สุขภาพปอด มะเร็ง

สุขภาพปอด มะเร็ง จำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพแบบครบอ?

ปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonary disease หรือ COPD) หมายถึงโรคที่เกี่ยวกับระบบหายใจ 2 โรคคือ โรคหลอดลมอ...
15/11/2021

ปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonary disease หรือ COPD) หมายถึงโรคที่เกี่ยวกับระบบหายใจ 2 โรคคือ โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และ โรคถุงลมปอดโป่งพอง เป็นโรคที่คุกคามชีวิตคนบนโลกใบนี้มาต่อเนื่องเนิ่นนานหลายปี
ลักษณะอาการคล้ายๆ กับไวรัสโควิด-19 คือเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ อาการที่พบบ่อยได้แก่ เหนื่อย ไอ และ มีเสมหะ สาเหตุพบบ่อยที่สุดของ COPD คือ การสูบบุหรี่
สาเหตุอื่นๆ ที่มีบทบาทรองลงมา ได้แก่ มลพิษทางอากาศ ทั้งจากฝุ่นพิษ PM10 PM2.5 ควันพิษจากไอเสียรถยนต์ สถานที่ก่อสร้าง หรือ โรงงานอุตสาหกรรม
ย้อนหลังกลับไปในปี 2012 หรือ เมื่อ 8 ปีที่ผ่านมาทั่วโลกมีผู้ที่ป่วยด้วย COPD จำนวน 329 ล้านคนหรือเกือบ 5% ของจำนวนประชากรในปีนั้น
คร่าชีวิตผู้คนจำนวนกว่า 3 ล้านคนต่อปี ถือเป็นโรคอันดับสามที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิต ประมาณการความเสียหายทางเศรษฐกิจราว 2.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
แม้มูลค่าความวิกฤตทางเศรษฐกิจจะยังเทียบไม่ได้กับความสูญเสียจากโควิดที่นักเศรษฐศาสตร์จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ คาดว่าโควิด-19 อาจสร้างความเสียหายต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ในช่วง 2 ปีข้างหน้าเป็นมูลค่าราว 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

การตรวจสมถรรภาพการทำงานของปอดการตรวจสมรรถภาพทางปอด เป็นการตรวจที่สำคัญและมีประโยชน์อย่างยิ่งในกระบวนการวินิจฉัย  ประเมิน...
15/11/2021

การตรวจสมถรรภาพการทำงานของปอด
การตรวจสมรรถภาพทางปอด เป็นการตรวจที่สำคัญและมีประโยชน์อย่างยิ่งในกระบวนการวินิจฉัย ประเมิน และติดตามผลการรักษาโรคระบบการหายใจ เช่น โรคหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคปอดจากการทำงาน เป้นต้น นอกจากนี้การตรวจสมรรถภาพปอด ยังสามารถบ่งถึงการเสื่อมของการทำงานของปอด ก่อนที่อาการแสดงทางคลินิกจะเริ่มปรากฏ เนื่องจาก ปอดเป็นอวัยวะที่มีความสามารถสำรองสูง อาการเหนื่อยจึงมักปรากฏหลังจากพยาธิสภาพ ในปอดเกิดขึ้นมากแล้ว
การตรวจสมรรถภาพทางปอด เป็นการทดสอบ การหายใจ โดยใช้เครื่่อมือที่เรียกว่า สไปโรมิเตรอร์ (Spirometer) ซึ่งจะวัดปริมาตรอากาศเข้าและออกจากปอด สมารถบันทึกเป็นกราฟ (Spirogram) แสดง ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาตรและเวลา

ข้อห้ามในการทำสไปโรเมตรีย์
1. ไอเป็นเลือด
2. ภาวะลมรั่วในเยื่อหุ้มปอดที่ยังไม่ได้รับ การรักษา
3. ระบบหลอดเลือดหรือ หัวใจทำงานไม่คงที่ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง ที่ยังไม่ได้รับการ รักษาหรือควบคุมได้ไม่ดี , ความดันโลหิตต่ำ
4.เส้นเลือดแดงโป่งในทรวงอก ท้อง หรือ สมอง
5. เพิ่งได้รับการผ่าตัดตา เช่น ผ่าตัดลอกต้อกระจก
6. เพิ่งได้รับการผ่าตัดช่องอก หรือ ช่องท้อง
7. ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น วัณโรคปอดระยะติดเชื้อ ไข้หวัด
8. สตรีมีครรภ์ (ยกเว้นในบางรายที่จำเป็น)
9.ผู้ที่อาการเจ็บป่วยที่อาจมีผลต่อการ ทดสอบสไปดรเมตรีย์ เช่น คลื่นไส้ หรือ อาเจียนมาก

อาการระคายเคืองจากการไอที่มากเกิน การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญส่วนใหญ่ที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไอ เกิดอาการระคายเคืองและไอเป...
15/11/2021

อาการระคายเคืองจากการไอที่มากเกิน การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญส่วนใหญ่ที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไอ เกิดอาการระคายเคืองและไอเป็นเลือดได้

-การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ สาเหตุของไอเป็นเลือดที่พบมากที่สุดคือ การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ หรือหลอดลมอักเสบชนิดเฉียบพลัน (Acute Bronchitis) และการติดเชื้อในปอด หรือปอดบวม (Pneumonia) ผู้ป่วยจะมีไข้สูงร่วมด้วย อาการไอเป็นเลือดจะดีขึ้นและหายเป็นปกติเมื่อการติดเชื้อได้รับการรักษา

-หลอดลมพอง คือ ภาวะที่หลอดลมขยายตัวอย่างผิดปกติ และมีการผลิตเมือกมากในทางเดินหายใจ ผู้ป่วยจะไอเป็นเสมหะค่อนข้างมาก หากทางเดินหายใจอักเสบจะไอเป็นเลือดร่วมด้วย

-วัณโรค เป็นสาเหตุที่พบได้ในไทย ผู้ป่วยจะมีอาการไอเรื้อรังนานมากกว่า 3 สัปดาห์ มีเสมหะเป็นเลือด ไข้สูง นอกจากนี้ ยังมีอาการเหนื่อยง่าย น้ำหนักลด และมีภาวะเบื่ออาหารร่วมด้วย

-โรคลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด คือ ภาวะที่มีการอุดกั้นของหลอดเลือดแดงในปอด ผู้ป่วยมักหายใจลำบากอย่างกะทันหัน เจ็บหน้าอก และในบางรายอาจไอเป็นเลือดร่วมด้วย

-ปัญหาหัวใจและหลอดเลือด ภาวะหัวใจล้มเหลวอย่างรุนแรงเป็นสาเหตุทำให้มีน้ำในช่องปอด ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจลำบาก อาจมีเสมหะเป็นฟองปนเลือด นอกจากนี้ ปัญหาหลอดเลือดต่าง ๆ อาจทำให้เลือดออกในทางเดินหายใจและปอดได้เช่นกัน แต่ภาวะนี้พบได้น้อยมาก

-มะเร็งปอด อาการไอเป็นเลือดหรือเสมหะเป็นเลือด เป็นอาการหนึ่งของมะเร็งปอด ส่วนใหญ่จะพบในผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 50 ปี โดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่

-การรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด เช่น Warfarin Dabitagran และ Rivaroxaban ทำให้เกิดภาวะเลือดออก และไอเป็นเลือดได้

ไม่สูบบุหรี่ก็เป็นมะเร็งปอดได้ ‘มะเร็งปอด’ ก็คงยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เสียชีวิตนพ.ศิระ เลาหทัย ศัลยแพทย์ทรวงอกเชี่ยวช...
12/11/2021

ไม่สูบบุหรี่ก็เป็นมะเร็งปอดได้ ‘มะเร็งปอด’ ก็คงยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เสียชีวิต

