
17/11/2024
ราวๆ 20 ปีในความสัมพันธ์ระหว่าง ไบเดน กับสีจิ้นผิง
ไบเดน ค่อนข้างสนิทเป็นการส่วนตัวกับสีจิ้นผิง ไบเดนเป็นรองประธานาธิบดีสองสมัยในสมัยโอบาม่า ส่วนสีจิ้นผิงก็เป็นรองประธานาธิบดี ในสมัยประธานาธิบดี หูจินเทา สีจิ้นผิงและไบเดน ทั้งสองฝ่ายเคยต้อนรับซึ่งกันและกัน ไบเดนพาสีจิ้นผิงไปเยือนสหรัฐหลายที่ และต้อนรับเป็นการส่วนตัวหลายรอบ หลานไบเดนพูดภาษาจีนได้ด้วย และไบเดนสนิทกับสีจิ้นผิงเป็นการส่วนตัวมากๆ
ผ่านไป อย่างรวดเร็วหลังวาระ โอบาม่า 2008-2016
และทรัมป์ 2016-2020 จนไบเดนได้กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง ช่วงปี 2020-2024 ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเคยคาดการณ์ว่าความสัมพันธ์ระดับ Special relationship น่าจะช่วยลดอุณหภูมิทางการเมืองของ สงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ทั้งในทะเลจีนใต้ ไต้หวัน และอื่นๆจะช่วยให้มีทิศทางดีขึ้น แต่เห็นได้ชัดว่า การเมืองภายในของทั้งสองประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา และ จีน ได้เปลียนภูมิทัศน์ไปเรียบร้อยแล้ว จีนหลังจากการขึ้นครองตำแหน่งของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ปี 2012 - ปัจจุบัน ในสมัย 5 ปีแรก ยังมีการปราบปรามคอรัปชั่นในประเทศจีนเพื่อรวบรวมอำนาจ และ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงยังมีท่าทีเชิงร่วมมือกับตะวันตก (ในทุกๆด้านยกเว้นทะเลจีนใต้และ ความพยายามทางการทหาร รวมถึงเกาะไต้หวัน เป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวของจีน ตั้งแต่สมัยหูจิ้นเทาแล้ว) ยังส่งเสริมความร่วมมือทั่วโลกผ่านโครงการแถบและเส้นทาง BRI จนเข้าสู่วาระที่สอง ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง สหรัฐและสหภาพยุโรปมีความเปลี่ยนแปลงชัดเจนสองอย่าง ชาติใหญ่ในยุโรปอย่างสหราชอาณาจักรออกจากยุโรป Brexit และตามด้วยการชนะเลือกตั้งของประธานาธิบดีทรัมป์ ทำให้จีนรู้สึกว่าถึงความเปลี่ยนแปลงใหญ่ในรอบร้อยปีของโลกมาถึงแล้ว มีในเกือบทุกสุนทรพจน์ ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง โดยจะสื่อว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงแล้วอำนาจตะวันตกกำลังเสื่อมถอย แล้วจีนจะต้องเข้าไปในการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ปกติจีนจะมีวลีนำในสุนทรพจน์ผู้นำเสมอ แต่หลังๆประธานาธิบดีสีจิ้นผิงชอบวลีนี้มาก ใช้ในทุกวาระ ไม่ว่าจะเจอ ประธานาธิบดีปูติน หรือ การประชุมอื่นๆทั้งในประเทศ และ องค์กรความมั่งคงที่จีนตั้งขึ้น CTO โดยท่าทีของจีนชัดเจนในการเข้าสู่ลัทธิชาตินิยม และ แนวคิดกระจายความมั่งคั่งแบบเหมาในบางส่วน นโยบายชื่อดัง Common prosperity
ส่วนสหรัฐ ในผู้วางนโยบายสหรัฐ ในยุคทรัมป์ และ หลังจากนั้นเริ่มมองจีน เป็นภัยคุกคามแบบชัดเจน เดิมสหรัฐมองจีนเป็นคู่แข่งขัน สหรัฐพยายามเริ่มนโยบายปักหมุดในเอเชีย และ TPP ในสมัยโอบาม่า เพื่อปิดล้อมจีน
แต่ฝ่ายเหยี่ยวในสหรัฐที่ศึกษาจีนมานานคิดว่าไม่เพียงพอ จึงนำมาสู่สงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี และการปิดล้อม
แล้วมุมมองของจีนต่อสหรัฐล่ะ จีนมองสหรัฐมานานว่าเป็นศัตรูในเชิงความมั่งคง ตั้งแต่ปี 1990 ในสงครามอ่าว ที่เห็นความทันสมัยของอาวุธสหรัฐ เหนือกว่ากำลังพล จีนมีกองกำลังทหารประจำการสูงสุดในโลก การล่มสลายของสหภาพโซเวียด ล้วนกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้นำในกรุงปักกิ่งอย่างรุนแรง นำมาซึ่งการปรับปรุงกองทัพขนานใหญ่อย่างยาวนาน โดยมองสหรัฐคือศัตรู กลยุทธ์ระยะยาวของจีนสามารถหาอ่านได้จากหนังสือ The long game ซึ่งอธิบายการขยายอำนาจการทหารของจีนอย่างยาวนาน
สหรัฐเริ่มมองจีนเป็นศัตรูอย่างแท้จริง ในปี 2017 จนถึงปัจจุบัน ชาวอเมริกันร้อยล่ะ 90 ไม่ชอบจีน การออกกฎหมายต่อต้านจีนได้รับการสนับสนุนจากทั้งสองพรรคแบบท่วมท้น Bipartisan ผ่านสภาแบบง่ายในสหรัฐมีคำพูดว่าสองพรรคเห็นต่างกันทุกเรื่องยกเว้นเรื่องจีน
นักการเมืองสหรัฐจึงไม่สามารถพูดสนับสนุนจีนได้แบบแต่ก่อน ความสัมพันธ์อย่างสูงระหว่างไบเดน กับสีจิ้นผิงจึงถูกตั้งคำถามอย่างมากในช่วงเลือกตั้ง ไบเดนถึงกับต้องเรียกสีจิ้นผิงว่า เผด็จการในช่วงเลือกตั้ง ปี 2020 เลยทีเดียว และผ่านมาในช่วงการบริหารของไบเดน ก็ยังเห็นได้ว่า ไม่มีการยกเลิกนโยบายต่างๆของทรัมป์ด้านจีน และยังเพิ่มความเข้มข้น เช่น ขึ้นภาษีกับสินค้ายุทธศาสตร์ของจีน และมีการสนับสนุนอาวุธให้ไต้หวัน โดยนโยบายของรัฐบาลไบเดนจะไม่กระทบประชาชนมากเท่าทรัมป์ และ ได้ผลรุนแรงกว่า เพราะเป็นเรื่องที่จีนไม่ชอบเอามากๆ ทั้งไต้หวัน การเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินผู้นำจีน และ สมาชิก ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงของจีน ถึงผู้ว่าการรัฐ รวมถึงญาติและครอบครัว พร้อมจะอายัดบัญชีทันทีที่บุกเกาะไต้หวัน
การดำรงตำแหน่งทางการเมืองของไบเดนเลยกระทบต่อความสัมพันธ์กับสีจิ้นผิงไปโดยปริยาย ไบเดนและสีจิ้นผิงต่างหลีกเลี่ยงที่จะพบปะกันอย่างเป็นทางการตลอดวาระการดำรงตำแหน่ง และเลือกที่จะพบกันเฉพาะในเวทีประชุมระหว่างประเทศที่สำคัญเท่านั้น แต่ความสัมพันธ์นั้นจะเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ได้ แต่ดูจากการพูดไบเดนยังมีมุมมองบวกต่อสีจิ้นผิงอย่างมาก และมีความสัมพันธ์ที่ดี ส่วนสีจิ้นผิงยังดำรงตำแหน่งผู้นำต่อไป ก็ต้องระมัดระวังท่าทีทางการเมือง อย่างไรก็ต้องติดตามต่อไป