” เพราะคำตอบคงไม่ใช่แค่ว่า “เพราะมันมีสีทองวาวๆ” หรือ “เอาไว้ห้อยคอหรือสวมก้อยแล้วมันดูสวยดี” หรือ มันแพงเพราะวันมันเป็นเครื่องประดับ เพราะมีเครื่องประดับสวยๆเยอะแยะแต่ไม่สามารถ store of value ได้แบบที่ทองทำได้ บางคนก็หลอมทองเป็นปั้นๆไม่ได้มีลวดลายอะไร แต่คุณค่ามันก็ยังอยู่ครบ ดังนั้นมันไม่ได้แพงเพราะมันสวยแน่ๆ
ความขาดแคลนและหายาก (Scarcity)
แก่นของทองแพง เพราะว่ามันได้จากการ ลงมือ ลงแรง ลงเวลา ลงเครื่องจักร ลงเงิน ลงทุน ลงความรู้ เพื่อให้ได้มาซึ่งเม็ดทองเล็กๆเท่ากับเม็ดทรายที่เกิดจากการร่อนโดยคน มันไม่ใช่เอารถแบคโฮตักใส่บุ้งกี๋แล้วไปกรองแล้วจะได้มา แต่มันต้องค่อยๆร่อนๆๆ ไปเรื่อยๆ กว่าจะได้มาในแต่ละบาทๆ ทรัพยาการที่ใส่เข้าไปเหล่านี้เองซึ่งมันมีต้นทุนทั้งสิ้น เพราะคนต้องกินข้าว รถเครื่องจักรต้องใช้น้ำมัน ไฟฟ้าต้องมีค่าไฟ พนักงานต้องมีเงินเดือน และยังไม่นับทรัพยากรเวลาที่ต้องใส่เข้าไป ทำให้ value จากการหายากของมันนั้น เข้าไปสะสมอยู่ในตัวทองคำ
ดังนั้นถ้าใครอยากจะมีทอง ก็ถือถาดอันนึง ไปตักดินมาแล้วก็ร่อนเดี๋ยวคงได้ทอง หรือ บ้างก็ไปดูส้วมเอามาตากแห้งแล้วก็เผาก็เคยเห็นเขาได้ทองบ้างอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าใครขี้เกียจร่อนทองแต่มีเงิน ก็ถือเงินเข้าร้านทางก็ซื้อเอาเลย ง่ายดี
ดังนั้นทองมันจะมีค่าตราบใดที่ความขาดแคลนมันยังคงอยู่ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราไปสำรวจดาวเคราะห์อื่นๆหรือขุดเจอแร่ทองขนาดใหญ่ และมันไม่ได้หายากอีกต่อไปแล้วหล่ะก็ มันก็ร่วงได้ แต่วันนี้ยังก่อน
บิทคอยน์ก็เช่นเดียวกัน มันใช้ทรัพยากรมากในการเกิดขึ้นมา โดยเฉพาะทรัพยากรไฟฟ้า ปัจจุบันข้อมูลจาก Cambridge Bitcoin Electricity Consumption Index (CBECI) ปี 2024 ประมาณว่า เครือข่ายบิตคอยน์ใช้พลังงานไฟฟ้ารวม ~138 TWh ต่อปี หรือเฉลี่ยประมาณ 15–16 GW คิดเป็นราว 0.5% ของการใช้ไฟฟ้าทั่วโลก เมื่อเทียบกับประเทศไทยทั้งประเทศซึ่งใช้ไฟฟ้ารวมประมาณ ~217 TWh ต่อปี (เฉลี่ย 24–25 GW) หมายความว่าการขุดบิทคอยน์ใช้ไฟฟ้าประมาณ สองในสามของการใช้ไฟฟ้าของไทยตลอดทั้งปี
กินไฟเยอะขนาดนั้น มันจะดีกับโลกหรือ ?