นพ.ศิระ เลาหทัย ศัลยแพทย์ทรวงอกเชี่ยวชาญด้านผ่าตัดส่องกล้องมะเร็งปอด โรงพยาบาลวชิรพยาบาล กล่าวว่า อาการของมะเร็งปอด ส่วนมากมักไม่มีอาการ แต่อาจเริ่มต้นจากอาการไอ เจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย บุคคลที่มีความเสี่ยงควรตรวจสุขภาพตัวเองบ่อยๆ คือผู้ที่สูบบุหรี่ ซึ่ง “บุหรี่” เป็นปัจจัยหลักของการเกิดโรคมะเร็งปอดและโรคถุงลมโป่งพอง

นพ.ศิระกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม การสูบบุหรี่แม้เป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปอด แต่ไม่ใช่ปัจจัยเสี่ยงเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดว่าทำไมผู้ป่วยที่ไม่เคยสูบบุหรี่ ถึงสามารถเป็นมะเร็งปอดได้

จากการศึกษาจากงานวิจัยหลายๆ ฉบับ ที่เกี่ยวข้องพบว่าสาเหตุอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดความเสี่ยงมะเร็งปอดได้แก่ 1. สารเรดอน เป็นสารกัมมันตรังสีที่มีอยู่ทั่วไปทุกหนแห่ง ไม่มีรส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาท สัมผัสใดๆ ของมนุษย์ เป็นสารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งปอดในมนุษย์ได้เป็นอันดับที่สอง รองจากบุหรี่

2.แร่ใยหิน หรือ แอสเบสตอส เป็นสารก่อมะเร็งที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งโทษและพิษภัยของแร่ใยหิน นั้นก่อให้เกิดโรคมะเร็งปอด ไต และโรคมะเร็งที่มีชื่อว่า Mesothelioma ซึ่งสามารถ พบผลิตภัณฑ์ที่คนไทยใช้อยู่บ่อยๆ ก็คือ กระเบื้องมุงหลังคาแบบลูกฟูก, ท่อระบายน้ำ, กระเบื้องปูพื้น, ฝ้าเพดาน, ฝาผนัง, ฉนวนกันความร้อน, ท่อน้ำร้อน, หม้อไอน้ำ, พลาสติกขึ้นรูปต่างๆ

3.สารเคมีหนัก 4.การสูด ดมควันบุหรี่จากคนใกล้ตัว และ 5.พันธุกรรมที่ผิดปกติ

นพ.ศิระกล่าวต่อว่า มีรายงานการศึกษาพบว่าผู้ป่วยมะเร็งปอดในทวีปเอเชียนั้น 30-40% เป็นผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อน โดยมากกว่า 50% ของเพศหญิงนั้นไม่เคยสูบบุหรี่ ซึ่งจะแตกต่างจากประเทศในฝั่งทวีปยุโรป ซึ่งมีเพียงแค่ 10-20% เท่านั้นที่ไม่เคยสูบบหรี่ แต่กลับป่วยเป็นมะเร็งปอด

ขอบคุณที่มาจาก MOKKALANA

อาการของโรคมะเร็งปอดโดยทั่วไปแล้วมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้นมักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อโรคลุกลามแล้ว อาจพบอาการดังต่อไปนี้ไอเรื...
12/11/2021

อาการของโรคมะเร็งปอด

โดยทั่วไปแล้วมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้นมักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อโรคลุกลามแล้ว อาจพบอาการดังต่อไปนี้

ไอเรื้อรัง (ไอแห้งหรือไอมีเสมหะ)
มีปัญหาการหายใจ เช่น หายใจสั้น
หายใจมีเสียงหวีด
เจ็บบริเวณหน้าอกตลอดเวลา
ไอมีเลือดปน
เสียงแหบ
ติดเชื้อในปอดบ่อยๆ เช่น ปอดบวม
เหนื่อยง่ายหรือรู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา
น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
อาการเหล่านี้อาจไม่เกี่ยวเนื่องกับมะเร็ง เนื่องจากมีหลายโรคที่อาจทำให้เกิดอาการเหล่านี้ได้ อย่างไรก็ดี ผู้ที่มีอาการดังกล่าวข้างต้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาโดยเร็วที่สุด

5 วิธีบริหารปอดให้แข็งแรง พร้อมสร้างภูมิคุ้มกันให้ชีวิตทุกวัน .แม้เราจะพอคุ้นๆ กับประโยคที่ว่าปอดเป็นอวัยวะที่มีความยืดห...
12/11/2021

5 วิธีบริหารปอดให้แข็งแรง พร้อมสร้างภูมิคุ้มกันให้ชีวิตทุกวัน
.
แม้เราจะพอคุ้นๆ กับประโยคที่ว่าปอดเป็นอวัยวะที่มีความยืดหยุ่นสูงคล้ายฟองน้ำ แต่ไม่ว่าร่างกายคนเราจะมหัศจรรย์แค่ไหน สุดท้ายเราในฐานะ ‘เจ้าของร่างกาย’ จำเป็นต้องใส่ใจและถนอมบริหารปอดให้มีสุขภาพดีอย่างต่อเนื่อง เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าสุขภาพภายในนั้นบอบช้ำหรือยังทำงานได้ดีแค่ไหน จนกว่าจะได้ตรวจสุขภาพ หรือมีสัญญาณบางอย่างสะกิดให้รู้ว่าปอดทำงานผิดปกติไป อย่าปล่อยให้ปอดทำงานหนักอยู่ฝ่ายเดียว มาดู 5 วิธีบริหารปอดให้แข็งแรงง่ายๆ สร้างไลฟ์สไตล์ใหม่ที่มีคุณภาพไปด้วยกัน ดังนี้
1. ฝึกการหายใจให้อิ่ม โดยการหายใจเข้าทางจมูก และผ่อนลมหายใจออกทางริมฝีปากอย่างช้าๆ ซึ่งสามารถทำร่วมกับการฝึกหายใจด้วยหน้าท้องได้ โดยการใช้ฝ่ามือกดไล่อากาศบริเวณหน้าท้องเบาๆ เป็นการฝึกควบคุมจังหวะการหายใจเข้าและการทำงานของกระบังลมให้ดีขึ้น
2. สร้างความอบอุ่นให้ปอด โดยเฉพาะในช่วงเวลานอนที่ไม่ได้จำกัดว่านอนห้องแอร์ถึงจะต้องห่มผ้าเท่านั้น การนอนในห้องพัดลมปกติก็ควรห่มผ้าปิดบริเวณหน้าอกเพื่อสร้างความอบอุ่นให้ปอด อีกทั้งเป็นการช่วยควบคุมอุณหภูมิและรักษาสุขภาพปอดไปพร้อมกัน
3. บริหารปอดด้วยการออกกำลังกาย แม้จะเป็นการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง แต่สำหรับวิธีบริหารปอดให้แข็งแรงอาจต้องเลือกทำกิจกรรมที่ได้ฝึกควบคุมการหายใจมากกว่าการออกกำลังกายที่เน้นกล้ามเนื้อต่างๆ เช่น เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้เรื่อยๆ และเหมาะสำหรับคนทุกวัย
4. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะสารพิษในควันบุหรี่มีผลโดยตรงต่อการทำงานของปอด บวกกับทิศทางการฟุ้งกระจายที่สามารถขยายไปสู่อวัยวะอื่นๆ ให้เกิดการระคายเคืองได้ เช่น ช่องปาก ลำคอ หลอดลม และอวัยวะภายในที่อาศัยอยู่ใกล้ชิดปอด ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่รวมถึงการรับควันบุหรี่มือสอง (Secondhand Smoke) ที่อาจเผลอสูดดมเข้าร่างกายโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งเป็นเหมือนภัยเงียบที่ไม่เพียงส่งผลต่อสุขภาพปอดเท่านั้น แต่อาจร้ายแรงถึงขั้นมีโอกาสเกิดโรคหัวใจและโรคมะเร็งได้ในอนาคต หากได้รับการสะสมเป็นระยะเวลานาน
5. รับประทานอาหารบำรุงสุขภาพ การฝึกบริหารปอดให้แข็งแรงสม่ำเสมอจำเป็นต้องใช้วิธีดูแลหลากหลายด้าน หนึ่งในนั้นคือการบำรุงด้วยอาหารที่อุดมไปด้วยคุณค่าในการช่วยเสริมการทำงานให้ปอด เช่น ขิง ขมิ้นชัน พริกหวาน มะเขือเทศ ฟักทอง ผลไม้ตระกูลเบอร์รี และแอปเปิ้ล รวมถึงข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ และข้าวฟ่าง ที่มีกรดไขมันจำเป็นที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของปอด
ที่มา : Cigna
#ปอด #บริหารปอด #สร้างภูมิ #ออกกำลังกายปอด #สารสกัดจากธรรมชาติ #พอลลิติน #พอลเลนพลัส #พอลลิตัน

หัวใจ สมอง ปอด ความเกี่ยวพันที่แยกกันไม่ได้เมื่อใดที่จำเป็นต้องผ่าตัดเปลี่ยนปอดการปลูกถ่ายปอด คือกระบวนการผ่าตัดปลูกถ่าย...
12/11/2021

หัวใจ สมอง ปอด ความเกี่ยวพันที่แยกกันไม่ได้
เมื่อใดที่จำเป็นต้องผ่าตัดเปลี่ยนปอด
การปลูกถ่ายปอด คือกระบวนการผ่าตัดปลูกถ่ายปอดบางส่วนหรือทั้งหมด ให้แก่คนไข้ที่มีสภาวะโรคปอด ซึ่งจำเป็นต้องรับการปลูกถ่ายปอดทั้งสองข้าง เพื่อประโยชน์ในการยืดอายุผู้ป่วย และเพิ่มคุณภาพชีวิตแต่ผู้ป่วยโรคปอดในระยะสุดท้าย การผ่าตัดปลูกถ่ายปอดครั้งแรกที่ประสบความสำเร็จ คือในปีคศ. 1981 โดย Dr. Bruce Reitz จากมหาวิทยาลัย Stanford University ในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง( idiopathicpulmonary hypertension) ในประเทศไทย
โรคปอดในขั้นรุนแรงที่จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดปลูกถ่ายปอดได้แก่
- โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonary disease)
- โรคที่เกิดผังผืดในปอดโดยไม่ทราบสาเหตุ idiopathic pulmonary fibrosis
- โรคซิสติก ไฟโบรซิส cystic fibrosis
- โรคความดันของหลอดเลือดในปอดสูง primary pulmonary hypertension
- โรคถุงลมโป่งพองจากการขาด อัลฟ่า 1 alpha 1-antitrypsin deficiency
- โรคอื่นๆ หรือทดแทนการปลูกถ่ายปอดครั้งก่อนหน้าที่ไม่ประสบความสำเร็จ
ข้อมูลการผ่าตัดปอด ในปี พ.ศ. 2557 มีการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ-ปอด 4 ราย และเปลี่ยนปอด (Single Lung transplantation) 1 ราย โดยในเดือนกันยายน 2558 มีผู้รอผ่าตัดเปลี่ยน หัวใจและปอด 21 ราย และเปลี่ยนปอด 5 ราย โดยระหว่างที่ผู้รอรับบริจาคปอดผู้ป่วยจะรับการรักษาประคับประคองตามอาการ เช่นการรับยาขยายหลอดเลือด ยากลดการอักเสบ การรักษาโดยการให้ออกซิเจน และการทำกายภาพบำบัด เป็นต้น หากผู้ป่วยมีอาการกำเริบจากการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินหายใจ จะพิจารณารักษาด้วยการให้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย
ลักษณะและหน้าที่ของปอด
ปอด มีลักษณะคล้ายฟองน้ำ มีน้ำหนักเบา สามารถขยายตัวและหดตัวจนเหลือเนื้อที่แคบ มีความยืดหยุ่นเป็นเยี่ยม โดยทั่วไปแล้วปอดมีหน้าที่หายใจ แลกเปลี่ยนก๊าซ โดยหายใจเอาก๊าซออกซิเจนเข้าและหายใจเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออก
การดูแลรักษาหัวใจให้แข็งแรง
- ไม่สูบบุหรี่
- หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีฝุ่นละออง
- สวมเสื้อผ้าให้หนา เพื่อให้ความอบอุ่นต่อร่างกาย (ปอด)
- เวลานอนควรห่มผ้าปิดหน้าอกให้มิดชิด
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
โรคที่เกี่ยวกับปอด
- หลอดลมอักเสบ
- หลอดลมอักเสบเรื้อรัง
- หลอดลมโป่ง
- ถุงลมโป่งพอง
- ปอดบวม
- หืด
- วัณโรค
- เยื้อหุ้มปอดอักเสบ
- มะเร็งในปอด
.
การปลูกถ่ายปอด
เป็นการเอาปอดใหม่ที่ดีกว่ามาใส่ให้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคปอดระยะสุดท้าย หรือโรคปอดระยะสุดท้ายที่เกิดจากปัญหาหัวใจ ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือมักมีชีวิตอยู่ไม่เกิน 6-12 เดือน ผลของปอดที่นำมาเปลี่ยนภายใน 1 ปี จะทำงานได้ดีถึงร้อยละ 75
ปอดใหม่ได้มาจากไหน
ปอดใหม่นี้จะได้จากผู้เสียชีวิตด้วยภาวะสมองตาย และได้บริจาคอวัยวะให้โดยได้รับความยินยอมจากญาติ ซึ่งนับเป็นการทำบุญกุศลอันยิ่งใหญ่
หัวใจ สมอง ปอด ความเกี่ยวพันที่แยกกันไม่ได้
หัวใจ สมอง และปอด : 3 อวัยวะที่ทำงานสัมพันธ์กัน
โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคในระบบทางเดินหายใจหรือโรคปอดนั้น มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันมาโดยตลอด จากรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2019 พบว่าสาเหตุการเสียชีวิต 3 อันดับแรก ได้แก่ โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคทางเดินหายใจอุดกั้นเรื้อรัง ตามลำดับ โดยมีความสัมพันธ์ต่อกันดังต่อไปนี้
โรคหัวใจ กับ โรคหลอดเลือดสมอง
โรคทั้งสองอาจเกิดขึ้นได้ในเวลาไล่เลี่ยกัน เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคทั้งสองระบบมีความคล้ายคลึงกันมาก ปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูง การสูบบุหรี่ โรคอ้วน การไม่ออกกำลังกาย การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ โดยปัจจัยดังกล่าวเร่งหรือเอื้อต่อการเกิดคราบไขมันที่ไปเกาะด้านในผนังหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดที่คอ หลอดเลือดในสมอง เมื่อคราบไขมันสะสมมากขึ้น ทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจและ/หรือหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน เกิดภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันและ/หรือสมองขาดเลือดเฉียบพลันได้ หรือในส่วนของการสะสมของคราบไขมันที่หลอดเลือดส่วนต้นคอ ถ้ามีการหลุดลอกของคราบไขมันไปยังหลอดเลือดสมอง ก็ทำให้เกิดสมองขาดเลือดได้เช่นกัน อีกทั้งปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดเปราะบางไม่แข็งแรง เกิดภาวะหลอดเลือดโป่งพองในสมองหรือในช่องท้อง ส่งผลให้เกิดภาวะหลอดเลือดแตกหรือฉีกขาด นำไปสู่ภาวะเลือดออกในสมองหรือช่องท้อง ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตได้อีกด้วย
ในขณะเดียวกัน การเกิดหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน/หัวใจเต้นผิดจังหวะ ทำให้เลือดหมุนวนตกค้างอยู่ในหัวใจห้องบน เกิดลิ่มเลือดในห้องหัวใจและเกิดการหลุดลอยไปอุดตันหลอดเลือดในสมองได้ โดยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองที่สูงที่สุด และอาจสูงมากกว่า 5 เท่าหากผู้ป่วยมีโรคอื่นๆ ร่วมด้วย ทั้งนี้ ยังมีรายงานพบด้วยว่าโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือหัวใจขาดเลือดนั้น เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเป็นอันดับ 2 รองจากโรคมะเร็ง และในรายงานของสมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American Heart Association: AHA) ระบุว่า ในปี 2018 มีรายงานว่า หากมีคนไข้เป็นโรคหัวใจ 100 คน จะพบคนที่มีความเสี่ยงเป็นสโตรกได้ถึง 17 คน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องควบคุมสภาวะต่างๆ อย่างเหมาะสมให้อยู่ในระดับที่ปกติ และควรเฝ้าระวังโรคเหล่านี้แต่เนิ่น ๆ
โรคปอด กับ โรคหัวใจ
การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุของหลักของการเกิดโรคปอด ที่พบบ่อย ได้แก่ โรคมะเร็งปอด และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease-COPD) เช่น ถุงลมโป่งพอง (Emphysema) ซึ่งมีส่วนทำให้หัวใจต้องทำงานหนักมากขึ้นเนื่องจากแรงต้านในปอดสูงกว่าปกติ ความดันของหลอดเลือดที่ไหลกลับเข้าสู่หัวใจเพิ่มขึ้น มีส่วนทำให้หัวใจต้องทำงานหนักมากขึ้น จึงเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะมากขึ้นได้ อีกทั้งโรคถุงลมโป่งพองยังสามารถเพิ่มความดันโลหิตของหลอดเลือดปอด ซึ่งสามารถทำให้เกิดภาวะหัวใ

ควันร้ายทำลายปอดหลายคนคงรู้อยู่แล้วว่าควันจากบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดมะเร็งปอด แต่ไม่ใช่แค่ควันจากบุหรี่เท่านั้น ...
12/11/2021

ควันร้ายทำลายปอด
หลายคนคงรู้อยู่แล้วว่าควันจากบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดมะเร็งปอด แต่ไม่ใช่แค่ควันจากบุหรี่เท่านั้น เพราะมลพิษทางอากาศอย่างฝุ่น PM2.5 และควันจากธูปก็มีผลทำร้ายทำลายปอดได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรละเลยและทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
ฝุ่นควันทำร้ายปอด
ปัจจัยเสี่ยงมะเร็งปอดที่เกิดจากฝุ่นควัน ได้แก่
- บุหรี่ ยิ่งสูบมากยิ่งเสี่ยงมาก ยิ่งสูบนานก็ยิ่งเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่สูบบุหรี่มากกว่า 30 Pack-year ในช่วงอายุ 55 – 75 ปีจะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง (high risk) ที่จะเกิดมะเร็งปอด นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยใหม่จากทางฝั่งยุโรปที่ระบุว่า แม้คนที่สูบบุหรี่มากกว่า 20 Pack-year ก็เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอดได้เช่นกัน ดังนั้นในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงจึงควรต้องพบแพทย์และตรวจเช็กปอดอย่างสม่ำเสมอด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์รังสีต่ำ ที่สำคัญงดสูบบุหรี่เพื่อลดความเสี่ยงมะเร็งปอดได้ดีที่สุด
- ฝุ่น PM 2.5 คือ ฝุ่นละอองควัน (Particulate Matter หรือ PM) 2.5 คือ สสารขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน หลายคนที่ไม่เคยสูบบุหรี่แต่ตรวจคัดกรองแล้วพบว่าเป็นมะเร็งปอด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมลพิษทางอากาศ โดยทวีปเอเชียพบปัญหานี้ค่อนข้างมาก รวมถึงไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะประชากรได้รับมลพิษ PM 2.5 สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก และมีความผิดปกติทางพันธุกรรมชื่อว่า EGFR Mutation ที่เพิ่มความเสี่ยงการเป็นมะเร็งปอดได้ ซึ่งพบบ่อยในคนเอเชียมากกว่ายุโรปและอเมริกัน เมื่อฝุ่นควันขนาดเล็กเข้าไปอยู่ในปอด ร่างกายจะพยายามกำจัด แต่หากกำจัดไม่ได้จะเข้าไปฝังตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง ในระยะยาวพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็ง นำไปสู่โรคมะเร็งปอด หัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาตได้ ดังนั้นหากวันไหนที่ค่า PM 2.5 สูงมากไม่ควรออกนอกบ้าน เปิดเครื่องฟอกอากาศภายในบ้าน ถ้าจำเป็นต้องออกจากบ้านควรใส่หน้ากากที่ช่วยป้องกันฝุ่น PM 2.5
- ธูป การใช้ธูปที่เพิ่มขึ้นและได้รับควันธูปเป็นระยะเวลายาวนานส่งผลกระทบกับเนื้อเยื่อปอดและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับเซลล์ ซึ่งไปสู่การเกิดโรคมะเร็งปอดได้ เพราะธูปมีสารก่อมะเร็งอย่างเบนซีน บิวทาไดอีน และเบนโซเอไพรีน อีกทั้งทำให้เกิดอนุภาคฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 และ 10 ไมครอน ดังนั้นผู้ที่มีความเสี่ยงต่อมะเร็งปอด เช่น มีประวัติมะเร็งปอดในครอบครัว โรคถุงลมโป่งพอง โรคหอบหืด แนะนำให้เลี่ยงการจุดธูปและสถานที่ที่มีควันธูป
ที่มา BANGKOK HEART HOSPITAL
#หัวใจ #สมอง #ปอดอักเสบ #ปอด #บริหารปอด #สร้างภูมิ #ออกกำลังกายปอด #สารสกัดจากธรรมชาติ #พอลลิติน #พอลเลนพลัส #พอลลิตัน

การฟื้นฟูสมรรถภาพปอดเกิดอะไรขึ้นกับปอด  เมื่อเกิดการติดเชื้อก่อโรคโควิด-19ปฏิกิริยาของร่างกายที่เกิดจากการอักเสบของปอด ท...
12/11/2021

การฟื้นฟูสมรรถภาพปอด
เกิดอะไรขึ้นกับปอด เมื่อเกิดการติดเชื้อก่อโรคโควิด-19
ปฏิกิริยาของร่างกายที่เกิดจากการอักเสบของปอด ทำให้มีพังผืดและแผลเป็นต่างๆ ในปอดตามมา ซึ่งจะมีมากน้อยแค่ไหน หรือสามารถฟื้นตัวหลังจากหายได้มากเท่าไหร่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับ
ปริมาณของเชื้อหรือมีการติดเชื้อชนิดอื่นซ้ำซ้อนหรือไม่
พื้นฐานของสุขภาพร่างกายหรือระบบภูมิคุ้มกันต่อเชื้อเป็นอย่างไร
ความเร็วในการให้การรักษาอย่างทันท่วงที
สภาพของปอดหลังหายป่วยจากโรคโควิด-19
หลังเข้ารับการรักษาโควิดและหายดีแล้ว อาจมีรอยโรคหรือแผลเป็นในเนื้อปอด อาจจะมีทั้งข้างเดียวหรือสองข้าง ในบางรายที่มีการอักเสบในร่างกายอย่างรุนแรง มักจะมีพังผืดหรือฝ้าขาวในเนื้อปอดเมื่อตรวจดูด้วย X-RAY หรือคนไข้บางรายมักจะรู้สึกร่างกายไม่สดชื่น ไม่แข็งแรง
การฟื้นฟูสมรรถภาพปอด ทำได้อย่างไร
- ผู้ป่วยที่เพิ่งฟื้นตัวจากโรคโควิด-19 สามารถฟื้นฟูสมรรถภาพปอดได้โดยการเคลื่อนไหวหรือขยับช่วงปอด เพื่อให้เนื้อปอดและถุงลมต่างๆ ค่อยๆ ฟื้นฟูตัวกลับมามีความยืดหยุ่นมากขึ้น รวมถึงการออกกำลังกายเบาๆ เพื่อที่จะสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้ดังเดิม
- การฟื้นฟูสมรรถภาพปอดทำได้โดย การฝึกการหายใจ การบริหารปอดด้วยเครื่อง TRIFLOWและการออกกำลังกายเบาๆ ซึ่งการจะฟื้นฟูให้ปอดกลับมาเป็นปกตินั้นสามารถทำได้ แต่ต้องใช้เวลาพอสมควร
การฝึกการหายใจ (BREATHING EXERCISE) และการบริหารปอดด้วยเครื่อง TRIFLOW นั้นจำเป็นในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังการฟื้นตัว เนื่องจากพังผืดจะทำให้เนื้อปอดมีความแข็ง พังผืดที่แข็งเมื่อได้ขยับบ่อยๆ จะทำให้ปอดขยายเต็มที่ ช่วยให้ปอดมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้ ELASTICITY หรือความยืดหยุ่นของเนื้อปอดค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมา
การออกกำลังกายเบาๆ สามารถทำได้ในสัปดาห์ที่ 3 - 4 เป็นต้นไป ในช่วงนี้ร่างกายอาจจะยังมีการอ่อนเพลีย แต่ปอดอาจจะเริ่มฟื้นตัวบ้างแล้ว ดังนั้น จึงต้องมีการออกกำลังกาย มีการเคลื่อนไหวร่างกายมากขึ้น โดยอาจเริ่มจากการออกกำลังกายเบาๆ เช่น การลุกเดินบ่อยๆ เมื่อร่างกายเริ่มชินแล้วค่อยเพิ่มความหนักขึ้นไป อาจจะเดินให้ไวขึ้น หรือวิ่ง JOGGING เบาๆ ได้เช่นกัน
ที่มา โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล
#หัวใจ #สมอง #ปอดอักเสบ #ปอด #บริหารปอด #สร้างภูมิ #ออกกำลังกายปอด #สารสกัดจากธรรมชาติ #พอลลิติน #พอลเลนพลัส #พอลลิตัน

ตรวจหาโรคปอดระยะแรกเริ่มปอดเสื่อมได้ระบบทางเดินหายใจและปอดก็เหมือนอวัยวะอื่น ๆ คือ มีการเสื่อมลงตามอายุขัย ปกติเราหายใจเ...
12/11/2021

ตรวจหาโรคปอดระยะแรกเริ่ม

ปอดเสื่อมได้
ระบบทางเดินหายใจและปอดก็เหมือนอวัยวะอื่น ๆ คือ มีการเสื่อมลงตามอายุขัย ปกติเราหายใจเข้าออกครั้งละประมาณ 300 – 500 ลบ.ซม. หายใจนาทีละ 10 – 20 ครั้ง หรือนาทีละ 5 – 10 ลิตร ประมาณว่า เราหายใจเข้าออกวันละ 8,000 – 12,000 ลิตร หากอากาศที่เราหายใจเข้าไปไม่บริสุทธิ์ ที่เรียกว่ามี มลภาวะเป็นพิษ ในอากาศมีสารและก๊าซที่เป็นอันตรายต่อทางเดินหายใจ อีกทั้งการสูบบุหรี่ การทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมหลายประเภทก็ทำให้มีมลภาวะเป็นพิษเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการอักเสบ ทางเดินหายใจและปอดเสื่อมเร็วกว่าที่ควร หรือทำให้เกิดมะเร็ง โดยเฉพาะในปอด นอกจากนั้นในอากาศยังมีเชื้อโรค เชื้อไวรัส และเชื้ออื่น ๆ ที่เมื่อหายใจเข้าไป ทำให้เกิดโรคในปอดที่พบบ่อย คือ เชื้อวัณโรค

อาการโรคปอด
- เหนื่อยง่าย
- ไอแห้ง ๆ
- ไอมีเสมหะ
- ไอเป็นเลือด
- เจ็บหน้าอก

โรคปอดที่พบบ่อย
1. วัณโรค (Tuberculosis)
2. หลอดลมอักเสบเรื้อรังและถุงลมปอดโป่งพอง (Chronic ฺBronchitis and Emphysema หรือ COPD)
3. มะเร็งในปอด (Lung Cancer)
4. โรคหอบหืด (Bronchial Asthma)

ใครควรตรวจโรคปอด
1. ผู้ที่มีอาการทางระบบหายใจ ได้แก่
- ผู้ที่มีอาการไอเรื้อรัง โดยเฉพาะไอมีเสมหะ ไอมีเลือดออกมาด้วย
- เหนื่อยง่าย โดยเฉพาะตรวจทางหัวใจแล้วปกติ หรือหายใจมีเสียงหืด
- เจ็บหน้าอก โดยเฉพาะหายใจแล้วเจ็บมากขึ้น
2.ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง ได้แก่
- ผู้ที่สูบบุหรี่ ใช้ยาเสพติด
- ทำงานในโรงงานที่มีมลภาวะ มีควัน มีก๊าซเคมีที่เป็นพิษต่อทางเดินหายใจ
- ทำงานในเหมืองแร่ โรงโม่หิน โรงผลิตซีเมนต์
- ทำงานในบรรยากาศที่อาจมีการเปื้อนปนหายใจเอาสารกัมมันตภาพเข้าไป
- โรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องใช้สารแอสเบสตอส (Asbestos Fiber) เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ ตู้เย็น ฯลฯ
- ผู้ได้รับการรักษาโดยการฉายแสงบริเวณทรวงอก
- ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันการติดเชื้อต่ำ
- ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคที่อยู่ในระยะติดต่อ

ที่มา โรงพยาบาลกรุงเทพ

ทำไม? ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งต้องดูแลปอดให้ดีเรื่องน่ารู้:- เมื่ออายุมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงของวัยจะมีผลกระทบต่อปอดทั้งทางตรง...
12/11/2021

