21/06/2025
ทุกคน อย่าปล่อยให้ร่างกายและจิตใจแหลกสลายแบบเรานะ
เราเป็นคนที่จริงจังกับการทำทุกอย่างตลอดเวลา เราชอบเอาชนะเพราะเราถูกสอนให้เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นและต้องทำให้ดีกว่าเค้าเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการประสบความสำเร็จ ช่วงเรียนเราก็ต้องทำให้ได้เกรดดีๆ สอบเข้าคณะและมหาลัยที่ดี ช่วงทำงานเราก็ทำงานตลอดเวลาไม่เว้นเสาร์อาทิตย์ เพราะเราแบกความคาดหวังว่าตัวเองจะต้องทำให้ดีที่สุด
การที่เรามีความคาดหวังและกังวลกับอนาคตซึ่งไม่สามารถคาดเดาได้ นำมาซึ่งความกดดันในตัวเอง มันจึงเป็นจุดเริ่มต้นของ โรคซึมเศร้าเรื้อรัง ที่แฝงตัวอยู่ในหัวของเราตลอดมา มันค่อยๆ กัดกินความคิดในหัวจนทำให้เราเครียด มารู้สึกตัวอีกที ‘ความสุข’ ในชีวิตของเราก็หายไปตอนไหนไม่รู้ จนกระทั่งวันที่เรามีความคิดที่อยากจะหายไปจากโลกใบนี้...เราถึงได้เข้ารับการรักษากับคุณหมออย่างจริงจัง
วันแรกที่เจอหมอ เรื่องราวทั้งหลายที่อัดอั้นมานาน ถูกระบายออกมาอย่างพลั่งพรู ยิ่งพูดน้ำตายิ่งไหล จนเจอคำถามโคตรจุกอกจากคุณหมอว่า ‘คุณกิกจำความสุขของตัวเองได้มั้ย’
เรานั่งนึกนานมากและบอกว่า ความสุขเดียวที่เราจำได้คือ 1 วันในดิสนีย์แลนด์ เรารู้สึกว่าตอนอยู่ดิสนีย์แลนด์มันเหมือนโลกแห่งความฝัน เราได้ปล่อยวางทุกอย่างออกจากความคิดของโลกความเป็นจริง คุณหมอบอกว่าดิสนีย์แลนด์มันคือที่ที่เราปลอดภัยจาก ‘ความคาดหวัง’ ในทุกๆ เรื่อง
ดังนั้นหมออยากจะให้เราละทิ้งจากความกดดันต่างๆ ด้วยการ
1. กินยาเพื่อเพิ่มสารเคมีแห่งความสุขในสมอง
2. ปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่
3. ปรับการทำงาน
เรากินยาและรักษาอยู่ 1 ปี แล้วอาการเราก็ดีขึ้น คุณหมอให้เราหยุดกินยาได้ หลังจากนั้นเราตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อไปพักผ่อนรักษาใจ และเดินทางไปเรียนต่อที่เพิร์ทซึ่งเป็นเมืองที่แตกต่างจากกรุงเทพฯ อย่างสิ้นเชิง วัฒนธรรมที่เรียบง่าย ไม่แข่งขัน ความอิสระและความใจดีของคนในเมืองเพิร์ทรวมถึงครอบครัวญาติที่เราอยู่ด้วย จากสภาพแวดที่เปลี่ยนไปทำให้เราลำดับความสำคัญของการใช้ชีวิตใหม่ จากการใช้เวลาทั้งหมดไปกับการทำงาน มาเป็นการให้เวลากับตัวเองและครอบครัว
ช่วงเวลาที่เพิร์ทเราได้พบกับความรักครั้งแรกในชีวิตและเราได้วางแผนแต่งงาน มีลูก สร้างครอบครัวที่อบอุ่นกับแฟนของเรา แผนในอนาคตของเราก็เปลี่ยนไปจากเรียนจบกลับไทยถาวร เป็นเรียนจบแล้วกลับไทยชั่วคราว ดูใจกันต่อและเตรียมงานแต่งงาน
เมื่อเราเรียนจบและกลับมาอยู่เมืองไทยเริ่มต้นใหม่กับสภาพแวดล้อมเดิม เราได้เข้าไปทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยได้รับค่าตอบแทนที่ดี ซึ่งนำมาสู่ความกดดัน การแข่งขัน อีกมากมาย ทำให้เราต้องกลับไปกินยาอีกครั้งแต่เป็นตัวที่อ่อนลง และในช่วงต้นปีของปีนี้ เราก็ถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งรังไข่ ถูกตัดอวัยวะที่ทำให้มีลูกไม่ได้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับแฟนจบลง
เรื่องราวต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามา ทำให้เรากลับมาเป็นโรคซึมเศร้าที่รุนแรงขึ้น ทั้งเรื่องงานที่เราต้องลาออก เรื่องร่างกายที่ต้องรักษา เรื่องความรักที่ต้องจบลง ตัวยาที่กินไม่ได้ช่วยให้เราดีขึ้น ความคิดของเราไม่เป็นระบบ มีแต่ความเศร้า รู้สึกผิดที่มีลูกไม่ได้เหมือนคนอื่น รู้สึกเป็นที่ไม่ต้องการของคนรัก รู้สึกเป็นภาระของครอบครัว รู้สึกแย่ไปหมดจนอยากจบชีวิตเพื่อให้เรื่องทุกอย่างจบไปด้วย
ระหว่างพักฟื้นและมีความคิดแย่ๆ เรายังมีครอบครัวที่คอยดูแลและคำพูดต่างๆ ที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น แต่ความรู้สึกมันก็จมดิ่งเป็นบางวัน จนเราต้องกลับไปหาหมอคนเดิมอีกครั้ง คุณหมอให้ยาตัวที่เคยให้ อาการเราก็ดีขึ้น ฝึกคิดเหตุและผลไปพร้อมกับยา คราวนี้สิ่งที่ต่างไปจากการรักษาครั้งแรกคือเรายังอยู่ในสภาวะแวดล้อมแบบเดิม แต่เราต้องปรับความคิดและพฤติกรรมของเราเอง
เราขอบคุณมะเร็งนะ ที่คัดกรองคนที่รักเราจริงๆ ไว้กับเรา ขอบคุณนะที่ทำให้เรารู้ว่าครอบครัวของเรา ป๊า ม้า เฮีย เจ๊ รักเรามากขนาดไหน กลัวเราเจ็บและจากไปขนาดไหน หลานของเรา ญาติทุกคนของเรา เพื่อนๆ ของเรา ห่วงเรามากขนาดไหน ขอบคุณโรคที่ช่วยเลือกเเผนอนาคตที่ดีย์กว่าให้กับเรา ให้เราได้อยู่เมืองไทยต่อกับคนที่เรารักและรักเราจริงๆ
ตอนนี้เราคิดได้แล้วนะ แต่คงยังต้องกินยาเพราะเรายังจะต้องให้คีโมต่ออยู่ ยังอยู่ในระยะเสี่ยงต่อความอ่อนแอทั้งกายและใจ แต่ตอนนี้ใจเราคิดได้แล้ว และตอนนี้เราได้วางแผนอนาคตใหม่ที่ตรงกับใจและไม่กดดันตัวเองอีกต่อไปค่ะ
และถ้าถามว่าความสุขของกิกตอนนี้คืออะไร กิกตอบได้เลยว่ามันคือทุกวันที่ได้ใช้ชีวิตกับครอบครัวและพูดคุยกับทุกคนค่ะ 🙂
- ขอบคุณม้าที่พยายามอย่างมากเพื่อให้กิกมีความสุข ม้ารู้มั้ยว่ากิกมีความสุขมากขึ้นเพราะม้า
- ขอบคุณเจ๊ที่คอยอยู่ดูแลตลอดเวลาที่ป่วยพร้อมซัพพอร์ตความคิดและปัจจัย4 😛
- ขอบคุณเฮียที่แม้ตัวเองจะมีเรื่องมากมายเเต่ก็ให้เวลากับกิก เมื่อกิกต้องการเสมอ
-ขอบคุณป๊าที่ไม่ได้พูดอะไรมากนัก เเค่กอดเเละยิ้มทักทุกเช้าและก่อนนอน มันก็ทำใหักิกรูัสึกดี
ขอบคุณทุกคนที่ยังอยู่กับเราตรงนี้ ตอนนี้นะ
รักนะ 😊
————————————-
English version
Please don’t let your body and mind break like mine once did.
I used to push myself hard—chasing success, perfection, and expectations I placed on myself. I never stopped. Over time, the pressure led to chronic depression. I didn’t notice when happiness disappeared… until I started wishing I could disappear too.
Therapy changed everything. When my doctor asked, “Can you remember when you were last happy?” I could only recall one carefree day at Disneyland—because it was the only time I felt safe from expectations.
I started healing with medication, rest, and a new environment. I left my job, moved to Perth, and found a slower, gentler life. I fell in love, dreamed of marriage, and finally felt peace.
But coming back to Thailand brought the pressure back. I relapsed. Then came a cancer diagnosis—I lost the ability to have children and the relationship I loved.
I hit rock bottom.
But again, I got help. I returned to therapy, restarted medication, and this time, changed the way I think—without needing to run away.
Now I’m still healing, still in treatment, but my heart is lighter. I’ve found new meaning in simple days with people who truly love me.
If you ask me what happiness means now—it’s being alive, being loved, and having real conversations with my family.
Thank you, Mom, Dad, Bro, and Sis—for everything.
And thank you to everyone still standing with me.
I’m still here. And I’m moving forward—with a new plan, one that’s finally kind to my heart.
ีย์