ถ้าว่าด้วยเรื่อง “กินไฟเยอะแล้วคุ้มหรือไม่กับการสูญเสียทรัพยากร” ก็ต้องเข้าใจอย่างนี้ว่า “บิทคอยน์ มันคือระบบธนาคารโลกใหม่ที่เป็นโลกดิจิทัล” ที่เปิดทำการ 24 ชม. ไม่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์ ดังนั้นมันก็ต้องไปเทียบกับธนาคารทั้งโลกว่าใช้ไฟฟ้าเท่าไหร่ ซึ่ง Galaxy Digital ประมาณว่า ระบบธนาคาร (branches, data centers, ATM, card networks ฯลฯ) ใช้พลังงาน ~ 263.72 TWh/ปี ไม่รวม “global payment system” (ระบบชำระเงินดิจิทัล + cash + infrastructure ที่เกี่ยวข้อง) ใช้อีก ~ 47.3 TWh/ปี และ ยังไม่รวมเราๆผู้เป็นลูกค้าที่ต้องขับรถไปธนาคาร เผาน้ำมัน เสียเวลาต่อคิว บางทีก็ไม่ทันเวลาทำการ บางทีโอนไม่ได้ติดเสาร์-อาทิตย์ บางทีมีติดหยุดยาว บางทีบช.โดนอายัติหาว่าเกี่ยวข้องกับ บ.ช.ม้า พอคนตกใจแห่ไปถอนเงิน บอกว่าต้องจองเงินจึงจะได้ (ฮ๊ะ!! ตอนฝากอย่างง่าย ตอนถอนอย่างยาก เพราะจริงๆเขาเอาไปเวียนเทียนปล่อยกู้หมดแล้ว ดอกฝาก 0.25% ดอกกู้ 25% ไม่เคยมีใครสงสัยเรื่องนี้กันเลยหรือ นี่มันรีดเลือดปูกันชัดๆ )
ส่วนการผลิตทองคำนั้นจากการรายงานบอกว่า ทองคำ (เหมืองแร่ + refinery) ใช้ไฟ ~240 TWh/ปี ก็ไม่น้อยนะ และ ยังมากกว่า บิทคอยน์อยู่ดี
แต่ก็ช่างเขาเถอะ ระบบนี้เขามีมายาวนานและผูกพันธ์ต่อความมั่นคงของประเทศหรือรัฐบาลโดยตรง แต่เรามาดูดีกว่าว่าทำไม บิทคอยน์มันต้องกินทรัพยากรขนาดนั้น
ถ้าตอบแบบกำปั้นทุบดินก็คือ “ถ้ามันหาได้ง่ายด้วยค่าแรงถูกๆ คิดหรือว่ามันจะมีค่าได้มากขนาดนี้” มันก็ไม่ได้ต่างจากทำไมดินทรายมันจึงถูกกว่าทอง เพราะต้นทุนในการดูดทรายมันง่ายกว่าร่อนทองไง
แต่ถ้าตอบจริงจังก็คือ “มันใช้กำลังไฟฟ้าจากเครื่องขุดทั้งบนโลกและอวกาศ(ดาวเทียม) ด้วยเหตุเหล่านี้คือ
1.Proof-of-Work (PoW)
Proof-of-work คือ การได้มาต้องเกิดขึ้นจากการลงมือทำไม่ใช่ด้วยการเสกได้เหมือนเงินกระดาษ ดังนั้นทุกบล็อกต้อง “ขุด” ด้วยการแก้สมการแฮช (Hash-function) → ต้องใช้คอมพิวเตอร์ (ASIC) นับล้านเครื่องแข่งกัน ซึ่งต่างจาก crypto อื่นที่ส่วนใหญ่ใช้การ “เสก” เอาจากกรรมการบริษัทหรือผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นเยอะ
ด้วยเหตุนี้ Bitcoiner จะ bully พวก crypto ว่าพวก sh*tcoin ��ระบบของบิทคอยน์จะถูกออกแบบให้ ยิ่งคนขุดมาก → ความยากปรับสูงขึ้นอัตโนมัติ → ทำให้กำลังไฟรวมของทั้งเครือข่ายจึง “scale ขึ้น” คือราคาดีคนก็ยิ่งลงทุนซื้อเครื่อง ASIC มาขุดเพิ่มขึ้น พอเครื่องเพิ่มขึ้นการแข่งขันก็สูงขึ้น การแข่งขันสูงขึ้น สมการ Hash ก็ยากขึ้น พอได้ยากขึ้น เหรียญก็มีราคา มูลค่ามันก็ขึ้นไปพร้อมกับการใช้ไฟฟ้าและแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ
2.ความปลอดภัย = ไฟฟ้า
ยิ่งใช้พลังงานมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้การโจมตีเครือข่าย (เช่น 51% attack) มีต้นทุนสูงมหาศาล คือตัวเองจะโจมตีเขาต้องมีกำลังขุดมากกว่า 51% ของทั้งหมด คือไม่คุ้มถ้าจะโจมตี และ ถ้ามีเงินมากขนาดนั้น ก็เอาไปสร้างเมืองบนดาวอังคารเถอะ จะมาโจมตีบิทคอยน์ทำไม เพราะพอคุณโจมตีได้ ซึ่งระบบมันก็จะตรวจเจอว่า bitcoin ถูก hack จากนั้นราคาก็ทิ้งดิ่งเป็นศูนย์ แล้วคุณใช้เงินมหาศาลที่จะโจมตีบิทคอยน์ ได้บิทคอยน์ที่ตลาดเททิ้งทั้งหมด...ทำเพื่อ ???
