Plan ดีย์

Plan ดีย์ แผนชีวิตอาจไม่เป๊ะตามสูตร
แต่ที่นี่คือ Plan ดีย์ – แผนที่ดีย์กับใจ ในจังหวะของเรา

18/08/2025

ท่ามกลางคนป่วยในห้องคีโม เรากลับได้เห็นความรักที่ทำให้ใจยิ้มได้

ตอนทำคีโมครั้งที่ 2 และ 3 ซึ่งเป็นการให้ยาแบบไปเช้าเย็นกลับ เราบังเอิญได้เจอคู่รักคุณลุงคุณป้าที่น่ารักมาก ๆ ทั้งสองครั้ง ความทรงจำยังชัดเจนเพราะความเอาใจใส่ของคุณป้าที่ดูแลคุณลุงตลอดเวลา คุณลุงเป็นคนเข้ารับคีโม ส่วนคุณป้าก็คอยดูแลไม่ห่าง ทั้งป้อนข้าว เตรียมน้ำให้ ด้วยความห่วงใย

เราได้ยินคุณป้าพูดจาน่ารักกับพยาบาล เพราะไม่สามารถเฝ้าได้ตลอดเวลา คุณป้าจะคอยบอกพยาบาลว่ามีอะไรให้เรียกแกได้เสมอ
ระหว่างนั้นคุณป้าก็นั่งรออยู่ด้านนอก ซึ่งไม่ได้สะดวกสบายอะไรนัก แต่ก็ยังคอยวนเข้ามาดูแลคุณลุงเป็นระยะ ๆ อย่างไม่ขาด

เราได้ยินคุณลุงเล่าให้พยาบาลฟังว่า ทั้งคู่พบรักกันที่อังกฤษ ตอนนั้นคุณลุงถูกส่งไปประจำการเป็นทหารเรือ ส่วนคุณป้าไปเรียนต่อที่นั่นพอดี เหมือนโชคชะตาตั้งใจให้ทั้งสองได้เจอกัน ฟังแล้วนึกถึงฉากรักในหนังฮอลลีวูดยุคเก่า ๆ ที่เรียบง่ายแต่กินใจ

เห็นว่าแกสองคนไม่มีลูก เลยมีแต่คุณป้าที่คอยพาคุณลุงมาโรงพยาบาลตลอด เห็นภาพนี้แล้วก็ทำให้เรายิ้มออกมา กับความรักที่ดูแลกันทั้งยามสุขและทุกข์ อยู่กันจนแก่เฒ่า มันเป็นแบบนี้นี่เอง

เราหวังว่าสักวันหนึ่ง เราจะได้พบความรักที่สวยงามแบบนี้บ้าง เรื่องของความรักคงเป็นสิ่งที่วางแผนไม่ได้ ต้องปล่อยให้อนาคต เวลา และจังหวะ ส่งใครซักคนมาให้เราสินะ

-------------------------

In a room full of patients, love still finds a way to make us smile.

During my 2nd and 3rd chemo sessions, I met an elderly couple that touched my heart. The husband was the patient, and the wife cared for him with such tenderness, feeding him, bringing water, and checking on him constantly.

They met long ago in England, when he was a navy officer and she was a student. They never had children, but it was clear they’ve spent a lifetime looking after each other through every joy and hardship.

Seeing them made me smile, and I couldn’t help but hope that one day, I’ll find a love as gentle and enduring as theirs.

ีย์

12/08/2025

คุณมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร

วันนี้ได้มีโอกาสพูดคุยกับจิตแพทย์ และตั้งคำถามหนึ่งขึ้นมา...ทุกวันนี้ชีวิตเราวนอยู่แค่การไปโรงพยาบาล กลับบ้านมาก็กิน นอน...
06/08/2025

วันนี้ได้มีโอกาสพูดคุยกับจิตแพทย์ และตั้งคำถามหนึ่งขึ้นมา...

ทุกวันนี้ชีวิตเราวนอยู่แค่การไปโรงพยาบาล กลับบ้านมาก็กิน นอน แล้วก็ดูซีรีส์ซ้ำๆ จนเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า...ทำไมชีวิตถึงว่างเปล่าจังฟระ

เราคิดถึงการทำงาน การมีเงินเข้าบัญชีเหมือนคนอื่นบ้าง เพราะหยุดทำงานออฟฟิศมาสองปีแล้ว ซึ่งสำหรับคนที่เคยทำงานมาตลอดคงเข้าใจดีว่า การได้พักแบบไม่มีเป้าหมาย ไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ มันก็ทำให้เราเครียดได้เหมือนกัน

เราถามหมอว่า...จะทำยังไงให้หยุดคิดเรื่องหางานหาเงิน ในวันที่ร่างกายยังไม่พร้อม หมอตอบกลับมาอย่างชัดเจนว่า

'การทำงานหรือหาเงินทุกอย่างต้องใช้ทุนค่ะ และ ‘ร่างกาย’ ก็คือทุนอย่างหนึ่ง'

ถ้าตอนนี้ทุนสำคัญยังไม่พร้อม ก็ต้องรักษาทุนก้อนนี้ไว้ให้ดีที่สุด พักผ่อนให้เต็มที่ เพื่อที่วันหนึ่งจะได้มีแรงกลับไปลุยอีกครั้ง

ประโยคนั้นทำให้เราคิดได้ว่าเรากำลังเครียดกับสิ่งที่ยังไม่ถึงเวลา ทั้งที่ตอนนี้หน้าที่เดียวของเราคือรักษาทุนให้แข็งแรง

จากนี้ไปจะพยายามไม่เร่ง ไม่กังวล
ขอให้เวลานี้เป็นช่วงลงทุนกับสุขภาพ
เพื่อที่วันข้างหน้า เราจะได้กลับมาเดินต่อ...อย่างมั่นคงอีกครั้งค่ะ

————————
English Version

Today, I spoke with a psychiatrist and asked, “How can I stop worrying about finding work when my body isn’t ready yet?”

