ณเรศการแพทย์ Medical & Psychiatic clinic โรคทั่วไป และ ปัญหาทางจิตเวช

ณเรศการแพทย์ Medical & Psychiatic clinic โรคทั่วไป และ ปัญหาทางจิตเวช สุขภาพกาย และ ใจ
ปัญหาทางจิตเวช ภาวะปวดเรื้อรัง เครียด วิตกกังวล นอนไม่หลับ แพนิก ซึมเศร้า สารเสพติด

สุขภาพกายและใจ ให้เราดูแล ทุกปัญหามีทางแก้ เพียงแค่..นึกถึงเรา

11/08/2025

คลินิกหยุด 11-12 ส.ค.68
เปิด 13 ส.ค.68
13:00 น.ครับ

https://www.facebook.com/share/p/16HcC6XxHX/?mibextid=wwXIfr
30/07/2025

https://www.facebook.com/share/p/16HcC6XxHX/?mibextid=wwXIfr

แอลกอฮอล์ทำอะไรกับสมองคุณบ้าง?

1. Cerebral Cortex (เปลือกสมองใหญ่) : ควบคุมการคิด การตัดสินใจ
แอลกอฮอล์ทำให้คิดช้า ตัดสินใจผิดพลาด และลดการยับยั้งตนเอง โกรธโดยไม่มีเหตุผล หรือรับรู้ภาพ เสียง และกลิ่นผิดเพี้ยน

2. Cerebellum (สมองน้อย) : ช่วยประสานการเคลื่อนไหว ทรงตัว และกล้ามเนื้อ
แอลกอฮอล์ทำให้เสียการทรงตัว เดินเซ มือสั่น

3. Medulla (ก้านสมอง) : ควบคุมการหายใจ การเต้นของหัวใจ อุณหภูมิร่างกาย
การดื่มมากอาจทำให้การทำงานสมองหยุดลง ซึ่งอาจทำให้หมดสติหรือเสียชีวิต

4. Central Nervous System (ระบบประสาทส่วนกลาง) : แอลกอฮอล์ทำให้ส่งสัญญาณประสาทได้ช้าลง คุณจะเคลื่อนไหว พูด และคิดช้าลง

5. Hypothalamus (ไฮโพทาลามัส) :ควบคุม ความหิว กระหาย และอุณหภูมิ
แอลกอฮอล์รบกวนการทำงาน อาจทำให้หิวหรือกระหายมากขึ้น

6. Hippocampus (ฮิปโปแคมปัส): เกี่ยวกับความจำ
การดื่มมากอาจทำให้ “แบล็กเอาต์” หรือจำอะไรไม่ได้ช่วงหนึ่ง ดื่มมาก ความจำยิ่งเสียไป

📞เลิกเหล้าได้ตั้งแต่วันนี้ โทร. 1413 สายด่วนเลิกเหล้า
#งดเหล้าเข้าพรรษา #ชวนตัวเองงดเหล้าคุณทำได้ #สสส

28/07/2025

คลินิกปิด28 ก.ค.68
เปิด 29 ก.ค 68
13:00น ครับ

09/07/2025

คลินิกหยุด9-14 ก.ค.68
เปิด 15 ก.ค.68 13:00น.ครับ

https://www.facebook.com/share/p/16qCmrpa2L/?mibextid=wwXIfr
08/07/2025

https://www.facebook.com/share/p/16qCmrpa2L/?mibextid=wwXIfr

แม้ว่าเราจะใช้ Social Media อยู่ทุกวันนี้ จนกลายเป็นช่องทางหลักในการรับข้อมูลหลาย ๆ อย่าง เช่นเดียวกับการติดตามความเคลื่อนไหวของเครือข่ายไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือเพจต่าง ๆ ที่้เราสนใจ แต่เราก็ต้องยอมรับว่าเราเริ่มเห็นการใช้ช่องทาง Social Media ในการแสดงความคิดต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของเราที่เป็นผู้รับข้อมูลไม่มากก็น้อย

สิ่งหนึ่งที่เราต้องรู้เท่าทันคือข้อมูลเหล่านี้เป็นภัยเงียบที่น่ากลัวทีเดียว คอนเทนต์ต่าง ๆ สามารถเร้าความรู้สึกของตัวคนเสพซึ่งยิ่งถูกกระตุ้นมากและบ่อยเท่าไร ย่อมทำให้สมองที่ไม่ต้องรับภาระการจัดการความรู้สึกขนาดนี้เริ่มมีปัญหา บางคนกลายเป็นโรคซึมเศร้าเพราะเคมีในสมองที่เกิดขึ้จากการรับพลังลบเหล่านี้เข้าไปแล้วจัดการไม่ทันมากขึ้นเรื่อย ๆ