พูดง่าย ๆ คือ “ไฟฟ้า = กำแพงป้องกัน”
3.ไม่มีตัวกลาง ( Decenterization )
-ธนาคารใช้พนักงาน+ดาต้าเซ็นเตอร์+ระบบกฎหมาย
-บิตคอยน์ใช้ “พลังงานไฟฟ้า” แทน เพื่อสร้าง trustless system ที่ไม่ต้องพึ่งใคร และ ไม่ต้องเชื่อใคร ดังนั้นพวก bicoiner มักจะมีคำว่า “Don’t Trust ,Just Varify” เป็นสโลแกนหล่อๆ ที่เขามักพูดบ่อยๆ
บิทคอยน์เกิดมาจากอะไร (ขุดยังไง)
เพื่อให้เห็นภาพ ขอเล่านิทาน สองหมู่บ้าน พอให้เห็นภาพเสียก่อน
#หมู่บ้านรวมศูนย์ (centerized village)
ในหมู่บ้านแรก เวลาจะทำธุรกรรมอะไรก็ตาม ต้องไปหาผู้ใหญ่ง่าว ผู้ใหญ่ง่าวจะจดทุกอย่างไว้ในสมุดใบเดียวของเขา เช่น ตามีเอานาไปจำนองให้ตามา ผู้ใหญ่ง่าวก็จะเป็นพยานและเก็บเอกสารไว้เป็นหลักฐาน หรือใครจะขายที่ให้ใคร การบันทึกก็จะอยู่ในสมุดของผู้ใหญ่ง่าวทั้งหมด ดังนั้นธุรกรรมทั้งหมดขึ้นอยู่กับ ความไว้ใจในผู้ใหญ่ง่าว ว่าเขาจะไม่โกงและสมุดบัญชีจะไม่สูญหาย
แต่วันหนึ่ง บ้านผู้ใหญ่ง่าวถูกไฟไหม้ เอกสารหายถูกทำลายหมดหมด หลักฐานการจำนองไม่เหลืออยู่เลย ลูกหลานตามีจึงยึดที่นากลับคืนมาเพราะบอกไม่รู้เรื่องและไม่มีหลักฐาน ผู้ใหญ่ง่าวก็ทำอะไรไม่ได้ ส่วนตามีก็เสียเงินฟรี นี่เป็นลักษณะของระบบรวมศูนย์ที่มีความเสี่ยง เพราะทุกอย่างผูกกับ “จุดเดียว” (single point of failure)
#หมู่บ้านกระจายศูนย์ ( Blockchain village )
ในหมู่บ้านที่สอง มีกฎใหม่ขึ้นมาว่า ใครทำธุรกรรมอะไร จะต้อง “ประกาศผ่านโทรโข่ง” ให้ทุกบ้านได้ยิน และลูกบ้านที่อยากเป็น “ผู้จดบัญชี” (node) ก็จะจดลงสมุดของตนเอง → ทำให้มีสำเนาหลายเล่ม ไม่ใช่เล่มเดียวแบบบ้านผู้ใหญ่
แต่ละวัน ทุกๆ 10 นาที (block) คนในหมู่บ้านต้องเลือกใครสักคนมาเป็น “ผู้ประกาศบัญชีประจำวัน” เพื่อบันทึกธุรกรรมลงใน “หน้าสมุดกลาง” ของหมู่บ้าน ซึ่งถ้าใครได้รับหน้าที่ให้ประกาศจะได้รับรางวัลเป็นกล่องของขวัญที่มีเหรียญอยู่ภายใน และเหรียญที่ว่านั้นถูกตั้งชื่อว่า “บิทคอย์”แต่ความพิเศษของรางวัลคือมันไม่สามารถเสกได้เรื่อยๆ แต่จะลดลงครึ่งหนึ่งในทุกๆระยะเวลา 4 ปี แบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครับ 21 ล้านเหรียญ