She replied, “Work and earning money both require capital and your body is one of them. If your main capital isn’t ready, protect it first. Rest well so you’ll have the strength to move forward again.”

That made me realize I’ve been stressing over something that isn’t yet my time. My only job now is to rebuild my health, so that one day I can return stronger and steadier.

ีย์

28/07/2025

ความสุขในชีวิตของคุณคืออะไรคะ?

What brings you happiness in life?

ผมร่วงที่เตรียมใจไว้แล้ว…แต่กลับสร้างเซอร์ไพรส์อย่างคาดไม่ถึงเค้าบอกกันว่าคีโมแล้วผมจะร่วง เราก็เตรียมใจไว้แล้วว่าหลังทำ...
12/07/2025

ผมร่วงที่เตรียมใจไว้แล้ว…แต่กลับสร้างเซอร์ไพรส์อย่างคาดไม่ถึง

เค้าบอกกันว่าคีโมแล้วผมจะร่วง เราก็เตรียมใจไว้แล้วว่าหลังทำคีโมครั้งแรกมันก็คงค่อยๆ ร่วงจนหมด แต่ผ่านไป 1 สัปดาห์ ผมยังไม่ร่วงแฮะ ไอ้เราก็ดีใจคิดว่าเราอาจเป็นข้อยกเว้นที่ยาเคมีไม่ส่งผลให้ผมร่วงรึเปล่า หรือบางคนก็ร่วงหลังคีโมครั้งที่ 2 เราก็หวังว่าตัวเองจะยืดเวลาออกไปได้อีกหน่อย

แต่พอเข้าสัปดาห์ที่สอง มันก็เริ่มขึ้นแล้วจริงๆ แค่เอามือสางผมตามปกติ ผมก็หลุดออกมาเยอะผิดปกติ พอสระผมแล้ว ผมก็หลุดติดมือออกมาเป็นช่อๆ จนกรี๊ดในใจ ตื่นเต้นโวยวายไปบอกแม่ แต่ด้วยความที่เราเป็นคนผมหนา ถึงแม้มันจะร่วงไปเยอะในช่วง 2-3 วันแรก ก็ยังดูเหมือนคนมีผมอยู่ เพราะมันร่วงในส่วนผมชั้นใน

จนกระทั่งการสระผมครั้งที่สองมาถึง คราวนี้เราไม่กล้าขยี้ผมเท่าไหร่ แค่โดนน้ำ จับเบาๆ ผมก็ร่วงหลุดออกมา พอเป่าผมแห้งแล้วเช็คดู ก็เห็นรอยแหว่งเป็นเนื้อขาวชัดด้านใน แสกกลางก็เริ่มเห็นเนื้อกว้างมากขึ้น หลังจากวันนั้นผมก็ร่วงไปทั่ว ทั้งบนเตียง หมอน ผ้าห่ม เดินไปมาในบ้านก็เจอผมเต็มพื้น

เราเลยขอให้แม่ช่วยตัดผมให้สั้นเท่าติ่งหูเหมือนสมัยเด็กประถม ระหว่างที่แม่ตัดก็ต้องคอยเล็มผมที่ไม่เท่ากัน เล็มเท่าไหร่ก็ไม่หมดเพราะส่วนที่ไม่เท่าก็คือผมที่หลุดจากหนังหัว แต่แม่ก็ดูภูมิใจในผมทรงนี้ บอกว่าก็น่ารักเหมือนเด็กเลย เราเก็บทรงผมสั้นติ่งหูเพื่อแม่ไว้ได้ 2 วันเท่านั้น เพราะมันรำคาญมาก ผมร่วงตลอดเวลา แค่ลูบก็หลุด แถมผมเริ่มบางเป็นหย่อมๆ จนลุคคล้ายกอลั่ม ซึ่งเราก็ไม่ชอบเลย

สุดท้ายเราทนไม่ไหว เลยขอให้พี่สาวช่วยโกนผมให้ ระหว่างโกนก็ถ่ายทำคอนเทนต์ลง TikTok ไปด้วย ใจนึงก็กลัวออกมาจะไม่สวยเลยซื้อวิกเตรียมไว้ แต่พอโกนเสร็จจริงๆ ก็ดูโอเคนะ พี่สาวบอกสวยเลย พอเอาคอนเทนต์ลง TikTok ปรากฏว่ามีแต่คนเข้ามาชมและให้กำลังใจ ตอนนี้คนดูวิดีโอไปถึง 3.9 แสนวิวแล้ว

ผมร่วงครั้งนี้ให้อะไรใหม่ๆ กับเราเยอะเลย ทั้งได้ลองใส่วิกผมหน้าม้าที่ปกติทำไม่ได้เพราะผมเราเป็นลอน ได้พันผ้าพันหัวแบบต่างๆ สนุกดี แถมคอนเทนต์ก็กลายเป็นวิดิโอที่มียอดชมอันดับ 1 ในช่อง Sit.Sat.Sis ใน TikTok ที่เราเพิ่งเริ่มสร้างกับพี่สาวในช่วงเวลาที่เราป่วย

