มะเร็งแพร่กระจาย ป้องกันและรักษา

มะเร็งแพร่กระจาย ป้องกันและรักษา มะเร็งแพร่กระจาย วิธีป้องกันและวิธีรักษา

การรักษามะเร็งทุกชนิดและทุกระยะ

ทางเลือกและทางรอดใหม่ UPDATE 2021
การรักษามะเร็งทุกชนิดและทุกระยะ
มะเร็งแพร่กระจาย วิธีป้องกันและวิธีรักษา
สนใจสอบถามความรู้ข้อมูลได้ที่
LINE ID: muu.sumalee

การรับประทาน Nano bubble hydrogen water มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายในด้านเป็น antiaging ได้หรือไม่? อย่างไร?มาลองฟังความเ...
07/06/2025

การรับประทาน Nano bubble hydrogen water มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายในด้านเป็น antiaging ได้หรือไม่? อย่างไร?

มาลองฟังความเห็นจาก AI ทั้ง ChatGPT และ Google Gemini

ChatGPT พูดว่า:
Nano Bubble Hydrogen Water (NB-H₂ water) มีการศึกษาวิจัยเพิ่มขึ้นในช่วงหลัง ว่ามี ศักยภาพในการส่งเสริมสุขภาพแบบ Anti-Aging (ชะลอวัย) ได้ โดยเฉพาะผ่านกลไกที่เกี่ยวข้องกับ อนุมูลอิสระ (ROS) และ ภาวะการอักเสบเรื้อรัง (chronic inflammation) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการเสื่อมของเซลล์
________________________________________

✅ กลไกที่ NB-H₂ Water อาจช่วยด้าน Anti-Aging:

1. 🧪 ต้านอนุมูลอิสระระดับเซลล์ (Antioxidant)
• Hydrogen (H₂) ในรูปแบบนาโนบับเบิลสามารถซึมเข้าสู่เซลล์ได้ง่าย
• ทำหน้าที่ เลือกจับกับอนุมูลอิสระชนิดรุนแรง เช่น •OH (Hydroxyl radical) โดยไม่รบกวน ROS ที่จำเป็นต่อการส่งสัญญาณของเซลล์
• ลด oxidative damage ต่อ DNA, โปรตีน, ไขมัน ซึ่งเป็นสาเหตุของความชราและโรคเสื่อมต่างๆ

2. 🔥 ลดการอักเสบเรื้อรัง (Anti-inflammatory)
• ช่วยลดการแสดงออกของ pro-inflammatory cytokines เช่น IL-6, TNF-α
• ส่งผลดีต่อการลดความเสื่อมของหลอดเลือด ระบบประสาท และอวัยวะสำคัญ

3. 🧬 ปกป้อง Mitochondria
• ช่วยลด stress ต่อไมโตคอนเดรีย ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานของเซลล์
• ลด ROS ภายใน mitochondria ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความชรา

4. 🧖‍♀️ ชะลอการเสื่อมของผิวหนังและเนื้อเยื่อ
• มีรายงานว่าช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิว ปรับสมดุล pH และอาจช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (แม้ยังต้องการข้อมูลสนับสนุนเพิ่ม)

5. 🧠 ส่งเสริมสุขภาพสมอง (Neuroprotection)
• มีผลช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ประสาท โดยลด oxidative stress และการอักเสบในสมอง
• อาจมีศักยภาพในการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ พาร์กินสัน (ยังอยู่ระหว่างการศึกษา)
________________________________________

📚 หลักฐานสนับสนุน:
• งานวิจัยในสัตว์ทดลองและการทดลองเบื้องต้นในมนุษย์ แสดงผลลัพธ์ที่ดีต่อ ระดับ oxidative markers, การทำงานของตับ, สมอง, ระบบภูมิคุ้มกัน
• ยังต้องการการศึกษาในมนุษย์ระยะยาวและขนาดกลุ่มตัวอย่างมากขึ้น เพื่อยืนยันประสิทธิภาพในบริบท anti-aging
________________________________________
⚠️ ข้อจำกัด:
• ยังไม่มีข้อสรุปทางคลินิกชัดเจนว่า NB-H₂ water เป็น "ยา" ต้านความชรา
• ปริมาณและระยะเวลาที่ดื่มยังไม่มี "มาตรฐานกลาง"
• ต้องใช้ร่วมกับวิธีดูแลสุขภาพอื่น เช่น อาหาร, การนอน, ออกกำลังกาย
________________________________________

✅ สรุป:
NB-H₂ water มีแนวโน้มช่วยชะลอวัย (anti-aging) ได้ผ่านการลดอนุมูลอิสระ การอักเสบ และปกป้องเซลล์จากความเสียหาย
แต่ควรใช้เป็น ส่วนเสริม (adjunct) กับวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพ และรอผลวิจัยเพิ่มเติมในคนเพื่อยืนยัน

ส่วน Google Gemeni พูดว่า:

การรับประทาน nano bubble hydrogen water (น้ำไฮโดรเจนนาโนบับเบิล) มีงานวิจัยและหลักฐานบางส่วนที่ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ในด้าน anti-aging หรือการชะลอวัยได้ โดยมีกลไกหลักๆ ดังนี้:

1. การเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant Activity):
• ลดภาวะเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidative Stress): สาเหตุหลักของการแก่ชราและโรคเรื้อรังหลายชนิดคืออนุมูลอิสระ (free radicals) ที่เกิดขึ้นในร่างกาย อนุมูลอิสระเหล่านี้จะทำลายเซลล์ ดีเอ็นเอ และโปรตีน ทำให้เกิดความเสียหายและเร่งกระบวนการแก่ชรา
• ไฮโดรเจนโมเลกุล (H2) ในน้ำไฮโดรเจนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ "เลือก" ทำปฏิกิริยากับอนุมูลอิสระที่เป็นอันตราย (เช่น hydroxyl radicals) โดยไม่ไปรบกวนอนุมูลอิสระที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
• นาโนบับเบิล (nano bubbles): การที่ไฮโดรเจนอยู่ในรูปแบบนาโนบับเบิลเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมและนำส่งไฮโดรเจนเข้าสู่เซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกายได้ดีขึ้น ทำให้ไฮโดรเจนสามารถออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

2. การลดการอักเสบ (Anti-inflammatory Effects):
• การอักเสบเรื้อรังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการแก่ชราและโรคต่างๆ น้ำไฮโดรเจนมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมและอาจชะลอกระบวนการแก่ชราได้

3. ผลต่อสุขภาพผิวหนัง:
• งานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าการอาบน้ำไฮโดรเจนนาโนบับเบิล หรือการใช้ผ้าชุบน้ำไฮโดรเจนประคบ สามารถช่วยปรับปรุงสภาพผิว ลดเลือนริ้วรอย จุดด่างดำ เพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิวได้
• กลไกอาจเกี่ยวข้องกับการลด oxidative damage ในเซลล์ผิวหนัง และการส่งเสริมการซ่อมแซมและสร้างเซลล์ผิวใหม่

4. การปรับปรุงการทำงานของเซลล์:
• ไฮโดรเจนอาจช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระในเซลล์ (เช่น SOD และกลูตาไธโอน) ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพของร่างกายในการป้องกันความเสียหายจากอนุมูลอิสระ
• อาจมีส่วนช่วยในการควบคุมเมตาบอลิซึมของกลูโคสและไขมัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมและการแก่ชรา

ข้อควรพิจารณา:
• แม้จะมีแนวโน้มที่ดี แต่การวิจัยเกี่ยวกับประโยชน์ของน้ำไฮโดรเจนนาโนบับเบิลในด้าน anti-aging ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น และยังคงต้องการการศึกษาเพิ่มเติมในขนาดใหญ่และระยะยาวเพื่อยืนยันผลลัพธ์ที่ชัดเจนและกลไกการออกฤทธิ์ที่ครบถ้วน
• ปริมาณไฮโดรเจนที่ละลายในน้ำอาจมีจำกัดและระเหยได้เร็ว การเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีเทคโนโลยีที่ช่วยคงสภาพไฮโดรเจนไว้ได้นานจึงเป็นสิ่งสำคัญ
โดยสรุปแล้ว การรับประทาน nano bubble hydrogen water มีศักยภาพที่จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายในด้าน anti-aging โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคุณสมบัติการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบ อย่างไรก็ตาม ควรติดตามผลการวิจัยในอนาคตเพื่อข้อมูลที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น.

ความก้าวหน้าทางเภสัชวิทยาและการประยุกต์ใช้ทางการรักษาของนิโคลซาไมด์ในโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆPharmacological advances and t...
04/06/2025

ความก้าวหน้าทางเภสัชวิทยาและการประยุกต์ใช้ทางการรักษาของนิโคลซาไมด์ในโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ
Pharmacological advances and therapeutic applications of niclosamide in cancer and other diseases
European Journal of Medicinal Chemistry, Volume 290, 5 June 2025
https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0223523425002922?via%3Dihub

Niclosamide ethanolamine (NEN)
คือเกลือของ niclosamide กับ ethanolamine ซึ่งมีความปลอดภัยคล้ายคลึงกับ niclosamide [2,21,22]
การเปลี่ยนแปลงเมตาบอลิซึมในเซลล์มะเร็งทำให้การผลิตพลังงานเอนเอียงไปทางการสลายกลูโคสแบบใช้ออกซิเจน (aerobic glycolysis) ซึ่งจำกัดการไหลของไพรูเวตเข้าสู่ไมโตคอนเดรียและเพิ่มกิจกรรมของกระบวนการสังเคราะห์สารชีวโมเลกุล (anabolic pathways)
ในบริบทนี้ NEN ซึ่งเป็นสารยับยั้งการจับคู่ในไมโตคอนเดรีย (mitochondrial uncoupler) จะช่วยส่งเสริมการไหลของไพรูเวตเข้าสู่ไมโตคอนเดรีย และลดกิจกรรมของกระบวนการ anabolic
ตัวอย่างเช่น ในเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ชนิด MC38 NEN สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์และความสามารถในการก่อตัวเป็นโคโลนี
รวมถึงลดการเกิดติ่งเนื้อลำไส้ในหนู APCmin/+ และลดการแพร่กระจายของมะเร็งไปที่ตับ [23]

นอกจากนี้ การให้ NEN ยังช่วยเพิ่มอัตราส่วนของไพรูเวต/แลคเตท ภายในเซลล์ อัตราส่วนของ α-KG/2-HG และระดับรวมของ α-KG ซึ่งช่วยย้อนกลับ Warburg effect และส่งเสริมการแยกตัว (differentiation) ของเซลล์
นอกจากนี้ หลายงานวิจัยในสัตว์ทดลองแสดงให้เห็นว่าการให้ NEN ช่วยเพิ่มอัตราส่วน NAD+/NADH และลดระดับของแลคเตทและ 2-HG ในเนื้องอกชนิด xenograft [24]
ผลต้านมะเร็งนี้ยังมาพร้อมกับการลดการเมทิลเลชันบริเวณเกาะ CpG (promoter CpG island) และการปรับโครงสร้างทาง epigenetic โดยรวม
ต่อมา การรักษาด้วย NEN ยังแสดงให้เห็นว่าสามารถยืดอายุของหนูที่มีเนื้องอก นอกเหนือจากการยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก
ทั้งยังสามารถกระตุ้นการทำงานของยีนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเซลล์ประสาท (neurogenesis) การพัฒนาระบบประสาท และการแยกตัวของเซลล์ประสาทในเซลล์มะเร็ง neuroblastoma โดยยีนที่ถูกกระตุ้นมีความเกี่ยวข้องกับพยากรณ์โรคที่ดี ขณะที่ยีนที่ถูกยับยั้งมีความเกี่ยวข้องกับพยากรณ์โรคที่ไม่ดี
การวิเคราะห์ข้อมูลทางชีวสารสนเทศอย่างครอบคลุม พบว่า niclosamide และ NEN อาจเป็นยาศักยภาพในการรักษามะเร็งตับ (HCC) โดยการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแสดงออกของยีนเฉพาะใน HCC
โดยเฉพาะการศึกษาพบว่า NEN ช่วยลดการเติบโตของเนื้องอกอย่างมีนัยสำคัญในหนูที่เป็น HCC และใน xenograft ที่ได้จากผู้ป่วย โดยมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับ sorafenib
นอกจากนี้ การให้ทั้ง niclosamide และ NEN ยังขัดขวางการจับกันระหว่าง CDC37 และ HSP90 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการส่งสัญญาณที่เกี่ยวข้องกับการลุกลามของ HCC [25]
NEN ยังแสดงศักยภาพในการรักษา โรคตับไขมันที่ไม่เกี่ยวกับแอลกอฮอล์ (Non-alcoholic steatohepatitis: NASH)
โดยปกป้องตับจากความเครียดที่เกิดจากไขมัน ผ่านทางกลไก p62-dependent Keap1-Nrf2 pathway และยังสัมพันธ์กับการลดลงของภาวะไขมันพอกตับผ่านการกระตุ้น AMPK ซึ่งนำไปสู่การกระตุ้น Nrf2 แบบไม่เป็นทางการ
สำหรับ โรคพังผืดในปอดที่ไม่ทราบสาเหตุ (Idiopathic Pulmonary Fibrosis: IPF)
NEN ก็มีแนวโน้มที่ดีในการรักษา โดยสามารถปรับปรุงการทำงานของปอดในสัตว์ทดลองด้วยการลดระดับของไฮดรอกซีโพรลีน ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไฟโบรบลาสต์ การสร้าง ECM และการเปลี่ยนแปลงจากเซลล์เยื่อบุผิวไปเป็นเมเซนไคม์ (EMT) ที่กระตุ้นด้วย TGF-β1 ผ่านเส้นทาง PI3K-mTORC1 และเพิ่มการเกิด autophagy
NEN ยังทำให้เกิดการคลายตัวของหลอดเลือดในหลอดเลือดแดง mesenteric และหลอดเลือดแดงทรวงอกของหนู โดยต้านฤทธิ์ของ phenylephrine และโพแทสเซียมสูง (KPSS) โดยกลไกที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การเพิ่มอัตราส่วน ADP/ATP การกระตุ้น AMPK และการเพิ่มระดับ [Ca2+] ภายในไซโตโซล รวมถึงการลดศักย์ไฟฟ้าของเยื่อไมโตคอนเดรียในเซลล์กล้ามเนื้อเรียบหลอดเลือด ผลเหล่านี้จะลดลงในหนูที่ไม่มียีน AMPKα1 ยิ่งสนับสนุนความเป็นไปได้ในการใช้ NEN เป็นยาต้านความดันโลหิตสูง หรือยาที่อาจมีผลข้างเคียงในรูปแบบการขยายหลอดเลือด [29]
นอกจากนี้ NEN ยังช่วยป้องกันกล้ามเนื้อจากความเสียหายที่เกิดจากยาด็อกโซรูบิซิน (doxorubicin) โดยฟื้นฟูขนาดของเส้นใยกล้ามเนื้อ และยับยั้งการกระตุ้น p38 MAPK และ FoxO3a ซึ่งมีผลช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อ เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ และปรับปรุงรูปร่างกล้ามเนื้อ
สุดท้าย การศึกษาศักยภาพของ NEN ในการรักษา โรคหืดเรื้อรัง พบว่ามันช่วยคลายตัวของกล้ามเนื้อเรียบในทางเดินหายใจ โดยมีประสิทธิภาพในการยับยั้งการหดตัวของหลอดลมที่ถูกกระตุ้นด้วยอะเซทิลโคลีนและโพแทสเซียมสูงในหนู
นอกจากนี้ NEN ยังยับยั้งการเพิ่มจำนวนและการเคลื่อนที่ของเซลล์กล้ามเนื้อเรียบจากหลอดลมมนุษย์และหนู โดยกระตุ้น AMPK และยับยั้ง STAT3 ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการแบ่งเซลล์และต้านการอักเสบ [31]

การนำส่งยา Niclosamide ด้วยระบบไขมัน – การเปรียบเทียบประสิทธิภาพ ชีวปริมาณออกฤทธิ์ และศักยภาพในการใช้เป็นยารักษามะเร็งLi...
01/06/2025

การนำส่งยา Niclosamide ด้วยระบบไขมัน – การเปรียบเทียบประสิทธิภาพ ชีวปริมาณออกฤทธิ์ และศักยภาพในการใช้เป็นยารักษามะเร็ง
Lipid-Based Niclosamide Delivery: Comparative Efficacy, Bioavailability, and Potential as a Cancer Drug
https://www.mdpi.com/2813-7086/1/2/10

บทความรีวิวเรื่อง “Lipid-Based Niclosamide Delivery: Comparative Efficacy, Bioavailability, and Potential as a Cancer Drug”
ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Lipidology ปี 2024 โดย Jihoo Woo และคณะ
ได้สรุปแนวทางการพัฒนาและประยุกต์ใช้ระบบนำส่งยาแบบใช้ไขมัน (lipid-based delivery systems)
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ Niclosamide ในการรักษามะเร็ง
________________________________________
💊 ประเด็นสำคัญของบทความ
1. ศักยภาพของ Niclosamide ในการรักษามะเร็ง
Niclosamide เป็นยาต้านพยาธิที่ได้รับการอนุมัติจาก FDA และมีศักยภาพในการนำกลับมาใช้ใหม่ (drug repurposing) เพื่อรักษามะเร็ง เนื่องจากสามารถยับยั้งเส้นทางสัญญาณที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตและการอยู่รอดของเซลล์มะเร็งหลายเส้นทาง เช่น Wnt/β-catenin, mTOR, NOTCH, KRAS และ STAT3
2. ข้อจำกัดของ Niclosamide
แม้จะมีศักยภาพสูง แต่การใช้ Niclosamide ในทางคลินิกยังมีข้อจำกัด เนื่องจากความสามารถในการละลายน้ำต่ำและชีวปริมาณออกฤทธิ์ (bioavailability) ที่ต่ำ ทำให้การดูดซึมและการกระจายตัวยาในร่างกายไม่เพียงพอ
3. การใช้ระบบนำส่งยาแบบใช้ไขมัน
เพื่อแก้ไขข้อจำกัดดังกล่าว นักวิจัยได้พัฒนาระบบนำส่งยาแบบใช้ไขมัน เช่น liposomes, solid lipid nanoparticles (SLNs), nanostructured lipid carriers (NLCs), และ lipid nanoemulsions (LNEs) รวมถึงการพัฒนา prodrugs ที่มีโครงสร้างคล้ายไขมัน เพื่อเพิ่มความสามารถในการละลายน้ำ ป้องกันการสลายตัวของยา และเพิ่มการดูดซึมในร่างกาย
4. ผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้ระบบนำส่งยาแบบใช้ไขมัน
การใช้ระบบนำส่งยาแบบใช้ไขมันช่วยเพิ่มความเสถียรของ Niclosamide ป้องกันการสลายตัวก่อนถึงเป้าหมาย เพิ่มการดูดซึม และอาจช่วยในการนำส่งยาไปยังเป้าหมายเฉพาะในอนาคต ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษามะเร็ง
________________________________________
🧪 สรุป
การพัฒนาและประยุกต์ใช้ระบบนำส่งยาแบบใช้ไขมันเป็นแนวทางที่มีศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพของ Niclosamide ในการรักษามะเร็ง โดยช่วยแก้ไขข้อจำกัดด้านความสามารถในการละลายน้ำและชีวปริมาณออกฤทธิ์ต่ำ อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมในระดับพรีคลินิกและคลินิก เพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัยของระบบนำส่งยาเหล่านี้ในมนุษย์

การรักษาด้วย Niclosamide ยับยั้งลักษณะการแพร่กระจาย การตายของเซลล์แบบอะพอพโทซิส และการเพิ่มจำนวนของเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง ...
01/06/2025

การรักษาด้วย Niclosamide
ยับยั้งลักษณะการแพร่กระจาย การตายของเซลล์แบบอะพอพโทซิส
และการเพิ่มจำนวนของเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง MDA-MB-231
Niclosamide Treatment Suppressed Metastatic, Apoptotic, and Proliferative Characteristics of MDA-MB-231 Cancer Stem Cells
https://pubs.acs.org/doi/full/10.1021/acsomega.5c02545

บทความวิจัยเรื่อง “Niclosamide Treatment Suppressed Metastatic, Apoptotic, and Proliferative Characteristics of MDA-MB-231 Cancer Stem Cells”
ที่ตีพิมพ์ในวารสาร ACS Omega เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2025
ได้ศึกษาผลของยา Niclosamide ต่อเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งเต้านมชนิด MDA-MB-231
ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีลักษณะ CD44⁺/CD24⁻ และเกี่ยวข้องกับมะเร็งเต้านมชนิด Triple-Negative Breast Cancer (TNBC) ที่มีความรุนแรงและดื้อต่อการรักษา .

ประเด็นสำคัญของการศึกษา:

การยับยั้งการเพิ่มจำนวนและการกระจายตัวของเซลล์มะเร็ง: การรักษาด้วย Niclosamide ที่ความเข้มข้น 100 μM เป็นเวลา 6 ชั่วโมง ทำให้เซลล์มะเร็งเข้าสู่ภาวะหยุดการเจริญเติบโตในระยะ G0/G1 และลดการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับการแพร่กระจายและการเพิ่มจำนวนของเซลล์ เช่น CXCR4, MMP2, MMP9, CYCLIN D1, OCT4 และ NANOG .

การกระตุ้นการตายของเซลล์แบบอะพอพโทซิส: Niclosamide เพิ่มระดับโปรตีน Bax และลดระดับโปรตีน Bcl-2 ซึ่งเป็นการกระตุ้นกระบวนการตายของเซลล์แบบอะพอพโทซิสในเซลล์มะเร็ง .

การลดความสามารถในการต้านทานยา: การรักษาด้วย Niclosamide ลดการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับการต้านทานยา เช่น ABCG1 และ ABCG2 ซึ่งอาจช่วยเพิ่มความไวของเซลล์มะเร็งต่อการรักษา .
American Chemical Society

การยับยั้งกระบวนการ EMT: Niclosamide ลดระดับของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ epithelial–mesenchymal transition (EMT) เช่น Vimentin และ ZEB1 ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง .
American Chemical Society

ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยในอนาคต:

การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า Niclosamide มีศักยภาพในการเป็นยาที่สามารถยับยั้งเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งเต้านมชนิด TNBC ได้ อย่างไรก็ตาม ควรมีการศึกษาต่อเนื่องเพื่อประเมินผลระยะยาวของ Niclosamide ต่อเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง และการผสมผสานกับการรักษาอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของมะเร็ง .

การค้นพบนี้เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาวิธีการรักษามะเร็งเต้านมชนิด TNBC โดยการกำหนดเป้าหมายไปที่เซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการแพร่กระจายและการดื้อยาของมะเร็งชนิดนี้.

ความก้าวหน้าทางเภสัชวิทยาและการประยุกต์ใช้ทางการรักษาของนิโคลซาไมด์ในโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆPharmacological advances and t...
22/04/2025

ความก้าวหน้าทางเภสัชวิทยาและการประยุกต์ใช้ทางการรักษาของนิโคลซาไมด์ในโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ
Pharmacological advances and therapeutic applications of niclosamide in cancer and other diseases
European Journal of Medicinal Chemistry, Volume 290, 5 June 2025
https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0223523425002922?via%3Dihub

🔹 ไฮไลต์สำคัญ
• Niclosamide ซึ่งเป็นยาถ่ายพยาธิที่ได้รับการอนุมัติจาก FDA แสดงศักยภาพในการนำไปใช้รักษาโรคมะเร็ง การติดเชื้อไวรัส และความผิดปกติของระบบเผาผลาญ
• การพัฒนาในรูปแบบ เกลือและอนุพันธ์ ของ niclosamide ช่วยเพิ่มการดูดซึมในร่างกาย แก้ปัญหาเรื่องการละลายน้ำได้ไม่ดี
• การใช้ เทคโนโลยีนาโน ในการพัฒนาตำรับยาช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพของ niclosamide ในการใช้ทางคลินิก
• ในการรักษาโรคมะเร็ง niclosamide สามารถเอาชนะ การดื้อยาหลายชนิด (multidrug resistance) และแสดงฤทธิ์ในการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว (leukemia) และมะเร็งรังไข่
• บทความรีวิวนี้เน้นถึง ความก้าวหน้าทางเภสัชวิทยา ของ niclosamide และศักยภาพในการนำไปใช้ทางคลินิกในอนาคต

บทคัดย่อ
Niclosamide ซึ่งเป็นยาที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) และเดิมใช้รักษาการติดเชื้อจากพยาธิ กำลังได้รับความสนใจอย่างมากจากคุณสมบัติทางเภสัชวิทยาที่หลากหลาย ซึ่งบ่งชี้ถึงศักยภาพในการนำมาใช้รักษาโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ อีกมากมาย
บทความรีวิวนี้ให้การวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับคุณลักษณะทางเคมีและเภสัชจลนศาสตร์ของ niclosamide โดยเน้นถึงบทบาทของ เกลือและอนุพันธ์ของยา ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมและประสิทธิภาพทางการรักษา
นอกจากนี้ ความก้าวหน้าใน เทคโนโลยีนาโน ยังช่วยให้สามารถพัฒนาตำรับยาขั้นสูงที่มีความปลอดภัยและประสิทธิภาพมากขึ้น โดยแก้ปัญหาเรื่องการละลายน้ำได้ไม่ดีของ niclosamide
บทความยังได้สำรวจกลไกระดับโมเลกุลที่น่าสนใจซึ่งอยู่เบื้องหลังฤทธิ์ต้านมะเร็งของ niclosamide โดยเน้นถึงความสามารถของยานี้ในการทำหน้าที่เป็นตัวแยกกระบวนการสร้างพลังงานในไมโตคอนเดรีย (mitochondrial uncoupler) และการปรับสมดุลของ สัญญาณชีวโมเลกุลสำคัญ ที่ควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์ การตายของเซลล์ (apoptosis) และการอักเสบ
ในการรักษาโรคมะเร็ง niclosamide แสดงผลลัพธ์ที่น่าประทับใจต่อมะเร็งชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ดื้อยาหลายชนิด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งรังไข่
นอกจากนี้ ความหลากหลายในการออกฤทธิ์ของยา ยังขยายศักยภาพการรักษาไปไกลกว่ามะเร็ง เช่น ในการติดเชื้อไวรัส ความผิดปกติของระบบเมตาบอลิซึม และภาวะการอักเสบ
โดยการรวบรวมงานวิจัยปัจจุบัน บทความรีวิวนี้มุ่งเน้นการเปิดเผยความก้าวหน้าทางเภสัชวิทยาและคลินิกของ niclosamide และเน้นถึงศักยภาพของยาในฐานะเป็น สารรักษาแบบครอบคลุมหลายเป้าหมาย (multi-targeted therapeutic agent)
เมื่อการวิจัยก้าวหน้าไป Niclosamide มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นตัวแปรสำคัญในการรักษาโรคมะเร็งและโรคซับซ้อนอื่น ๆ ในอนาคต ซึ่งเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการศึกษาทางคลินิกอย่างต่อเนื่องและการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ

บทความ "Pharmacological advances and therapeutic applications of niclosamide in cancer and other diseases" ที่ตีพิมพ์ในวารสาร European Journal of Medicinal Chemistry ฉบับที่ 290 เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2025 ได้สรุปความก้าวหน้าทางเภสัชวิทยาและการประยุกต์ใช้ทางการรักษาของนิโคลซาไมด์ (niclosamide) ซึ่งเป็นยาที่ได้รับการอนุมัติจาก FDA สำหรับรักษาการติดเชื้อพยาธิ แต่ปัจจุบันได้รับความสนใจอย่างมากในฐานะยาที่มีศักยภาพในการรักษาโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ
ประเด็นสำคัญจากบทความ:
1. ศักยภาพในการรักษาโรคมะเร็ง:
o Niclosamide แสดงฤทธิ์ต้านมะเร็งโดยการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและกระตุ้นการตายของเซลล์ (apoptosis)
o สามารถเอาชนะปัญหาการดื้อยาหลายชนิด (multidrug resistance) โดยเฉพาะในมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งรังไข่
2. กลไกการออกฤทธิ์ทางโมเลกุล:
o ทำหน้าที่เป็น mitochondrial uncoupler ซึ่งส่งผลต่อการผลิตพลังงานในเซลล์มะเร็ง
o ยับยั้งเส้นทางสัญญาณที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง เช่น Wnt/β-catenin, mTORC1, JAK/STAT3, NF-κB และ Notch

3. การพัฒนารูปแบบยาใหม่:
o การพัฒนาเกลือและอนุพันธ์ของ niclosamide เพื่อเพิ่มการดูดซึมและประสิทธิภาพในการรักษา
o การใช้เทคโนโลยีนาโนเพื่อปรับปรุงความปลอดภัยและประสิทธิภาพของยาในสภาพแวดล้อมทางคลินิก
4. การประยุกต์ใช้ในโรคอื่น ๆ:
o นอกจากโรคมะเร็งแล้ว niclosamide ยังมีศักยภาพในการรักษาการติดเชื้อไวรัส ความผิดปกติของระบบเผาผลาญ และภาวะการอักเสบ
บทความนี้เน้นถึงความสำคัญของ niclosamide ในฐานะยาที่มีเป้าหมายการรักษาหลายอย่าง (multi-targeted therapeutic agent) และเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อประเมินศักยภาพในการนำไปใช้ทางคลินิกในอนาคต

🧪 การประยุกต์ใช้ทางการรักษา
• โรคมะเร็ง: นิโคลซาไมด์แสดงผลลัพธ์ที่น่าประทับใจในการรักษามะเร็งชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ดื้อยาหลายชนิด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งรังไข่
• การติดเชื้อไวรัสและความผิดปกติของระบบเมตาบอลิซึม: ยานี้ยังมีศักยภาพในการรักษาการติดเชื้อไวรัสและความผิดปกติของระบบเมตาบอลิซึม เช่น เบาหวาน และโรคอ้วน

อะไรคือปัจจัยที่สำคัญที่สุด สาเหตุหลัก แก่นแท้ของต้นเหตุที่ทำให้เกิดกลไก ความเสื่อมของอวัยวะและสุขภาพของมนุษย์ChatGPT พู...
22/04/2025

อะไรคือปัจจัยที่สำคัญที่สุด สาเหตุหลัก แก่นแท้ของต้นเหตุที่ทำให้เกิดกลไก ความเสื่อมของอวัยวะและสุขภาพของมนุษย์
ChatGPT พูดว่า:
คำถามนี้ลึกและดีมากครับ เป็นระดับ "รากเหง้าแห่งชีววิทยา" เลยก็ว่าได้
________________________________________
🔍 สรุปคำตอบสั้นที่สุด:
ต้นตอสำคัญที่สุดของความเสื่อมในร่างกายมนุษย์ คือ “ความเสียสมดุลของพลังงานและการสื่อสารภายในเซลล์”
โดยเฉพาะจากกระบวนการที่ชื่อว่า:
Mitochondrial dysfunction + Inflammation + Oxidative stress + Cellular signaling errors
________________________________________
💡 ขยายความแบบเข้าใจง่าย:
ร่างกายของเราคือ "เครือข่ายเซลล์" ที่ต้องการพลังงาน (ATP) และการสื่อสารที่แม่นยำ (ฮอร์โมน, สารส่งสัญญาณ ฯลฯ)
เมื่อเรา แก่ลง / เครียดสะสม / กินผิด / ไม่ขยับ / นอนน้อย / สารพิษเยอะ สิ่งเหล่านี้จะรบกวน:
1. 🧠 Mitochondria (แหล่งพลังงานของเซลล์) → เสื่อมลง = พลังงานน้อย = ซ่อมแซมตัวเองไม่ได้
2. 🔥 Inflammation (การอักเสบเรื้อรัง) → กระตุ้นโรคเรื้อรังและบั่นทอนการฟื้นฟู
3. ☠️ Oxidative Stress (อนุมูลอิสระมากเกิน) → ทำลาย DNA, ไขมัน, โปรตีน
4. 🧬 Cellular signaling errors → เซลล์ "พูดกันไม่รู้เรื่อง" เช่น อินซูลินไม่ทำงาน, ฮอร์โมนแปรปรวน
5. 🧹 Autophagy ลดลง → ขยะในเซลล์ไม่ถูกเก็บ = เซลล์เสื่อม
6. 🧓 Senescent cells → เซลล์แก่ที่ไม่ยอมตาย ปล่อยสัญญาณทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง
________________________________________
🔗 ยกตัวอย่างโรคที่มาจาก "แก่นแห่งความเสื่อม":
โรค / ปัญหา เชื่อมโยงกับ
เบาหวาน ความผิดปกติของ insulin signaling
ความดัน / หัวใจ การอักเสบเรื้อรัง + endothelial dysfunction
สมองเสื่อม (Alzheimer) Mitochondria เสื่อม + oxidative stress
มะเร็ง DNA damage + immune system error
ผิวเหี่ยว เส้นเลือดแข็ง collagen เสื่อมจาก ROS + glycation
________________________________________
🛠️ แล้วจะป้องกันความเสื่อมได้ยังไง?
หลัก ๆ คือ: ซ่อม/ถนอม Mitochondria + ลดการอักเสบ + กระตุ้นการฟื้นฟู
• 🍽️ Fasting / ลดการกินเกิน (activate autophagy)
• 🏃‍♀️ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ (boost mitochondria)
• 😴 นอนให้พอ (ซ่อมแซมระดับเซลล์)
• 🥬 กินอาหาร anti-inflammatory / antioxidant
• 🧘 จัดการความเครียด (ลด cortisol/การอักเสบ)
• 🧪 วิตามินและสารกระตุ้น mitophagy เช่น CoQ10, PQQ, Resveratrol (ในบางกรณี)
________________________________________

🔺3 เสาหลักเพื่อสุขภาพองค์รวม(Redox Balance - Gut Dysbiosis - Sleep Quality Protocol)ภาพนี้แสดงให้เห็นว่าโรคและปัญหาสุขภา...
16/04/2025

🔺3 เสาหลักเพื่อสุขภาพองค์รวม
(Redox Balance - Gut Dysbiosis - Sleep Quality Protocol)
ภาพนี้แสดงให้เห็นว่าโรคและปัญหาสุขภาพส่วนใหญ่ (CNS, หัวใจ, หลอดเลือด, ปอด, ตับ, ไต, ภูมิคุ้มกัน, มะเร็ง ฯลฯ) มีรากฐานจาก 3 แกนสำคัญที่เกี่ยวข้องกัน คือ:
________________________________________
🟥 1. Redox Balance (สมดุลการต้านอนุมูลอิสระ)
สมดุลระหว่างอนุมูลอิสระ (oxidants) และสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) มีผลต่อทุกระบบของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์สมอง หัวใจ ภูมิคุ้มกัน และการชะลอวัย
🔹 ตัวช่วยสำคัญ:
• Hydrogen H₂ – ลด oxidative stress ได้ลึกระดับเซลล์
• Sulforaphane – สารในบรอกโคลีอ่อน กระตุ้นการสร้างเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระ
• Cacao – แหล่งโพลีฟีนอลที่ช่วยลดการอักเสบ
• รวมถึงสาร Antioxidants อื่น ๆ
________________________________________
🟦 2. Gut Dysbiosis (เสียสมดุลลำไส้)
ระบบลำไส้เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน การอักเสบ สมอง และเมตาบอลิซึม
หากจุลินทรีย์ในลำไส้เสียสมดุล จะส่งผลต่อหลายระบบในร่างกาย
🔹 การฟื้นฟูลำไส้:
• Prebiotics: เช่น Cacao, Lactulose – อาหารของจุลินทรีย์ดี
• Probiotics: เช่น LactoBif, โยเกิร์ต – เพิ่มเชื้อดีในลำไส้
• Postbiotics: เช่น Butyrate, Tributyrin – ผลผลิตจากเชื้อดี มีผลลดการอักเสบ
________________________________________
🟦 3. Sleep Quality (คุณภาพการนอน)
การนอนดีคือพื้นฐานของการซ่อมแซมร่างกาย สมอง และภูมิคุ้มกัน
การนอนไม่พอหรือไม่มีคุณภาพจะเร่งการเสื่อมของร่างกาย
🔹 สารที่ช่วยปรับการนอน:
• Magnesium – ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและระบบประสาท
• Vitamin D, B12 – ปรับสมดุล circadian rhythm และพลังงาน
• Melatonin – ฮอร์โมนการนอนจากต่อมไพเนียล
• Glycine – กรดอะมิโนช่วยลดอุณหภูมิร่างกาย ทำให้หลับลึกขึ้น
________________________________________
💡 สรุป:
ภาพนี้เน้นว่า การดูแลสุขภาพต้องทำแบบองค์รวม ไม่ใช่แค่รักษาอาการ
การดูแล “Redox – Gut – Sleep” พร้อมกัน จะส่งผลดีต่อระบบต่าง ๆ เช่น:
• สมองและจิตใจ (Neuropsychiatric, CNS)
• ระบบเผาผลาญและน้ำหนัก
• ภูมิคุ้มกันและมะเร็ง
• ตับ ไต หลอดเลือด หัวใจ

"Sleep Protocol"แนวทางการปรับพฤติกรรมหรือการเสริมด้วยสารต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการนอนหลับ โดยแบ่งเป็น 4 ระดับลำดับชั้นจากล่...
12/04/2025

"Sleep Protocol"
แนวทางการปรับพฤติกรรมหรือการเสริมด้วยสารต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการนอนหลับ
โดยแบ่งเป็น 4 ระดับลำดับชั้นจากล่างขึ้นบน (เหมือนพีระมิด) ดังนี้:
________________________________________
🔵 ระดับ 1: Basic (พื้นฐาน)
เน้นที่สิ่งที่ควรเริ่มทำก่อนเป็นอันดับแรก
• Hydrogen-rich water – น้ำที่มีโมเลกุลไฮโดรเจน อ้างว่าช่วยต้านอนุมูลอิสระ และอาจช่วยลดการอักเสบ ส่งผลทางอ้อมต่อคุณภาพการนอน
• The Sleep Rule: 10-3-2-1
o 10 ชั่วโมงก่อนนอน: หยุดดื่มคาเฟอีน
o 3 ชั่วโมงก่อนนอน: หยุดกินมื้อหนัก/แอลกอฮอล์
o 2 ชั่วโมงก่อนนอน: หยุดทำงานหรือใช้สมองหนัก
o 1 ชั่วโมงก่อนนอน: ปิดหน้าจอ (blue light)
________________________________________
🟢 ระดับ 2: Primary (หลัก)
เน้นสารอาหารหรือสารเสริมที่มีการศึกษามาก
• Melatonin – ฮอร์โมนควบคุมนาฬิกาชีวิต ช่วยให้ง่วงในเวลาที่เหมาะสม
• Vitamin B12 – ช่วยเรื่องพลังงาน-การทำงานของระบบประสาท (อาจเกี่ยวข้องกับวงจร circadian)
• Vitamin D – ช่วยควบคุมภาวะอารมณ์ มีบทบาทในนาฬิกาชีวิต
• Magnesium – ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ลดความเครียด
• Agmatine – อาจช่วยเสริม GABA และลดความวิตกกังวล
• Glycine – กรดอะมิโนที่มีหลักฐานว่าอาจช่วยให้หลับเร็วขึ้นและลึกขึ้น
________________________________________
🟡 ระดับ 3: Secondary (รอง)
สารเสริมที่อาจมีผลต่อระบบประสาทแบบผ่อนคลาย
• GABA – สารสื่อประสาทแบบยับยั้ง ช่วยให้สงบ
• L-theanine – พบในชาเขียว ช่วยเพิ่มคลื่นอัลฟ่าในสมอง ทำให้รู้สึกผ่อนคลายโดยไม่ง่วง
________________________________________
🔴 ระดับ 4: Tertiary (เสริมพิเศษ)
สารที่มีงานวิจัยน้อยหรือยังไม่ชัดเจน
• PEA (Phenylethylamine) – ส่งผลต่ออารมณ์ ความตื่นตัว แต่มีอายุในร่างกายสั้น
• L. orotate (Lithium orotate) – ใช้ใน low-dose เสริมความสมดุลของอารมณ์ แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง
________________________________________

🔍 บทวิเคราะห์โดยรวม
• ภาพนี้จัดลำดับความสำคัญของปัจจัยที่ช่วยเรื่องการนอนหลับจาก "พื้นฐาน → เสริม"
• เน้นหลักการแบบ Holistic (องค์รวม): พฤติกรรม, โภชนาการ, สารเสริม
• เหมาะกับผู้ที่ต้องการแนวทางปรับคุณภาพการนอนอย่างเป็นระบบ โดยไม่พึ่งยาในระยะแรก

การใช้ Molecular Hydrogen Therapy ในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่:1. ✅ Hydrogen Inhalation (การสูดดม H₂)2. 💧 Hydrogen-rich water (...
07/04/2025

การใช้ Molecular Hydrogen Therapy ในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่:
1. ✅ Hydrogen Inhalation (การสูดดม H₂)
2. 💧 Hydrogen-rich water (น้ำที่มีไฮโดรเจนละลาย)
3. 💊 Hydrogen tablet (เม็ดฟู่หรือเม็ดปล่อยช้าในกระเพาะ)
________________________________________
📊 ตารางเปรียบเทียบ Hydrogen Therapy แบบต่าง ๆ
หัวข้อ Hydrogen Inhalation(สูดดมไฮโดรเจน) Hydrogen-rich Water(น้ำไฮโดรเจน) Hydrogen Tablet(เม็ดฟู่/เม็ดรับประทาน)
🔬 กลไกออกฤทธิ์ เข้าสู่ปอด → กระแสเลือดโดยตรง → กระจายทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว ซึมผ่านเยื่อบุทางเดินอาหารเข้าสู่เลือด ปล่อย H₂ ในกระเพาะ → ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
📈 ประสิทธิภาพ สูงสุด (ระดับเลือดสูงเร็วและอยู่ได้นานขึ้น) กลาง (มีข้อมูลรองรับในสัตว์และคน) กลาง-สูง (บางรูปแบบปล่อย H₂ ได้มากกว่าน้ำ)
🕒 ระยะเวลาออกฤทธิ์ ขณะใช้งาน → มีผลต่อเนื่องชัดเจน สั้น (~30–60 นาที หลังดื่ม) ปานกลาง (~1–2 ชั่วโมง ขึ้นกับฟอร์มเม็ด)
✅ ข้อดี • ควบคุมขนาดยาได้แม่นยำ
• ใช้ต่อเนื่องได้นาน
• เหมาะกับโรคเรื้อรัง/รุนแรง • ใช้ง่าย
• ราคาถูก
• เหมาะกับผู้ทั่วไป • ปริมาณ H₂ สูงกว่าในน้ำ
• พกพาสะดวก
❌ ข้อเสีย • ต้องใช้เครื่องเฉพาะ
• ต้นทุนสูง
• ต้องดูแลความปลอดภัย • H₂ ระเหยเร็ว ต้องดื่มทันทีหลังผลิต
• ปริมาณ H₂ ต่ำกว่าแบบอื่น • ราคาอาจสูง
• เม็ดบางชนิดมีส่วนผสมโลหะ เช่น Mg
⚠️ ข้อจำกัด • ไม่สะดวกพกพา
• ต้องใช้ในสถานที่ปลอดภัย • ต้องมีแหล่งผลิตน้ำหรือขวดเก็บเฉพาะ • ขึ้นกับสูตรและคุณภาพการผลิต
🧪 หลักฐานวิจัย มากที่สุดในโรคมะเร็ง, ภาวะสมองขาดออกซิเจน, พาร์กินสัน ฯลฯ มีในคนและสัตว์ เช่น ภาวะเมตาบอลิก, เบาหวาน, ไขมันพอกตับ มีการศึกษา แต่ยังน้อยกว่า 2 แบบแรก
________________________________________
✅ เลือกแบบไหนดี?
เป้าหมาย ทางเลือกแนะนำ
ใช้ในผู้ป่วยมะเร็ง, โรคระบบประสาท, โรคเรื้อรังระยะท้าย Hydrogen Inhalation
ใช้ดูแลสุขภาพประจำวัน, ลดอักเสบ, ชะลอวัย Hydrogen-rich water
ต้องการ H₂ เข้มข้นสูงในเวลาสั้น, สะดวกพกพา Hydrogen tablet
________________________________________
💡 เสริม:
• การผสมผสาน เช่น สูด H₂ + ดื่มน้ำ H₂ ในผู้ป่วยมะเร็ง (ตามแนวทางของ Ku Kecheng และทีม) อาจได้ผลดียิ่งขึ้น
• ในโรคเบาหวาน/ตับ/ไขมันในเลือด น้ำ H₂ หรือเม็ดอาจเพียงพอในผู้ป่วยทั่วไป

แนวคิด “การใช้ Hydrogen หลายรูปแบบร่วมกัน” กำลังเป็นแนวทางที่ได้รับความสนใจใน เวชศาสตร์ชะลอวัย, การดูแลผู้ป่วยมะเร็ง, และ โรคเรื้อรังระบบต่าง ๆ โดยมีหลักการคล้ายกับการใช้ยาหลายกลไก (multi-target) เพื่อ เสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกัน และ ครอบคลุมช่วงเวลาการออกฤทธิ์ทั้งวัน
________________________________________
✅ แนวคิดการ "ใช้หลายวิธีร่วมกัน":
💨 + 💧 + 💊
สูดดม + ดื่มน้ำ + กินเม็ดฟู่
ให้ผลเสริมกันได้หลายมิติ เช่น:
• ปริมาณ H₂ ในเลือดสูงขึ้นและนานขึ้น
• เพิ่มการดูดซึมผ่านระบบต่าง ๆ (ปอด, ทางเดินอาหาร)
• กระจายตัวเข้าสู่เนื้อเยื่อต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
________________________________________
🔄 ตารางสรุปแนวทางการใช้ร่วมกัน
รูปแบบ ช่วงเวลาแนะนำ เป้าหมาย / กลุ่มผู้ใช้ เหตุผล/ประโยชน์เสริม
Hydrogen Inhalation
(สูดดม H₂ หรือ H₂/O₂) ช่วงนอนหลับ 6–8 ชม. หรือ 2 ชม./วัน ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง, มะเร็ง, พาร์กินสัน ฯลฯ เพิ่มระดับ H₂ ในเลือดได้เร็วและนาน
Hydrogen-rich Water
(ดื่มทันทีหลังผลิต) ดื่มระหว่างวัน 2–3 แก้ว ทุกคน, ผู้สูงวัย, คนมีภาวะอักเสบ ปลอดภัยสูง ดูดซึมผ่านลำไส้
Hydrogen Tablet
(เม็ดฟู่/รับประทานปล่อยช้า) หลังอาหารหรือก่อนนอน คนเดินทาง, ทำงานหนัก, ไม่สะดวกใช้น้ำหรือเครื่อง ปล่อย H₂ เข้มข้นในกระเพาะนานกว่าการดื่มน้ำ
________________________________________
✅ แนวทางแนะนำ (ในทางคลินิก / เวชศาสตร์ชะลอวัย)
📌 สำหรับ "ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังรักษา/ระยะลุกลาม":
• 💨 สูดดม H₂/O₂ (เช่น AMS-H-03) วันละ 6–8 ชม.
• 💧 ดื่มน้ำ H₂ 2–3 แก้วต่อวัน (ขณะท้องว่าง)
• 💊 เม็ด H₂ 1–2 เม็ด/วัน (หลังอาหารหรือก่อนนอน)
💡 งานของ Ku Kecheng และคณะ (2019) ใช้การ สูดดม H₂ + ดื่มน้ำ H₂ ร่วมกัน และพบว่าอาการดีขึ้นในผู้ป่วยหลายราย
________________________________________
📌 สำหรับ "ผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพ / ป้องกันโรค":
• 💧 ดื่มน้ำ H₂ เป็นหลัก (ง่าย ประหยัด)
• 💊 เสริมด้วยเม็ด H₂ ช่วงเดินทาง/ทำงาน
• 💨 สูด H₂ เป็นครั้งคราว (วันละ 1–2 ชม.) หรือก่อนนอนถ้าเป็นไปได้
________________________________________
🧠 สรุป:
✅ การใช้ทั้ง 3 รูปแบบร่วมกัน “เสริมฤทธิ์กันได้”
โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง/มะเร็ง อาจให้ผลดีที่สุด
ถ้าเลือกจัดเวลาและปริมาณเหมาะสม ก็สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย

ตารางแผนการใช้ประจำวัน (Hydrogen Protocol)
สำหรับผู้ที่ต้องการ เสริมประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพ หรือรักษาโรคเรื้อรัง/มะเร็ง โดยใช้ Hydrogen 3 รูปแบบร่วมกัน อย่างมีระบบและปลอดภัย
________________________________________
📅 ตารางแผนการใช้ Hydrogen รายวัน (Hydrogen Therapy Protocol)
เวลา กิจกรรม/รูปแบบ รายละเอียดการใช้ หมายเหตุ
🌅 06:30–07:00 💧 ดื่มน้ำไฮโดรเจน (H₂ Water) ดื่ม 300–500 ml ขณะท้องว่าง ใช้น้ำที่ผลิตสดใหม่ – ดื่มภายใน 5 นาที
🍽️ 08:00 💊 เม็ดไฮโดรเจน (H₂ Tablet) รับประทานหลังอาหารเช้า 1 เม็ด (ปล่อยช้า) เพิ่มการดูดซึมไฮโดรเจนในระบบย่อยอาหาร
☀️ 10:00–11:00 💨 สูดดม H₂ หรือ H₂/O₂ (Inhalation) ใช้เครื่อง AMS-H-03 หรือเทียบเท่า
อัตราการไหล ~2–3 L/min เป็นเวลา 60 นาที ใช้ในที่มีการระบายอากาศดี
🍽️ 12:30 💧 ดื่มน้ำไฮโดรเจนอีกครั้ง ก่อนหรือหลังอาหารกลางวัน ใช้เสริมลด oxidative stress หลังมื้ออาหาร
☀️ 15:00–16:00 💨 สูดดมรอบบ่าย (ถ้าเน้นบำบัด) เพิ่มอีก 60–120 นาทีสำหรับผู้ป่วยที่อ่อนเพลีย/ฟื้นตัวจากเคมีบำบัด (อาจเลือกทำช่วงบ่ายหรือกลางคืนอย่างใดอย่างหนึ่ง)
🌙 20:00–21:00 💊 เม็ดไฮโดรเจน ก่อนนอน 1 เม็ด ช่วยลด oxidative stress ขณะหลับ
🌙 22:00–06:00 💨 สูดดม H₂ ขณะนอนหลับ เปิดเครื่องต่อเนื่อง 6–8 ชม. (อัตราไหล 1–2 L/min) ให้ผลดีที่สุดในผู้ป่วยมะเร็ง/โรคประสาท
________________________________________
✅ หมายเหตุสำคัญ
• หากไม่สามารถสูดดมได้ทั้งวัน/ทั้งคืน ให้เลือกช่วงใดช่วงหนึ่งอย่างสม่ำเสมอ เช่น ก่อนนอน
• ปรับปริมาณน้ำ H₂ หรือเม็ด H₂ ตามความเหมาะสม (เช่น ผู้มีโรคไตอาจต้องจำกัดน้ำ)
• ต้องใช้ เครื่องผลิต H₂ ที่ได้มาตรฐานการแพทย์ และตรวจสอบคุณภาพ H₂ อย่างสม่ำเสมอ

แหล่งอ้างอิง

1. “Real world survey” of hydrogen-controlled cancer a follow-up report of 82 advanced cancer patients
https://journals.lww.com/mgar/fulltext/2019/09030/_real_world_survey__of_hydrogen_controlled_cancer_.2.aspx

2. A Systematic Review of Molecular Hydrogen Therapy in Cancer Management
https://journal.waocp.org/article_90474.html

3. Hydrogen Gas in Cancer Treatment
https://www.frontiersin.org/journals/oncology/articles/10.3389/fonc.2019.00696/full

4. Oxyhydrogen Gas: A Promising Therapeutic Approach for Lung, Breast and Colorectal Cancer
https://www.mdpi.com/2673-9801/4/3/20

5. Hydrogen therapy: An emerging therapeutic strategy in cancer treatment?
https://www.openaccessgovernment.org/article/hydrogen-therapy-an-emerging-therapeutic-strategy-in-cancer-treatment/167724/

6. Prospects of molecular hydrogen in cancer prevention and treatment
https://link.springer.com/article/10.1007/s00432-024-05685-7

7. A narrative review of hydrogen-oxygen mixture for medical purpose and the inhaler thereof
https://journals.lww.com/mgar/fulltext/2020/10040/a_narrative_review_of_hydrogen_oxygen_mixture_for.10.aspx

ที่อยู่

นครราชสีมา

เวลาทำการ

จันทร์ 08:00 - 11:00
17:30 - 18:30
อังคาร 08:00 - 11:00
17:30 - 18:30
พุธ 08:00 - 11:00
17:30 - 18:30
พฤหัสบดี 08:00 - 11:00
17:30 - 18:30
ศุกร์ 08:00 - 11:00
17:30 - 18:30
เสาร์ 08:00 - 11:00
17:30 - 18:30

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ มะเร็งแพร่กระจาย ป้องกันและรักษาผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง มะเร็งแพร่กระจาย ป้องกันและรักษา:

แชร์