ทำไม? ยิ่งอายุมากขึ้น
ยิ่งต้องดูแลปอดให้ดี
เรื่องน่ารู้:
- เมื่ออายุมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงของวัยจะมีผลกระทบต่อปอดทั้งทางตรงหรือทางอ้อมได้ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงด้านสรีระทางร่างกาย ระบบภายในร่างกาย เช่น ระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกัน รวมถึงสภาพแวดล้อมที่มีมลพิษ
- ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหากปอดเสื่อมในผู้สูงวัย เช่น การติดเชื้อในปอด เช่น ปอดบวม หลอดลมอักเสบ วัณโรค หายใจถี่หรือติดขัด ระดับออกซิเจนต่ำ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- การมีสุขภาพปอดที่แข็งแรงในผู้สูงอายุนั้นนอกจากจะดูแลและป้องกันทางด้านกายภาพแล้วก็จะต้องสัมพันธ์กับการดูแลสุขภาพโดยรวม เช่น สุขภาพจิตใจ การมองโลกในแง่ดี ไม่เครียดหรือวิตกกังวล รวมถึงการได้รับความรักและความเอาใส่ใจจากคนในครอบครัว จะเป็นวิธีที่จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพผู้สูงอายุได้
ความสำคัญของปอด
ปอด มีหน้าที่หลัก 2 ประการ
หนึ่ง ทำหน้าที่รับก๊าซออกซิเจนจากอากาศเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งร่างกายของคุณต้องการออกซิเจนเพื่อใช้ในกระบวนการต่างๆ ภายในร่างกาย
สอง ทำหน้าที่ขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกาย ซึ่งเป็นของเสียที่ร่างกายผลิตขึ้นหลังจากร่างกายได้ใช้ออกซิเจนในกระบวนการต่างๆ
ในระหว่างการหายใจอากาศจะเข้าและออกจากปอด เมื่อคุณหายใจเข้า อากาศจะไหลผ่านทางเดินหายใจเข้าสู่ปอดหรือทางเดินหายใจที่เป็นเนื้อเยื่อที่ยืดหดแถบกล้ามเนื้อหายใจ โดยจะแบ่งกระบวนการทำงานเป็น 2 ส่วน คือ กล้ามเนื้อหายใจเข้า และกล้ามเนื้อหายใจออก
อากาศจะไหลเข้าสู่ปอดอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะเต็มถุงลมเล็กๆ เลือดจะไหลเวียนรอบถุงลมเหล่านี้ผ่านเส้นเลือดเล็กๆ โดยออกซิเจนจะเข้าสู่กระแสเลือด ณ จุดที่หลอดเลือดและถุงลมมาบรรจบกัน นอกจากนี้ยังเป็นที่ที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ข้ามจากกระแสเลือดไปยังปอดเพื่อเข้าสู่กระบวนการหายใจออก (กระบวนการขับก๊าซคาร์บอนไดออกซ์ที่เป็นของเสียที่เกิดจากกระบวนการสร้างพลังงานภายในร่างกาย)
การเปลี่ยนแปลงของวัยและผลกระทบต่อปอด
การเปลี่ยนแปลงของกระดูกและกล้ามเนื้อหน้าอกและกระดูกสันหลัง :
เมื่ออายุมากขึ้นกระดูกจะบางลงและอาจมีการเปลี่ยนแปลงโครงร่างของกระดูกซี่โครงของคุณที่จะส่งผลให้กระดูกซี่โครงของคุณไม่สามารถขยายและหดตัวได้อย่างสะดวกในระหว่างการหายใจ กล้ามเนื้อที่รองรับการหายใจของคุณหรือกะบังลมจะอ่อนแอลง ความเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้คุณหายใจเข้าหรือออกไม่ได้ดีเท่าที่เคย
การเปลี่ยนแปลงของกระดูกและกล้ามเนื้ออาจทำให้ระดับออกซิเจนในร่างกายลดลง นอกจากนี้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อาจถูกกำจัดออกจากร่างกายของคุณได้น้อย จึงเกิดอาการต่างๆ เช่น ความเหนื่อยล้าและหายใจถี่
การเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อปอด : กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่ออื่น ๆ ที่อยู่ใกล้ทางเดินหายใจอาจสูญเสียความสามารถในการเปิดทางเดินหายใจได้อย่างเต็มที่ ทำให้ทางเดินหายใจปิดได้ง่าย ความชราภาพยังทำให้ถุงลมเสียรูปร่างหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อปอด อาจทำให้ได้รับออกซิเจนน้อยเกินไปและการกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้น้อยลง ทำให้หายใจลำบาก
การเปลี่ยนแปลงของระบบประสาท : สมองส่วนที่ควบคุมการหายใจจะสูญเสียประสิทธิภาพการทำงานบางส่วนไป เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ปอดของคุณจะไม่สามารถรับออกซิเจนได้เพียงพอ และการกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ได้น้อย การหายใจอาจทำได้ยากขึ้น เส้นประสาทในระบบทางเดินหายใจที่กระตุ้นอาการไอมีความไวน้อยลงในการช่วยกำจัดสิ่งปนเปื้อนในอากาศ เช่น ฝุ่น PM 2.5 ควัน สารเคมีหรือธาตุโลหะหนัก และเชื้อโรคต่างๆ ที่จะเพิ่มโอกาสให้สิ่งปนเปื้อนสะสมในปอดได้ง่ายขึ้น
การเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิคุ้มกัน : ระบบภูมิคุ้มกันของคุณจะอ่อนแอลง ซึ่งหมายความว่า ร่างกายของคุณไม่สามารถต่อสู้กับการติดเชื้อในปอดและโรคติดเชื้ออื่นๆ ได้ ปอดของคุณจะฟื้นตัวได้ช้าลงหลังจากสัมผัสกับสิ่งปนเปื้อนในอากาศที่จะก่ออันตรายต่อสุขภาพของคุณได้
การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม : การเปลี่ยนแปลงของโลกทั้งที่เป็นภัยจากธรรมชาติ เช่น โลกร้อน ปรากฎการณ์เอลนีโญ และลานีญา เชื้อโรคกลายพันธุ์ หรือจากภัยจากที่มนุษย์เป็นผู้สร้าง เช่น การเกิดฝุ่น PM 2.5 มลพิษทางอากาศ แหล่งน้ำเสีย พื้นดินปนเปื้อนสารเคมี ที่อาจจะทำให้คุณมีสุขภาพโดยรวมเสื่อมกว่ากำหนด ยิ่งในผู้สูงอายุ หากระบบทางเดินหายใจเกิดผลกระทบอย่างรุนแรงก็จะส่งผลต่อสุขภาพโดยในระยะเวลาอันรวดเร็ว การป้องกันตนเองสำหรับวัยสูงอายุต่อสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษจะต้องมีความรัดกุมและเข้มข้นกว่าวัยอื่นๆ
จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวปอดของผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยง :
- การติดเชื้อในปอด เช่น ปอดบวมและหลอดลมอักเสบ
- หายใจถี่ หรือติดขัด
- ระดับออกซิเจนในร่างกายต่ำ
- รูปแบบการหายใจที่ผิดปกติส่งผลให้เกิดปัญหา เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
การป้องกันเพื่อลดผลกระทบความเสื่อมของปอด :
- งดสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่เป็นอันตรายต่อปอดและทำให้ปอดเสื่อมเร็วขึ้น รวมทั้งหลีกเลี่ยงแหล่งการเกิดควันบุหรี่มือสอง และแหล่งมลพิษทางอากาศ
- หลีกเลี่ยงการนอนหรือนั่งเป็นเวลานานจะทำให้น้ำมูกสะสมในปอด สิ่งนี้ทำให้คุณเสี่ยงต่อการติดเชื้อในปอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการผ่าตัดหรือเมื่อคุณป่วย
- ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของปอดอย่างสม่ำเสมอ และในช่วงที่มีมลพิษทางอากาศ เช่น ฝุ่น PM 2.5 หรือควันจากการเผาไหม้ ควรออกกำลังกายภายในบ้านหรือในอาคารแทนการออกกำลังกายกลางแจ้ง
- ป้องกันตนเองเสมอเวลาออกข้างนอกหรือการอยู่ในที่แจ้ง เช่น ในตัวเมือง หรือการทำกิจกรรมในพื้นที่เกิดมลพิษ หรือพื้นที่เสี่ยง โดยการเลือกใช้หน้ากากอนามัยที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็กได้
- หมั่นสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตนเองหรือคนในครอบครัวช่วยกันสังเกตเพื่อประเมินสุขภาพเบื้องต้นของผู้สูงวัยในครอบครัว หากไม่แน่ใจควรได้รับการตรวจสุขภาพเพื่อประเมินความเสี่ยงโรค
ตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อประเมินความเสี่ยงโรค
สรุป
ปอด เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการหายใจเข้า-ออก แลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนจากสิ่งแวดล้อม เข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดเพื่อหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ใ

รับมือยังไงดี เมื่อมีข่าวการระบาดของโรคปอดติดเชื้อในแต่ละปีที่ผ่าน เรามักจะได้ยินข่าวคราวการแพร่ระบาดของโรคต่างๆ เกิดขึ้...
12/11/2021

รับมือยังไงดี เมื่อมีข่าวการระบาดของโรคปอดติดเชื้อ
ในแต่ละปีที่ผ่าน เรามักจะได้ยินข่าวคราวการแพร่ระบาดของโรคต่างๆ เกิดขึ้นไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโรคระบบทางเดินหายใจ หรือ โรคปอดติดเชื้อ ที่ถือว่าเป็นโรคยอดฮิตที่มักมีข่าวมาให้เราได้ยินและระแวงระวังกันทุกปี ด้วยเพราะเป็นกลุ่มโรคที่แพร่กระจายได้ง่ายผ่านการไอจาม รวมถึงตัวไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคยังถูกลมพัดพาไปยังสถานที่ต่างๆ ได้อีก แล้วพอใครสูดหายใจเอาไวรัสเข้าไป ก็มีโอกาสติดเชื้อได้ทันที ซึ่งเมื่อมีข่าวระบาดออกมาทีไร ผู้คนก็มักจะหวั่นใจและหวาดกลัวกันอยู่เสมอจนแทบไม่เป็นอันกินอันนอน ดังนั้น เพื่อให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น รู้เท่าทันมากขึ้น และปลอดภัยจากโรคปอดติดเชื้อระบาดได้มากขึ้นในช่วงเวลาที่มีข่าวออกมาแต่ละครั้ง วันนี้เราจึงมีแนวทางเตรียมตัวรับมือดีๆ กับสถานการณ์แพร่ระบาดโรคปอดติดเชื้อ มาฝากกันครับ โดยมีลำดับขั้นตอนรายละเอียดต่างๆ 5 ข้อ ดังต่อไปนี้
1. กรองข่าวให้ดีก่อน อย่าเพิ่งตื่นตระหนกเกินไปก่อน
บ่อยครั้งข่าวการระบาดก็ไม่ได้เป็นการระบาดจริงๆ ไม่ได้รุนแรงจริงๆ แต่เป็นการถูกบิดเบือนข้อมูลให้ดูน่าหวาดกลัวไปจนเกินจริงมากกว่า ดังนั้นเราจึงควรเลือกรับข่าวสารข้อมูลการแพร่ระบาดจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือที่สุด ที่เป็น Primary Source อย่างเช่น ในวงการแพทย์บ้านเราก็สามารถเข้าไปติดตามที่เว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค ซึ่งจะทำให้เราได้ข้อมูลที่จริงที่สุด หรือถ้าจะให้น่าเชื่อถือยิ่งขึ้นไปอีก และทันต่อสถานการณ์ได้แบบสุดๆ ก็สามารถเข้าไปติดตามข่าวสารได้โดยตรงที่เว็บไซต์ของ WHO หรือองค์การอนามัยโลก รับรองได้เลยว่าจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องแน่นอน
2. ตรวจสอบตัวเราและคนชิดใกล้ ว่าเกี่ยวข้องมากน้อยแค่ไหนกับแหล่งแพร่เชื้อ
ทุกครั้งเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโรคระบบทางเดินหายใจ หรือปอดติดเชื้อ หนึ่งในขั้นตอนที่เป็นมาตรการการป้องกันที่สำคัญคือ ต้องสืบให้ทราบว่าจุดเกิดเหตุนั้นมาจากที่ไหน จุดใดคือจุดเสี่ยงของการแพร่ระบาด ซึ่งเมื่อเราทราบแล้ว เราก็ต้องถามตัวเองว่า “ตัวเราเกี่ยวข้องกับแหล่งแพร่เชื้อนั้นมากน้อยแค่ไหน” โดยถ้าเกี่ยวข้องทางตรง เช่น เราทำงานในประเทศนั้น เมืองนั้นที่มีการแพร่เชื้อ หรือถ้าทางอ้อมก็เช่น เรามีเพื่อน ญาติ คนใกล้ชิด ที่เดินทางไปยังสถานที่เกิดเหตุ แล้วกลับมาอยู่กับเราหรือเปล่า? ถ้าตัวเราหรือคนใกล้ชิด มีความเกี่ยวข้องกับแหล่งแพร่เชื้อล่ะก็ นั่นหมายความว่า “เราต้องเฝ้าระวังตัวให้ดี” แต่ถ้าเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับแหล่งแพร่เชื้อเลยไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่ง ก็มีโอกาสน้อยมากๆ ที่เราจะได้รับเชื้อจนเป็นอันตราย
3. ศึกษาอาการของโรคให้เข้าใจ เพื่อไว้ใช้สังเกตตัวเองและคนใกล้ชิด
การตื่นกลัวการระบาดของโรคอย่างเดียวไม่ได้ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น แต่การศึกษาให้รู้ว่าโรคปอดติดเชื้อ หรือโรคระบบทางเดินหายใจที่แพร่ระบาดอยู่นั้น มีอาการอย่างไร และจะรับมืออย่างไรต่างหาก คือสิ่งที่เราควรทำ ซึ่งการรู้ทันอาการแสดงของโรคถือว่าสำคัญที่สุดเป็นอันดับแรก เพื่อให้เราสามารถสังเกต ตรวจสอบตัวเองได้ ยิ่งถ้าเราหรือคนใกล้ตัวเรา มีความเกี่ยวข้องกับแหล่งแพร่เชื้อด้วยแล้ว เรายิ่งต้องเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด โดยอาการหลักของโรคระบบทางเดินหายใจจะคล้ายๆ กันก็คือ มีอาการเหมือนไข้หวัด เพราะเกิดจาการติดเชื้อไวรัสเหมือนกัน และอาจจะมีไข้สูง ปวดเมื่อย น้ำมูกไหล เจ็บคอ ไอ เหนื่อยหอบร่วมด้วย หากพบว่ามีอาการดังกล่าวก็ตระหนักไว้ได้เลยว่าเรามีความเสี่ยง! ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
4. อย่ากลัวถูกกักตัว แต่จงกลัวว่าอาจตายและแพร่กระจายเชื้อโรคได้
เมื่อสังเกตพบแล้วว่าตัวเราเองมีอาการที่เสี่ยงจะเป็นโรคปอดติดเชื้อตามข่าวที่แพร่ระบาดอยู่ สิ่งที่เราต้องทำคือการรู้หน้าที่ตัวเองว่า จะต้องรีบพาตัวเองไปพบแพทย์ เพื่อให้ตรวจสอบว่าเราเป็นโรคปอดติดเชื้อจริงตามที่เป็นข่าวหรือเปล่า เราต้องให้ข้อมูลว่าเราหรือคนใกล้ชิด เกี่ยวข้องกับแหล่งเกิดเหตุหรือไม่ เพื่อให้สามารถคัดกรองโรคได้ ทั้งนี้ การที่เรารู้หน้าที่ตัวเองนั้น ไม่เพียงแต่จะทำให้เราปลอดภัย และหายจากอาการป่วยได้เท่านั้น แต่เรายังช่วยทำให้โรคไม่แพร่กระจายออกไป ทำอันตรายเป็นวงกว้างขึ้นกับผู้คนในสังคมอีกด้วย
5. ติดตามข่าวต่อเนื่องวันต่อวัน ให้รู้เท่าทันสถานการณ์
การแพร่ระบาดของโรคระบบทางเดินหายใจนั้น มีระดับขั้นในตัวเอง คือสามารถที่จะลุกลามจนเป็นอันตรายถึงขั้นที่จำเป็นต้องประกาศมาตรการฉุกเฉินได้ ดังนั้นเพื่อให้เราสามารถวางแผนชีวิตได้อย่างถูกต้อง และป้องกันดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากโรคระบาดให้ได้มากที่สุด เราจึงจำเป็นต้องติดตามข่าวสารอยู่เสมอ เพื่อดูว่าสถานการณ์ในแต่ละวันเป็นอย่างไรบ้าง และมีประกาศแนวทางในการป้องกันตัวเองอย่างไรบ้างที่เราควรปฏิบัติ เช่น ในกรณีที่เกิดการระบาดรุนแรง ก็อาจมีการปิดประเทศ ปิดเมือง ห้ามข้าม เราก็ต้องรู้ว่า ห้ามไป หรือถ้าไปได้ ก็ต้องรู้ว่าควรดูแลตัวเองยังไง เช่น ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ สวมถุงมือ ฯลฯ เราก็ต้องปฏิบัติตามประกาศอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ปลอดภัยและไม่กลายเป็นหนึ่งในผู้ติดเชื้อที่แพร่กระจายเชื้อต่อไปยังผู้อื่นนั่นเอง
โรคระบบทางเดินหายใจ อย่างโรคปอดติดเชื้อนั้น จำเป็นจะต้องมีทั้งแนวทางการรักษาที่ถูกต้อง ร่วมกับมาตรการในการป้องกันที่ถูกต้องด้วย จึงจะสามารถควบคุมโรคไม่ให้แพร่กระจายไปได้ ซึ่งหน้าที่ของเราทุกคนในช่วงเวลาที่เกิดข่าวการแพร่ระบาด ก็คือ ต้องมีสติ ไม่ตื่นกลัวเกินไป และดูแลตัวเองให้ดีให้ถูกต้องที่สุด ปฏิบัติตามประกาศอย่างเป็นทางการของกรมควบคุมโรค และ WHO เพื่อให้สามารถรับมือกับโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากโรคได้ และยังมีส่วนช่วยในการควบคุมไม่ให้โรคลุกลามไปไกล จนสุดท้ายก็สามารถจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดให้หายไปได้ในที่สุด
ที่มา PHYATAI
#หัวใจ #สมอง #ปอดอักเสบ #ปอด #บริหารปอด #สร้างภูมิ #ออกกำลังกายปอด #สารสกัดจากธรรมชาติ #พอลลิติน