ช่วงแรกๆ คนก็ไม่สนใจเท่าไหร่ เพราะคนมาทำธุรกรรมไม่ค่อยมี ลูกบ้านก็ไปทำไร่ไถนาไม่สนใจเรื่องทำบัญชี ได้เหรียญมาก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร เพราะยังขุดปูจับปลาตามห้วยหนองคลองบึงกันอยู่
แต่ระหว่างนั้นมันก็มีโจรพยาบาลจะเผาบ้านลูกบ้านที่ทำบัญชี กะจะทำลายหลักฐานธุรกรรม ซึ่งก็ไฟไหม้ไม่เหลืออะไร แต่ก็ยังมีสำนำของลูกบ้านอื่นๆอีกหลายบ้าน ซึ่งก็นำมาลอกใหม่ การโจรกรรมของโจรครั้งนี้เลยไม่สำเร็จ
เมื่อคนเริ่มเห็นว่าระบบนี้มันดี ก็เริ่มสนใจอยากเข้าใจจอยด้วย แต่การจะทำธุรกรรมในระบบนี้ คู่สัญญาจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเป็นเหรียญบิทคอยน์ ซึ่งถ้าไม่มีก็ต้องไปหาซื้อมา ถ้าไม่ซื้อมาก็มาแข่งขันกันประกาศโทรเข่งตอนสรุปบัญชี จากนั้นก็ทำให้ความต้องการเหรียญบิทคอยน์นั้นสูงมากขึ้น คนเห็นความต้องการเหรียญมีมากขึ้นก็ไปแข่งขันกันเพื่อเป็นผู้ประกาศบัญชี ส่วนคนที่เห็นว่าระบบมีประโยชน์ไม่ได้อยากได้เหรียญแต่อยากจะช่วยรักษาบัญชีก็จะทำเป็นจิตอาสาช่วยจดลงสมุดตัวเอง (node)
พอคนเข้ามามาก ทุกคนเลยต้องแข่งขันกันด้วยการแก้ปริศนายาก ๆ (Hash function ) ใครแก้ได้ก่อนก็ได้สิทธิ์ประกาศและเขียนหน้าสมุดนั้น พร้อมได้ “เหรียญรางวัล” เป็นค่าตอบแทน (เหมือนการขุดบล็อกและได้ Bitcoin) เวลามีธุรกรรมใหญ่ ๆ ชาวบ้านจะไม่รีบเชื่อทันที แต่จะรอดูว่ามีการบันทึกซ้ำ ๆ ต่อเนื่องกันหลายหน้า (confirmations) เพื่อกันการโกง
ดังนั้นจะมีเวลาให้ทุก node ตรวจทานเอกสาร 10 นาที เพื่อให้ธุรกรรมถูกต้องและถ้ามีใครพยายามแก้สมุดบัญชี จะต้อง “บุกปล้นบ้านทุกหลัง” ที่ถือสำเนาไว้ทั้งหมู่บ้าน ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เพราะต้องใช้พลังงานและแรงงานมหาศาล (51% attack)
บทสรุป
-หมู่บ้านผู้ใหญ่ง่าว = ระบบรวมศูนย์ → สะดวก แต่เสี่ยงหากผู้ใหญ่โกงหรือเอกสารหาย
-หมู่บ้านกระจายศูนย์ = Bitcoin / Blockchain → ทุกคนช่วยกันตรวจสอบ, มีแรงจูงใจในการดูแลสมุด, ไม่มีใครแทรกแซงได้ง่าย, เหรียญที่ได้มีมูลค่าเพราะหายากและเชื่อถือได้
บิทคอยน์จะเกิดใหม่จนถึงเมื่อไหร่
บิทคอยน์จะถูกทำหมันเมื่อออกลูก (เหรียญ) ครบ 21 ล้านเหรียญ ซึ่งเหรียญสุดท้ายจะถูกขุดออกมาในปี ปี ค.ศ. 2140 (พ.ศ. 2683) หรืออีก 115 ปี ข้างหน้า
เหตุผลสั้น ๆ: บิตคอยน์มีเพดานที่ 21 ล้านเหรียญ และรางวัลบล็อกจะ Halving ประมาณทุก 4 ปี (คือทุกๆ 4 ปี รางวัลที่เกิดจากการขุดบิตคอยน์/บล๊อก นั้นจะน้อยลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันขณะนี้ จะมีรางวัลขุดอยู่ที่ 3.125 BTC ต่อบล็อก โดยรางวัลถูกลดลงมาจาก 6.25 BTC หลัง halving เดือนเมษายน 2024 (บล็อกที่ ~840,000)ที่ผ่านมา และจะลดลงเหลือ 1.5625 BTC อีกครั้งในรอบ halving ถัดไปประมาณกลางปี 2028
ดังนั้นรางวัลในการขุดจะลดลงเรื่อย ๆ เข้าใกล้ศูนย์แบบค่อยเป็นค่อยไป จน “เหรียญสุดท้าย” ถูกขุดขึ้นราวปี 2140 หลังจากนั้นรายได้ผู้ขุดจะมาจาก ค่าธรรมเนียมธุรกรรม (fees) เป็นหลัก
ถ้าจะถือบิทคอยน์ต้องเริ่มที่อะไร
1.เริ่มศึกษา ไม่ว่าจะเป็น “เงินเฟ้อคือคดีอาญา” โดย ดร.วิชิต ซ้ายกล้า หรือ The bitcoin Standard แปลโดย อ.พิริยะ ก็ได้ทั้งคู่ หรือ หาดูใน youtube เพื่อทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ อย่าพึ่งรีบที่จะถือครอง เพราะสุดท้ายแล้วมันจะไม่เหลือถ้าไม่เข้าใจ
2.เข้าไปซื้อบิทคอยน์ในตลาด ซึ่งบ้านเรามีอยู่หลาย exchange ก็ศึกษาเอา Bitkub ,Binance เป็นต้น แต่การเก็บเหรียญไว้ใน Exchange ก็เหมือนกับการฝากเงินไว้ในธนาคาร ถ้าธนาคารไม่เจ๊งมันก็ยังเป็นของเรา แต่ถ้าธนาคารเจ๊ง เงินฝากเราก็จะหายไปเช่นกัน ดังนั้น ศึกษาเรื่องการเก็บไว้ใน Hard Wallet และ สำคัญ Password Phrase Key จะต้องเก็บไว้ให้มั่น ถ้ารหัสหาย แปลว่า เงินก็จะหายไปด้วย
Hard Wallet มันคือกุญแจไว้สำหรับไขกล่องเงินดิจิทัลที่ลอยไปลอยมาในอากาศเท่านั้น เงินดิจิทัลไม่ได้ลงมาอยู่ใน hard wallet จริงๆ ซึ่งถ้ารหัสหาย ก็กู้ไม่ได้ กล่องใส่เงินดิจิทัลก็จะลอยอยู่ในอากาศนั้นตลอดไป ไม่มีใครสามารถเอามันออกมาใช้ได้
ดังนั้น ต้องมีความรู้พอสมควรถ้าจะเข้าสู่โลกของบิทคอยน์ แต่เตือนอีกครั้งว่าไม่ต้องรีบ เพราะมันมี loop ของมันอยู่ เดี๋ยวมันจะต้องลงไปเช็คฐาน ซึ่งถึงเวลานั้นค่อยๆ DCA ทะยอยซื้อ ไม่ต้องพรวดพราด และ อย่าเอาเงินร้อน เหมือนอย่างพี่ชิตกล่าวไว้ว่า “แดกก่อน ค่อยเก็บ ถ้าเก็บตั้งแต่ยังไม่แดก เดี๋ยวก็เดือดร้อนต้องขายมาแดก สุดท้ายไม่เหลือ” เกมส์นี้เกมส์ยาว ต้องค่อยๆเล่นกันยาวๆ
สวัสดีครับ
ดร.ลอฟท์
#เงินเฟ้อ #ทองคำ