24/02/2025
สาระน่ารู้วันนี้ค่ะ ❤️
EP3**👀ทำไมการฝังเข็มที่แขนและขาจึงสามารถกระตุ้นสมองและระบบประสาทได้? 🍀สำหรับแพทย์แผนจีนจะมีทฤษฎีเส้นลมปราณรองรับโดยมีการเชื่อมโยงและเส้นทางที่ชัดเจน แล้วสำหรับทางวิทยาศาสตร์ล่ะจะอธิบายเรื่องเหล่านี้อย่างไร?💁
🎙️แพทย์จีนหลายท่านคงได้มีโอกาสเข้าฟังสัมมนากับอาจารย์กิตติศักดิ์ เก่งสกุล จากโรงพยาบาลวิชัยยุทธมาบ้างแล้วซึ่งอาจารย์ก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ กลายๆ ในอีพีนี้จะอธิบายเหตุผลทางวิทยาศาสตร์จากทฤษฎีคัพภะวิทยา (Embryology) และโครงสร้างระบบประสาทเพื่อให้ทราบถึงหลักการที่ชัดเจนมากขึ้น
😳ทำไมการฝังเข็มที่แขนและขาจึงสามารถกระตุ้นสมองและระบบประสาทได้? จึงอธิบายได้ตามหลักวิทยาศาตร์ดังต่อไปนี้
1. ทฤษฎีคัพภะวิทยาเกี่ยวกับการเชื่อมโยงของระบบประสาท
คัพภะวิทยา (Embryology) เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาของตัวอ่อนมนุษย์ ตั้งแต่ระยะปฏิสนธิจนถึงการเกิด ทฤษฎีนี้อธิบายว่าทำไม จุดฝังเข็มบริเวณแขนและขาสามารถมีผลต่อสมองและระบบประสาทส่วนกลางได้
1.1การพัฒนาเส้นประสาทจากระยะตัวอ่อน
• ในช่วงแรกของการเจริญเติบโต ระบบประสาทกลาง (CNS) และระบบประสาทรอบนอก (PNS) เกิดจาก Ectoderm ซึ่งเป็นชั้นเนื้อเยื่อเดียวกัน
• สมอง ไขสันหลัง และเส้นประสาทรอบนอกพัฒนาไปพร้อมกัน และมีการเชื่อมโยงทางระบบประสาทตั้งแต่แรกเกิด
โดยระบบประสาทของมนุษย์จะเริ่มพัฒนาในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของตัวอ่อน และเป็นระบบแรก ๆ ที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว กระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับ การสร้างเซลล์ประสาท (Neurogenesis), การสร้างโครงสร้างของสมองและไขสันหลัง (Neurulation), และการพัฒนาเส้นประสาทรอบนอก (Peripheral Nervous System, PNS)
1.1.1 การพัฒนาโครงสร้างหลักของระบบประสาท
✅ ระยะเริ่มต้น: การก่อกำเนิดระบบประสาท (Neurulation)
⏳ ในสัปดาห์ที่ 3 - 4
• ระบบประสาทพัฒนามาจาก ชั้น Ectoderm ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ชั้นของตัวอ่อน (Germ Layers)
• บริเวณ Neural Plate (แผ่นประสาท) จะหนาตัวขึ้นและค่อย ๆ ม้วนเข้าหากันจนเกิดเป็น Neural Tube (ท่อประสาท) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสมองและไขสันหลัง
🔹 โดยกระบวนการ Neurulation จะแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน
1. การเหนี่ยวนำของ Neural Plate → เซลล์ของ Ectoderm ถูกกระตุ้นให้กลายเป็นเซลล์ประสาท
2. การม้วนตัวเป็น Neural Groove → แผ่นประสาทค่อย ๆ ม้วนตัวขึ้นจนเกิดเป็นร่องกลาง
3. การปิดของ Neural Tube → ร่องกลางปิดตัวลงกลายเป็นท่อประสาท ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักของสมองและไขสันหลัง
4. การแตกแขนงของ Neural Crest Cells → เซลล์ที่อยู่ขอบของ Neural Tube หลุดออกมาและกลายเป็น ระบบประสาทรอบนอก (PNS), ระบบประสาทอัตโนมัติ (ANS), และเซลล์สร้างเม็ดสี
1.1.2 การพัฒนาของสมองและไขสันหลัง
✅ การแบ่งส่วนของสมอง (Brain Vesicles Formation)
⏳ สัปดาห์ที่ 4 - 5
หลังจากที่ Neural Tube ปิดตัวลง ส่วนหัวของ Neural Tube จะพองตัวออกและพัฒนาเป็น 3 ถุงน้ำสมองหลัก (Primary Brain Vesicles)
1. Prosencephalon (Forebrain - สมองส่วนหน้า)
• พัฒนาเป็น Cerebrum (สมองใหญ่), Thalamus, Hypothalamus, Retina
2. Mesencephalon (Midbrain - สมองส่วนกลาง)
• เชื่อมต่อการส่งสัญญาณระหว่างสมองส่วนหน้าและไขสันหลัง
3. Rhombencephalon (Hindbrain - สมองส่วนหลัง)
• พัฒนาเป็น Cerebellum (สมองน้อย), Pons, Medulla Oblongata
🔹 และเมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 5 ถุงน้ำสมองหลักจะแบ่งออกเป็น 5 ส่วน (Secondary Brain Vesicles):
• Telencephalon → Cerebral Cortex, Basal Ganglia
• Diencephalon → Thalamus, Hypothalamus, Retina
• Mesencephalon → Midbrain
• Metencephalon → Pons, Cerebellum
• Myelencephalon → Medulla Oblongata
✅ การพัฒนาไขสันหลัง (Spinal Cord Development)
⏳ สัปดาห์ที่ 4 - 6
• Neural Tube บริเวณส่วนล่างจะพัฒนาเป็น Spinal Cord
• ภายในไขสันหลังจะแบ่งเป็น 2 ชั้นหลัก
1. Alar Plate (ด้านหลัง) → พัฒนาเป็นเซลล์ประสาทรับความรู้สึก (Sensory Neurons)
2. Basal Plate (ด้านหน้า) → พัฒนาเป็นเซลล์ประสาทสั่งการ (Motor Neurons)
1.1.3 การพัฒนาเส้นประสาทรอบนอก (Peripheral Nervous System, PNS)
✅ Neural Crest Cells และบทบาทในการสร้าง PNS
⏳ สัปดาห์ที่ 4 - 7
เซลล์จาก Neural Crest จะเคลื่อนออกจาก Neural Tube และพัฒนาเป็นโครงสร้างต่าง ๆ ของ PNS
🔹 โครงสร้างสำคัญที่มาจาก Neural Crest Cells
• Dorsal Root Ganglia → ศูนย์กลางของเซลล์ประสาทรับความรู้สึก
• Sympathetic Chain Ganglia → ควบคุมระบบประสาทอัตโนมัติ
• Schwann Cells → สร้างเยื่อไมอีลินให้กับเส้นประสาทรอบนอก
• Enteric Nervous System → ระบบประสาทของลำไส้
✅ การพัฒนาเส้นประสาทสมอง (Cranial Nerve Development)
⏳ สัปดาห์ที่ 5 - 7
• เส้นประสาทสมอง (Cranial Nerves, CN) ทั้ง 12 คู่เริ่มพัฒนาในช่วงนี้
• เส้นประสาทที่ควบคุมการมองเห็น (CN II - Optic Nerve) จะพัฒนาไปพร้อมกับ Retina
• เส้นประสาทเวกัส (CN X - Vagus Nerve) มีบทบาทสำคัญในการควบคุมอวัยวะภายใน
1.1.4 กระบวนการเจริญเติบโตของเซลล์ประสาท (Neurogenesis & Synaptogenesis)
✅ การสร้างเซลล์ประสาท (Neurogenesis)
⏳ สัปดาห์ที่ 8 - 16
• เซลล์ต้นกำเนิดประสาท (Neural Progenitor Cells) ใน Ventricular Zone จะเริ่มแบ่งตัวและสร้างเซลล์ประสาทใหม่
• กระบวนการนี้เป็นพื้นฐานของการสร้างสมองและเครือข่ายประสาท
✅ การสร้างจุดเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาท (Synaptogenesis)
⏳ สัปดาห์ที่ 20 เป็นต้นไป
• เซลล์ประสาทที่เกิดใหม่จะสร้างแขนง Dendrites และ Axons
• เกิดการสร้างเครือข่ายประสาทผ่าน Synapse Formation
• กระบวนการนี้ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงวัยเด็ก
🔹 สรุป
1. ระบบประสาทเริ่มพัฒนาในสัปดาห์ที่ 3 ผ่านกระบวนการ Neurulation
2. Neural Tube พัฒนาเป็นสมองและไขสันหลัง โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก → 5 ส่วนรอง
3. Neural Crest Cells มีบทบาทสำคัญในการสร้างเส้นประสาทรอบนอก (PNS)
4. เซลล์ประสาทถูกสร้างขึ้นผ่านกระบวนการ Neurogenesis และ Synaptogenesis
🔅กระบวนการเหล่านี้เป็นพื้นฐานของระบบประสาททั้งหมด และเป็นเหตุผลว่าทำไมการฝังเข็มสามารถกระตุ้นการทำงานของสมองและเส้นประสาทผ่านการเชื่อมโยงทางชีวภาพตั้งแต่ระยะตัวอ่อน
✅ 1.2 การแบ่งเขตของร่างกายตาม Somite และ Dermatomes
• ร่างกายของมนุษย์แบ่งออกเป็น Somite หรือ Metameric Segments ซึ่งมีความสัมพันธ์กับ Dermatomes (บริเวณผิวหนังที่เส้นประสาทไขสันหลังแต่ละคู่เลี้ยง)
• บริเวณแขนและขามีการเชื่อมต่อกับ ไขสันหลังและสมองผ่านระบบประสาทส่วนกลาง
🔹 ตัวอย่าง:
• จุดฝังเข็มที่ขา (เช่น ST36 – Zusanli) เชื่อมโยงกับเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณไปยังสมองและระบบทางเดินอาหาร
• จุดฝังเข็มที่มือ (เช่น LI4 – Hegu) สามารถกระตุ้นสมองผ่านเส้นประสาทไขสันหลังส่วนคอ
2. เหตุผลที่แขนและขาสามารถกระตุ้นสมองได้
✅ 2.1 Reflex Pathway (เส้นทางสะท้อนกลับของเส้นประสาท)
• เส้นประสาทที่เลี้ยงแขนและขามีการเชื่อมโยงกับ เส้นประสาทไขสันหลัง (Spinal Cord) และสมอง (Brainstem, Cerebrum, Cerebellum)
• การฝังเข็มที่แขนและขาจะส่งสัญญาณผ่านเส้นประสาทรับความรู้สึก (Afferent Nerve Fibers) ไปยัง ไขสันหลัง และสมองส่วนต่าง ๆ เช่น Hypothalamus และ Cortex
🔹 ตัวอย่าง:
• จุด LI4 (Hegu) ที่มือ → กระตุ้น สมองส่วน Somatosensory Cortex ช่วยบรรเทาอาการปวดหัว
• จุด ST36 (Zusanli) ที่ขา → ส่งสัญญาณไปยังสมองส่วนกลาง กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
✅ 2.2 Somatotopic Representation (การแทนที่ของร่างกายในสมอง)
• Homunculus Model (Cortical Representation in the Brain) อธิบายว่า แขน มือ และเท้า มีพื้นที่ประสาทขนาดใหญ่ในสมอง
• ดังนั้นการกระตุ้นจุดฝังเข็มบริเวณแขนและขาสามารถส่งผลโดยตรงต่อสมองได้
🔹 ตัวอย่าง:
• การฝังเข็มที่ขา ST36 (Zusanli) สามารถกระตุ้น Cortex ที่เกี่ยวข้องกับขาและอวัยวะภายใน
• การฝังเข็มที่มือ LI4 (Hegu) สามารถกระตุ้น Cortex ที่ควบคุมใบหน้าและศีรษะ
3. หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุน
✅ 3.1 การศึกษา fMRI และ EEG
• งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า การฝังเข็มที่แขนและขาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของการทำงานของสมอง
• การใช้ Functional MRI (fMRI) และ Electroencephalography (EEG) แสดงให้เห็นว่า จุดฝังเข็มสามารถกระตุ้นบริเวณสมองที่เกี่ยวข้อง
🔹 ตัวอย่าง:
• จุด LI4 (Hegu) → กระตุ้น Somatosensory Cortex และ Pain Modulation Center ในสมอง
• จุด ST36 (Zusanli) → กระตุ้น Hypothalamus และ Brainstem ที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทอัตโนมัติ
✅ 3.2 การตอบสนองของสารสื่อประสาท (Neurotransmitter Release)
• การฝังเข็มที่แขนและขาสามารถ กระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาท เช่น Endorphins, Dopamine, Serotonin ซึ่งมีผลต่อสมองโดยตรง
• สิ่งนี้ช่วยลดอาการปวด ปรับสมดุลของระบบประสาท และส่งผลดีต่ออารมณ์
🔹 สรุป
1. แขนและขามีเส้นประสาทที่เชื่อมโยงกับสมองและไขสันหลัง ตั้งแต่ระยะตัวอ่อน
2. การฝังเข็มที่แขนและขาสามารถกระตุ้นสมองได้ผ่าน Reflex Pathways และ Cortical Representation
3. การศึกษา fMRI แสดงให้เห็นว่า จุดฝังเข็มสามารถกระตุ้นบริเวณสมองที่เกี่ยวข้อง
4. การฝังเข็มช่วยปรับสมดุลของสารสื่อประสาท เช่น Endorphins และ Dopamine ซึ่งมีผลต่อสมอง
✨ ดังนั้น การฝังเข็มที่แขนและขาจึงสามารถกระตุ้นสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีทฤษฎีและมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ ถ้าเอาไปเล่าให้เพื่อนร่วมวิชาชีพฟัง
คนฟังต้องมีจึ้งแน่นอนจ้า😘😘