เรื่องนี้อาจจะอธิบายได้ว่าหากเป็นชีวิตปรกตินั้น การพูดคุยกันปรกติไม่ได้มีการ “ใส่อารมณ์” มากเนื่องจากผู้พูดกับผู้ฟังเห็นหน้ากัน มีการควบคุมอากัปกิริยาหรือปรับโทนคำพูดต่าง ๆ ให้เหมาะกับบรรยากาศการสื่อสาร เช่นเดียวกับมีเวลาให้สมองได้พักผ่อนและคลายตัวเองจากความรู้สึกลบ ๆ ที่รับมา

ซึ่งนั่นไม่เหมือนกับการเสพทางออนไลน์ที่เหมือนข้อมูลล้นทะลักมาอย่างต่อเนื่อง แถมคนจำนวนมากก็ “ใส่” มาแบบไม่ยั้งเพราะไม่ได้เห็นสภาวะของคนรับสารว่าอยู่ในภาวะแบบไหน รู้สึกอย่างไร

สิ่งเหล่านี้ล้วนนำไปสู่การสะสมของแรงกดดันจนนำไปสู่ความหดหู่ ซึมเศร้า​ โดยไม่รู้ตัว และนั่นคือที่มาของคำแนะนำว่าควรจัดการซ่อน / เลิกติดตามคนกลุ่มเหล่านี้จาก TImeline เสียหากไม่อยากเจอภาวะซึมเศร้าโดยไม่รู้ตัว

1. คนที่เอาแต่ใช้คำหยาบคายเน้นสะใจ (Rude)
ลองคิดง่าย ๆ ว่าถ้ามีคนในออฟฟิศที่วัน ๆ พูดแต่คำหยาบโลน เอะอะก็ใช้คำที่อารมณ์รุนแรงออกมาจะทำให้เรารู้สึกแบบไหน? คำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นคำที่แฝงอารมณ์ต่าง ๆ และกระตุ้นให้คนอ่าน / อ่านฟังรู้สึกเร้าไปด้วย ทั้งจะในแบบรู้สึกโกรธ รู้สึกสะใจ หรือไม่ก็รู้สึกแย่ รู้สึกโดนตะโกนใส่หน้า และนั่นไม่เหตุจำเป็นเลยว่าทำไมเราควรจะทนอ่าน ทนฟัง คนเหล่านี้ เช่นเดียวกับที่ในชีวิตจริงเราก็เลี่ยงเจอคนเหล่านี้เป็แน่

2. คนที่มุ่งจะโจมตี ด่าทอ ดูถูกผู้อื่น (Attack)
การต่อว่าโดยมุ่งหวังให้คนอื่นเสื่อมเสีย ให้ดูด้อยค่า เป็นคนละเรื่องกับการวิจารณ์เพื่อสร้างสรรค์ และคำด่าเหล่านี้มักแฝงด้วยความอาฆาตของผู้โจมตีที่หวังให้ผู้ถูกโจมตีได้รับผลร้ายแรง และพลังเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกลบเป็นธรรมดา คงจะมีแต่คนที่เห็นด้วยกับการโจมตีเพราะคนที่โดนโจมตีนั้นเป็นคนที่ตัวเองไม่ชอบ เราถึงจะสนุกและกดไลค์ชื่นชมการโจมตีนั้น ๆ ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้เราเห็นว่าการใช้ความรุนแรงทางคำพูดเพื่อด่าทอคนอื่นเป็นเรื่องปรกติ (ทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย) ในขณะเดียวกันถ้าเราเป็นคนที่ไม่ได้เห็นด้วยกับการโจมตีนั้น ๆ ก็จะมีแต่ทำให้เรารู้สึกแย่มากกว่าเดิม

3. คนที่กลั่นแกล้งผู้อื่น (Bully)
กรณีนี้ก็ไม่ต่างจากกรณีก่อนหน้าที่การกลั่นแกล้งผู้อื่นไม่ใช่เรื่องที่ควรจะยอมรับแม้แต่น้อย เพราะมันคือการลดค่าของอีกคนเพื่อสร้างความเย้ยหยันต่าง ๆ การแปะป้ายว่าคนนั้นเป็นพวกโน้นนี้ และก็จะมีแต่การสะใจถ้าคนที่ถูก Bully เป็นคนที่เราไม่ชอบด้วย ซึ่งในทางกลับกันหากคนที่ถูก Bully เป็นคนที่เรารู้จัก แคร์ หรือให้คุณค่าก็จะยิ่งรู้สึกแย่ โกรธ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น และนั่นทำให้คนที่ทำสิ่งเหล่านี้คือ Toxic People ที่ไม่ควรคบหาเลยตั้งแต่ต้น

4. คนที่คิดร้ายกับผู้อื่น สาปแช่ง (Curse)
ไม่มีคนดีคนไหนคิดอยากให้อีคนเดือดร้อน ฉิบหาย ตาย ฯลฯ ต่อให้มีความแตกต่างทางความคิด มีความขัดแย้งกัน แต่การหวังให้อีกฝั่งต้องประสบภัยก็ไม่ต่างจากการที่ผู้คิด ผู้พูดได้ลดค่ามนุษยธรรมในตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว คำพูดเหล่านั้นก็จะมีแต่คนที่มีความคิดแบบเดียวกันที่ชื่นชม หากแต่คนอื่นที่มองอยู่ก็จะได้รับความเกลียดชัง ความโกรธแค้นผ่านตัวหนังสือมา ซึ่งมีแต่จะทำให้รู้สึกแย่ไป ลองคิดว่าในชีวิตจริงถ้ามีคนที่คอยเอาแต่สาปแช่งคนอื่นแล้วเราจะยังอยากคุยกับเขาหรือไม่?

5. คนที่มีแสดงทัศนคติที่มีอคติ (Bias)
เมื่อใดที่คนมีอคติ เมื่อนั้นก็คือคนเราจะมองทุกอย่างอยู่ในกรอบที่ตัวเองอยากมองและปฏิเสธมุมมองอื่น ๆ และนั่นก็จะมาสู่การโจมตีหรือพยายามแย้งกับแนวคิดอื่น ๆ ที่ไม่ตรงกับความคิดของตนโดยไม่สนเหจุผล ซึ่งนั่นมีแต่จะทำให้ทัศนคติของคนแบบนี้เข้ามาทำให้เรารู้สึกแย่เอาเสียเปล่า ๆ ไม่ว่าจะเป็นการรู้สึกเบื่อหน่ายกับตรรกะการคิด หรือเซ็งกับมุมมองบางอย่างที่ดูไม่เป็นเหตุเป็นผล

6. คนที่โต้เถียงโดยใช้อารมณ์ (Emotional)
เมื่อเราใช้อารมณ์มานำเหตุผล และเน้นแต่จะแพร่ความรู้สึกออกมามากกว่าสาระและข้อมูล นั่นก็ทำให้ผู้รับสารรับอารมณ์เป็นหลักซึ่งจะเป็นที่มาของความรู้สึกหนักอกหนักใจเอาได้ง่าย ๆ ซึ่งนั่นก็ไม่ต่างอะไรจากรณีของคนที่เอาแต่ด่าทอแทนที่จะคุยกันดี ๆ และเราก็คงไม่ควรจะสนทนาต่อเลยแม้แต่น้อย

7. คนที่พยายามเอาชนะในการโต้เถียงอยู่ตลอด (Winning Bu****it)
เมื่อมีการถกในประเด็นต่าง ๆ นั้น มักจะมีคนประเภทหนึ่งที่อยากจะเอาชนะและยกเหตุผลมาเถียงแบบข้าง ๆ คูๆ ไม่ก็ใช้หลักการแบบสุดโต่งโดยไม่พยายามจะเข้าใจหรือมองหลักการอื่น ๆ เพียงเพราะต้องการเอาชนะการถกครั้งนั้น แน่นอนว่าการถกกับคนแบบนี้มีแต่จะทำให้เหนื่อยและหงุดหงิดเพราะหลักการที่เขามาอ้างนั้นจะดูไม่สมเหตุสมผล ไม่มีน้ำหนัก หรือไม่ก็ลากออกประเด็น จบแพะชนแกะ ซึ่งก็จะมีแต่ทำให้เราเหนื่อยใจเวลารับความคิดจากคนแบบนี้

8. คนที่แชร์อะไรแบบไม่ยั้งคิด ตรวจสอบ (Careless)
ข้อนี้อาจจะดูแปลก ๆ แต่เอาจริง ๆ คนเหล่านี้มีผลในการทำให้จิตใจเราขุ่นมัวเหมือนกัน เพราะคือคนที่มักจะหยิบข่าวโน่นข่าวนี้มาพูด ไม่ตรวจสอบ แล้วก็สร้างความตื่นตระหนกให้กับคนจนเกิดความรู้สึกไม่ดีอย่างเช่นเสียขวัญ กลัว แถมปรกติพวกที่ถูกแชร์ก็มักจะเป็นข่าวปลอม Fake News ซี่งก็รู้ๆ กันอยู่แล้วว่ามีจุดประสงค์เพื่อปั่นกระแส ป่วนความรู้สึกคน เจอคอนเทนต์ที่คนเหล่านี้แชร์มาก ๆ เข้าก็มีป่วนจิตได้เหมือนกัน หรือต่อให้รู้ว่าเป็นข่าวปลอมก็จะยิ่งรู้สึกหน่ายกับคนที่แชร์อีกด้วย

9. คนที่พยายาม “อวด” จนน่าหมั่นไส้ (show off)
การโชว์ว่าทำอะไรมา กินอะไรมา ซื้ออะไรมา ก็เป็นเรื่องปรกติ แต่เชื่อว่าหลายคนจะเห็นอาการ “เกินพอดี” ของหลาย ๆ คนที่เริ่มเข้าสู่โหมด “น่าหมั่นไส้” ซึ่งคนพวกนี้ก็ดูเหมือนจะมีทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่อาการน่าหมั่นไส้เนี่ยแหละที่ทำให้จิตของเราขุ่นมัว ฉะนั้นถ้าเจอคนประเภทที่ทำให้รู้สึกแบบนี้บ่อย ๆ ก็เลิกติดตามไปเสียดีกว่า

10. คนที่มุ่งแต่จะ​ “จับผิด”​ โดยไม่คิดจะ “จับถูก” (Carping)
คนเรามีด้านดีและไม่ดี เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็เช่นกัน มันคงยากที่จะมองอย่างเป็นกลางตลอดเวลาแต่เราก็สามารถเลือกมองในหลายวิธีได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าคนประเภทที่มองแต่เรื่องไม่ดีแล้วเอามาพูด มาวิจารณ์ตลอดโดยไม่พยายามเหลือบไปมองเห็นด้านดี ข้อดี ซึ่งจะด้วยอคติหรืออะไรก็ตาม นั่นก็คงไม่ใช่คนที่เราควรจะคุยด้วยเท่าไรเพราะมันก็มีแต่ยัดมุมมองด้านลบและจับผิดนั้นให้เราจนเราเคยชินกับการมองแบบจับผิดนั้นไปให้หงุดหงิดใจนั่นเอง

หมายเหตุ:
ที่เล่ามานั้น ไม่ใช่ว่าคนจะประเสริฐจนไม่มีอะไรแบบนี้เลยนะฮะ เพราะเอาจริง ๆ คนเราก็คงเผลอทำ เผลอพิมพ์ เผลอแชร์ อาจจะด้วยอารมณ์ชั่ววูบอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นครั้งสองครั้งก็พอเข้าใจ แต่ถ้าเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นเรื่องปรกติของคน ๆ นั้นแล้ว มันก็คงเข้าข่ายของ “ผิดปรกติ” ที่เราควรจะเลี่ยงและอยู่ห่าง ๆ ไว้นั่นแหละครับ

หมายเหตุ:
นี่คือความเห็นส่วนตัวของผม จากประสบการณ์ของผมที่ตอนนี้ผมเป็นโรคซึมเศร้า และกำลังรักษาตัวอยู่ซึ่งผมรู้ดีว่าผมเป็นภาวะซึมเศร้านี้จากการรับบรรดา Toxic Content / Conversation ต่าง ๆ จาก Social Media ไม่ว่าจะเป็นแชท Feed Timeline ที่ประดังเข้ามาผ่านทางเพจ คนรู้จัก เพื่อน หรือแม้แต่เพื่อนสนิท รวมถึงการโดน Cyberbully ต่าง ๆ ซึ่งหลายคนอาจจะบอกว่าให้อดทน หรือไม่ก็มองข้ามผ่าน ๆ ไป แต่สำหรับบางคนแล้ว วิธีแบบนั้นอาจจะทำให้เกิดการสะสมของความซึมเศร้าโดยไม่รู้ตัว

คำแนะนำของผมคือ “อย่าทน” และ “ไม่จำเป็นต้องทน” เพราะ Feed ใน Social นั้นคือสิ่งที่เข้ามาปะทะกับเรา และเราควรเลือกคัดสรรสิ่งเหล่านั้น อย่าได้แคร์หรือสนใจว่าเพราะเป็นเพื่อนสนิท เป็นคนรู้จักอะไร เพราะในชีวิตข้างนอกจอเรายังเป็นเพื่อนกันได้ คุยกันได้ ซึ่งนั่นจะดีกว่าการรับอารมณ์และพลังลบจากจอที่มีแต่จะเสียความรู้สึกกันเปล่า ๆ

ผมหวังว่านี่จะเป็นคำแนะนำให้กับหลาย ๆ คนที่เจอภาวะนี้อยู่ได้ป้องกัน และไม่เจอเหตุการณ์อย่างที่ผมเจอนะครับ

ณัฐพัชญ์ วงษ์เหรียญทอง

https://www.facebook.com/share/p/19HVMzYmAg/?mibextid=wwXIfr
26/06/2025

https://www.facebook.com/share/p/19HVMzYmAg/?mibextid=wwXIfr

#ทำอย่างไรให้ซึมเศร้าดีขึ้น?
🌺🌺
1.ออกกำลังกายจนเหงื่อแตก 150 นาทีต่อสัปดาห์ แบ่งเป็น 30 นาทีวันเว้นวันก็ได้ ถ้าทำได้ทุกวันก็ยิ่งดี
2. ออกแดด 15-20 นาทีต่อวัน ช่วงก่อน 10:00 น แดดจะไม่แรง ถ้ากังวลว่าผิวจะเสีย แนะนำให้ทาซันสกรีนที่ใบหน้า (เว้นแขนและขา) ใส่เสื้อแขนกุดและนุ่งกางเกงขาสั้น อย่าห่วงเรื่องผิวเสียเกินไปเพราะเรื่องซึมเศร้านั้นร้ายกว่า
3.นอนก่อน 5 ทุ่ม แนะนำว่าพอถึง 3 ทุ่มครึ่งแล้วก็ให้เตรียมตัวนอนเพราะกว่าจะหลับจริงๆก็อาจจะ 4 ทุ่มถึง 4 ทุ่มครึ่ง การวิจัยพบว่าการนอนให้พอและไม่ดึกเกินไปสัมพันธ์กับอาการวิตกกังวลและอารมณ์เศร้าที่ลดลง

🌺ทั้ง 3 ข้อนี้น่าจะทำได้ไม่ยาก แค่อาศัยความตั้งใจสักนิด

ใครบ้างที่ได้ผล?
1.ผู้ที่กำลังกินยาต้านเศร้า (antidepressant) 2.ผู้ที่กำลังรู้สึกจิตใจหดหู่เศร้าสร้อย (แม้จะยังไม่ได้ไปพบจิตแพทย์และยังไม่ได้รับยา )
3. คนทั่วไปที่อยากจะทำให้จิตใจสดชื่น

หากคุณมีลูกวัยรุ่นที่กำลังซึมเศร้า แนะนำให้ทำ 3 ข้อนี้ร่วมไปกับการกินยาต้านเศร้าจากจิตแพทย์
🌺✔️ที่สำคัญคือการป้องกัน โดยเลี้ยงลูกให้มีรากแก้ว 6 ราก เพื่อสร้างให้ลูกมีความหนักแน่นมั่นคงในตนเอง ไม่อ่อนไหวง่ายเกินไป เรียนเทคนิคได้จากคอร์สออนไลน์ "เลี้ยงลูกใหม่ปั้นให้ดี"
#ปั้นใหม่ #โรคซึมเศร้า

กรณีการเกิด อาการเป็นพิษจากข้าวมันไก่มีวิธีแก้ครับhttps://www.facebook.com/share/p/19Ltmstaxu/?mibextid=wwXIfr
12/06/2025

กรณีการเกิด อาการเป็นพิษจากข้าวมันไก่
มีวิธีแก้ครับ

https://www.facebook.com/share/p/19Ltmstaxu/?mibextid=wwXIfr

🐔👾[เคสข้าวมันไก่เป็นพิษ จากแม่ค้าที่มีแผลที่มือและวิธีการแก้ไขเมื่อต้องแขวนไก่ต้มไว้ในตู้ทั้งวัน … จะแช่เย็นไก่ก็ไม่ได้ ลูกค้าไม่ชอบไก่เย็น]

🤒ผมเตือนไว้ตั้งแต่ต้นปีแล้ว ไม่คิดว่าจะเกิดจริง ๆ … เอาจริงๆ แล้ววิธีการป้องกันไก่บูดหลังต้ม ด้วยเพราะอากาศบ้านเรามันร้อนชื้น ผมสอนในคลาสข้าวมันไก่ (นร พันกว่าคน) ไปแล้ว วันนี้ผมจะมาย้ำในโพสต์นี้อีกทีครับ

👿ข่าวล่าสุด(เมื่อวาน)ที่โรงเรียนหนึ่งอาหารเป็นพิษทั้งชั้นจากการกินข้าวมันไก่ สุดท้ายพบว่าเป็นเพราะแม่ค้าสับไก่มีแผลอักเสบ และพบว่าเป็นเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus ที่สร้างสารพิษที่ทนความร้อนได้สูง

>> เชื้อแบคทีเรีย S. aureus จากแผล (แผลจะมีเชื้อโหลดเยอะกว่าผิวหนังปกติ)
>> เชื้อจำนวนมากมาติดที่ไก่ตอนสับ
>> บรรจุลงกล่อง อับๆ อุ่นๆ 35-40 C
>> หนังไก่และอุ่นๆชื้นๆ เป็นสภาวะที่เชื้อชอบมาก
>> เชื้อเจริญเติบโต จนมากกว่า 10^5 CFU/g
>> เชื้อเริ่มสร้างสารพิษ enterotoxin
>> สารพิษของเชื้อนี้ดันทนความร้อนสูง

>> ถึงแม้ว่าคุณครูจะอุ่นข้าวมันไก่ให้เด็ก
>> ตัวเชื้ออาจจะตาย แต่สารพิษยังอยู่
>> สารพิษก็ลงกระเพราะ ทำให้ติดเชื้ออยู่ดี (ติดเชื้อ มีอาการแบบไม่เกิน 6 ชั่วโมง คือเพราะตัวสารพิษที่เชื้อสร้าง ไม่ใช่จากตัวเชื้อมันเอง เรียกว่า foodbourne intoxication) …. แต่ถ้าผ่านไป 8-10 ชม ค่อยท้องเสียคือ foodbourne infection)

#สาเหตุ

1) ถ้ารู้ตัวว่ามีแผล/ แผลอักเสบ นอกจากพันพลาสเตอร์ ล้างมือให้สะอาดแล้ว ควรใส่ถุงมือครับ

** ผมเห็นหลายร้านมากที่นิ้วเป็นแผลแล้วพันแค่พลาสเตอร์ แล้วเอานิ้วมาจับอาหาร แบบนี้ไม่ถูกสุขลักษณะมาก ๆ เพราะถ้าแปลติดเชื้อมันจะเสี่ยงคนกินมาก ๆ แล้วแผลตัวเองก็จะหายยากด้วยเพราะโดนน้ำตลอดเวลา **

2) ทางปฏิบัติที่ดี (ซึ่งไม่มีใครทำได้แน่ๆ) คือตามกฎหมายแล้วอาหารปรุงสุก ควรอยู่ที่อุณหภูมิห้องไม่เกิน 2 ชม. เพราะเชื้อมีโอกาสเพิ่มจำนวนจนอันตราย

แต่ในทางปฎิบัติไม่มีทางทำได้ ร้านข้าวมันไก่ ต้มไก่ตั้งแต่ ตี 5 แล้วขายยันเย็น หมายถึงไก่ต้มถูกแขวนอยู่ที่อุณหภูมิห้อง 10-12 ชม.

จะให้แช่เย็นก็ไม่ไหว ไม่มีใครชอบกินไก่เย็นๆ ยกเว้นแบบไก่แช่เหล้า

3) ถ้าแขวนไว้อุณหภูมิห้อง อากาศถ่ายเท แล้วทุกอย่างสะอาดมาก เชื้อเริ่มต้นน้อย หรือบางร้านสับไก่เสร็จราดน้ำซุปเดือดๆอีกครั้งลดจำนวนเชื้อ … หรือขายหมดไว (เชื้อไม่ทันเพิ่มจำนวน) … หรือลูกค้ามีภูมิดี (เชื้ออาจจะเยอะแล้ว) … ก็ปลอดภัยรอดไป

4) แต่ถ้าเชื้อที่ไก่เยอะ สับเสร็จแล้ว บรรจุลงกล่อง ชื้นๆอุ่นๆ เชื้อ S. aureus นี้โตและสร้างสารพิษได้ไวมากที่ 35-40 องศาเซลเซียส (optimum temp)

… ดังนั้นถ้าแขวนไก่ไว้ในตู้ อุณหภูมิห้อง (บ้านเรา 28-32 C) เชื้อก็โตนะ แต่ …
** แต่โตไม่ไวเท่าการสับแล้วบรรจุลงกล่องปิดฝา **

__________

#วิธีการแก้ไข ไก่แช่เย็นไม่ได้ แต่ต้องแขวนไว้

1) เชื้อจะโตช้า และหยุดหรือสร้างสารพิษลดลงเมื่อสภาวะเป็นกรด เช่น pH < 5

2) กรดอินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพและหาซื้อได้ง่าย และต้นทุนถูกคือกรดอะซิติก หรือกรดน้ำส้มสายชู

3) ถ้าใส่เยอะเกินไป ไก่จะเปรี้ยวและเหม็นน้ำส้ม

4) ดังนั้นคำถามคือความเข้มข้นของน้ำส้มสายชูต่ำสุดเท่าไรที่เชื้อจะไม่โต

5) งานวิจัยชื่อว่า Antibacterial action of vinegar against food-borne pathogenic bacteria including E. coli O157:H7 พบว่า S. aureus จะหยุดสร้างสารพิษเมื่อกรดน้ำส้มเข้มข้นอย่างน้อย 0.3-0.5%

6) นั่นหมายถึงว่า ต้องเอาน้ำส้มสายชู (ซึ่งคือกรดน้ำส้ม 5%) มาเจือจางน้ำเปล่าสะอาด 10 เท่า

7) ยกตัวอย่าง = เทน้ำส้มสายชูกลั่น 5% มา 100 มล. แล้วผสมน้ำเปล่าสะอาด 900 มล. จะได้สารละลายกรดอะซิติกเข้มข้น 0.5% จำนวน 1 ลิตร

** จะเจือจางน้อยกว่านี้ก็ได้ แต่มันเปลืองน้ำส้มไงครับ แถมไก่ก็จะมีกลิ่นเปรี้ยว

8 ) นำสารละลายนี้มาทาไก่ต้มสุกแล้วบางๆ หรือจะจุ่มทั้งตัวไก่ หรือชิ้นส่วนไก่ลงไปจนมิด รอไว้ 10 วินาทีแล้วค่อยเอาขึ้น

9 ) กรดน้ำส้มเจือจางจะเคลือบชิ้นไก่และช่วยยับยั้งการเจริญและการสร้างสารพิษของเชื้อต่าง ๆ ได้ครับ

**** แถม ! เขายังพบอีกด้วยว่า ถ้าไม่อยากใส่น้ำส้มสายชูเยอะ เช่น ถ้าลองแล้ว 0.5% มันเหม็นไป ให้เติมเกลือแกงเข้มข้น 2% ครับ …. จะสามารถลดความเข้มข้นของน้ำส้มสายชูเหลือแค่ 0.25% ก็ได้ ก็ยังยั้งเชื้อได้

เช่น น้ำส้มสายชูกลั่น 5% ตวงเหลือแค่ 50 มล.
เติมน้ำเปล่าให้ได้ 1000 กรัม (1 ลิตร)
แล้วผสมเกลือแกง 20 กรัม คนให้ละลาย
ก็จะได้สารละลายที่กรดน้ำส้ม 0.25% และเกลือ 2% เอามาชุบไก่ … ก็จะเค็มขึ้นหน่อย แต่ไม่เปรี้ยว … ก็ทำได้นะครับ

*** คือเกลือกับกรดน้ำส้มมันทำงานเสริมกันในการยังยั้งจุลินทรีย์ครับ ***

🟢 ไก่ต้มจุ่มน้ำส้มเจือจาง จะอยู่อย่างปลอดภัย ได้ถึง 6-8 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิห้องประเทศไทย (เกินกว่านั้นยังไม่เคยทดลองครับ)

10) แบบนี้เราก็สามารถต้มไก่แล้วแขวนขายได้ทั้งวันอย่างปลอดภัยมากขึ้น ถึงมีเชื้อปนเปื้อนมาที่ชิ้นไก่ ไม่ว่าจะจากมือ เล็บเรา หรือเขียง … ก็จะลดความเสี่ยงได้ครับ

ปล. แต่ทางที่ดีคือผู้สัมผัสอาหารควรมีสุขอนามัยที่ดีเป็นพื้นฐานก่อนเลย แล้วค่อยไปจัดการกระบวนการทำ/ การจัดเก็บครับ …

❤️ในฐานะผู้บริโภค พยายามอุ่นอาหารก่อนกินหรือพวกข้าวกล่อง พยายามเลี่ยงข้าวมันไก่ที่มือแม่ค้าต้องจับไก่เยอะๆ เลือกพวกเมนูผัดๆ น่าจะดีกว่า

11/06/2025

ปราสาทเขาพระวิหารของไทย ที่ถูกศาลโลก "ปล้น" ไปเป็นของเขมร

ในประวัติศาสตร์ความเจ็บปวดของชาติไทย ไม่มีบทใดจะฝังลึกในใจประชาชนได้เท่ากับคดี ปราสาทเขาพระวิหาร มรดกทางศิลปวัฒนธรรมอันสูงค่า ที่เคยอยู่ภายใต้การดูแลของไทย และไทยก็ได้พิสูจน์ความใส่ใจผ่านการบูรณะดูแลด้วยมือของคนไทยเอง แต่กลับถูกศาลโลกพิพากษาให้เป็นของกัมพูชาเมื่อปี พ.ศ. 2505

หลักฐานทางใจที่ยิ่งใหญ่กว่าคำพิพากษา
ภาพนี้คือภาพประวัติศาสตร์ที่หาชมได้ยาก — ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ปูชนียบุคคลแห่งวงการศิลปะไทย ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร ได้เคยนำคณาจารย์ นักศึกษา และเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร ขึ้นไปยัง ปราสาทเขาพระวิหาร เพื่อทำการ ศึกษา สำรวจ และบูรณะ บริเวณปราสาทในช่วงก่อนที่คำตัดสินของศาลโลกจะเกิดขึ้น

แม้พื้นที่จะอยู่ในแนวภูเขาสูงชัน ต้องปีนป่ายผ่านเส้นทางทุรกันดาร แต่ก็ไม่มีใครย่อท้อ เพราะนั่นคือการ “รักษาแผ่นดิน” ด้วยการ “พิสูจน์ตัวตนของวัฒนธรรมไทย” ผ่านงานศิลปะและโบราณสถาน

คนไทยใจสลายคำตัดสินที่ปวดร้าวและไม่เป็นธรรม
ในปี พ.ศ. 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ได้ตัดสินให้ กัมพูชา เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์เหนือปราสาทเขาพระวิหาร โดยอ้างแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นในยุคล่าอาณานิคม แม้ไทยจะไม่เคยรับรองแผนที่ฉบับนั้นอย่างเป็นทางการ

นับแต่นั้นมา พื้นที่ที่เคยมีครูบาอาจารย์ของเราขึ้นไปซ่อมแซมด้วยมือและหัวใจ กลับกลายเป็น “ต่างแดน” โดยอาศัยเพียงกระดาษแผ่นเดียว — โดยที่ “ความรู้สึกของคนไทย” ไม่เคยได้รับการรับฟัง

แผ่นดินที่เรารัก ต้องพิทักษ์ด้วยความรู้ และความสามัคคี

ภาพของท่านอาจารย์ศิลป์ที่ยืนอยู่ท่ามกลางศิลาจารึก ณ เขาพระวิหาร ไม่ได้เป็นเพียงแค่ประวัติศาสตร์แห่งการศึกษา แต่คือหลักฐานว่า คนไทยไม่เคยทอดทิ้งดินแดนของตนเอง หากวันนี้เราจะยังยืนหยัดเพื่อผืนแผ่นดินไทย เราต้องเริ่มจากการรู้เท่าทันกลเกมทางกฎหมายระหว่างประเทศ ศึกษาอดีตอย่างลึกซึ้ง และร่วมแรงร่วมใจในการพิทักษ์อธิปไตย

ขอบคุณภาพจาก: คุณวิจิตร อภิชาติเกรียงไกร

https://www.facebook.com/share/p/1Fz4npYyjS/?mibextid=wwXIfr
11/06/2025

https://www.facebook.com/share/p/1Fz4npYyjS/?mibextid=wwXIfr

#เหตุผลที่เราควรไปพบจิตแพทย์_ตอนทึ่3

#มีคนทักว่าเราเปลี่ยนไป

~~~*~~~*~~~*~~~*~~~*~~~*~~~*

ต่อเนื่องจากตอนที่1และ2

บางครั้งคนไข้ก็ไม่ได้ไปพบหมอเพราะรู้ตัวด้วยตัวเองว่าเริ่มมีปัญหา แต่เป็นเพราะคนใกล้ชิดทักเลยเอะใจ
เช่น
คนที่บ้านทักว่าเงียบไป เดี๋ยวนี้เก็บตัว ไม่ค่อยพูด
คนที่ทำงานหนักว่าหมู่นี้หงุดหงิดบ่อย เหวี่ยงวีนผิดวิสัย
คนที่นอนห้องเดียวกันบอกว่า เวลาหลับแล้วกัดฟันมากขึ้น
บางคนเป็นหมอ แต่ดันมีคนไข้ทักรัวๆ ว่าไม่สบายรึเปล่า
เป็นต้น


เนื่องจากว่า อาการของโรคทางจิตเวชนั้น เป็นเรื่องของอารมณ์ ความคิด และพฤติกรรม

บางครั้งจึงแยก(เอง)ได้ยาก หากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามปกติ-เข้าใจได้ตามสถานการณ์
หรือว่าเกินไป เข้าข่ายภาวะปรับตัวไม่ได้ หรือมีโรคบางอย่าง

คนที่จะวินิจฉัยได้ ก็คือจิตแพทย์ ซึ่งเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านนี้ค่ะ
(ซึ่งคนไข้ก็ต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลนะคะ ถามๆตอบๆทางfacebookไม่พอค่ะ)

ดังนั้น ถ้าหาก คนทั่วๆไป ที่ไม่ได้มีความรู้ด้านนี้ แค่ใช้ความเป็นเพื่อนมนุษย์ ก็ "ดูออก" ว่าคุณนั้นมี something wrong
นั่นก็แสดงว่า อาการ/การเปลี่ยนแปลง(ในทางลบ)นั้น ... น่าจะเยอะมาก และ/หรือ น่าจะเป็นมานานมาก พอสมควร

ซึ่งน่าที่จะไปปรึกษาจิตแพทย์ดูค่ะ

รักษาเร็ว ง่ายกว่ารักษาช้านะ

ป.ล. มีเหมือนกันนะคะ ที่พอคนสองคนทะเลาะกัน แล้วจะมีคนนึงพูดขึ้นมาว่า เธอน่ะ &_* #@+$ ไปแล้ว ไปหาจิตแพทย์ซะนะ!! อะไรทำนองนี้
เพียงเท่านี้คงบอกได้ยากว่า เป็นการกล่าวหาเพื่อโยนความผิด หรือว่ามันมีมูลจริงๆกันแน่
ดังนั้น การไปพบจิตแพทย์ ก็ไม่เสียหลายอยู่ดีค่ะ 🙂

~~~*~~~*~~~*~~~*~~~*~~~*~~~*
เครดิตเรื่อง : หมอมีฟ้า ( Rerun )
เครดิตภาพ : https://images.app.goo.gl/ph4MCS2KcMwXa3PA9

02/06/2025

คลินิกปิด 2-3 มิ.ย68
เปิด 4 มิ.ย 68
13:00 น.ครับ

ที่อยู่

Mae Chan

เวลาทำการ

จันทร์ 13:00 - 20:30
อังคาร 13:00 - 20:30
พุธ 13:00 - 20:30
พฤหัสบดี 13:00 - 20:30
ศุกร์ 13:00 - 20:30
เสาร์ 09:00 - 13:00
อาทิตย์ 09:00 - 13:00

เบอร์โทรศัพท์

0969626249

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ณเรศการแพทย์ Medical & Psychiatic clinic โรคทั่วไป และ ปัญหาทางจิตเวชผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

ประเภท