Rottweiler FC

29/05/2021

29/05/2021

#มาเช็ดตาสัตว์เลี้ยงของคุณกันเถอะ
•
การทำความสะอาดตาสัตว์เลี้ยงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ต้องระมัดระวังในการเช็ดแต่ละครั้ง เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดกับดวงตาของสัตว์เลี้ยงของเรา
•
สพ.ญ.กรณ์นภา วิทวัสวงศ์ #หน่วยจักษุ โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะมาแนะนำเกี่ยวกับการทำความสะอาดตาสัตว์เลี้ยง ในโครงการ Smart Vet Smart Society โดยความร่วมมือของ โรงพยาบาลสัตว์เล็ก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สมาร์ทฮาร์ท บริษัท โซเอทิส (ประเทศไทย) จำกัด และ Application สำหรับสัตว์เลี้ยง MUMU Petguide กับเรื่องราวน่ารู้ในการเลี้ยงสัตว์ มาฝากเจ้าของสัตว์เลี้ยงทุกคน
•
ตั้งแต่ลูกสุนัขคลอดออกมา #ควรกินนมจากแม่สุนัข โดยควรได้รับตั้งแต่แรกคลอด จนถึง 24 ชั่วโมงแรก เพื่อให้ได้รับภูมิคุ้มกันจากแม่ในนมน้ำเหลือง หากได้รับหลังจาก 24 ชั่วโมง จะเลยช่วงเวลาที่ทางเดินอาหารจะดูดซึมภูมิคุ้มกันจากแม่ได้ และทำให้ลูกสัตว์ไม่แข็งแรง
•
#จุดประสงค์ของการทำความสะอาดตา ก็เพื่อทำความสะอาดดวงตา กำจัดสิ่งสกปรก ฝุ่นละออง เศษขน หรือขี้ตา ช่วยเตรียมพื้นผิวดวงตาสำหรับการหยอดตา รวมทั้งเพื่อทำความสะอาดหลังการผ่าตัดซึ่งไม่สามารถทำความสะอาดโดยการอาบน้ำได้
•
#อุปกรณ์ในการทำความสะอาดตา ได้แก่ น้ำยาล้างตา น้ำเกลือปลอดเชื้อ หรือน้ำต้มสุกที่อุณหภูมิห้อง สำลีสะอาด ถ้วยสะอาดสำหรับใส่น้ำยาล้างตา หรือ กระบอกสำหรับใส่น้ำยาล้างตา
•
#วิธีการทำความสะอาดตา
1.เตรียมอุปกรณ์และสัตว์ป่วยให้อยู่ใกล้ๆผู้ทำการล้างตา
2.ล้างมือผู้เช็ดตาให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำ
3.ให้ผู้ช่วยอีกคนหนึ่งช่วยจับบริเวณศีรษะของสัตว์เลี้ยงให้อยู่นิ่งๆ
4.ทำการล้างทำความสะอาดตาด้วยสำลี และ น้ำยาล้างตา โดยเริ่มเช็ดจากบริเวณหัวตาไปหางตา และปิดเปลือกตาเพื่อไม่ให้สำลีสัมผัสกับกระจกตาโดยตรง
5. เปลี่ยนสำลีใหม่ทุกครั้งที่ทำการเช็ดตา
•
#ข้อควรระวังในการทำความสะอาดตา
1.น้ำยาล้างตาเป็นยาเฉพาะที่ห้ามรับประทาน หากสัตว์เลี้ยงของท่านได้กลืนกินน้ำยาล้างตาเข้าไป ควรรีบพาสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์ทันที
2.ห้ามใช้น้ำยาล้างตาหากพบว่ามีสีเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
3.ไม่ควรใช้น้ำยาล้างตาร่วมกับสัตว์ตัวอื่น และควรล้างถ้วยหรือภาชนะใส่น้ำยาล้างตาด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำยาล้างตาก่อนใช้ทุกครั้ง
4.หลังใช้น้ำยาล้างตาควรปิดฝาขวดน้ำยาล้างตาให้สนิท เก็บน้ำยาล้างตาในอุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงแสงแดด
•
#หน่วยจักษุ โรงพยาบาลสัตว์เล็กคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โครงการ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ
•
อย่าลืมกด LIKE เพจ และกด See First เพื่อไม่พลาดความรู้และกิจกรรมดีๆ เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงด้วยนะจ๊ะ
•
Special Thanks:
SmartHeart
MUMU petguide
Howl
Healthy Pet Zociety

29/05/2021

วิธีการให้ของกินน้องหมา

29/05/2021

แถวตร๊ง

23/04/2021

22/11/2020

มารู้จักกับพยาธิเม็ดเลือดกันค่ะ

เชื่อว่าในหมู่คนเลี้ยงน้องหมาคงเคยได้ยินเรื่องโรคพยาธิเม็ดเลือดมาพอสมควร พยาธิเม็ดเลือดจัดเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอาศัยอยู่ในเม็ดเลือด วันนี้จะขอกล่าวถึงพยาธิเม็ดเลือดที่พบบ่อยที่สุดในประเทศไทย ซึ่งนั่นคือ ชนิด Ehrlichia canis หรือเรียกกันย่อๆ ว่า E. Canis พยาธิเม็ดเลือดชนิดนี้พบได้ในสุนัขทุกเพศ ทุกพันธุ์ ทุกอายุ โดยมีพาหะนำโรคคือ เห็บ นั่นเอง
ทั้งนี้ หลายท่านก็แอบสงสัยว่าน้องหมาของตัวเองไม่มีเห็บเลย แต่ทำไมถึงเป็นโรคนี้ได้ การเป็นโรคพยาธิในเม็ดเลือดนั้น ไม่จำเป็นต้องมีเห็บเยอะหรือหลายๆ ตัว แม้มีแค่ตัวเดียว แต่ถ้าตัวที่มีกัดมีพยาธิเม็ดเลือดอยู่ก็สามารถเป็นโรคได้แล้ว
เมื่อเห็บดูดเลือดจากสุนัขที่มีเชื้อเข้าไป เชื้อจะเข้ามาอยู่ในตัวเห็บ จากนั้นถูกปล่อยออกไปกับน้ำลายของเห็บขณะที่กินเลือดสุนัขอีกตัวหนึ่ง
เมื่อสุนัขได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้วอาจจะแสดงอาการภายใน 7 วันไปจนกระทั่งเป็นปี อาการที่พบได้แก่ ซึม มีไข้ เบื่ออาหาร เลือดจาง เหงือกซีด เกล็ดเลือดต่ำ เลือดกำเดาไหล เลือดหยุดยาก อาจจะพบจุดเลือดออกเท่าปลายเข็มไปจนกระทั่งเป็นวงกว้างหลายนิ้วตามท้อง ผิวหนังและเยื่อเมือกต่างๆ สุนัข ตัวเมียบางตัวมีเลือดไหลออกจากอวัยวะเพศในช่วงเป็นสัดนานกว่าปกติ นอกจากนี้ยังอาจพบอุจจาระเป็นเลือด อุจจาระมีสีดำหรือมีเลือดปน ปัสสาวะเป็นเลือดหรือสีคล้ำ สุนัขบางตัวอาจแสดงอาการทางประสาท เช่น ชัก หรืออัมพาตได้ ตัวที่เป็นแบบเรื้อรังอาจจะพบอาการเพียงแค่สุนัขทานอาหารน้อย เลือกกิน หรือค่อยๆผอมลงก็ได้
สำหรับอาการที่พบทั่วไปมี 2 ระยะ คือ แบบเฉียบพลัน (1-4 สัปดาห์) สุนัขจะมีไข้ขึ้นๆ ลงๆ ซึม เบื่ออาหาร ต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโต บางตัวพบว่าเลือดกำเดาไหลข้างเดียว จุดเลือดออกตามตัว หากสุนัขมีภูมิคุ้มกันดีจะสามารถพัฒนาภูมิคุ้มกันมาทำลายเชื้อได้
แต่ถ้าภูมิคุ้มกันไม่ดีพอ เชื้อพยาธิเม็ดเลือดจะพัฒนาเข้าสู่อาการในแบบเรื้อรัง (40-120 วัน) ซึ่งจะมีอาการตั้งแต่ ซึม อ่อนแรง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เยื่อเมือกซีด มีไข้สูง เลือดกำเดาไหลมาก ปัสสาวะเป็นเลือด หายใจลำบาก จนถึงไขกระดูกทำงานบกพร่อง ภูมิคุ้มกันทำลายกันเอง ทำให้โลหิตจาง เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดต่ำ ไตวาย ตับอักเสบ ข้ออักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และนำไปสู่การเสียชีวิตได้
การวินิจฉัยโรคสามารถทำได้โดยการตรวจร่างกาย เจาะเลือดเพื่อประเมินปริมาณเม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือด รวมถึงดูการติดเชื้อและค่าตับค่าไตร่วมด้วย นอกจากนี้ยังใช้การเสมียร์เลือดเพื่อตรวจหาตัวเชื้อบนเม็ดเลือดต่างๆ ในปัจจุบันนิยมใช้ชุดตรวจตรวจหา antibody ของเชื้อซึ่งสามารถตรวจหาได้หลายเชื้อพร้อมกันรวมถึงสามารถตรวจหาพยาธิหนอนหัวใจได้ด้วย
การรักษาและวิธีการป้องกัน
รักษาด้วยการกินหรือฉีดยาปฏิชีวนะติดต่อกัน 4 สัปดาห์ร่วมกับการรักษาตามอาการ เช่นให้ยาบำรุงเลือด หรือยาแก้ปวดลดไข้ และต้องทำการตรวจเลือดเพื่อประเมินค่าเม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือดเป็นระยะ และต้องติดตามผลต่อด้วยการตรวจเลือดซ้ำหลังการรักษา
หากเลือดจางแบบรุนแรงอาจจำเป็นต้องถ่ายเลือด แก้ไขภาวะตับและไตที่ผิดปกติอันเป็นผลมาจากพยาธิเม็ดเลือดบ่อยครั้งสุนัขอาจป่วยด้วยโรคพยาธิเม็ดเลือดมากกว่าหนึ่งชนิดยิ่งทำให้อาการรุนแรงและเกิดผลกระทบแก่ร่างกายหลายระบบ โอกาสเสียชีวิตยิ่งสูงมากขึ้น
นอกจากนี้ เมื่อสุนัขหายจากโรคพยาธิเม็ดเลือดแล้วยังสามารถกลับมาเป็นได้อีกหากโดนเห็บที่มีเชื้อกัดหรือกินเห็บที่มีเชื้อเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านที่เลี้ยงน้องหมาหลายตัว น้องหมาตัวหนึ่งเป็นหมายความว่าน้องหมาที่เหลือมีโอกาสจะได้รับเชื้อ ซึ่งจะแสดงอาการตอนไหนนั้นขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกัน ดังนั้นบ้านไหนป่วยแล้วควรพาน้องหมาที่เหลือไปตรวจกับคุณหมอ และอย่าลืมกำจัดเห็บในบ้านให้หมดเพราะเห็บในบ้านเป็นที่ที่มีเชื้ออยู่ใน ตัวแน่นอน ถ้าไม่กำจัดรักษาเสร็จก็สามารถกลับมาก็เป็นได้อีก
การป้องกันพยาธิเม็ดเลือดนั้นจะต้องอาศัยการเอาใจใส่ดูแลจากเจ้าของ สำคัญที่สุดเลยก็คือตัดสาเหตุของการเกิดโรคซึ่งก็คือเห็บ ด้วยการป้องกันเห็บหมัดเป็นประจำทุกเดือน ร่วมกับการกำจัดเห็บหมัดในสิ่งแวดล้อมด้วย นอกจากนี้ควรตรวจเลือดน้องหมาอย่างน้อยปีละครั้ง

21/05/2020

ราวกะปุยนุ่น