“โรคปอดฝุ่นหินจากการทำงาน”โรคปอดฝุ่นหินทราย (silicosis) คือ โรคชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากการสูดหายใจเอาฝุ่นละอองเล็ก ๆ ของผลึก...
12/11/2021

“โรคปอดฝุ่นหินจากการทำงาน”
โรคปอดฝุ่นหินทราย (silicosis) คือ โรคชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากการสูดหายใจเอาฝุ่นละอองเล็ก ๆ ของผลึกซิลิก้าหรือซิลิกอนไดออกไซด์หรือฝุ่นหินทรายอื่น ๆ เข้าไปในปอด แล้วทำให้เกิดเป็นเนื้อเยื่อพังผืดเป็นจุดเล็ก ๆ ในปอดทั้ง 2 ข้าง ทำให้มีอาการหายใจหอบเหนื่อย ทรวงอกขยายตัวได้น้อยลง ทำงานเหนื่อยง่าย ไม่มีไข้การตรวจทางเอกซเรย์จะเห็นลักษณะโดยเฉพาะของโรคนี้และมักเกิดวัณโรคปอดได้ง่ายกว่าบุคคลทั่วไป ผู้ประกอบอาชีพที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคปอดฝุ่นหินจากการทำงานได้แก่ ผู้ที่ทำงานแกะสลักหิน ผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมเหมืองแร่หรืองานที่เกี่ยวข้องกับการตัดหิน สกัดหิน โม่บดย่อยหิน อุตสาหกรรมทำแก้ว เซรามิก ครก กระเบื้องทนไฟ วัตถุทนความร้อน เครื่องสุขภัณฑ์ ฯลฯ
ฝุ่นผงซิลิก้าเข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร
ผลึกซิลิก้าบริสุทธิ์จะเข้าสู่ร่างกายในรูปของฝุ่นที่มีขนาดเล็กมากโดยการหายใจ และเข้าไปสะสมตัวอยู่ในบริเวณถุงลมปอด ซึ่งฝุ่นที่เข้าสู่ถุงลมของปอดจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดใหญ่ ๆ คือ
1. ฝุ่นที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5-15 ไมโครเมตร จะไม่เป็นอันตรายต่อปอด เนื่องจากฝุ่นดังกล่าวจะตกค้างบนเยื่อบุหลอดลมเป็นส่วนใหญ่ และร่างกายจะขับออกมาสู่ภายนอกปอดได้ด้วยการไอหรือจาม
2. ฝุ่นที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5-5 ไมโครเมตร เป็นกลุ่มของฝุ่นส่วนใหญ่ที่เข้าถึงถุงลมของปอด และทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองจากเนื้อเยื่อของปอดได้
3. ฝุ่่นที่มีขนาดน้อยกว่า 0.5 ไมโครเมตร ส่วนใหญ่จะแขวนลอยอยู่ในอากาศจึงถูกขับออกมาจากปอดพร้อม ๆ กับลมหายใจ โอกาสที่จะตกลงบนถุงลมจึงมีน้อย อาการของโรคปอดฝุ่นหินทราย แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด
- ชนิดเฉียบพลัน ได้รับฝุ่นหินทรายในปริมาณมาก ๆ ในเวลาสั้น ๆ อาการจะปรากฏหลังการสัมผัส 1-2 สัปดาห์
- ชนิดเรื้อรัง มีอาการหลังจากได้รับฝุ่นในปริมาณไม่มากนัก แต่ได้รับเป็นเวลานาน อาจจะมากกว่า 15 ปีขึ้นไป บางรายอาจไม่มีอาการชัดเจน หรือพบอาการเหนื่อยง่ายเวลาออกแรง ไอแห้ง ๆ แบบเรื้อรัง บางครั้งไอเป็นเลือด
การสังเกตอาการเบื้องต้น
1. มีอาการเหนื่อยง่ายเวลาออกแรง
2. มีอาการของระบบทางเดินหายใจได้แก่ ไอ หอบ เหนื่อย เป็นต้น
3. มีอาการไอแห้ง ๆ และบางครั้งอาจมีอาการไอเป็นโลหิต
จะป้องกันตนเองไม่ให้เกิดโรคได้อย่างไร
การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงการสูดหายใจเอาฝุ่นทรายเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็จำเป็นต้องใช้เทคนิคและวิธีการต่าง ๆ ในการป้องกันหรือลดปริมาณฝุ่นหินทรายที่มีอยู่ในบรรยากาศการทำงานให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย การป้องกันสามารถทำได้ดังนี้
1. การป้องกันทางสิ่งแวดล้อม
การควบคุมป้องกันที่แหล่งกำเนิดฝุ่น เช่น การใช้อุปกรณ์ปิดเพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นฟุ้งกระจายออกมาจากเครื่องจักร
ควบคุมและป้องกันทางผ่านฝุ่น ได้แก่ สร้างกำแพงหรือใช้ตาข่ายกั้นขอบข้างเครื่องจักรกับคนทำงานในโรงงานโม่บดย่อยหิน
ควบคุมและป้องกันที่คนทำงาน ได้แก่ การใช้หน้ากากกรองฝุ่นหินได้ และได้รับการรับรองมาตรฐานจาก OSHA หรือ NIOSH หรือประเทศผู้ผลิต การป้องกันที่ดีหรือได้ผลมากที่สุดคือ การจัดการที่ต้นเหตุ หากไม่สามารถดำเนินการหรือจัดการได้ ทางเลือกต่อมาคือ การใส่หน้ากากเพื่อป้องกันฝุ่น แต่การใส่หน้ากากเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ไม่ได้ผลเท่ากับการจัดการที่ต้นเหตุ
2. การป้องกันทางสุขภาพ
การตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี โดยผู้ปฏิบัติงานควรได้รับการตรวจสุขภาพทั่วไป เอกซเรย์ปอดและการตรวจสมรรถภาพปอดจากแพทย์ เพื่อเป็นการคัดกรองโรคเบื้องต้นสำหรับผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าป่วยด้วยโรคซิลิโคสิสควรได้รับการรักษาและการฟื้นฟูสมรรถภาพ โดยการรักษาตามอาการเพื่อบรรเทาความเจ็บป่วยและอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีอายุยืนยาวต่อไป
ที่มา คู่มือแรงงานนอกระบบปลอดภัยใส่ใจสุขภาพ โดยสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม
#หัวใจ #สมอง #ปอดอักเสบ #ปอด #บริหารปอด #สร้างภูมิ #ออกกำลังกายปอด #สารสกัดจากธรรมชาติ #พอลลิติน #พอลเลนพลัส #พอลลิตัน

ที่อยู่

Lamphun
51000

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ สุขภาพปอด มะเร็งผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram