บันทึกสุขภาพ ฉบับคนไม่ชอบออกกำลังกาย

บันทึกสุขภาพ ฉบับคนไม่ชอบออกกำลังกาย เขียนสิ่งที่รู้และอยากแบ่งปัน ���

“ไม่ชอบออกกำลังกาย…แล้วจะดูแลสุขภาพยังไงดี?”คำถามนี้มีคนถามบ่อยมากกก (เราก็เคยถามตัวเองเหมือนกัน)แบบว่า…ก็รู้แหละว่าอยาก...
14/05/2025

“ไม่ชอบออกกำลังกาย…แล้วจะดูแลสุขภาพยังไงดี?”

คำถามนี้มีคนถามบ่อยมากกก (เราก็เคยถามตัวเองเหมือนกัน)
แบบว่า…ก็รู้แหละว่าอยากสุขภาพดี แต่แค่คิดว่าจะต้องใส่ชุดกีฬา วิ่งเหงื่อแตก เต้นตามคลิป... ใจก็ห่อเหี่ยวละ

ข่าวดีคือ...
สุขภาพดี ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากการออกกำลังกายเสมอไปนะคะ
มีอีกหลายวิธีมากที่ “ดูแลตัวเองได้” แบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องฝืนตัวเองเกิน

วันนี้เลยชวนมาดูกันว่า ถ้าเราเป็นคนที่ไม่ชอบออกกำลังกายเลยจริง ๆ เราจะเริ่มจากตรงไหนได้บ้าง?

5 กิจกรรมเบา ๆ ที่ช่วยให้สุขภาพดีขึ้นได้ โดยไม่ต้องเข้ายิม

1. ลุกขึ้นยืดตัวสักนิดเวลาพักเบรก
– ไม่ต้องยืดเหมือนในคลาสโยคะ แค่เหยียดแขน เหยียดหลัง หมุนคอเบา ๆ ก็ช่วยไหลเวียนเลือดดีขึ้น
– ถ้าทำงานทั้งวัน ลุกมาทุก ๆ ชั่วโมงจะยิ่งดี (ตั้งเตือนไว้ก็ได้นะ)

2. คุยโทรศัพท์ไป เดินวนไป
– เวลาโทรศัพท์ ลองลุกเดินวนในบ้าน เดินไปเก็บของไป ไม่ต้องคิดเยอะ
– สะสมก้าวแบบไม่รู้ตัว ดีกว่านั่งเฉย ๆ แล้วไถมือถือเพลิน

3. นั่งเงียบ ๆ หลับตาสัก 1-2 นาที
– ลองปิดตา หายใจลึก ๆ ฟังเสียงรอบตัว ช้า ๆ
– แค่วันละนิดก็ช่วยลดความเครียด สมองได้พักจากโลกวุ่นวาย

4. ฟังเพลงแล้วขยับเบา ๆ
– เปิดเพลงที่ชอบ แล้วโยกหัว หรือขยับตัวตามจังหวะเบา ๆ ก็พอ
– ไม่ต้องเรียกว่าเต้นก็ได้ เรียกว่าขยับเพื่อชีวิตก็แล้วกัน!

5. จัดบ้านแบบไม่ต้องรีบ
– ลองใช้เวลาจัดของ เก็บห้องทีละมุม เหมือนเล่นเกม
– ได้ขยับร่างกาย ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในบ้าน = สดชื่นขึ้นแบบไม่รู้ตัวเลย

สิ่งสำคัญคือ ไม่ต้องรู้สึกผิดที่ไม่ชอบออกกำลังกาย
ร่างกายเราก็เหมือนเพื่อนคนหนึ่งค่ะ เขาไม่ได้อยากให้เราหักโหม เขาแค่อยากให้เรา “แวะมาดูแล” บ้างเป็นบางครั้ง

อย่ารีบเปลี่ยนตัวเองจนเหนื่อย
แค่ขยับวันละนิด ให้รู้ว่ายังรักตัวเองอยู่ เท่านี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้วค่ะ

ใครมี “กิจกรรมเบา ๆ” ที่ทำแล้วรู้สึกดีต่อสุขภาพ มาแชร์กันหน่อยนะคะ
(อยากได้แรงบันดาลใจจากทุกคนด้วยเหมือนกัน!)

13/05/2025

5 วิธีดูแลสุขภาพแบบคนขี้เกียจ (แต่ไม่อยากป่วย)
+ เคล็ดลับจาก Atomic Habits: เริ่มเล็ก แต่ต่อเนื่อง

ไม่ต้องฟิต ไม่ต้องฝืน แค่ “เริ่มจากเล็กที่สุด” แล้วทำบ่อยๆ
ลองแบบนี้ดู:

1. ดื่มน้ำให้พอ

เริ่มจาก: วางขวดน้ำไว้ข้างตัวเสมอ

ถ้าเห็นง่าย = ทำง่าย = ดื่มบ่อยขึ้น

2. ขยับเล็กน้อยทุกชั่วโมง

เริ่มจาก: ลุกไปหยิบน้ำ หรือยืดหลัง 30 วินาที

ใช้กฎ “1 นาที” = ทำแค่ 1 นาทีก็โอเคแล้ว

3. นั่งให้ถูก

เริ่มจาก: ปรับเก้าอี้ให้เท้าราบพื้น

ไม่ต้องเป๊ะ แต่ขอให้สบายตัวขึ้นนิดนึงก่อน

4. หายใจลึกวันละนิด

เริ่มจาก: หายใจลึก 1 ครั้งก่อนเปิดมือถือ

เอานิสัยใหม่ไป “ติด” กับสิ่งที่ทำอยู่แล้ว

5. พักสายตาทุก 20 นาที

เริ่มจาก: ตั้งแจ้งเตือนเบาๆ ทุกชั่วโมง

แค่เงยหน้ามองไกลๆ ก็ถือว่าดูแลตัวเองแล้ว

เคล็ดลับสำคัญจาก Atomic Habits คือ:

> “อย่าพยายามเปลี่ยนชีวิตในวันเดียว
เริ่มจาก 1% ที่ดีขึ้น…และทำให้มันง่ายพอจะทำได้ทุกวัน”

สุขภาพดีเริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ แบบนี้แหละค่ะ
คุณลองข้อไหนอยู่บ้าง? แชร์ได้เลยนะคะ!

12/05/2025

ทำไมบางคนออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่พอป่วยกลับดูแย่กว่าคนไม่ออกกำลังกาย?

มีเพื่อนคนหนึ่งเคยถามฉันว่า
“ทำไมเวลาฉันป่วยทีไร รู้สึกแย่สุดๆ เหมือนร่างพังไปหมด ทั้งที่ปกติฉันว่ายน้ำได้ครึ่งชั่วโมง วิ่งรอบสวนเป็นชั่วโมง แต่รุ่นน้องที่ไม่ออกกำลังกายกลับดูไม่เป็นอะไรมากเวลาไม่สบาย?”

ฟังดูเหมือนขัดแย้งใช่ไหม?
แต่ความจริงคือ...มันมีเหตุผลค่ะ

ฉันตอบเพื่อนไปว่า ร่างกายของคนที่ออกกำลังกายบ่อยๆ จะมีสมรรถภาพสูงกว่าค่าเฉลี่ยมาก
คือในวันที่สุขภาพดี เราจะ “ฟิตมาก” วิ่งได้นาน ว่ายน้ำได้ไกล
แต่พอป่วย สมรรถภาพของเราลดลงแรงมาก จนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเลยด้วยซ้ำ เลยทำให้รู้สึกว่า "ร่างกายแย่หนักมาก"

ในขณะที่คนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย สมรรถภาพปกติก็อยู่แค่พอประมาณ พอป่วย สมรรถภาพอาจจะลดลงแค่เล็กน้อย เลยไม่รู้สึกเปลี่ยนแปลงมากเท่าคนที่เคยแข็งแรงมากๆ

เปรียบเทียบง่ายๆ ก็คือ:

เหมือนคนที่ยืนอยู่บนชั้น 5 หรือ 6 แล้วตกลงมาที่พื้น แรงกระแทกมันจะรุนแรงกว่า แต่ถ้าเรายืนแค่ชั้น 2 แล้วตกลงมา ก็เจ็บน้อยกว่าแน่นอน

คนที่เคยฟิตมาก ๆ พอร่างกายดรอปลงมาเยอะ ก็เลย “รู้สึกว่าเจ็บแรงกว่า” แม้จะไม่ถึงขั้นอันตราย

สรุปสั้น ๆ

การออกกำลังกายยังดีแน่นอน
แต่อย่าแปลกใจถ้าพอป่วยแล้วจะรู้สึกแย่เกินคาด เพราะร่างกายเราเคยอยู่ "ชั้นสูง" เลยรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงมากกว่าคนอื่นค่ะ

12/05/2025

ยินดีต้อนรับสู่... “บันทึกสุขภาพฉบับคนไม่ชอบออกกำลังกาย”

ใช่ค่ะ อ่านไม่ผิด — ที่นี่คือพื้นที่ของคนที่
ไม่ชอบเข้าฟิตเนส ไม่อินกับการวิ่งมาราธอน
แต่ก็ยังอยาก “ดูแลตัวเอง” ให้ดีในแบบที่ไหว

เราไม่ได้จะมาชวนคุณเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นสายสปอร์ต
แต่จะมาชวนค่อยๆ ขยับ ค่อยๆ เข้าใจร่างกายตัวเอง
ผ่านเรื่องเล่า เบาๆ จากประสบการณ์ของอดีตนักกายภาพบำบัด (ที่ไม่ชอบออกกำลังกายเท่าไหร่เหมือนกัน)

สุขภาพดีไม่ใช่เรื่องของความแข็งแรงที่สุด
แต่คือ “ความสัมพันธ์ที่ดี” กับร่างกายของเราเอง
เหนื่อยก็พัก ป่วยก็ฟังร่างกาย ไม่ฝืน
และค่อยๆ เรียนรู้ว่า…ดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องฝืนใจ

ถ้าคุณรู้สึกคล้ายๆ กัน ลองกดติดตามไว้
เรามา “ดูแลตัวเองในแบบของเรา” ไปด้วยกันนะคะ

24/10/2024

การหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดการวิ่ง จากมุมมองของนักกีฬาและโค้ชมืออาชีพ

นิคลาส โรสเนอร์ อดีตนักกีฬาไตรกีฬาและโค้ชในปัจจุบัน ได้เผยแพร่วิดีโอทาง YouTube ที่กล่าวถึงข้อผิดพลาดทั่วไปของนักวิ่งที่อาจเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้า หรือนำไปสู่การบาดเจ็บ โรสเนอร์เน้นถึงความสำคัญของการเพิ่มความหนักในการฝึกซ้อมอย่างค่อยเป็นค่อยไป

โดยยกตัวอย่างเรื่องราวโบราณของไมโลและลูกวัว เขาอธิบายถึงความจำเป็นในการเพิ่มแผนการฝึกซ้อมอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเตือนถึงการเพิ่มปริมาณการฝึกซ้อมมากเกินไป ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อการบาดเจ็บจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ระบุ

เพื่อลดความเสี่ยงนี้ โรสเนอร์แนะนำให้ปฏิบัติตามกฎ 10% ซึ่งแนะนำไม่ให้เพิ่มปริมาณการฝึกซ้อมสัปดาห์ละเกิน 10% โรสเนอร์ยังเน้นถึงข้อผิดพลาดในการมุ่งเน้นเพียงการวิ่งอย่างเดียว โดยละเลยการฝึกความแข็งแรง และการฝึกแบบ plyometric ซึ่งมีความสำคัญต่อการเพิ่มประสิทธิภาพและป้องกันการบาดเจ็บ

นอกจากนี้ เขายังเน้นถึงความสำคัญของแผนการฝึกซ้อมแบบรอบปี ประกอบด้วยช่วงฐาน (Base) ช่วงสร้าง (Build) ช่วงจุดสูงสุด (Peak) และช่วงพักฟื้น (Recovery) สุดท้าย โรสเนอร์แนะนำไม่ควรทดลองวิธีการใหม่ๆ ในวันแข่งขัน โดยเน้นถึงความสำคัญของการฝึกซ้อมอย่างละเอียดในระหว่างการฝึก

เขายกตัวอย่างประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับการใช้คาเฟอีนในวันแข่ง ซึ่งมีผลเชิงลบ และเน้นถึงความสำคัญของกลยุทธ์การฝึกซ้อมก่อนการแข่งขัน สำหรับนักวิ่งและโค้ช
#การวิ่ง #ความเสี่ยง #สุขภาพ #ความสำเร็จ #โค้ชการวิ่ง

การเดินทางของเท้า (The foot's Journey)พ่อแม่หลายคนเริ่มจูงลูกไปหาหมอ เพียงเพราะเห็นลูกวิ่งแล้วล้มลุกคลุกคลานบ่อยครั้ง......
28/06/2022

การเดินทางของเท้า (The foot's Journey)

พ่อแม่หลายคนเริ่มจูงลูกไปหาหมอ เพียงเพราะเห็นลูกวิ่งแล้วล้มลุกคลุกคลานบ่อยครั้ง.....ลูกเป็นอะไร????
บ่อยครั้งพ่อแม่จะได้รับคำตอบว่า ลูกคุณเท้าแบน
แล้วทำไมถึง "แบน"?
มาลองดูกันว่า เราเปิดโอกาสเหล่านั้น โอกาสที่ทำให้เด็กเท้าแบนลง มาก/น้อยขนาดไหน

ในวัยทารกแรกเกิด กระดูกทั้งหมดยังคงอยู่ระหว่างการสร้าง ในฝ่าเท้าก็เช่นกัน

ปกติเราจะทราบกันว่ากระดูกในฝ่าเท้าคนเรามีจำนวนทั้งสิ้น 26 ชิ้น แต่ในเด็กทารก มีเพียงแค่ 22 ชิ้นเท่านั้น แล้วก็เรียงตัวกันอยู่ห่าง ๆ มีช่องว่างค่อนข้างกว้างระหว่างกัน ค่อย ๆ เจริญเติบโต พัฒนารูปร่างและความแข็งแรงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเข้าสู่วัยรุ่น

เมื่อเด็กเริ่มโตขึ้น เริ่มตั้งไข่ เริ่มเดิน ในช่วงอายุราว ๆ 8-18 เดือน แน่นอนว่า....เมื่อเด็กเริ่มเดินก้าวแรก เท้าของเด็กแบน หรือเราอาจสังเกตเห็นว่า ปลายเท้าหมุนเข้า เพราะความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเอ็นยึดกระดูกยังอยู่ระหว่างการพัฒนา

เมื่อเด็กอายุประมาณ 3 ปี จากภาพด้านบน เราจะเห็นว่าปริมาณของกระดูกมีเพิ่มขึ้นจาก 22 ชิ้นไปเป็น 45 ชิ้น ที่ยังไม่เชื่อมต่อกัน และยังไม่เป็นรูปลักษณ์สุดท้าย พร้อมกันนี้ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเอ็นยึดกระดูกก็ค่อย ๆ พัฒนาไปเรื่อย ๆ เพื่อรองรับโครงสร้างของเท้าที่แท้จริง เหมาะสมกับการรับน้ำหนักตัวในกิจกรรมต่าง ๆ

แล้วเมื่อไหร่ล่ะ....ที่โครงสร้างของเท้าจะเป็นโครงสร้างที่อยู่ตัว มีกระดูก 26 ชิ้น ฟอร์มตัวเป็นรูปเท้าที่ควรจะเป็น?

การศึกษาวิจัยหลาย ๆ งาน ระบุระยะเวลาที่เท้าเริ่มมีการพัฒนาโค้งของฝ่าเท้า (Arches of foot) ที่แตกต่างกันออกไป ตั้งแต่ 2 ปี – 6 ปี หรือ อาจถึงอายุ 10 ปี (Fixsen1998; Hefti and Brunner 1999; Stavlas et al. 2005; Volpon 1994)

Mauch (2007) พบว่า โค้งของฝ่าเท้านั้น เริ่มพัฒนาตั้งแต่เด็กยังเล็ก ๆ แต่ในช่วงอายุ 5-6 ปีนั้น โค้งของฝ่าเท้าพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังคงพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ ในอัตราเร่งที่ลดลงจนกระทั่งอายุประมาณ 12-13 ปี ช่วงอายุนี้กระดูกเท้าพัฒนาโครงสร้างได้เต็มที่ มีกระดูก จำนวน 26 ชิ้น เชื่อมต่อกันได้เหมือนเท้าของผู้ใหญ่ แต่การเจริญเติบโตของกระดูกยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งอายุประมาณ 20 ปี

แล้วทำอย่างไรล่ะ ที่จะช่วยให้เท้าของเด็ก เจริญเติบโตได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาโค้งของฝ่าเท้า ได้แก่ พันธุกรรม น้ำหนักตัว กิจกรรมทางกาย และ "รองเท้า"

หลายประเทศหันมาใส่ใจกับรองเท้าที่เด็กใส่ รวมถึงกระตุ้นพัฒนาการของเท้าผ่านกิจกรรมเท้าเปล่า (Barefoot activities)

รองเท้าสำหรับเด็ก ๆ ที่แนะนำ

★ ส่งเสริมความยืดหยุ่นของเท้าโดยให้มีการเคลื่อนไหวบ่อย ๆ
★ ให้ยืน เดินเท้าเปล่า เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและเอ็นที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า
★ ตรวจสอบขนาดของเท้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
★ เปลี่ยนรองเท้าให้พอดีกับเท้า ทั้งด้านยาวและด้านกว้าง ไม่ใส่รองเท้าคับเกินไป
★ ไม่ควรเลือกใช้รองเท้าแข็ง พื้นรองเท้าควรมีความยืดหยุ่นมากเพียงพอ
★ บริเวณส้นรองเท้าควรโอบรับกับส้นเท้าเพื่อป้องกันการลื่นไถล

แล้วเท้าแบน (Flat foot) ล่ะ
เท้าเเบน หากไม่ได้เกิดจากพันธุกรรม มักมาจากปัจจัยภายนอก และส่วนใหญ่มักมาจากรองเท้า ทำให้โค้งของฝ่าเท้า โดยเฉพาะด้านใน พัฒนาตัวเองไม่ได้อย่างเต็มที่ ถ้าเด็กยังไม่มีอาการปวดฝ่าเท้า ลองพาเด็กออกกำลังกาย วิ่งเล่นด้วยเท้าเปล่า เพื่อฝึกให้กล้ามเนื้อและเอ็นใต้ฝ่าเท้าแข็งแรงมากขึ้น

15/01/2022
หากใครได้ศึกษา หรือพอรู้เรื่องกลศาสตร์เกี่ยวกับระบบคานมาบ้าง พอเห็นภาพก็คงเข้าใจได้ง่ายๆ ว่า ทำไมก้มหน้านานๆ ถึงปวดคอลอง...
10/06/2021

หากใครได้ศึกษา หรือพอรู้เรื่องกลศาสตร์เกี่ยวกับระบบคานมาบ้าง พอเห็นภาพก็คงเข้าใจได้ง่ายๆ ว่า ทำไมก้มหน้านานๆ ถึงปวดคอ
ลองมาทำความเข้าใจระบบคานก่อน ในภาพเป็นคานอันดับ 1 คือมีจุดหมุนอยู่ตรงกลางระหว่างแรงดึง 2 ด้าน คอด้านหน้าจึงรับน้ำหนักศีรษะที่ก้มลงพร้อมกับระยะที่ห่างจากจุดหมุน ในขณะที่กล้ามเนื้อคอด้านหลังอยู่ติดกับกระดูกคอต้องออกแรงดึง

วิธีประมาณง่ายๆ คือ เอาน้ำหนักศีรษะคูณกับระยะทางจากคอถึงลูกศรสีน้ำเงิน แล้วทดเอาไว้นะคะ
จากนั้น เราไปดูข้างหลัง ทำแบบเดียวกันเลยคือ แรงหดตัวของกล้ามเนื้อ (เส้นสีเขียว) คูณด้วยระยะทางจากคอถึงเส้นสีเขียว
เอาผลคูณทั้ง 2 ต้องได้เท่ากันค่ะ ศีรษะถึงจะค้างในท่าก้มแบบนี้ได้

ประเมินได้ง่ายๆว่า ยิ่งก้มศีรษะเท่าไหร่ ระยะทางยิ่งไกล กล้ามเนื้อก็ยิ่งหดตัวออกแรงดึงรั้งไว้หนักเท่านั้น

แล้วถ้าดึงหนักมาก แถมใช้เวลานานมากด้วยละคะ...ไม่ปวดคอยังงัยไหว

https://www.facebook.com/106298987652289/posts/306833004265552/
21/05/2021

https://www.facebook.com/106298987652289/posts/306833004265552/

ไขข้อข้องใจ ทำไมวิ่งแล้วเสียชีวิต
วัคซีนโดสนี้ไม่มีวันหมดอายุ ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการเสียชีวิตจากการออกกำลังกาย เพื่อไม่ให้ความกลัวจากความไม่รู้มาปิดกั้นโอกาสในการมีสุขภาพดี “วัคซีนที่ดีที่สุด = Vaccinate Yourself”
ในช่วงเวลา 2 – 3 ปี ที่ผ่านมานี้ หลายท่านคงเคยได้ยินหรือได้เห็นข่าวที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตระหว่างการออกกำลังกายผ่านหูผ่านตากันมาบ้างนะครับ บทความวันนี้ ผมจะมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับสาเหตุของการเสียชีวิตขณะออกกำลังกายให้ผู้อ่านทุกท่านได้ฟังกันครับ ซึ่งก่อนที่เราจะไปถึงรายละเอียดตรงนั้น ผมจำเป็นต้องอธิบายให้ทุกท่านเข้าใจถึงการทำงานของหัวใจของมนุษย์เรากันก่อนครับ
ในการบีบตัวหนึ่งครั้งของหัวใจของเรานะครับ ประกอบไปด้วยการทำงาน 2 ด้าน คือ การทำงานด้านไฟฟ้าเป็นลำดับแรก และตามมาด้วยการทำงานเชิงกล (หรือการบีบตัว-คลายตัว) เลือดจะถูกสูบฉีดออกจากหัวใจไปเลี้ยงทั่วร่างกายด้วยการทำงานเชิงกลหรือการบีบตัว-คลายตัวของหัวใจครับ โดยหัวใจก็เป็นอวัยวะหนึ่งที่มีกล้ามเนื้อที่ต้องทำงาน มีการบีบตัว-คลายตัวตลอดเวลา กล้ามเนื้อหัวใจจึงจำเป็นต้องได้รับเลือดและออกซิเจนเช่นเดียวกันกับกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อของอวัยวะอื่น ๆ โดยหลอดเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจนั้นมีชื่อว่า “หลอดเลือดแดงโคโรนารี” (coronary artery) ครับ หลอดเลือดนี้เป็นหลอดเลือดขนาดเล็ก เป็นแขนงของหลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ต้า (aorta) โดยมีรูเปิดอยู่ที่ส่วนต้นของหลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ต้า เชื่อมต่อและรับเลือดจากหัวใจโดยตรง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของหลอดเลือดแดงโคโรนารีนี้ มีขนาดเล็กมากครับ มีเส้นผ่านศูนย์กลางส่วนต้นอยู่ประมาณ 4.5 ± 0.5 มิลลิเมตร (อ้างอิงในเพศชายเชื้อชาติยุโรป) (1) หลอดเลือดนี้จะค่อย ๆ แตกกิ่งก้านเป็นหลอดเลือดย่อย ๆ และมีขนาดเล็กลงไปเรื่อย ๆ ครับ เปรียบเสมือนรากไม้ ที่ตอนต้นจะมีขนาดใหญ่ มีการแตกกิ่งก้าน และรากจะมีขนาดค่อยๆ เล็กลงเรื่อย ๆ
ในภาวะปกติ เลือดจะถูกสูบฉีดให้ไหลผ่านหลอดเลือดแดงโคโรนารีไปยังกล้ามเนื้อหัวใจให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายครับ ในขณะพักหรืออยู่เฉย ๆ ก็ต้องมีความต้องการในระดับปกติ แต่เมื่อมีกิจกรรมทางกายก็ต้องการเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมากขึ้น ซึ่งวิธีการทำงานของหัวใจ ก็คือ หัวใจจะเต้นช้าลงหรือเร็วขึ้น และ/หรือบีบตัวแรงขึ้น สอดคล้องกับกิจกรรมนั้น ๆ ครับ ตัวอย่างเช่น ตอนที่เรานั่งดูทีวีอยู่บนโซฟาตัวโปรด หัวใจของเราจะเต้นไม่เร็วมากนักและก็บีบตัวปกติครับ แต่ในขณะที่เรากำลังวิ่ง หัวใจของเราจะเต้นเร็วขึ้นและบีบตัวแรงขึ้น กลไกเหล่านี้ มีไว้เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้เพียงพอกับความต้องการของอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ณ ขณะนั้น ๆ ครับ หัวใจของเราก็เหมือนอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกายครับ ต้องมีเลือดไปเลี้ยงเช่นเดียวกัน เมื่อหัวใจเต้นเร็วขึ้น บีบตัวแรงขึ้นก็ย่อมต้องการเลือดไปเลี้ยงเพิ่มขึ้น ซึ่งตอนที่หัวใจเต้นเร็วขึ้นและบีบตัวแรงขึ้น เลือดที่ถูกสูบฉีดออกจากหัวใจก็จะไหลไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจผ่านหลอดเลือดแดงโคโรนารีด้วยการไหลที่เร็วขึ้นและมีความดันมากขึ้นไปโดยปริยายนั่นเองครับ (2)
จนถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านคงเล็งเห็นถึงความสำคัญของเจ้าหลอดเลือดแดงโคโรนารีนี้แล้วนะครับ หลอดเลือดแดงโคโรนารีทำหน้าที่ส่งเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจของเราอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน ตั้งแต่ตอนที่เราเกิดมาจนถึงวินาทีที่ผู้อ่านกำลังอ่านบทความนี้อยู่เลยทีเดียวครับ เปรียบเสมือนสายยางฉีดน้ำ เมื่อใช้ไปเป็นเวลานาน ๆ ตัวสายยาง (หรือในที่นี้ก็คือผนังหลอดเลือด) ย่อมมีการสูญเสียความยืดหยุ่นที่เคยมี แข็งมากขึ้น เปราะมากขึ้น และที่สำคัญผนังด้านในอาจมีตะไคร่หรือสาหร่ายมาเกาะอยู่ เป็นการกีดขวางการไหลของน้ำในสายยางได้ หลอดเลือดแดงโคโรนารีก็เช่นกันครับ เมื่อเรามีอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป รวมทั้งมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น ความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ภาวะอ้วน พฤติกรรมเฉื่อยเนือยนิ่ง ไม่ค่อยมีกิจกรรมทางกาย สูบบุหรี่ เหล่านี้ (3) เราก็จะเริ่มมีความเสี่ยงของการเกิด “รอยโรค” ภายในผนังหลอดเลือดแดงโคโรนารี ในตำแหน่งที่เกิดรอยโรคในหลอดเลือดแดงโคโรนารีนั้น จะมีการสะสมของไขมันและเนื้อเยื่อภายในผนังชั้นในของหลอดเลือดครับ ทำให้ผนังหลอดเลือดบริเวณนั้นมีการนูนขึ้น มีการยื่นเข้าไปในบริเวณส่วนที่เป็นท่อที่มีการไหลของเลือด ทำให้หลอดเลือดมีการตีบแคบลง เกิดการกีดขวางการไหลของเลือดไปยังกล้ามเนื้อหัวใจที่อยู่ส่วนปลายของหลอดเลือดนั้น เกิดเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ (coronary artery disease, CAD) ได้ การตีบแคบของหลอดเลือดแดงโคโรนารีนี้ จะค่อยเป็นค่อยไป จะเริ่มจากการตีบแคบเพียงเล็กน้อยไปจนถึงการอุดกั้นการไหลของเลือดได้อย่างสมบูรณ์ หรือแม้กระทั่งการเกิดแคลเซียมสะสมที่บริเวณรอยโรคครับ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ใช้ระยะเวลาครับ การตีบแคบเพียงเล็กน้อย จะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมา ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการก็ต่อเมื่อ รอยโรคมีการอุดกั้นในระดับที่มาก (ประมาณการว่ามากกว่า 60% ขึ้นไป) โดยผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกเมื่อออกแรง และอาการจะหายไปเมื่อได้นั่งพัก ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้ก็จะได้รับคำแนะนำให้เข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาและเข้าสู่กระบวนการรักษาในลำดับต่อไป
ในทางกลับกัน ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้ที่มีรอยโรคในหลอดเลือดแดงโคโรนารีแต่ไม่แสดงอาการใด ๆ สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และที่สำคัญสามารถออกกำลังกายหนัก ๆ ได้ โดยไม่มีความผิดปกติได้ สามารถวิ่งออกกำลังกาย ปั่นจักรยาน เล่นเทนนิส เตะฟุตบอลได้ ปัญหาก็คือ ไอ้เจ้าผิวภายในหลอดเลือดของรอยโรคที่ทำให้หลอดเลือดมีการตีบแคบลงนี้ มันสามารถที่จะถูกกระแสเลือดที่ไหลด้วยความเร็วและแรงเซาะให้หลุดหรือแตกออกจากผนังของหลอดเลือดได้ ซึ่งนับเป็นสถานการณ์ที่อันตรายมาก ๆ เลยครับ เป็นอันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว เพราะว่า เมื่อผิวภายในตรงบริเวณที่มีการตีบแคบโดนกระแสเลือดพัดให้หลุดออกจากผนังหลอดเลือด กลไกภายในร่างกายของเราจะมองว่า ตรงบริเวณนั้นเกิดบาดแผลขึ้นครับ ลองนึกภาพเวลาเราเป็นแผลถลอกหรือโดนของมีคมบาดนะครับ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ ร่างกายจะกระตุ้นกลไกการแข็งตัวของเลือดเพื่อทำให้เลือดหยุดไหลครับ เช่นเดียวกัน เมื่อเกิดแผลขึ้นภายในหลอดเลือดแดงโคโรนารี ร่างกายก็จะกระตุ้นกลไกการห้ามเลือด ทำให้เกิดลิ่มเลือดขึ้นตรงบริเวณรอยโรค จนทำให้เกิดการอุดกั้นเส้นเลือดแบบ 100% เลยครับ เลือดจึงไม่สามารถไหลไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจบริเวณที่อยู่ต่อจากรอยโรคที่เกิดลิ่มเลือดได้เลยครับ เหตุการณ์นี้ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเกิดการขาดเลือด หรือทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายตามมา จนไม่สามารถบีบตัว-คลายตัวได้ตามปกติ เมื่อหัวใจทำงานแย่ลงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายก็ขาดเลือดไปเลี้ยง มีการทำงานที่ล้มเหลว เป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้ครับ หากได้รับการรักษาโดยการสลายลิ่มเลือดหรือแพทย์ใส่อุปกรณ์เข้าไปเปิดหลอดเลือดที่อุดตันได้ทันท่วงที ก็จะสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยไว้ได้ครับ
จากข้อมูลข้างต้นสามารถกล่าวได้ว่า การเสียชีวิตขณะออกกำลังกาย สาเหตุหนึ่งมาจาก การที่ผู้ป่วยมีโรคหลอดเลือดหัวใจแต่ไม่แสดงอาการ และในขณะที่ผู้ป่วยออกกำลังกายอยู่นั้น เกิดการหลุดหรือแตกของรอยโรคภายในผนังหลอดเลือดแดงโคโรนารี (plaque rupture) ทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือดนั้น ๆ เกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จนไม่สามารถบีบตัวสูบฉีดเลือดได้อย่างเพียงพอตามที่ร่างกายต้องการ เป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ครับ ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในนักกีฬาที่มีอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไปครับ (4-6)
จากข้อมูลทั้งหมดที่ได้เล่ามาตั้งแต่ต้น หากเรามีความเข้าใจที่ตรงกันแล้ว ก็จะเห็นได้เลยว่า การมีกิจกรรมทางกายหรือการออกกำลังกายนั้น มีประโยชน์อย่างยิ่งและทำหน้าที่คล้ายวัคซีนในการป้องกันรอยโรคได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ว่าเราเข้าใจและต้องประเมินศักยภาพและความพร้อมของร่างกายของเราให้ดี ไม่หักโหมหรือทำจนเกินกำลัง เพียงเท่านี้อันตรายและความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากการออกกำลังกายก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอีกต่อไป...

บทความโดย ดร.พจน์ พงศ์เผ่าพัฒนกุล
อาจารย์ประจำ ภาควิชาเทคโนโลยีหัวใจและทรวงอก คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

#วัคซีนที่ดีที่สุด #ไขข้อข้องใจ #ทำไมวิ่งแล้วเสียชีวิต #กิจกรรมทางกาย #สสส #ทีแพค

เอกสารอ้างอิง
1. Dodge JT, Brown BG, Bolson EL, Dodge HT. Lumen diameter of normal human coronary arteries. Influence of age, s*x, anatomic variation, and left ventricular hypertrophy or dilation. Circulation. 1992;86(1):232-46.

2. Burton DA, Stokes K, Hall GM. Physiological effects of exercise. Continuing Education in Anaesthesia Critical Care & Pain. 2004;4(6):185-8.

3. Hajar R. Risk Factors for Coronary Artery Disease: Historical Perspectives. Heart Views. 2017;18(3):109-14.

4. Wasfy MM, Hutter AM, Weiner RB. Sudden Cardiac Death in Athletes. Methodist Debakey Cardiovasc J. 2016;12(2):76-80.

5. Koester MC. A Review of Sudden Cardiac Death in Young Athletes and Strategies for Preparticipation Cardiovascular Screening. J Athl Train. 2001;36(2):197-204.

6. Schmied C, Borjesson M. Sudden cardiac death in athletes. Journal of Internal Medicine. 2014;275(2):93-103.

ใต้สถานการณ์ COVID-19 ระบาด คนเราใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับบ้าน เคลื่อนไหวน้อยลง นั่งมากขึ้นกิจกรรมทางกาย/การออกกำลังกายมีปร...
09/05/2021

ใต้สถานการณ์ COVID-19 ระบาด คนเราใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับบ้าน เคลื่อนไหวน้อยลง นั่งมากขึ้น

กิจกรรมทางกาย/การออกกำลังกายมีประโยชน์ ช่วยในการต่อสู้กับ COVID-19 ถ้าออกกำลังกายถึงระดับแนะนำ นั่นคือเราควรออกกำลังกายปานกลางถึงหนักอย่างน้อย 150-300 นาทีต่อสัปดาห์ ด้วยการผสมผสานกิจกรรมหลากหลายรูปแบบสะสมให้ได้อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์

แหล่งที่มา
Wedig IJ, Duelge TA, Elmer SJ. Br J Sports Med Epub ahead of print: doi:10.1136/bjsports-2020-103282

เอ็นร้อยหวายเป็นเอ็นที่มีความแข็งแรงที่สุดในร่างกาย แต่ก็เป็นตำแหน่งที่เกิดการบาดเจ็บมากที่สุดเช่นกัน Rice และ Patel (20...
02/05/2021

เอ็นร้อยหวายเป็นเอ็นที่มีความแข็งแรงที่สุดในร่างกาย แต่ก็เป็นตำแหน่งที่เกิดการบาดเจ็บมากที่สุดเช่นกัน Rice และ Patel (2017) ศึกษาผลของรองเท้าและลักษณะที่เท้าสัมผัสพื้นขณะวิ่งต่อแรงกดที่เกิดขึ้นที่เอ็นร้อยหวายในการวิ่งเท้าเปล่า ใส่รองเท้ากีฬาทั่วไป และใส่รองเท้ากีฬามินิมัล พบว่า รองเท้ากีฬามินิมัลมีอัตราการเปลี่ยนแปลงโมเมนตัมสูงกว่ารองเท้ากีฬาทั่วไป ไม่ว่าจะวิ่งลงส้นหรือปลายเท้า มีอัตราแรงกดบนเอ็นร้อยหวายสูงกว่ารองเท้ากีฬาทั่วไป
การวิ่งเท้าเปล่าหรือใส่รองเท้ากีฬามินิมัล อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บเอ็นร้อยหวาย เนื่องจากลักษณะการวิ่งจะเป็นการวิ่งลงปลายเท้า ซึ่งควรเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป หากจะเปลี่ยนจากรองเท้ากีฬาทั่วไปมาเป็นรองเท้ากีฬาแบบมินิมัลหรือวิ่งเท้าเปล่า
แหล่งที่มา
Rice H, Patel M, 2017. Manipulation of Foot Strike and Footwear Increases Achilles Tendon Loading During Running. Am J Sp Med.

ที่อยู่

Maung
Chon Buri
20130

เบอร์โทรศัพท์

+66815886046

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ บันทึกสุขภาพ ฉบับคนไม่ชอบออกกำลังกายผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram