21/05/2021
https://www.facebook.com/106298987652289/posts/306833004265552/
ไขข้อข้องใจ ทำไมวิ่งแล้วเสียชีวิต
วัคซีนโดสนี้ไม่มีวันหมดอายุ ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการเสียชีวิตจากการออกกำลังกาย เพื่อไม่ให้ความกลัวจากความไม่รู้มาปิดกั้นโอกาสในการมีสุขภาพดี “วัคซีนที่ดีที่สุด = Vaccinate Yourself”
ในช่วงเวลา 2 – 3 ปี ที่ผ่านมานี้ หลายท่านคงเคยได้ยินหรือได้เห็นข่าวที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตระหว่างการออกกำลังกายผ่านหูผ่านตากันมาบ้างนะครับ บทความวันนี้ ผมจะมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับสาเหตุของการเสียชีวิตขณะออกกำลังกายให้ผู้อ่านทุกท่านได้ฟังกันครับ ซึ่งก่อนที่เราจะไปถึงรายละเอียดตรงนั้น ผมจำเป็นต้องอธิบายให้ทุกท่านเข้าใจถึงการทำงานของหัวใจของมนุษย์เรากันก่อนครับ
ในการบีบตัวหนึ่งครั้งของหัวใจของเรานะครับ ประกอบไปด้วยการทำงาน 2 ด้าน คือ การทำงานด้านไฟฟ้าเป็นลำดับแรก และตามมาด้วยการทำงานเชิงกล (หรือการบีบตัว-คลายตัว) เลือดจะถูกสูบฉีดออกจากหัวใจไปเลี้ยงทั่วร่างกายด้วยการทำงานเชิงกลหรือการบีบตัว-คลายตัวของหัวใจครับ โดยหัวใจก็เป็นอวัยวะหนึ่งที่มีกล้ามเนื้อที่ต้องทำงาน มีการบีบตัว-คลายตัวตลอดเวลา กล้ามเนื้อหัวใจจึงจำเป็นต้องได้รับเลือดและออกซิเจนเช่นเดียวกันกับกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อของอวัยวะอื่น ๆ โดยหลอดเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจนั้นมีชื่อว่า “หลอดเลือดแดงโคโรนารี” (coronary artery) ครับ หลอดเลือดนี้เป็นหลอดเลือดขนาดเล็ก เป็นแขนงของหลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ต้า (aorta) โดยมีรูเปิดอยู่ที่ส่วนต้นของหลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ต้า เชื่อมต่อและรับเลือดจากหัวใจโดยตรง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของหลอดเลือดแดงโคโรนารีนี้ มีขนาดเล็กมากครับ มีเส้นผ่านศูนย์กลางส่วนต้นอยู่ประมาณ 4.5 ± 0.5 มิลลิเมตร (อ้างอิงในเพศชายเชื้อชาติยุโรป) (1) หลอดเลือดนี้จะค่อย ๆ แตกกิ่งก้านเป็นหลอดเลือดย่อย ๆ และมีขนาดเล็กลงไปเรื่อย ๆ ครับ เปรียบเสมือนรากไม้ ที่ตอนต้นจะมีขนาดใหญ่ มีการแตกกิ่งก้าน และรากจะมีขนาดค่อยๆ เล็กลงเรื่อย ๆ
ในภาวะปกติ เลือดจะถูกสูบฉีดให้ไหลผ่านหลอดเลือดแดงโคโรนารีไปยังกล้ามเนื้อหัวใจให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายครับ ในขณะพักหรืออยู่เฉย ๆ ก็ต้องมีความต้องการในระดับปกติ แต่เมื่อมีกิจกรรมทางกายก็ต้องการเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมากขึ้น ซึ่งวิธีการทำงานของหัวใจ ก็คือ หัวใจจะเต้นช้าลงหรือเร็วขึ้น และ/หรือบีบตัวแรงขึ้น สอดคล้องกับกิจกรรมนั้น ๆ ครับ ตัวอย่างเช่น ตอนที่เรานั่งดูทีวีอยู่บนโซฟาตัวโปรด หัวใจของเราจะเต้นไม่เร็วมากนักและก็บีบตัวปกติครับ แต่ในขณะที่เรากำลังวิ่ง หัวใจของเราจะเต้นเร็วขึ้นและบีบตัวแรงขึ้น กลไกเหล่านี้ มีไว้เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้เพียงพอกับความต้องการของอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ณ ขณะนั้น ๆ ครับ หัวใจของเราก็เหมือนอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกายครับ ต้องมีเลือดไปเลี้ยงเช่นเดียวกัน เมื่อหัวใจเต้นเร็วขึ้น บีบตัวแรงขึ้นก็ย่อมต้องการเลือดไปเลี้ยงเพิ่มขึ้น ซึ่งตอนที่หัวใจเต้นเร็วขึ้นและบีบตัวแรงขึ้น เลือดที่ถูกสูบฉีดออกจากหัวใจก็จะไหลไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจผ่านหลอดเลือดแดงโคโรนารีด้วยการไหลที่เร็วขึ้นและมีความดันมากขึ้นไปโดยปริยายนั่นเองครับ (2)
จนถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านคงเล็งเห็นถึงความสำคัญของเจ้าหลอดเลือดแดงโคโรนารีนี้แล้วนะครับ หลอดเลือดแดงโคโรนารีทำหน้าที่ส่งเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจของเราอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน ตั้งแต่ตอนที่เราเกิดมาจนถึงวินาทีที่ผู้อ่านกำลังอ่านบทความนี้อยู่เลยทีเดียวครับ เปรียบเสมือนสายยางฉีดน้ำ เมื่อใช้ไปเป็นเวลานาน ๆ ตัวสายยาง (หรือในที่นี้ก็คือผนังหลอดเลือด) ย่อมมีการสูญเสียความยืดหยุ่นที่เคยมี แข็งมากขึ้น เปราะมากขึ้น และที่สำคัญผนังด้านในอาจมีตะไคร่หรือสาหร่ายมาเกาะอยู่ เป็นการกีดขวางการไหลของน้ำในสายยางได้ หลอดเลือดแดงโคโรนารีก็เช่นกันครับ เมื่อเรามีอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป รวมทั้งมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น ความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ภาวะอ้วน พฤติกรรมเฉื่อยเนือยนิ่ง ไม่ค่อยมีกิจกรรมทางกาย สูบบุหรี่ เหล่านี้ (3) เราก็จะเริ่มมีความเสี่ยงของการเกิด “รอยโรค” ภายในผนังหลอดเลือดแดงโคโรนารี ในตำแหน่งที่เกิดรอยโรคในหลอดเลือดแดงโคโรนารีนั้น จะมีการสะสมของไขมันและเนื้อเยื่อภายในผนังชั้นในของหลอดเลือดครับ ทำให้ผนังหลอดเลือดบริเวณนั้นมีการนูนขึ้น มีการยื่นเข้าไปในบริเวณส่วนที่เป็นท่อที่มีการไหลของเลือด ทำให้หลอดเลือดมีการตีบแคบลง เกิดการกีดขวางการไหลของเลือดไปยังกล้ามเนื้อหัวใจที่อยู่ส่วนปลายของหลอดเลือดนั้น เกิดเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ (coronary artery disease, CAD) ได้ การตีบแคบของหลอดเลือดแดงโคโรนารีนี้ จะค่อยเป็นค่อยไป จะเริ่มจากการตีบแคบเพียงเล็กน้อยไปจนถึงการอุดกั้นการไหลของเลือดได้อย่างสมบูรณ์ หรือแม้กระทั่งการเกิดแคลเซียมสะสมที่บริเวณรอยโรคครับ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ใช้ระยะเวลาครับ การตีบแคบเพียงเล็กน้อย จะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมา ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการก็ต่อเมื่อ รอยโรคมีการอุดกั้นในระดับที่มาก (ประมาณการว่ามากกว่า 60% ขึ้นไป) โดยผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกเมื่อออกแรง และอาการจะหายไปเมื่อได้นั่งพัก ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้ก็จะได้รับคำแนะนำให้เข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาและเข้าสู่กระบวนการรักษาในลำดับต่อไป
ในทางกลับกัน ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้ที่มีรอยโรคในหลอดเลือดแดงโคโรนารีแต่ไม่แสดงอาการใด ๆ สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และที่สำคัญสามารถออกกำลังกายหนัก ๆ ได้ โดยไม่มีความผิดปกติได้ สามารถวิ่งออกกำลังกาย ปั่นจักรยาน เล่นเทนนิส เตะฟุตบอลได้ ปัญหาก็คือ ไอ้เจ้าผิวภายในหลอดเลือดของรอยโรคที่ทำให้หลอดเลือดมีการตีบแคบลงนี้ มันสามารถที่จะถูกกระแสเลือดที่ไหลด้วยความเร็วและแรงเซาะให้หลุดหรือแตกออกจากผนังของหลอดเลือดได้ ซึ่งนับเป็นสถานการณ์ที่อันตรายมาก ๆ เลยครับ เป็นอันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว เพราะว่า เมื่อผิวภายในตรงบริเวณที่มีการตีบแคบโดนกระแสเลือดพัดให้หลุดออกจากผนังหลอดเลือด กลไกภายในร่างกายของเราจะมองว่า ตรงบริเวณนั้นเกิดบาดแผลขึ้นครับ ลองนึกภาพเวลาเราเป็นแผลถลอกหรือโดนของมีคมบาดนะครับ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ ร่างกายจะกระตุ้นกลไกการแข็งตัวของเลือดเพื่อทำให้เลือดหยุดไหลครับ เช่นเดียวกัน เมื่อเกิดแผลขึ้นภายในหลอดเลือดแดงโคโรนารี ร่างกายก็จะกระตุ้นกลไกการห้ามเลือด ทำให้เกิดลิ่มเลือดขึ้นตรงบริเวณรอยโรค จนทำให้เกิดการอุดกั้นเส้นเลือดแบบ 100% เลยครับ เลือดจึงไม่สามารถไหลไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจบริเวณที่อยู่ต่อจากรอยโรคที่เกิดลิ่มเลือดได้เลยครับ เหตุการณ์นี้ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเกิดการขาดเลือด หรือทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายตามมา จนไม่สามารถบีบตัว-คลายตัวได้ตามปกติ เมื่อหัวใจทำงานแย่ลงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายก็ขาดเลือดไปเลี้ยง มีการทำงานที่ล้มเหลว เป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้ครับ หากได้รับการรักษาโดยการสลายลิ่มเลือดหรือแพทย์ใส่อุปกรณ์เข้าไปเปิดหลอดเลือดที่อุดตันได้ทันท่วงที ก็จะสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยไว้ได้ครับ
จากข้อมูลข้างต้นสามารถกล่าวได้ว่า การเสียชีวิตขณะออกกำลังกาย สาเหตุหนึ่งมาจาก การที่ผู้ป่วยมีโรคหลอดเลือดหัวใจแต่ไม่แสดงอาการ และในขณะที่ผู้ป่วยออกกำลังกายอยู่นั้น เกิดการหลุดหรือแตกของรอยโรคภายในผนังหลอดเลือดแดงโคโรนารี (plaque rupture) ทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือดนั้น ๆ เกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จนไม่สามารถบีบตัวสูบฉีดเลือดได้อย่างเพียงพอตามที่ร่างกายต้องการ เป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ครับ ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในนักกีฬาที่มีอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไปครับ (4-6)
จากข้อมูลทั้งหมดที่ได้เล่ามาตั้งแต่ต้น หากเรามีความเข้าใจที่ตรงกันแล้ว ก็จะเห็นได้เลยว่า การมีกิจกรรมทางกายหรือการออกกำลังกายนั้น มีประโยชน์อย่างยิ่งและทำหน้าที่คล้ายวัคซีนในการป้องกันรอยโรคได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ว่าเราเข้าใจและต้องประเมินศักยภาพและความพร้อมของร่างกายของเราให้ดี ไม่หักโหมหรือทำจนเกินกำลัง เพียงเท่านี้อันตรายและความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากการออกกำลังกายก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอีกต่อไป...
…
บทความโดย ดร.พจน์ พงศ์เผ่าพัฒนกุล
อาจารย์ประจำ ภาควิชาเทคโนโลยีหัวใจและทรวงอก คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
#วัคซีนที่ดีที่สุด #ไขข้อข้องใจ #ทำไมวิ่งแล้วเสียชีวิต #กิจกรรมทางกาย #สสส #ทีแพค
เอกสารอ้างอิง
1. Dodge JT, Brown BG, Bolson EL, Dodge HT. Lumen diameter of normal human coronary arteries. Influence of age, s*x, anatomic variation, and left ventricular hypertrophy or dilation. Circulation. 1992;86(1):232-46.
2. Burton DA, Stokes K, Hall GM. Physiological effects of exercise. Continuing Education in Anaesthesia Critical Care & Pain. 2004;4(6):185-8.
3. Hajar R. Risk Factors for Coronary Artery Disease: Historical Perspectives. Heart Views. 2017;18(3):109-14.
4. Wasfy MM, Hutter AM, Weiner RB. Sudden Cardiac Death in Athletes. Methodist Debakey Cardiovasc J. 2016;12(2):76-80.
5. Koester MC. A Review of Sudden Cardiac Death in Young Athletes and Strategies for Preparticipation Cardiovascular Screening. J Athl Train. 2001;36(2):197-204.
6. Schmied C, Borjesson M. Sudden cardiac death in athletes. Journal of Internal Medicine. 2014;275(2):93-103.