เรื่องนี้ทำให้เราเรียนรู้ว่า บางครั้งเราแค่เปลี่ยนมุมมองและการกระทำกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผลที่ได้มันกลับต่างไปสิ้นเชิง แทนที่จะมัวนั่งเครียดเรื่องผมร่วง กลับกลายเป็นว่าเรามีความสุขที่ได้ลองอะไรใหม่ๆ แถมยังได้กำลังใจจากคนที่ไม่รู้จักเกือบสี่แสนคนอีกต่างหาก

เราเลยอยากเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่กำลังเผชิญเรื่องหนักๆ ลองปรับมุมคิด เปลี่ยนวิธีรับมือ บางที ผลลัพธ์อาจออกมาดีย์กว่าที่ใจคิดก็ได้ค่ะ

จากคนที่ไม่ชอบภาษาอังกฤษ สู่การก้าวออกจาก Comfort Zoneเราเป็นคนไม่ชอบภาษาอังกฤษเลยเพราะเริ่มต้นเรียนช้ากว่าคนทั่วไปในรุ่...
30/06/2025

จากคนที่ไม่ชอบภาษาอังกฤษ สู่การก้าวออกจาก Comfort Zone

เราเป็นคนไม่ชอบภาษาอังกฤษเลยเพราะเริ่มต้นเรียนช้ากว่าคนทั่วไปในรุ่น พอเรารู้สึกว่าตามไม่ทันเราก็ยิ่งไม่อยากเรียนรู้มัน ภาษาอังกฤษเลยกลายเป็นวิชาเดียวตั้งแต่เรียนมัธยมจนถึงมหาลัยที่ฉุดเกรดเราลงและกลายมาเป็นจุดอ่อนในชีวิตการทำงานเราเลือกที่จะหนีมันด้วยการทำงานบริษัทที่ใช้ภาษาไทยเป็นหลักและคิดว่าจะทำไปจนเกษียณ จนกระทั่งทำงานผ่านมา 10 ปี เราอยากก้าวหน้าทางหน้าที่การงานมากกว่านี้ แต่ด้วยภาษาอังกฤษที่ยังด้อยกว่าคนอื่น ทำให้เราพลาดหลายโอกาสที่เข้ามา เราจึงตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตด้วยการออกจากงานประจำและไปเรียนต่อต่างประเทศ 1 ปี เพื่อก้าวออกจาก Comfort Zone ของตัวเอง

----เลือกใช้บริการ Agency เพื่อง่ายต่อการสมัครเรียน---
ก่อนจะตัดสินใจลาออก เราใช้เวลาเตรียมตัวหาข้อมูลเรื่องการเรียนต่อต่างประเทศจากเพื่อน และเลือกใช้บริการ IDP Agency ซึ่งเป็นหนึ่งในเอเจนซี่ใหญ่ในไทยที่ช่วยดูแลขั้นตอนการสมัครเรียนและการขอวีซ่าได้อย่างละเอียด เนื่องจากเรามีอายุค่อนข้างมากแล้วเมื่อเทียบกับนักเรียนที่เพิ่งจบใหม่ เจ้าหน้าที่ IDP จึงบอกตามตรงว่า การขอวีซ่าจะมีความเสี่ยงมากกว่า แต่สุดท้ายก็ไม่ผิดหวัง เพราะได้การสนับสนุนที่ดีและทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้อย่างราบรื่น

ตอนแรก เราตั้งใจไปเรียนภาษาและใช้ชีวิตต่างประเทศสักประมาณ 6 เดือน โดยพิจารณาอยู่ระหว่าง แคนาดา กับ ออสเตรเลีย เพราะอยากไปประเทศที่สงบ ปลอดภัย และไม่วุ่นวายมากนัก แต่เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายทั้งค่าเรียนและค่าที่พักแล้ว ออสเตรเลียมีค่าใช้จ่ายถูกกว่าราวเกือบครึ่งหนึ่ง

เราเลือกไปเมือง เพิร์ท (Perth) เพราะมีญาติอยู่ที่นั่น และเคยไปเรียนซัมเมอร์ที่เพิร์ทสมัยมัธยมต้น จำได้ว่าชอบบรรยากาศ ความสงบของเมือง และความเป็นมิตรของผู้คนที่นั่นมาก **ข้อดีของเพิร์ทคือคนไทยยังไม่เยอะ จะได้ลองฝึกภาษาจริงจัง

หลังทีมงาน IDP ตรวจดูประวัติการทำงานและโปรไฟล์ของฉัน พวกเขาแนะนำว่า การเรียน Diploma 1 ปีจะช่วยให้การยื่นขอวีซ่าดูมีเหตุผลมากกว่า เนื่องจากสอดคล้องกับอายุและประสบการณ์ทำงานของเรา สุดท้ายเราจึงเลือกเรียน Diploma of Business (Digital Transformation) ที่ Greenwich College เพราะที่นี่มีการสอบภาษาอังกฤษของสถาบันเอง โดย ไม่จำเป็นต้องใช้คะแนน IELTS ช่วยประหยัดค่าสอบภาษาไปได้เยอะพอสมควร และราคาคอร์สการเรียน Diploma 1 ปีเท่ากับการเรียนภาษา 6 เดือนอีกด้วย

แม้เราจะสอบภาษาอังกฤษผ่านโดยไม่ต้องเรียนเพิ่มเติม แต่เพื่อความมั่นใจ เราตัดสินใจลงเรียนภาษาเพิ่มอีก 6 สัปดาห์ ที่ Navitas ซึ่งเป็นสถาบันสอนภาษาที่มีชื่อเสียงในเพิร์ท อาจารย์ที่นี่สอนดีมาก สอนทั้งภาษาและแกรมม่าได้เข้าใจง่าย และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง แถมยังทำให้เราได้รู้จักเพื่อนต่างชาติหลายคนที่ตอนนี้ยังเป็นเพื่อนสนิทกันยาว

ระหว่างที่เรียน Diploma เราก็สามารถทำงานได้ 48 ชั่วโมงต่อสองสัปดาห์และสามารถทำงานได้ไม่จำกัดเวลาตอนปิดเทอม การเรียน Diploma จะได้เรียนแค่ 2 วันต่อสัปดาห์ เราเลยมีเวลาว่างหลายวันให้ทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งทำงาน เที่ยวเล่นหรือหาประสบการณ์อื่นๆ เพิ่มเติมจากห้องเรียน

นอกจากนี้ระหว่างอยู่ที่เพิร์ทเราก็ได้สมัครเรียน Dental Hygienist เราได้รับ offer โดยไม่ต้องสอบ IELTS เพราะเราเรียน Diploma ที่นี่ครบ 1 ปีสามารถใช้ใบจบ Diploma ยื่นเรียนได้เลย แต่ราคาเรียนค่อนข้างแพง เราได้รับทุน 25%ปีแรกจากมหาลัยจากผลการเรียนดี แต่ค่าเรียนก็ยังแพงเกินไป เลยพยายามหาทุนของ WA โชคไม่เข้าข้างเรา เพราะทุนของ WA ไม่มีของประเทศไทย และทุนใหญ่ของ Australia ก็เอาประเทศไทยออกในปีนั้นปีแรก เราจึง defer offer ออกไปก่อน

**แนะนำว่าหากต้องการเรียนเพิ่มเติม หรือยื่นวีซ่าใหม่ ให้ทำตอนอยู่ที่ Australia และยื่นเป็น Onshore มากกว่าปล่อยให้วีซ่าขาดแล้วกลับมาไทยยื่น Offshore นะคะ

----สิ่งที่ทำเพิ่มนอกเหนือจากการเรียน-----
นอกจากการเรียนหลักแล้ว เราพยายามหาวิธี พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษและสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ตลอดเวลา เช่น

• หาที่เรียนภาษาเพิ่ม-ที่เพิร์ทมีที่เรียนภาษาฟรี ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เช่น ที่โบสถ์ All Nation Church และ Church อื่นๆ ในแต่ละเขต, Mosaic Centre(South Perth), Perth Library และ Library ในแต่ละเขตพื้นที่ด้วย สามารถเช็คได้ในออนไลน์ หรือ Application Meet up, Eventbrite เป็นต้น ซึ่งนอกจากภาษาแล้ว เราได้ยังได้เจอเพื่อนจากหลากหลายประเทศ แลกเปลี่ยนความรู้ รวมกลุ่มนัดกันไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ เพื่อทำความรู้จักกันมากขึ้น

• ทำ Volunteer ที่ Swan Volunteer Resource Centre ซึ่งเราหาข้อมูลงานอาสาจาก https://volunteer.org.au/ ส่งเอกสารเข้าไปคล้ายการสมัครงาน และเราได้รับโอกาสเข้าไปทำงานส่วนกลางของ Volunteer ของ Midland ทำหน้าที่เป็น Referral officer เราได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ที่ทำงานร่วมกัน รวมถึงโทรศัพท์คุยกับผู้ที่สนใจทำ Volunteer เป็นโอกาสที่ดี ได้ฝึกภาษากับเจ้าของภาษาไปในตัวค่ะ

• ทำงานพาร์ตไทม์ ทั้งที่ร้านอาหารไทย และร้านขายเสื้อผ้า งานเหล่านี้ช่วยให้เราฝึกภาษาอังกฤษในชีวิตจริงได้มากขึ้น แถมได้เงินเป็นค่าตอบแทนด้วย การหางาน Part-time ที่เพิร์ท เราแนะนำให้เป็นการเดิน Walk-in เข้าไปยื่น Resume ที่ร้านมากกว่าส่งสมัครในออนไลน์ คุณจะได้รับเลือกมากกว่า เราต้องใช้ความกล้าหน้าด้านนิดนึงนะคะ

• สมัครงานด้าน Communication ผ่านเว็บไซต์ Seek หลังจากเริ่มมีความมั่นใจในภาษาประมาณนึง เราเลยลองสมัครงานแบบจริงจัง และได้ถูกเรียกไปสัมภาษณ์ถึง 2 ที่ แม้จะได้งานตอนใกล้กลับไทย จึงไม่ได้เริ่มทำงานจริงจัง แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์การสัมภาษณ์งานที่ดีมากค่ะ

• หลายคนมักบอกว่าาถ้าอยากเก่งภาษาเร็วๆ ต้องมีแฟนเป็นคนต่างชาติ เราเลยลองเล่น App Hinge และได้เจอกับแฟนต่างชาติคนแรก ได้ฝึกภาษามากขึ้นจริงๆ ค่ะ แถมได้พากันเที่ยว พากันกิน เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก

จากการทำกิจกรรมต่างๆ นอกจากการเรียน เราได้รู้จักเพื่อนต่างชาติจากหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี จีน มองโกเลีย ฝรั่งเศส และอื่นๆ อีกมากมาย ทุกคนน่ารักมากค่ะ เค้าทำให้เรากล้าที่จะพูดภาษาอังกฤษแบบไม่เขินอาย นอกจากได้ฝึกภาษาแล้วยังได้เข้าใจวัฒนธรรมที่หลากหลายมากขึ้นด้วยค่ะ

การได้ออกมาเรียนต่างประเทศครั้งนี้ ทำให้เรารู้สึกว่า ตัวเองเปลี่ยนไปเยอะมาก ไม่ใช่แค่เรื่องภาษาอังกฤษที่พัฒนา แต่ยังได้เรียนรู้การใช้ชีวิต การปรับตัว และการกล้าเผชิญหน้ากับความกลัวในใจตัวเอง

ทุกวันนี้ แม้ภาษาอังกฤษของเรายังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ ไม่ใช่กำแพงใหญ่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว และที่สำคัญ เราภูมิใจในตัวเองที่เลือกก้าวออกจาก Comfort Zone และไม่ยอมแพ้ต่อความกลัว

Plan A ของเรา คืออยู่ทำงานเดิมไปจนเกษียณ
แต่ชีวิตพาให้ต้องเลือก Plan B คือไปเรียนภาษา
สุดท้ายกลายเป็น Plan D ที่ได้ทั้งภาษา ความมั่นใจ และเพื่อนใหม่ทั่วโลก
และมันทำให้เราเชื่อว่า…ถึงชีวิตอาจไม่เป็นไปตามแผนที่เราคิดไว้ แต่อาจพาเราไปพบสิ่งที่ดีกว่าเสมอและดีต่อใจเราที่สุดค่ะ

สุดท้าย หากเพื่อน ๆ หรือใครสนใจเรียนต่อต่างประเทศ โดยเฉพาะที่เพิร์ท สามารถทักมาสอบถามเราได้เลยนะคะ ยินดีแนะนำทั้งเอเจนซี่ที่ไทยและที่เพิร์ท รวมถึงแชร์ประสบการณ์การใช้ชีวิตและการเรียนให้ค่ะ

ทุกคน อย่าปล่อยให้ร่างกายและจิตใจแหลกสลายแบบเรานะเราเป็นคนที่จริงจังกับการทำทุกอย่างตลอดเวลา เราชอบเอาชนะเพราะเราถูกสอนใ...
21/06/2025

ทุกคน อย่าปล่อยให้ร่างกายและจิตใจแหลกสลายแบบเรานะ

เราเป็นคนที่จริงจังกับการทำทุกอย่างตลอดเวลา เราชอบเอาชนะเพราะเราถูกสอนให้เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นและต้องทำให้ดีกว่าเค้าเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการประสบความสำเร็จ ช่วงเรียนเราก็ต้องทำให้ได้เกรดดีๆ สอบเข้าคณะและมหาลัยที่ดี ช่วงทำงานเราก็ทำงานตลอดเวลาไม่เว้นเสาร์อาทิตย์ เพราะเราแบกความคาดหวังว่าตัวเองจะต้องทำให้ดีที่สุด

การที่เรามีความคาดหวังและกังวลกับอนาคตซึ่งไม่สามารถคาดเดาได้ นำมาซึ่งความกดดันในตัวเอง มันจึงเป็นจุดเริ่มต้นของ โรคซึมเศร้าเรื้อรัง ที่แฝงตัวอยู่ในหัวของเราตลอดมา มันค่อยๆ กัดกินความคิดในหัวจนทำให้เราเครียด มารู้สึกตัวอีกที ‘ความสุข’ ในชีวิตของเราก็หายไปตอนไหนไม่รู้ จนกระทั่งวันที่เรามีความคิดที่อยากจะหายไปจากโลกใบนี้...เราถึงได้เข้ารับการรักษากับคุณหมออย่างจริงจัง

วันแรกที่เจอหมอ เรื่องราวทั้งหลายที่อัดอั้นมานาน ถูกระบายออกมาอย่างพลั่งพรู ยิ่งพูดน้ำตายิ่งไหล จนเจอคำถามโคตรจุกอกจากคุณหมอว่า ‘คุณกิกจำความสุขของตัวเองได้มั้ย’

เรานั่งนึกนานมากและบอกว่า ความสุขเดียวที่เราจำได้คือ 1 วันในดิสนีย์แลนด์ เรารู้สึกว่าตอนอยู่ดิสนีย์แลนด์มันเหมือนโลกแห่งความฝัน เราได้ปล่อยวางทุกอย่างออกจากความคิดของโลกความเป็นจริง คุณหมอบอกว่าดิสนีย์แลนด์มันคือที่ที่เราปลอดภัยจาก ‘ความคาดหวัง’ ในทุกๆ เรื่อง

ดังนั้นหมออยากจะให้เราละทิ้งจากความกดดันต่างๆ ด้วยการ
1. กินยาเพื่อเพิ่มสารเคมีแห่งความสุขในสมอง
2. ปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่
3. ปรับการทำงาน

เรากินยาและรักษาอยู่ 1 ปี แล้วอาการเราก็ดีขึ้น คุณหมอให้เราหยุดกินยาได้ หลังจากนั้นเราตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อไปพักผ่อนรักษาใจ และเดินทางไปเรียนต่อที่เพิร์ทซึ่งเป็นเมืองที่แตกต่างจากกรุงเทพฯ อย่างสิ้นเชิง วัฒนธรรมที่เรียบง่าย ไม่แข่งขัน ความอิสระและความใจดีของคนในเมืองเพิร์ทรวมถึงครอบครัวญาติที่เราอยู่ด้วย จากสภาพแวดที่เปลี่ยนไปทำให้เราลำดับความสำคัญของการใช้ชีวิตใหม่ จากการใช้เวลาทั้งหมดไปกับการทำงาน มาเป็นการให้เวลากับตัวเองและครอบครัว

ช่วงเวลาที่เพิร์ทเราได้พบกับความรักครั้งแรกในชีวิตและเราได้วางแผนแต่งงาน มีลูก สร้างครอบครัวที่อบอุ่นกับแฟนของเรา แผนในอนาคตของเราก็เปลี่ยนไปจากเรียนจบกลับไทยถาวร เป็นเรียนจบแล้วกลับไทยชั่วคราว ดูใจกันต่อและเตรียมงานแต่งงาน

เมื่อเราเรียนจบและกลับมาอยู่เมืองไทยเริ่มต้นใหม่กับสภาพแวดล้อมเดิม เราได้เข้าไปทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยได้รับค่าตอบแทนที่ดี ซึ่งนำมาสู่ความกดดัน การแข่งขัน อีกมากมาย ทำให้เราต้องกลับไปกินยาอีกครั้งแต่เป็นตัวที่อ่อนลง และในช่วงต้นปีของปีนี้ เราก็ถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งรังไข่ ถูกตัดอวัยวะที่ทำให้มีลูกไม่ได้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับแฟนจบลง

เรื่องราวต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามา ทำให้เรากลับมาเป็นโรคซึมเศร้าที่รุนแรงขึ้น ทั้งเรื่องงานที่เราต้องลาออก เรื่องร่างกายที่ต้องรักษา เรื่องความรักที่ต้องจบลง ตัวยาที่กินไม่ได้ช่วยให้เราดีขึ้น ความคิดของเราไม่เป็นระบบ มีแต่ความเศร้า รู้สึกผิดที่มีลูกไม่ได้เหมือนคนอื่น รู้สึกเป็นที่ไม่ต้องการของคนรัก รู้สึกเป็นภาระของครอบครัว รู้สึกแย่ไปหมดจนอยากจบชีวิตเพื่อให้เรื่องทุกอย่างจบไปด้วย

ระหว่างพักฟื้นและมีความคิดแย่ๆ เรายังมีครอบครัวที่คอยดูแลและคำพูดต่างๆ ที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น แต่ความรู้สึกมันก็จมดิ่งเป็นบางวัน จนเราต้องกลับไปหาหมอคนเดิมอีกครั้ง คุณหมอให้ยาตัวที่เคยให้ อาการเราก็ดีขึ้น ฝึกคิดเหตุและผลไปพร้อมกับยา คราวนี้สิ่งที่ต่างไปจากการรักษาครั้งแรกคือเรายังอยู่ในสภาวะแวดล้อมแบบเดิม แต่เราต้องปรับความคิดและพฤติกรรมของเราเอง

เราขอบคุณมะเร็งนะ ที่คัดกรองคนที่รักเราจริงๆ ไว้กับเรา ขอบคุณนะที่ทำให้เรารู้ว่าครอบครัวของเรา ป๊า ม้า เฮีย เจ๊ รักเรามากขนาดไหน กลัวเราเจ็บและจากไปขนาดไหน หลานของเรา ญาติทุกคนของเรา เพื่อนๆ ของเรา ห่วงเรามากขนาดไหน ขอบคุณโรคที่ช่วยเลือกเเผนอนาคตที่ดีย์กว่าให้กับเรา ให้เราได้อยู่เมืองไทยต่อกับคนที่เรารักและรักเราจริงๆ

ตอนนี้เราคิดได้แล้วนะ แต่คงยังต้องกินยาเพราะเรายังจะต้องให้คีโมต่ออยู่ ยังอยู่ในระยะเสี่ยงต่อความอ่อนแอทั้งกายและใจ แต่ตอนนี้ใจเราคิดได้แล้ว และตอนนี้เราได้วางแผนอนาคตใหม่ที่ตรงกับใจและไม่กดดันตัวเองอีกต่อไปค่ะ

และถ้าถามว่าความสุขของกิกตอนนี้คืออะไร กิกตอบได้เลยว่ามันคือทุกวันที่ได้ใช้ชีวิตกับครอบครัวและพูดคุยกับทุกคนค่ะ 🙂

- ขอบคุณม้าที่พยายามอย่างมากเพื่อให้กิกมีความสุข ม้ารู้มั้ยว่ากิกมีความสุขมากขึ้นเพราะม้า
- ขอบคุณเจ๊ที่คอยอยู่ดูแลตลอดเวลาที่ป่วยพร้อมซัพพอร์ตความคิดและปัจจัย4 😛
- ขอบคุณเฮียที่แม้ตัวเองจะมีเรื่องมากมายเเต่ก็ให้เวลากับกิก เมื่อกิกต้องการเสมอ
-ขอบคุณป๊าที่ไม่ได้พูดอะไรมากนัก เเค่กอดเเละยิ้มทักทุกเช้าและก่อนนอน มันก็ทำใหักิกรูัสึกดี

ขอบคุณทุกคนที่ยังอยู่กับเราตรงนี้ ตอนนี้นะ
รักนะ 😊

————————————-
English version

Please don’t let your body and mind break like mine once did.

I used to push myself hard—chasing success, perfection, and expectations I placed on myself. I never stopped. Over time, the pressure led to chronic depression. I didn’t notice when happiness disappeared… until I started wishing I could disappear too.

Therapy changed everything. When my doctor asked, “Can you remember when you were last happy?” I could only recall one carefree day at Disneyland—because it was the only time I felt safe from expectations.

I started healing with medication, rest, and a new environment. I left my job, moved to Perth, and found a slower, gentler life. I fell in love, dreamed of marriage, and finally felt peace.

But coming back to Thailand brought the pressure back. I relapsed. Then came a cancer diagnosis—I lost the ability to have children and the relationship I loved.

I hit rock bottom.

But again, I got help. I returned to therapy, restarted medication, and this time, changed the way I think—without needing to run away.

Now I’m still healing, still in treatment, but my heart is lighter. I’ve found new meaning in simple days with people who truly love me.

If you ask me what happiness means now—it’s being alive, being loved, and having real conversations with my family.

Thank you, Mom, Dad, Bro, and Sis—for everything.

And thank you to everyone still standing with me.
I’m still here. And I’m moving forward—with a new plan, one that’s finally kind to my heart.

ีย์

20/06/2025

วิดิโอตัวเต็ม
ทำยังไงถึงเจอมะเร็งรังไข่ในระยะเริ่มต้น.. ีย์ #มะเร็ง

19/06/2025

รู้มั้ยการเป็นคนธรรมดา มีสุขภาพดี…แค่นั้นมันก็ดีย์ที่สุดแล้ว

Sometime, simply being healthy and living a normal life is the greatest blessing.

18/06/2025

ช่วงนี้เจอหมอหลายคน
ทุกสัปดาห์
สิ่งที่หมอพูดกับครอบครัวเราเสมอคือ
คนไข้ ‘เข้มแข็ง’ มากนะ

คีโมมะเร็งรังไข่ครั้งแรก…ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดโพสต์นี้อยากฝากถึงคนที่กำลังจะเริ่มคีโม หรือมีคนที่รักกำลังเผชิญอยู่เพร...
13/06/2025

คีโมมะเร็งรังไข่ครั้งแรก…ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
โพสต์นี้อยากฝากถึงคนที่กำลังจะเริ่มคีโม หรือมีคนที่รักกำลังเผชิญอยู่
เพราะบางทีความกลัว มันเกิดจากสิ่งที่เรายังไม่รู้

ก่อนมาทำคีโม ยอมรับว่ากังวล กลัวเจ็บ กลัวแสบ เพราะเคยฟังมาจึงจินตนาการมันไปไกล
แต่พอได้คุยกับหมอ กับเภสัช เขาบอกว่า “คีโมก็แค่เหมือนให้น้ำเกลือ ไม่ได้ทรมานเหมือนในหนังนะ”
บวกกับพี่เตียงข้างเคียงก็เป็นคนไข้ที่เคยทำมาแล้ว เขาก็ช่วยเล่าให้ฟังว่ามันชิลมาก ทำให้เราหายกลัวไปได้เยอะเลย

ขั้นตอนการทำคีโมครั้งแรก
-เจาะเลือดตอนเช้าเพื่อดูค่าเลือดว่าร่างกายพร้อมให้คีโมมั้ย
-กินยาแก้แพ้ก่อนเลย
-ดริปยาแก้แพ้ ยากันอาเจียน
-ดริปน้ำเกลือ
-ดริปยาคีโมตัวแรก Paclitaxel 3 ชั่วโมงครึ่ง ตัวนี้เป็นตัวที่มีเปอร์เซ็นต์แพ้ยาที่จะมีอาการคลื่นไส้ ผื่นคัน หัวใจสั่น
-แล้วตามด้วยดริปยาตัวที่สอง Carboplatin อีกประมาณ 1 ชั่วโมง

พอถึงเวลาจริงก็เหมือนที่หมอบอกเลย เหมือนให้น้ำเกลือธรรมดาๆ
15-20 นาทีเเรกคือช่วงเช็คว่าเราจะเเพ้ยามั้ย พอดีตอนพยาบาลมาเริ่มให้ยาเรากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ เราเลยไม่รู้ตัวว่าเค้าให้ยาไปแล้ว รู้อีกทีพยาบาลก็เข้ามาถามว่าให้ยาไปครบ 15 นาทีแล้วเป็นยังไงบ้าง

หลังจากรู้ว่ายาเข้าตัวไปแล้วถึงจะแพนิกเล็กน้อย ความดันขึ้นเลย และเริ่มสังเกตุตัวเองตลอดว่ามีอะไรผิดปกติบ้าง มีจังหวะหนึ่งที่หัวใจเต้นช้าลงต่ำกว่า 50 หมอกับพยาบาลรีบเข้ามาดูแลทันที แล้วเขาปรับความเร็วของการให้ยาช้าลง คอยตรวจคลื่นหัวใจ…สักพักทุกอย่างก็ดีขึ้น

สุดท้ายคืนนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดี หลับสบายไม่มีอาการแพ้ใดๆ โล่งใจสุดๆ

เลยอยากแชร์ไว้เผื่อใครกำลังจะเริ่มคีโม หรือกำลังลังเล เข้าใจเลยว่าความกลัวมันเยอะมาก แต่ถ้ารู้ขั้นตอนและความจริงแบบนี้ เราว่ามันก็ช่วยให้ใจนิ่งขึ้นเยอะ

คีโมสมัยนี้ ถ้าไม่แพ้ก็ไม่ได้น่ากลัว แต่ถ้าแพ้ก็จะมีหมอพยาบาลคอยดูและปรับเปลี่ยนยาให้ตลอด เค้าไม่ปล่อยให้เราเจ็บหนักหรอกนะ

ตอนนี้ก็เหลือรอดูผลข้างเคียงหลังจากนี้ช่วง 2-3 สัปดาห์ เช่น
- ภูมิตกง่าย เพราะเม็ดเลือดขาวจะลดลง (อันนี้ต้องระวังเรื่องอาหารให้ดี กินแต่ของปรุงสุกเท่านั้น)
- เบื่ออาหาร (แต่ตอนนี้เริ่มหิวแล้วนะ เห็นอะไรก็อย่างกินไปหมด 555)
- ผมร่วง (เตรียมซื้อวิกไว้ละ)

สุดท้าย…ขอบคุณทุกกำลังใจ
เรารู้สึกว่าได้รับ พลังใจจากหลายคนจริงๆ เลยอยากเอาใจดวงนี้…ส่งต่อไปให้ใครอีกหลายคนที่กำลังกลัว หรือยังไม่รู้ว่าคีโมมันเป็นยังไง

หวังว่าโพสต์นี้จะเป็นประโยชน์กับใครสักคนที่กำลังเดินเส้นทางแบบเดียวกันนะ 🙂
ปล. มีรายละเอียดผลข้างเคียงและการดูแลตัวเองในคอมเม้น+แชร์โพสได้นะคะ

----------------------------
-English Version-
My First Chemotherapy for Ovarian Cancer: Not as Scary as I Thought

I want to share this for anyone about to start chemo, or supporting a loved one who is.
Fear often comes from the unknown—and I was scared too.

Before chemo, I imagined pain and burning sensations, like in the movies. But after talking to my doctor and pharmacist, they reassured me: “It’s just like getting a saline drip—nothing dramatic.” Even the patient next to me had done this before and shared her calm experience, which helped ease my nerves.

My First Chemo Day Looked Like This:
-Morning blood test to check if my body was ready
-Anti-allergy medication
-Drip: anti-nausea and allergy meds
-Saline drip
-First chemo drug (Paclitaxel – 3.5 hours): may cause nausea, rashes, fast heartbeat
-Second drug (Carboplatin – 1 hour)

At first, I didn’t even realize the chemo had started—I was on the phone! 15 minutes later the nurse asked how I felt. Only then did I slightly panic. My heart rate dropped below 50 for a moment, but the team responded quickly, slowed the drip, and everything stabilized.

That night, I slept well. No allergic reactions. Huge relief!

What I’ve Learned:
Modern chemo isn’t as scary—especially if there’s no allergic reaction. And even if there is, doctors and nurses are right there to help.

Now I’m just monitoring side effects over the next 2–3 weeks:
-Weakened immunity (must eat only fully cooked food)
-Appetite loss (though honestly, I’m already hungry again 😄)
-Hair loss (got a wig ready!)

Thank you to everyone who’s sent love and support.
I truly felt your energy, and I hope to pass it on to someone else walking this same path.

You’re not alone. Chemo is tough—but manageable. 💛

-Plan ดีย์-

สู้โว้ยยยยยวันนี้ของ Planดีย์คืออีกจังหวะหนึ่งของชีวิตก่อนทำคีโมเรานั่งคิดกับตัวเองว่า…-เอาวะ ถ้าผมร่วง เดี๋ยวผมใหม่ก็งอ...
12/06/2025

สู้โว้ยยยยย
วันนี้ของ Planดีย์
คืออีกจังหวะหนึ่งของชีวิต

ก่อนทำคีโมเรานั่งคิดกับตัวเองว่า…
-เอาวะ ถ้าผมร่วง เดี๋ยวผมใหม่ก็งอก อาจจะสวยกว่าเดิมก็ได้
-ถ้าน้ำหนักลด เพราะกินไม่ค่อยได้… ก็ถือว่าได้ผอมแบบไม่ต้องอดอาหาร
-ถ้าโทรมบ้างตอนนี้ เดี๋ยวเราก็จะแข็งแรงขึ้นกว่าที่เคย

บางทีสิ่งดีๆ อาจเริ่มจากตรงนี้
จากวันที่เรายังไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง
แต่เรายังเลือกที่จะสู้ต่อ

และถ้าผ่านมันไปได้ เราจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแน่ๆ เราจะสวยขึ้น แข็งแรงขึ้น และรักตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม

นี่อาจไม่ใช่แผนเดิมที่เคยคิดไว้
แต่มันอาจเป็น Planดีย์ ที่หัวใจเราจะไม่มีวันลืม

—————-
💛 ขอส่งกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเจอเรื่องยากๆ
ขอให้ผ่านไปได้ในแบบของใครของมัน
ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องเหมือนใคร
ขอแค่ไม่ทิ้งตัวเองไปไหน… แค่นั้นก็เก่งมากแล้ว

—————-

Chemo starts soon.
So I tell myself—

If my hair falls, it’ll grow back better.
If I can’t eat, at least I’ll get slimmer.
If I look tired now, I’ll come back stronger.

This might not be Plan A—
but it might turn into a Plan D
my heart will never forget. 💛

ีย์
#คิดบวกแบบจริงใจ
#สวยแบบที่ต้องแลกมานิดนึง

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Plan ดีย์ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram