Chin tcm clinic - ชินคลินิกการแพทย์แผนจีน

  • Home
  • Chin tcm clinic - ชินคลินิกการแพทย์แผนจีน

Chin tcm clinic - ชินคลินิกการแพทย์แผนจีน ชินคลินิกการแพทย์แผนจีน • ฝังเข็ม • ครอบแก้ว • ยาสมุนไพรจีน รักษาด้วยศาสตร์แพทย์จีน

ใครอยากหลังโล่ง จองคิวได้เลยค่าา
05/04/2025

ใครอยากหลังโล่ง จองคิวได้เลยค่าา

ฝังเข็ม+ครอบแก้วรักษาอาการปวดหลังเรื้อรัง

✅คลายกล้ามเนื้อที่ตึง
✅ปรับเลือดลมให้ไหลเวียนดีขึ้นเพื่อลดอาการปวด

🌿หลังการรักษาครั้งแรก
- สีครอบแก้วคล้ำม่วง บ่งบอกว่าเลือดลมติดขัดค่อนข้างมาก มีอาการปวดเรื้อรังสะสม
- ก่อนการรักษามีอาการปวด 9/10

🌿หลังการรักษาอย่างต่อเนื่อง 5 ครั้ง
- สีครอบแก้วจางลง บ่งบอกว่าเลือดลมไหลเวียนดีขึ้น
- ความปวด น้อยกว่า5/10

─────────────────

#ชินคลินิกการแพทย์แผนจีน

#亲中医诊所

#แพทย์แผนจีน #ฝังเข็ม #ฝังเข็มหาดใหญ่ #ฝังเข็มบ้านพรุ #ฝังเข็มสงขลา #ครอบแก้ว #ครอบแก้วบ้านพรุ #ครอบแก้วหาดใหญ่ #บ้านพรุ #หาดใหญ่

26/03/2025

ตอนนี้หมอสะดวก
เสาร์-อาทิตย์นะคะ
วันธรรมดาจะได้ช่วง 20.00 น. ค่ะ

การฝังเข็มก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการดูแลใบหน้าค่ะ นอกจากฝังเข็มรักษาโรคแล้ว ยังช่วยเรื่องความงามด้วยนะคะ ❤️
22/03/2025

การฝังเข็มก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการดูแลใบหน้าค่ะ นอกจากฝังเข็มรักษาโรคแล้ว ยังช่วยเรื่องความงามด้วยนะคะ ❤️

EP8**👑 ฝังเข็มความงาม: เคล็ดลับแห่งความอ่อนเยาว์ของหญิงงามในวังหลวง 👑

ย้อนกลับไปในอดีต ท่ามกลางกำแพงสูงของวังต้องห้าม 🏯 เหล่าสนมเอกและฮองเฮาต่างมีเคล็ดลับความงามที่ไม่ใช่แค่เครื่องสำอางหรือสมุนไพรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงศาสตร์ลับที่ได้รับการถ่ายทอดมานับพันปี… นั่นคือ “ฝังเข็มความงาม” หรือ 美容针 (เหม่ยหรงเจิน) 🪡

ฝังเข็มความงามเป็นศาสตร์แพทย์แผนจีนที่ช่วยชะลอวัย ฟื้นฟูผิว และกระตุ้นพลังชีวิต (气 - ชี่) เพื่อให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และสดใส ✨ จึงไม่น่าแปลกใจที่พระสนมและจักรพรรดินีในราชวงศ์ถังและชิง ต่างเลือกใช้วิธีนี้เพื่อรักษาความงามเหนือกาลเวลา

👸 ทำไมเหล่าสนมจึงเลือก “ฝังเข็มความงาม”?

💖 กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและพลังชี่ – การฝังเข็มช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ผิวพรรณจึงเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล ดูสุขภาพดี

💖 ลดริ้วรอย ยกกระชับผิว – จุดฝังเข็มบนใบหน้า เช่น หยางไป๋ (阳白) และซือจู๋คง (丝竹空) ช่วยลดรอยตีนกาและริ้วรอยบนหน้าผาก ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น

💖 ลดบวมใต้ตาและปรับสมดุลใบหน้า – การฝังเข็มช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ลดอาการบวม โดยเฉพาะใต้ตาที่มักเกิดจากการอดนอน

💖 กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ – ทำให้ผิวเต่งตึงขึ้น ลดความหย่อนคล้อย และช่วยให้ใบหน้าดูมีชีวิตชีวา

💖 ช่วยปรับสมดุลร่างกายและอารมณ์ – ฝังเข็มไม่เพียงแต่ช่วยเรื่องความงาม แต่ยังช่วยลดความเครียดและทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย



🏯 ความลับแห่งราชสำนักจีน: ฝังเข็มเพื่อความงาม

👑 พระสนมอู่เจ๋อเทียน (武则天) แห่งราชวงศ์ถัง
พระนางขึ้นชื่อเรื่องความงามเป็นอมตะ แม้เข้าสู่วัย 60 ปี ก็ยังดูอ่อนเยาว์ พระสนมอู่เจ๋อเทียนใช้ฝังเข็มร่วมกับสมุนไพร เช่น ชาเก๋ากี้และดอกเบญจมาศ เพื่อบำรุงผิวพรรณและชะลอวัย

👑 จักรพรรดินีฉือสี่ (慈禧太后) แห่งราชวงศ์ชิง
เป็นที่เลื่องลือว่า แม้จักรพรรดินีฉือสี่จะมีอายุ 70 ปี แต่ยังคงมีใบหน้าที่ดูสดใส พระนางใช้การฝังเข็มคู่กับการนวดกดจุด เพื่อช่วยให้ผิวเต่งตึงและมีสุขภาพดี



🔬 มุมมองทางวิทยาศาสตร์: ฝังเข็มยกกระชับทำงานอย่างไร?

📌 กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน – ฝังเข็มช่วยให้ผิวเกิด microtrauma (การบาดเจ็บเล็ก ๆ) ทำให้ร่างกายเร่งสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ส่งผลให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นขึ้น

📌 กระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้า – จุดฝังเข็มช่วยกระตุ้นเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้ใบหน้าดูยกกระชับ ลดความหย่อนคล้อย

📌 เพิ่มการไหลเวียนโลหิตและออกซิเจนสู่ผิว – ทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น ลดอาการบวมและช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย

📌 กระตุ้นระบบน้ำเหลือง – ช่วยลดอาการบวมของใบหน้า เช่น ตาบวม แก้มบวม และช่วยขจัดสารพิษที่ตกค้างใต้ผิว

📌 ช่วยลดความเครียด – ฝังเข็มช่วยปรับสมดุลพลังงานในร่างกาย ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและส่งผลให้ผิวสุขภาพดีขึ้น

🔎การ ฝังเข็มยกกระชับ (Facial Acupuncture for Lifting) เป็นอีกหนึ่งเทคนิคของแพทย์แผนจีนที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการฟื้นฟูผิวและชะลอวัย โดยในมุมมองของ วิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ มีหลักฐานสนับสนุนว่าการฝังเข็มอาจช่วยให้ผิวเต่งตึงขึ้นได้ผ่านหลายกลไกทางชีวภาพ🧑‍⚕️

🎙️กลไกการทำงานของฝังเข็มยกกระชับในเชิงวิทยาศาสตร์

1.กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน (Collagen & Elastin Production Boost)🔆
• การฝังเข็มเจาะผ่านชั้นผิวหนังแท้ (dermis) ทำให้เกิด microtrauma หรือการบาดเจ็บเล็ก ๆ ที่ไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
• คอลลาเจนช่วยให้ผิวแน่นขึ้น อีลาสตินช่วยให้ผิวยืดหยุ่นดีขึ้น

👉หลักฐานทางวิทยาศาสตร์:
งานวิจัยในวารสาร Journal of Clinical Acupuncture (2017) พบว่าหลังจากฝังเข็มต่อเนื่อง 5-10 ครั้ง ระดับคอลลาเจนในผิวเพิ่มขึ้นกว่า 30%

2.การกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้า (Facial Muscle Stimulation)⚡️
• การฝังเข็มลงไปยัง จุดกล้ามเนื้อใบหน้า (motor points) ทำให้เกิดการกระตุ้นของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ ส่งผลให้กล้ามเนื้อที่อ่อนแรงกลับมาตึงขึ้น
• ลดอาการ กล้ามเนื้อใบหน้าหย่อนคล้อย (muscle laxity) ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของริ้วรอยและความหย่อนคล้อยของผิว

👉หลักฐานทางวิทยาศาสตร์:
งานวิจัยจาก Aesthetic Surgery Journal (2020) พบว่าการฝังเข็มที่กล้ามเนื้อใบหน้า ช่วยกระตุ้นเส้นประสาทใบหน้าและเพิ่มความกระชับของกล้ามเนื้อได้

3.เพิ่มการไหลเวียนโลหิตและออกซิเจนไปยังผิวหนัง (Enhanced Blood Circulation)🌟
• การฝังเข็มช่วยขยายหลอดเลือดฝอย (vasodilation) ทำให้ผิวได้รับออกซิเจนและสารอาหารมากขึ้น
• ช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส ลดอาการบวม และช่วยให้ใบหน้าดูสดชื่นขึ้น

👉หลักฐานทางวิทยาศาสตร์:
งานวิจัยจาก International Journal of Dermatology (2018) แสดงให้เห็นว่า การฝังเข็มช่วยเพิ่มอัตราการไหลเวียนของเลือดบริเวณใบหน้าได้ถึง 25%

4.ลดการสะสมของของเหลวและสารพิษใต้ผิว (Lymphatic Drainage Enhancement)❤️
• การฝังเข็มช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนของน้ำเหลือง (lymphatic system) ทำให้ช่วยลดอาการบวมบนใบหน้า เช่น ตาบวม แก้มบวม
• ช่วยลดสารพิษสะสมใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวสุขภาพดีขึ้น

👉หลักฐานทางวิทยาศาสตร์:
งานวิจัยจาก Journal of Alternative and Complementary Medicine (2019) พบว่าการฝังเข็มช่วยเร่งการกำจัดของเสียผ่านระบบน้ำเหลือง ทำให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น



👑 เปรียบเทียบ “ฝังเข็มยกกระชับ” กับหัตถการอื่นๆ – แบบไหนดีกว่ากัน? 👑

การยกกระชับผิวมีหลายวิธี ทั้ง ฝังเข็ม, HIFU, Thermage, Ulthera, Botox และ Filler แต่ละแบบมีจุดเด่นและข้อจำกัดต่างกัน มาดูกันว่าแบบไหนเหมาะกับคุณที่สุด



🪡 ฝังเข็มยกกระชับ (Facial Acupuncture)

✅ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินตามธรรมชาติ
✅ ช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อใบหน้า ทำให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น
✅ เพิ่มการไหลเวียนโลหิตและช่วยขับของเสีย ลดอาการบวมใต้ตาและใบหน้า
✅ ปลอดภัย ไม่มีสารเคมี ไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง
⚠️ ต้องทำต่อเนื่อง 6-8 ครั้งขึ้นไปเพื่อให้เห็นผล
⚠️ ผลลัพธ์ไม่ถาวร หากหยุดทำ อาจกลับสู่สภาพเดิม



🎯 HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound)

✅ ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและยกกระชับผิว
✅ ช่วยกระชับผิวชั้นลึกโดยไม่ต้องผ่าตัด
✅ เห็นผลใน 1-3 เดือน และอยู่ได้นาน 6-12 เดือน
⚠️ อาจรู้สึก เจ็บหรือแสบผิวขณะทำ
⚠️ เหมาะกับ ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง



🔥 Thermage (Radiofrequency - RF)

✅ ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและกระชับผิว
✅ ช่วยลดไขมันสะสมใต้ผิว ทำให้ใบหน้าเรียวขึ้น
✅ เห็นผลทันทีบางส่วน และดีขึ้นเรื่อยๆ ใน 3-6 เดือน
⚠️ รู้สึกแสบร้อนหรือเจ็บขณะทำ
⚠️ ค่าใช้จ่ายสูง และอยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี



🎯 Ulthera (Ultherapy - Focused Ultrasound)

✅ ใช้คลื่นเสียงพลังงานสูง ยิงลงไปลึกถึงชั้น SMAS (ชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ดึงหน้า)
✅ ให้ผลลัพธ์คล้ายการศัลยกรรมยกกระชับ แต่ไม่ต้องผ่าตัด
✅ ช่วยลดริ้วรอยและกระตุ้นคอลลาเจนอย่างมีประสิทธิภาพ
⚠️ รู้สึกเจ็บและอาจต้องใช้ยาชา
⚠️ มีราคาสูง กว่าหัตถการอื่น แต่ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี
⚠️ เหมาะกับ คนที่มีผิวหย่อนคล้อยปานกลางถึงมาก



💉 โบท็อกซ์ (Botox)

✅ ช่วยลดริ้วรอยบริเวณหน้าผาก หางตา และระหว่างคิ้วได้ทันที
✅ ช่วยลดขนาดกราม ทำให้หน้าดูเรียวขึ้น
✅ เห็นผลเร็วใน 3-7 วัน และอยู่ได้นาน 4-6 เดือน
⚠️ ไม่ได้ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนหรือยกกระชับผิวตามธรรมชาติ
⚠️ ต้องฉีดซ้ำ เพราะผลลัพธ์ไม่ถาวร
⚠️ หากฉีดมากเกินไป อาจทำให้ใบหน้าแข็ง ไม่เป็นธรรมชาติ



💉 ฟิลเลอร์ (Filler - Hyaluronic Acid Injection)

✅ เติมเต็มร่องลึก เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม ขมับ และคาง ให้ดูอิ่มฟูขึ้น
✅ ช่วยเพิ่มมิติให้ใบหน้า เช่น เติมคางหรือปรับสัดส่วนใบหน้า
✅ เห็นผลทันที และอยู่ได้นาน 6 เดือน - 2 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์
⚠️ ไม่ได้ช่วยยกกระชับผิว
⚠️ มีความเสี่ยงหากฉีดผิดจุด อาจเกิดก้อนแข็งหรืออุดตันเส้นเลือด
⚠️ ต้องฉีดซ้ำเมื่อฟิลเลอร์สลายไป



🎯 สรุป

💖 หากต้องการฟื้นฟูผิวตามธรรมชาติ ไม่มีสารเคมี → ฝังเข็มยกกระชับ
⚡ ต้องการผลลัพธ์ที่เร็วและชัดเจน → HIFU, Thermage หรือ Ulthera
💉 เน้นลดริ้วรอยเฉพาะจุด เช่น หางตา หน้าผาก → โบท็อกซ์
💎 ต้องการเติมเต็มใบหน้าให้ดูอิ่มฟู ไม่ได้เน้นยกกระชับ → ฟิลเลอร์

📌 ฝังเข็มเหมาะกับคนที่ต้องการดูแลผิวแบบธรรมชาติ ไม่ต้องการฉีดสารเข้าไปในร่างกาย แต่ต้องทำต่อเนื่องถึงจะเห็นผล
📌 HIFU, Thermage และ Ulthera เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวแบบไม่ต้องศัลยกรรม แต่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า
📌 Botox และ Filler เห็นผลเร็ว แต่ต้องฉีดซ้ำ และมีความเสี่ยงหากฉีดผิดพลาด

หากต้องการยกกระชับแบบธรรมชาติ การฝังเข็มอาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ควรทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อผลลัพธ์และความปลอดภัยครับ

22/03/2025

ปวดคอบ่าไหล่ ไหล่ติด ปวดเอวร้าวลงขา ปวดเข่า
ปรึกษาได้นะคะ ❤️

15/03/2025

ปวดคอ บ่า ไหล่ เอว
ร้าวลงขา ไหล่ติด
ปรึกษาได้นะคะ

06/03/2025

หมอไม่อยู่ 6-11 มีนา
นัดคิวได้ตั้งแต่ วันพฤหัสที่ 13 มีนา เป็นต้นไปนะ

กว่าจะเป็นแพทย์จีนไม่ง่ายเลยน้า ❤️❤️
03/03/2025

กว่าจะเป็นแพทย์จีนไม่ง่ายเลยน้า ❤️❤️

EP5**🏥 กว่าจะเป็นแพทย์จีน 1 คน

การเป็นแพทย์จีนไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องผ่านการเรียนรู้ ฝึกฝน และสอบผ่านมาตรฐานที่เข้มงวด ทั้งด้าน ทฤษฎีและปฏิบัติ แพทย์จีนไม่ได้เพียงแค่รักษาโรค แต่ต้องเข้าใจศาสตร์แห่งสมดุลของร่างกาย 🧘‍♂️ จิตใจ และ พลังงาน (Qi) ที่หล่อเลี้ยงชีวิต ซึ่งต้องอาศัย ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ที่สั่งสมมายาวนาน

📚 1. การศึกษาและการฝึกฝนของแพทย์จีน

🎓 1) หลักสูตรการเรียนการแพทย์แผนจีน

การศึกษาแพทย์จีนต้องใช้เวลาหลายปี โดยทั่วไปแล้วมี 2 แนวทางหลัก ได้แก่

✅ การศึกษาระดับปริญญา – ในประเทศไทยและจีน ผู้ที่ต้องการเป็นแพทย์จีนต้องเรียนหลักสูตร ปริญญาตรีด้านการแพทย์แผนจีน ซึ่งใช้เวลา 6ปี

✅ การศึกษาต่อเฉพาะทาง – หลังจากจบปริญญาตรีแล้ว แพทย์จีนสามารถศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น เช่น ปริญญาโท 3 ปีและปริญญาเอกอีก 3 ปี ในสาขาเฉพาะทาง เช่น ฝังเข็ม 💉 กระดูก 🦴 สูตินารี หลอดเลือดสมองและหัวใจ ยาสมุนไพร 🌿เป็นต้น

📖 2) เนื้อหาการเรียนรู้ของแพทย์จีน

แพทย์จีนต้องศึกษาองค์ความรู้หลายแขนง ทั้งทางด้าน ทฤษฎีและการปฏิบัติ เช่น

📌 ทฤษฎีพื้นฐานของแพทย์จีน – สมดุล หยิน-หยาง ☯️ ธาตุทั้งห้า 🌊🔥🌱🛤️🌪️ ระบบเส้นลมปราณ และ พลังงาน Qi

📌 กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา – เข้าใจระบบร่างกายทั้งในมุมมองของ แพทย์จีนและแพทย์แผนปัจจุบัน

📌 วิธีการตรวจวินิจฉัย – การตรวจชีพจร ✋ การวิเคราะห์ลิ้น 👅 และการซักประวัติแบบแพทย์จีน

📌 ศาสตร์การฝังเข็มและการรมยา – ศึกษาตำแหน่งของจุดฝังเข็ม และวิธีบำบัดโรคด้วยการกระตุ้นพลังงาน

📌 เภสัชกรรมจีนและสมุนไพร – เรียนรู้การใช้สมุนไพรจีน 🌱 เพื่อบำบัดโรคและการจัดตำรับยา

📌 การรักษาโรคเฉพาะทาง – เช่น โรคทางเดินอาหาร 🍲 อาการปวดเรื้อรัง 🤕 โรคทางสูตินรีเวช 👩‍⚕️ และอายุรศาสตร์จีน

🏥 3) การฝึกปฏิบัติจริง

หลังจากเรียนภาคทฤษฎี แพทย์จีนต้อง ฝึกปฏิบัติในโรงพยาบาลหรือคลินิกจีน เป็นระยะเวลา 1-2 ปี เพื่อฝึกฝนทักษะ การวินิจฉัยโรค 🩺 การฝังเข็ม 💉 การใช้สมุนไพร 🌿 และการบำบัดรูปแบบอื่นๆ

📝 2. การสอบใบประกอบวิชาชีพแพทย์จีน

📌 แพทย์จีนที่เรียนจบแล้วต้องสอบผ่าน “ใบประกอบโรคศิลปะแผนจีน” เพื่อให้สามารถประกอบวิชาชีพได้ การสอบนี้ครอบคลุมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ซึ่งต้องอาศัย ความรู้และประสบการณ์อย่างมาก

🔎 ขั้นตอนสำคัญก่อนเป็นแพทย์จีนเต็มตัว

✅ เรียนจบหลักสูตรแพทย์แผนจีน จากมหาวิทยาลัยที่ได้รับการรับรอง
✅ ฝึกงานและเก็บชั่วโมงประสบการณ์ ทางคลินิก
✅ สอบผ่านใบประกอบโรคศิลปะแผนจีนของประเทศไทย
✅ อาจเลือกศึกษาต่อเฉพาะทาง เช่น ฝังเข็ม หรือเภสัชกรรมจีน

⏳ 3. กว่าจะเป็นแพทย์จีนที่เชี่ยวชาญ ต้องอาศัยประสบการณ์นานหลายปี

แม้จะได้รับใบประกอบวิชาชีพแล้ว แต่การเป็นแพทย์จีนที่เก่งจริงต้องอาศัย ประสบการณ์ 💡 การฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง และ การเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจใช้เวลานานนับ สิบปี

🔑 แพทย์จีนที่ดีต้องมี 3 สิ่งสำคัญ

1️⃣ ความรู้ลึกซึ้ง – เข้าใจทั้ง ทฤษฎีแพทย์จีนและแพทย์แผนปัจจุบัน 📚
2️⃣ ทักษะฝีมือ – ฝังเข็มแม่นยำ 🎯 ใช้สมุนไพรได้อย่างมีประสิทธิภาพ 🌿
3️⃣ จรรยาบรรณและประสบการณ์ – รักษาผู้ป่วยด้วย จิตใจเมตตา ❤️ และความละเอียดรอบคอบ

✨ แพทย์จีนที่ดีไม่ใช่แค่รักษาโรค แต่ต้องเข้าใจร่างกาย จิตใจ และพลังงานของผู้ป่วยอย่างลึกซึ้ง ✨

⁉️คำถามฝังเข็มกับใคร ?
เชิญทุกท่านมาเข้าใจรายละเอียดมุมมองของแพทย์ฝังเข็มแต่ละสายกันครับ🤔

💉 ฝังเข็มแบบแพทย์จีน
vs. ฝังเข็มตามแนวแพทย์ปัจจุบัน 🔬

การฝังเข็มเป็นศาสตร์การรักษาที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก 🌎 แต่แม้ว่าในประเทศไทยจะมีแค่ แพทย์จีน และ แพทย์แผนปัจจุบัน ที่สามารถรักษาด้วยการฝังเข็มได้ แต่แนวคิด วิธีการเรียน และเป้าหมายการรักษาก็ต่างกันอย่างชัดเจน

🎓 1. การเรียนฝังเข็มของแพทย์จีน

🏮 แนวคิดและหลักการ

✅ มองร่างกายเป็นระบบองค์รวมระบบพลังงาน 🌀 หยินหยาง และอวัยวะที่ต้องสมดุลกัน
✅ ใช้ ทฤษฎีหยินหยาง สมดุล5ธาตุ เส้นลมปราณ (Meridians) และ พลังงานชี่ (Qi) 🌬️ ในการรักษาโรค
✅ ฝังเข็มเพื่อ กระตุ้นพลังงาน ฟื้นฟูสุขภาพโดยรวม รักษาร่างกายจากต้นเหตุไม่ใช่แค่บรรเทาอาการ

⏳ ระยะเวลาการศึกษา

📌 เรียนปริญญาตรี แพทย์แผนจีน 6 ปี
📌 มีการฝึกฝังเข็มเชิงลึกตั้งแต่ปีแรก
📌 ฝึกกับผู้ป่วยจริงหลายปี ก่อนรับใบอนุญาต

📚 หลักสูตรฝังเข็มของแพทย์จีน

✔️ ทฤษฎีพื้นฐานของแพทย์จีน – หยินหยาง ☯️, ธาตุทั้งห้า 🌊🔥🌱🛤️🌪️, เส้นลมปราณ
✔️ ตำแหน่งจุดฝังเข็มกว่า 300 จุด และเส้นลมปราณ
✔️ วิธีวินิจฉัยแบบแพทย์จีน – ตรวจชีพจร ✋ วิเคราะห์ลิ้น 👅
✔️ การฝังเข็มเฉพาะทาง เช่น ไมเกรน 🧠 อัมพฤกษ์ 🤕 ภูมิแพ้ 🤧
✔️ การใช้ควบคู่กับสมุนไพรจีน 🌿 และการรมยา (Moxibustion) 🔥

🎯 การฝังเข็มของแพทย์จีนมุ่งเน้นอะไร?

✅ ปรับสมดุลร่างกาย รักษาโรคอายุรกรรมภายในและภายนอกต่างๆไม่ใช่แค่ลดอาการปวดเท่านั้น
✅ รักษาโรคได้หลากหลาย เช่น ไมเกรน โรคกระเพาะ ภาวะมีบุตรยาก ชะลอวัย
รวมถึงโรคระบบประสาทและหลอดเลือด
✅ กระตุ้นการไหลเวียนพลังงาน (Qi) และเลือด 🩸ปรับสมดุลร่างกายองค์รวม

🏥 2. การเรียนฝังเข็มของแพทย์แผนปัจจุบัน

🧑‍⚕️ แนวคิดและหลักการ

✅ มองร่างกายในแง่ กายวิภาคศาสตร์ 🦴 และระบบประสาท 🧠
✅ ฝังเข็มเพื่อ กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง
✅ ช่วย ลดอาการปวด และ เพิ่มการไหลเวียนเลือด

⏳ ระยะเวลาการศึกษา

🏥เป็นแพทย์ปัจจุบันที่สนใจฝังเข็ม
📌 อบรมฝังเข็มเพิ่มเติม
3เดือน-6เดือน (ขึ้นอยู่กับหลักสูตร)
📌 การฝังเข็มเป็น เพียงวิชาเสริม ไม่ใช่หัวใจหลักของการศึกษา

📚 หลักสูตรฝังเข็มของแพทย์แผนปัจจุบัน

✔️ กายวิภาคศาสตร์และระบบประสาท – จุดฝังเข็มอิงจากเส้นประสาท
✔️ กลไกการออกฤทธิ์ทางชีวภาพ – กระตุ้นสารเอ็นดอร์ฟิน 😌 ลดอักเสบ
✔️ รักษาอาการปวดเฉพาะจุด เช่น ออฟฟิศซินโดรม 💻 ปวดหลัง 🤕
✔️ ใช้ควบคู่กับกายภาพบำบัด และยาแผนปัจจุบัน 💊

🎯 การฝังเข็มของแพทย์แผนปัจจุบันมุ่งเน้นอะไร?

✅ บรรเทาอาการปวด เช่น ปวดหลัง ปวดข้อ ปวดศีรษะ
✅ ฟื้นฟูร่างกาย เช่น ผู้ป่วยอัมพาต ออฟฟิศซินโดรม
✅ ใช้ร่วมกับกายภาพบำบัด และยาแผนปัจจุบัน

⚖️ 3. เปรียบเทียบการเรียนฝังเข็มของแพทย์จีนและแพทย์แผนปัจจุบัน

🧐 3. ควรเลือกฝังเข็มกับใคร?

✅ ต้องการรักษาแบบองค์รวม ฟื้นฟูสุขภาพ ปรับสมดุลพลังงาน → ควรเลือกแพทย์จีน 🏮
✅ ต้องการบรรเทาอาการปวดเรื้อรังจากโรคทางกล้ามเนื้อและระบบประสาท → ควรเลือกแพทย์แผนปัจจุบันที่มีการอบรมฝังเข็ม 🏥

❗ สรุป

🔹 หากต้องการการฝังเข็มที่ลึกซึ้งและครอบคลุม → แพทย์จีนเป็นทางเลือกที่เชี่ยวชาญกว่า เพราะ ฝังเข็มเป็นศาสตร์หลักที่เรียนมาโดยตรง
🔹 หากต้องการบรรเทาอาการปวดจากโรคทางระบบประสาท-กล้ามเนื้อ → แพทย์แผนปัจจุบันที่ผ่านการอบรมฝังเข็มก็เป็นทางเลือกที่ดี

✨ สุดท้ายแล้ว การเลือกขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย และแนวทางการรักษาที่ต้องการ ✨

03/03/2025

ประจำเดือนมาไม่ปกติ ไมเกรน ปวดคอ บ่าไหล่ ปวดเอวร้าวลงขา
ปรึกษาได้นะคะ 🥰

สาระน่ารู้วันนี้ค่ะ ❤️
24/02/2025

สาระน่ารู้วันนี้ค่ะ ❤️

EP3**👀ทำไมการฝังเข็มที่แขนและขาจึงสามารถกระตุ้นสมองและระบบประสาทได้? 🍀สำหรับแพทย์แผนจีนจะมีทฤษฎีเส้นลมปราณรองรับโดยมีการเชื่อมโยงและเส้นทางที่ชัดเจน แล้วสำหรับทางวิทยาศาสตร์ล่ะจะอธิบายเรื่องเหล่านี้อย่างไร?💁

🎙️แพทย์จีนหลายท่านคงได้มีโอกาสเข้าฟังสัมมนากับอาจารย์กิตติศักดิ์ เก่งสกุล จากโรงพยาบาลวิชัยยุทธมาบ้างแล้วซึ่งอาจารย์ก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ กลายๆ ในอีพีนี้จะอธิบายเหตุผลทางวิทยาศาสตร์จากทฤษฎีคัพภะวิทยา (Embryology) และโครงสร้างระบบประสาทเพื่อให้ทราบถึงหลักการที่ชัดเจนมากขึ้น

😳ทำไมการฝังเข็มที่แขนและขาจึงสามารถกระตุ้นสมองและระบบประสาทได้? จึงอธิบายได้ตามหลักวิทยาศาตร์ดังต่อไปนี้
1. ทฤษฎีคัพภะวิทยาเกี่ยวกับการเชื่อมโยงของระบบประสาท
คัพภะวิทยา (Embryology) เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาของตัวอ่อนมนุษย์ ตั้งแต่ระยะปฏิสนธิจนถึงการเกิด ทฤษฎีนี้อธิบายว่าทำไม จุดฝังเข็มบริเวณแขนและขาสามารถมีผลต่อสมองและระบบประสาทส่วนกลางได้

1.1การพัฒนาเส้นประสาทจากระยะตัวอ่อน
• ในช่วงแรกของการเจริญเติบโต ระบบประสาทกลาง (CNS) และระบบประสาทรอบนอก (PNS) เกิดจาก Ectoderm ซึ่งเป็นชั้นเนื้อเยื่อเดียวกัน
• สมอง ไขสันหลัง และเส้นประสาทรอบนอกพัฒนาไปพร้อมกัน และมีการเชื่อมโยงทางระบบประสาทตั้งแต่แรกเกิด

โดยระบบประสาทของมนุษย์จะเริ่มพัฒนาในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของตัวอ่อน และเป็นระบบแรก ๆ ที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว กระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับ การสร้างเซลล์ประสาท (Neurogenesis), การสร้างโครงสร้างของสมองและไขสันหลัง (Neurulation), และการพัฒนาเส้นประสาทรอบนอก (Peripheral Nervous System, PNS)

1.1.1 การพัฒนาโครงสร้างหลักของระบบประสาท
✅ ระยะเริ่มต้น: การก่อกำเนิดระบบประสาท (Neurulation)
⏳ ในสัปดาห์ที่ 3 - 4
• ระบบประสาทพัฒนามาจาก ชั้น Ectoderm ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ชั้นของตัวอ่อน (Germ Layers)
• บริเวณ Neural Plate (แผ่นประสาท) จะหนาตัวขึ้นและค่อย ๆ ม้วนเข้าหากันจนเกิดเป็น Neural Tube (ท่อประสาท) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสมองและไขสันหลัง
🔹 โดยกระบวนการ Neurulation จะแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน
1. การเหนี่ยวนำของ Neural Plate → เซลล์ของ Ectoderm ถูกกระตุ้นให้กลายเป็นเซลล์ประสาท
2. การม้วนตัวเป็น Neural Groove → แผ่นประสาทค่อย ๆ ม้วนตัวขึ้นจนเกิดเป็นร่องกลาง
3. การปิดของ Neural Tube → ร่องกลางปิดตัวลงกลายเป็นท่อประสาท ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักของสมองและไขสันหลัง
4. การแตกแขนงของ Neural Crest Cells → เซลล์ที่อยู่ขอบของ Neural Tube หลุดออกมาและกลายเป็น ระบบประสาทรอบนอก (PNS), ระบบประสาทอัตโนมัติ (ANS), และเซลล์สร้างเม็ดสี

1.1.2 การพัฒนาของสมองและไขสันหลัง
✅ การแบ่งส่วนของสมอง (Brain Vesicles Formation)
⏳ สัปดาห์ที่ 4 - 5
หลังจากที่ Neural Tube ปิดตัวลง ส่วนหัวของ Neural Tube จะพองตัวออกและพัฒนาเป็น 3 ถุงน้ำสมองหลัก (Primary Brain Vesicles)
1. Prosencephalon (Forebrain - สมองส่วนหน้า)
• พัฒนาเป็น Cerebrum (สมองใหญ่), Thalamus, Hypothalamus, Retina
2. Mesencephalon (Midbrain - สมองส่วนกลาง)
• เชื่อมต่อการส่งสัญญาณระหว่างสมองส่วนหน้าและไขสันหลัง
3. Rhombencephalon (Hindbrain - สมองส่วนหลัง)
• พัฒนาเป็น Cerebellum (สมองน้อย), Pons, Medulla Oblongata
🔹 และเมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 5 ถุงน้ำสมองหลักจะแบ่งออกเป็น 5 ส่วน (Secondary Brain Vesicles):
• Telencephalon → Cerebral Cortex, Basal Ganglia
• Diencephalon → Thalamus, Hypothalamus, Retina
• Mesencephalon → Midbrain
• Metencephalon → Pons, Cerebellum
• Myelencephalon → Medulla Oblongata

✅ การพัฒนาไขสันหลัง (Spinal Cord Development)
⏳ สัปดาห์ที่ 4 - 6
• Neural Tube บริเวณส่วนล่างจะพัฒนาเป็น Spinal Cord
• ภายในไขสันหลังจะแบ่งเป็น 2 ชั้นหลัก
1. Alar Plate (ด้านหลัง) → พัฒนาเป็นเซลล์ประสาทรับความรู้สึก (Sensory Neurons)
2. Basal Plate (ด้านหน้า) → พัฒนาเป็นเซลล์ประสาทสั่งการ (Motor Neurons)

1.1.3 การพัฒนาเส้นประสาทรอบนอก (Peripheral Nervous System, PNS)
✅ Neural Crest Cells และบทบาทในการสร้าง PNS
⏳ สัปดาห์ที่ 4 - 7
เซลล์จาก Neural Crest จะเคลื่อนออกจาก Neural Tube และพัฒนาเป็นโครงสร้างต่าง ๆ ของ PNS
🔹 โครงสร้างสำคัญที่มาจาก Neural Crest Cells
• Dorsal Root Ganglia → ศูนย์กลางของเซลล์ประสาทรับความรู้สึก
• Sympathetic Chain Ganglia → ควบคุมระบบประสาทอัตโนมัติ
• Schwann Cells → สร้างเยื่อไมอีลินให้กับเส้นประสาทรอบนอก
• Enteric Nervous System → ระบบประสาทของลำไส้

✅ การพัฒนาเส้นประสาทสมอง (Cranial Nerve Development)
⏳ สัปดาห์ที่ 5 - 7
• เส้นประสาทสมอง (Cranial Nerves, CN) ทั้ง 12 คู่เริ่มพัฒนาในช่วงนี้
• เส้นประสาทที่ควบคุมการมองเห็น (CN II - Optic Nerve) จะพัฒนาไปพร้อมกับ Retina
• เส้นประสาทเวกัส (CN X - Vagus Nerve) มีบทบาทสำคัญในการควบคุมอวัยวะภายใน

1.1.4 กระบวนการเจริญเติบโตของเซลล์ประสาท (Neurogenesis & Synaptogenesis)
✅ การสร้างเซลล์ประสาท (Neurogenesis)
⏳ สัปดาห์ที่ 8 - 16
• เซลล์ต้นกำเนิดประสาท (Neural Progenitor Cells) ใน Ventricular Zone จะเริ่มแบ่งตัวและสร้างเซลล์ประสาทใหม่
• กระบวนการนี้เป็นพื้นฐานของการสร้างสมองและเครือข่ายประสาท

✅ การสร้างจุดเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาท (Synaptogenesis)
⏳ สัปดาห์ที่ 20 เป็นต้นไป
• เซลล์ประสาทที่เกิดใหม่จะสร้างแขนง Dendrites และ Axons
• เกิดการสร้างเครือข่ายประสาทผ่าน Synapse Formation
• กระบวนการนี้ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงวัยเด็ก

🔹 สรุป
1. ระบบประสาทเริ่มพัฒนาในสัปดาห์ที่ 3 ผ่านกระบวนการ Neurulation
2. Neural Tube พัฒนาเป็นสมองและไขสันหลัง โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก → 5 ส่วนรอง
3. Neural Crest Cells มีบทบาทสำคัญในการสร้างเส้นประสาทรอบนอก (PNS)
4. เซลล์ประสาทถูกสร้างขึ้นผ่านกระบวนการ Neurogenesis และ Synaptogenesis

🔅กระบวนการเหล่านี้เป็นพื้นฐานของระบบประสาททั้งหมด และเป็นเหตุผลว่าทำไมการฝังเข็มสามารถกระตุ้นการทำงานของสมองและเส้นประสาทผ่านการเชื่อมโยงทางชีวภาพตั้งแต่ระยะตัวอ่อน

✅ 1.2 การแบ่งเขตของร่างกายตาม Somite และ Dermatomes
• ร่างกายของมนุษย์แบ่งออกเป็น Somite หรือ Metameric Segments ซึ่งมีความสัมพันธ์กับ Dermatomes (บริเวณผิวหนังที่เส้นประสาทไขสันหลังแต่ละคู่เลี้ยง)
• บริเวณแขนและขามีการเชื่อมต่อกับ ไขสันหลังและสมองผ่านระบบประสาทส่วนกลาง

🔹 ตัวอย่าง:
• จุดฝังเข็มที่ขา (เช่น ST36 – Zusanli) เชื่อมโยงกับเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณไปยังสมองและระบบทางเดินอาหาร
• จุดฝังเข็มที่มือ (เช่น LI4 – Hegu) สามารถกระตุ้นสมองผ่านเส้นประสาทไขสันหลังส่วนคอ

2. เหตุผลที่แขนและขาสามารถกระตุ้นสมองได้
✅ 2.1 Reflex Pathway (เส้นทางสะท้อนกลับของเส้นประสาท)
• เส้นประสาทที่เลี้ยงแขนและขามีการเชื่อมโยงกับ เส้นประสาทไขสันหลัง (Spinal Cord) และสมอง (Brainstem, Cerebrum, Cerebellum)
• การฝังเข็มที่แขนและขาจะส่งสัญญาณผ่านเส้นประสาทรับความรู้สึก (Afferent Nerve Fibers) ไปยัง ไขสันหลัง และสมองส่วนต่าง ๆ เช่น Hypothalamus และ Cortex

🔹 ตัวอย่าง:
• จุด LI4 (Hegu) ที่มือ → กระตุ้น สมองส่วน Somatosensory Cortex ช่วยบรรเทาอาการปวดหัว
• จุด ST36 (Zusanli) ที่ขา → ส่งสัญญาณไปยังสมองส่วนกลาง กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน

✅ 2.2 Somatotopic Representation (การแทนที่ของร่างกายในสมอง)
• Homunculus Model (Cortical Representation in the Brain) อธิบายว่า แขน มือ และเท้า มีพื้นที่ประสาทขนาดใหญ่ในสมอง
• ดังนั้นการกระตุ้นจุดฝังเข็มบริเวณแขนและขาสามารถส่งผลโดยตรงต่อสมองได้

🔹 ตัวอย่าง:
• การฝังเข็มที่ขา ST36 (Zusanli) สามารถกระตุ้น Cortex ที่เกี่ยวข้องกับขาและอวัยวะภายใน
• การฝังเข็มที่มือ LI4 (Hegu) สามารถกระตุ้น Cortex ที่ควบคุมใบหน้าและศีรษะ

3. หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุน
✅ 3.1 การศึกษา fMRI และ EEG
• งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า การฝังเข็มที่แขนและขาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของการทำงานของสมอง
• การใช้ Functional MRI (fMRI) และ Electroencephalography (EEG) แสดงให้เห็นว่า จุดฝังเข็มสามารถกระตุ้นบริเวณสมองที่เกี่ยวข้อง

🔹 ตัวอย่าง:
• จุด LI4 (Hegu) → กระตุ้น Somatosensory Cortex และ Pain Modulation Center ในสมอง
• จุด ST36 (Zusanli) → กระตุ้น Hypothalamus และ Brainstem ที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทอัตโนมัติ

✅ 3.2 การตอบสนองของสารสื่อประสาท (Neurotransmitter Release)
• การฝังเข็มที่แขนและขาสามารถ กระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาท เช่น Endorphins, Dopamine, Serotonin ซึ่งมีผลต่อสมองโดยตรง
• สิ่งนี้ช่วยลดอาการปวด ปรับสมดุลของระบบประสาท และส่งผลดีต่ออารมณ์

🔹 สรุป
1. แขนและขามีเส้นประสาทที่เชื่อมโยงกับสมองและไขสันหลัง ตั้งแต่ระยะตัวอ่อน
2. การฝังเข็มที่แขนและขาสามารถกระตุ้นสมองได้ผ่าน Reflex Pathways และ Cortical Representation
3. การศึกษา fMRI แสดงให้เห็นว่า จุดฝังเข็มสามารถกระตุ้นบริเวณสมองที่เกี่ยวข้อง
4. การฝังเข็มช่วยปรับสมดุลของสารสื่อประสาท เช่น Endorphins และ Dopamine ซึ่งมีผลต่อสมอง

✨ ดังนั้น การฝังเข็มที่แขนและขาจึงสามารถกระตุ้นสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีทฤษฎีและมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ ถ้าเอาไปเล่าให้เพื่อนร่วมวิชาชีพฟัง
คนฟังต้องมีจึ้งแน่นอนจ้า😘😘

ครอบแก้วรักษาอาการปวดเมื่อย ปรับสมดุลร่างกาย ช่วยให้นอนหลับสบายขึ้น ลดอาการปวด ปรับลมปราณให้ไหลเวียนได้ดี สำหรับใครที่กล...
18/02/2025

ครอบแก้วรักษาอาการปวดเมื่อย ปรับสมดุลร่างกาย ช่วยให้นอนหลับสบายขึ้น ลดอาการปวด ปรับลมปราณให้ไหลเวียนได้ดี สำหรับใครที่กลัวเข็มการครอบแก้วก็เป็นอีกทางเลือกนะคะ 🥰❤️

ปวดหลัง ปวดบ่า ปวดคอบ่าไหล่ ปวดหัวไมเกรน เหมาๆ ทั้งตัว ฝังเข็ม+ครอบแก้ว ราคาพิเศษเท่านั้น❤️👍🏻
13/02/2025

ปวดหลัง ปวดบ่า ปวดคอบ่าไหล่ ปวดหัวไมเกรน เหมาๆ ทั้งตัว ฝังเข็ม+ครอบแก้ว ราคาพิเศษเท่านั้น❤️👍🏻

Address


Alerts

Be the first to know and let us send you an email when Chin tcm clinic - ชินคลินิกการแพทย์แผนจีน posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Contact The Practice

Send a message to Chin tcm clinic - ชินคลินิกการแพทย์แผนจีน:

Shortcuts

  • Address
  • Telephone
  • Alerts
  • Contact The Practice
  • Claim ownership or report listing
  • Want your practice to be the top-listed Clinic?

Share