หมอมีฟ้า

หมอมีฟ้า บทความ โดย พญ.พาพร เน้นความเข้าใจเพื่อเอาไปใช้จริงในชีวิตประจำวัน
บางบทความเคยเผยแพร่มาแล้ว
ใน Page สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย

 #เมื่อตราบาปซ้ำเติมอาการถ้าหากคนๆหนึ่ง ตรวจพบมะเร็งชนิดหายาก ที่คุณและใคร ๆ ก็ไม่คุ้นชื่อแต่ร่างกายของเขาเปลี่ยนไปชัดเจ...
08/09/2025

#เมื่อตราบาปซ้ำเติมอาการ


ถ้าหากคนๆหนึ่ง ตรวจพบมะเร็งชนิดหายาก ที่คุณและใคร ๆ ก็ไม่คุ้นชื่อ
แต่ร่างกายของเขาเปลี่ยนไปชัดเจน - ซูบผอม เหนื่อยง่าย
และเมื่อมะเร็งแพร่กระจาย เขาก็ปวดไปทั้งตัว

คุณคิดว่าตนเองจะสามารถนึกภาพตาม แล้วรู้สึกเห็นใจเขา ได้บ้างไหมคะ?

หรือ จะมองว่า ที่เขาทำงานไม่ไหว ใช้ชีวิตลำบาก ก็เพราะอ่อนแอ
และ“คิดไปเอง”…ว่าปวด ว่าเหนื่อย ทั้งที่ชีวิตด้านอื่นก็ดี

โรคทางจิตเวช ทำให้เกิดอาการทั้งทางกายและใจ
ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ความคิด การรับรู้ พฤติกรรม หรือร่างกาย
และสร้างผลกระทบได้ตั้งแต่ระดับน้อยๆ - สุขยากขึ้น ไปจนถึงไร้สุขและทุกข์มาก...ถึงระดับไม่อยากมีชีวิตอยู่

ซึ่งอาการทั้งหมด และ ความทรมานเหล่านั้น เกิดขึ้นจริง
(แม้ว่าคนไข้จำนวนไม่น้อย จะนึกว่าตัวเองขี้เกียจเองก็ตาม)

แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ ทัศนคติของผู้คนในสังคม
ซึ่งแม้ว่าในวันนี้จะรับรู้เกี่ยวกับการมีอยู่และผลกระทบของโรคทางจิตเวช
แต่ก็ยังมีคนจำนวนอีกไม่น้อย ที่ยังเข้าใจผิดว่าอาการ คือความอ่อนแอ หรือ ก็แค่คิดมากเกินไป

ปฏิเสธไม่ได้ว่า วิธีคิดหลาย ๆ รูปแบบทำให้เกิดความทุกข์โดยใช่เหตุ
แต่ลำพังเพียงการคิดมาก คงไม่สามารถทำให้เกิดกลุ่มอาการ (syndrome) ที่ส่งผลต่อทั้งสุขภาพ การใช้ชีวิต และความสัมพันธ์ได้

ในปี 2022 องค์การอนามัยโลก (WHO) ประมาณการณ์ว่า มีคน 1 ใน 8 บนโลกใบนี้กำลังเผชิญโรคทางจิตเวชอยู่
นั่นหมายถึง คนจำนวน ประมาณ 1,000,000,000 คน

แต่ความเป็นจริงที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ก็คือ ไม่ถึงครึ่งของผู้ที่มีโรคเหล่านี้ที่เคยพบแพทย์
ซึ่งนอกจากการขาดความรู้ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออาการของ "โรคที่รักษาได้"
อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนจำนวนมากไม่กล้าไปพบจิตแพทย์ ยังคงเป็นเพราะ "ตราบาป" หรือ stigma ที่สังคมมีต่อโรคทางจิตเวชนั่นเอง

#ตราบาป (stigma) คือ ภาพพจน์ในแง่ลบที่สังคมมองคนบางกลุ่ม เช่น คนที่มีเชื้อ HIV หรือ กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ เป็นต้น

ขึ้นชื่อว่าภาพพจน์ มันแสดงถึง “ความคิดเห็น” … ซึ่งอาจไม่ตรงกับ “ความเป็นจริง”

สำหรับโรคทางจิตเวช
มุมมองที่สังคมมีต่อคนที่ไปพบจิตแพทย์ ในยุคก่อน อาจจะเป็นเรื่อง “เป็นบ้า”
ส่วนในยุคนี้ แม้การแนะนำให้ไปพบจิตแพทย์คือความปรารถนาดี
แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังมองว่า คนที่พบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยานั้น คิดมาก / ดราม่า / อ่อนไหวเกินเหตุ ฯลฯ ซึ่งก็คือตราบาปอยู่นั่นเอง

ทัศนคติเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบให้ผู้ที่มีโรคทางจิตเวช (หรือแค่เคยมี แต่รักษาหายแล้ว) ถูกนินทา ถูกเลือกปฏิบัติ กีดกัน แบ่งแยก (discrimination)
ซึ่งอาจกระทบถึงการทำงาน และเสียโอกาสในชีวิตที่สำคัญบางอย่าง เช่น การทำประกันสุขภาพ

ส่วนในแง่ของการรักษา
ตราบาปทำให้คนๆนั้นไม่กล้าไปพบจิตแพทย์ เพราะกลัวคนหาว่าใกล้บ้าหรือดราม่า ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงคนจะมองว่าป่วย ก็เพราะอาการออกชัด เนื่องจากไม่ได้รับการรักษามากกว่า

และแม้จะยอมพบแพทย์ แต่ก็อาจยอมรับการทานยาได้ยาก
เพราะอดรู้สึกไม่ได้ว่า ยาคือเครื่องหมายของความอ่อนแอ
คือเครื่องยืนยันความเจ็บป่วย หรือเป็นมาตรวัดว่าป่วยมาก
แทนที่จะมองว่า มันคือ #หลักฐานของการดูแลเอาใจใส่ตนเอง

😔 สิ่งที่มีส่วนอย่างมากในการทำให้เกิดตราบาป คือการนำเสนอของสื่อ 😔

บ่อยครั้งที่ข้อมูลถูกนำเสนออย่างไม่ถูกต้องหรือบิดเบือน ทำให้สังคมเข้าใจผิดว่า โรคทางจิตเวชจะทำให้เกิดพฤติกรรมที่ก้าวร้าวรุนแรง น่ากลัว อันตราย
และคาดเดาไม่ได้ .. ทั้งที่ความจริงแล้ว โอกาสที่เขาจะทำร้ายผู้อื่นมีน้อยกว่าที่จะทำร้ายตัวเองมาก …

คดีที่ผู้กระทำมีโรคทางจิตเวช มักจะถูกตีเป็นข่าวครึกโครม แม้ว่านานทีปีหนจะเกิดสักครั้ง
ในขณะคดีส่วนใหญ่ ไม่ว่าเกี่ยวกับความหึงหวง ความไม่พอใจบนท้องถนน ฯลฯ อาชญากรก็เป็นคนทั่วไป...อย่างเราๆ (ที่ก็มองว่าตัวเองปกติ) นี่แหละ

ส่วนในละคร ผู้ป่วยมักจะมีบทที่พูดคนเดียวแบบเพ้อๆ นั่งเหม่อด้วยแววตาเลื่อนลอยแล้วอยู่ ๆ ก็ร้องไห้โวยวาย หรือ นั่งโยกตัวอุ้มตุ๊กตา ฯลฯ ซึ่งจากประสบการณ์เกินทศวรรษที่เป็นจิตแพทย์มา หมอยังไม่เคยเจอคนไข้ทำแบบนี้สักรายเดียวเลยค่ะ

คนที่ปรึกษาจิตแพทย์มีทุกอาชีพค่ะ - เจ้าของกิจการ พนักงานบริษัท/เอเจนซี่/ธนาคาร อาจารย์มหาวิทยาลัย ศิลปิน คนในวงการบันเทิง ฯลฯ
ส่วนตัวหมอเอง คนไข้เกินครึ่ง เป็นกลุ่มวิชาชีพ 40(6) ค่ะ ไม่ว่าจะเป็น สายกฎหมาย วิศวะ สถาปัตย์ บัญชี รวมไปถึง เภสัช พยาบาล และ หมอด้วยกัน .. เพราะขึ้นชื่อว่า “โรค” มันย่อมเกิดขึ้นกับ “ใครก็ได้” …​

😊 คงจะดีไม่น้อยหากพวกเราทุกคน
ลดอคติและการแบ่งแยก ด้วยการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง

ไม่เพ่งเล็งแต่ข้อจำกัด(ชั่วคราว) อันเกิดจากตัวโรค

มองคนเป็นคน - ที่มีทั้งความสามารถเฉพาะตัว จุดแข็งและจุดอ่อน นิสัยที่ไม่ดี มุมที่น่ารัก คุณสมบัติที่น่าชื่นชม ฯลฯ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องใดใดกับตัวโรค

เรายังคงสามาถที่จะอยู่ร่วมกัน อย่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน
เพราะการยอมรับ คือ สิ่งที่ทุกหัวใจ ล้วนต้องการไม่แตกต่างกัน


🌻สำหรับผู้ที่กำลังมี(หรือสงสัยว่ามี)โรคทางจิตเวช หมอขอฝากแนวทางในการดูแลตัวเอง ดังนี้ค่ะ

✔️1. ✔️พบจิตแพทย์
หากคุณมีอาการที่รบกวนการใช้ชีวิตของตัวเอง หรือมีคนทักว่าควรปรึกษาหมอ
ปฏิบัติตามที่คุณหมอแนะนำ และหากคุณมีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถาม

✔️2. ✔️หาความรู้หาข้อมูลอ่านเพิ่มเติมจากแหล่งที่ ** เชื่อถือได้ **
เพื่อจะได้ไม่วิตกกังวลเกินกว่าเหตุ หรือคล้อยตามความเห็นของผู้ที่มี "ความหวังดี" แต่อาจไม่มี "ความรู้ทางการแพทย์" เพียงพอค่ะ
เราจะดูแลตัวเองด้วยข้อมูลจากคุณหมอเฉพาะทาง ไม่ใช่จากคำบอกเล่าหรือประสบการณ์ของใครบางคนค่ะ

✔️3. ✔️มีวิธีผ่อนคลายเมื่อไม่สบายใจ
ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ
ไม่ว่าจะเป็นงานอดิเรก การออกกำลังกาย การ(เลือกที่จะ)อยู่เฉยๆ ฯลฯ
การเรียกชื่อความรู้สึกเป็น เรียบเรียงสิ่งที่อยู่ภายในออกมาได้เป็นคำพูดได้ จะช่วยให้ความรู้สึกตึงเครียดหรือเป็นลบลดลงส่วนหนึ่งทันทีค่ะ

✔️4. ✔️ใช้โอกาสนี้แบ่งปันประสบการณ์ตรงแก่ผู้อื่น
เช่น แชร์ลงในในสังคมออนไลน์ เพื่อให้สังคมรู้ว่า มันเป็นเรื่องที่ธรรมดา และรับรู้ถึงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะอาการลดลง โดยเฉพาะผู้ที่ทานยาแล้วไม่เจอผลข้างเคียงอะไร ซึ่งจริง ๆ แล้วมีจำนวนมากกว่าผู้ที่เจอผลข้างเคียงค่ะ

⚠️ หมายเหตุ ⚠️ คนจำนวนไม่น้อยไปรับการรักษาช้ากว่าที่ควรไปมากเพราะมัวแต่วิตกกังวลเรื่องผลข้างเคียง เพราะข้อมูลเชิงลบที่มีอยู่ในโลกออนไลน์ ล้วนมาจากส่วนมากของคนที่รู้สึกไม่ ok ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่า
(พูดง่ายง่ายก็คือ คนไข้ส่วนใหญ่ไม่บ่น เพราะไม่มีผลข้างเคียงอะไร ดังนั้นข้อมูลส่วนใหญ่เลยมาจากส่วนใหญ่จองคนส่วนน้อยที่เจอผลข้างเคียง - ซึ่งส่วนใหญ่สามารถจัดการได้)

V
V

สุดท้ายนี้

✳️ อย่าลืมว่า อาการจะดีหรือไม่ จะหายหรือไม่หาย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า ใครคิดอย่างไร เข้าใจถูกหรือผิด ปฏิบัติกับเราดีหรือไม่ดี
แต่ขึ้นอยู่กับ #การดูแลตัวเองให้ถูกทาง รับการรักษาถูกวิธี
เฉกเช่นกับที่ #ผลการแข่งขันย่อมขึ้นอยู่กับนักกีฬา มากกว่ากองเชียร์
ดังนั้น อย่าให้ท่าทีหรือความคิดของคนรอบข้างเป็นเหตุผลขัดขวางการดูแลตัวเอง
ถ้าเราไม่กินข้าว ก็คงไม่มีใครสามารถรับประทานจนอิ่มแทนเราได้ ถ้าเราไม่สบาย ก็ไม่ต่างกันค่ะ

✳️ อย่าคาดหวังว่าคนอื่น - ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัวหรือเป็นคนสนิทแค่ไหน - จะเข้าใจหรือเห็นใจเรื่องของโรคที่เขาไม่เคยประสบเอง
น้อยใจได้ แต่อย่าให้เยอะจนมันเบียดเบียนพื้นที่ความสุขของใจคุณเองค่ะ

✳️ อย่าลืมว่า “ความจริง” แม้ไม่มีใครรู้ ก็ยังเป็นความจริง
หากมีโรคที่ต้องรักษา แล้วไม่รักษา โรคก็ไม่ได้หายไปเอง
และคนอื่นก็จะรู้จากอาการที่เก็บไว้ไม่อยู่ ไม่ใช่ซองยาที่คุณไม่จำเป็นต้องให้ใครเห็น
การรักษาต่างหากที่จะทำให้อาการของคุณน้อยลงตามลำดับและกลับมาสบายดี จนคนอื่นอาจไม่เคยคิดว่าคุณเคยป่วยมาก่อน

✳️ อย่าลืมว่า คุณไม่ได้ "เป็น" โรค .. คุณเพียงแต่ "มี" โรคบางอย่างเกิดขึ้นเท่านั้น - คุณอาจจะมีเหาบนหัว แต่คุณไม่ได้เป็นเพียงแค่เหาหนึ่งตัว

เช่นเดียวกัน คุณอาจจะมีโรคจิตเวช
แต่ คุณค่าความเป็นมนุษย์ ก็ยังคงเท่าเดิมเสมอ
.. ชีวิตที่ดีไม่ใช่ชีวิตที่ปราศจากปัญหา
… จิตใจที่สงบและเป็นอิสระ เริ่มต้นที่การมองเห็น เข้าใจและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ตามความเป็นจริงค่ะ ...

#หมอมีฟ้า

ข่าวดีสำหรับผู้ที่อยู่ละแวกราชพฤกษ์ พระราม 5 ค่ะ โรงพยาบาลมอร์นิ่งมายด์ (Morning Mind Hospital) พร้อมเปิดให้บริการวันศุ...
18/08/2025

ข่าวดีสำหรับผู้ที่อยู่ละแวกราชพฤกษ์ พระราม 5 ค่ะ

โรงพยาบาลมอร์นิ่งมายด์ (Morning Mind Hospital) พร้อมเปิดให้บริการวันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม 2568 นี้แล้วค่ะ
หลังจาก Morning Mind Clinic ทั้ง 9 สาขา ได้ถูกก่อตั้งขึ้น

โดยโรงพยาบาลสามารถดูแลเคสที่มีอาการรุนแรง จำเป็นต้อง admit ได้

รายละเอียดอื่นๆ ดังในโพสต์ค่ะ

ส่งท้ายคืนวันอาทิตย์ ขอคุยเล่นเรื่องเบาเบาค่ะหลายวันที่ผ่านมา  ใน feed ของหมอ มีโพสต์เกี่ยวกับรูปที่หมอปลอม vs หมอจริง ...
17/08/2025

ส่งท้ายคืนวันอาทิตย์ ขอคุยเล่นเรื่องเบาเบาค่ะ

หลายวันที่ผ่านมา ใน feed ของหมอ มีโพสต์เกี่ยวกับรูปที่หมอปลอม vs หมอจริง จะโพสต์เยอะมาก

เห็นโพสต์นี้ของเพื่อนแล้ว ก็อยากจะบอกเขาว่า แบบนี้แหละไม่น่าสงสัย ปกติ(หมอจริง)ก็แบบนี้กันหนิ 😂

พูดไปใครจะเชื่อ 🥲

FAQ  #แต่หนูไม่ได้มีความคิดอยากตายเลยนะคะวันก่อนมีคนไข้ในความดูแลสงสัยว่า อาการของเขาใช่โรคซึมเศร้าเหรอ ในเมื่อไม่ได้มีค...
17/08/2025

FAQ #แต่หนูไม่ได้มีความคิดอยากตายเลยนะคะ

วันก่อนมีคนไข้ในความดูแลสงสัยว่า
อาการของเขาใช่โรคซึมเศร้าเหรอ ในเมื่อไม่ได้มีความรู้สึกอยากตายเลย

🌗 ความรู้สึกไม่อยากอยู่ / ความคิดเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย พบได้ในโรคซึมเศร้า
แต่ไม่จำเป็นว่าถ้ากำลังมีโรคซึมเศร้าจะต้องมีอาการนี้
ไม่ต่างจากโรคในระบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องมีทุกอาการค่ะ
เช่น SLE มีอาการได้หลายระบบหลายหลายอย่าง แต่ไม่ได้ต้องมีทุกอาการ

🌗 จะบอกว่าใช่โรคซึมเศร้า ก็ต่อเมื่อมี กลุ่มอาการ ที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิต ในระดับที่เข้ากับเกณฑ์ของโรคค่ะ

➡️ จึงมีคำกล่าวว่า โรคซึมเศร้าไม่ได้มีหน้าตาเฉพาะตัว
 ➡️ อาการของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน
➡️ อาการของคนคนเดียวกันในแต่ละช่วงก็อาจจะยังมีความแตกต่างกันได้

ในส่วนของคนไข้ สิ่งที่สำคัญ คือ การสังเกตอาการ การเปลี่ยนแปลงในชีวิตของตนเอง สิ่งที่กระทบใจ

ส่วนเรื่องการวินิจฉัย (diagnosis) และวินิจฉัยแยกโรค (differential diagnosis = ดูว่าคล้ายกับโรคอะไร แต่ไม่ใช่) ขอให้เป็นหน้าที่ของจิตแพทย์ค่ะ

ซึ่งถ้าคนไข้สังเกตและเก็บข้อมูลมาได้ดี ก็จะช่วยให้การวินิจฉัยและการวางแผนรักษาทำได้ง่ายขึ้นมากเลยค่ะ


#หมอมีฟ้า

ช่วงที่ผ่านมา มีเหตุให้หายจากเพจไปอีกแล้ว 😅

ผู้สนใจสามารถอ่านบทความที่หมอเคยเขียน ได้จากที่นี่ / หรือเพจของสมาคมจิตแพทย์ฯ ที่ได้นำบทความเก่ามา post ใหม่ / หรือจากการค้นหาด้วย #หมอมีฟ้า ก็ได้ค่ะ

 #เลือกสารที่สมองของเราจะเสพช่วงนี้ทั้งเรื่องราวและข่าวสาร ในระดับต่างๆ มีมากมาย และหลายครั้งถูกหยิบยกมาเล่าต่อแบบที่ข้อ...
01/08/2025

#เลือกสารที่สมองของเราจะเสพ

ช่วงนี้ทั้งเรื่องราวและข่าวสาร ในระดับต่างๆ มีมากมาย

และหลายครั้งถูกหยิบยกมาเล่าต่อแบบที่ข้อมูลไม่ครบถ้วน อารมณ์ถูกเร้าได้ง่ายมากเพราะการคิดเติมแต่งเรื่องราว หรือเชื่อโดยไม่ได้เอะใจของผู้เสพสื่อ
(เช่น เรื่องการจัดสรรกำลังคนในการให้บริการผู้ป่วยนอก ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง)

ผลลัพธ์คือดราม่าเกิดง่าย และกระจายแบบไฟลามทุ่ง

ดังนั้น ด้วยความความจริงที่ว่า
เวลามีจำกัด
สมองต้องหยุดคิดบ้าง
ร่างกายต้องการนอนหลับดีๆ

ขอให้มีสติ ในการเลือกรับ “สาร” นะคะ

สมองมีก้อนเดียว มันล้า มันพังได้

และช่วงพักฟื้น ย่อมใช้เวลามากกว่าตอนทำมันรวน

ส่วนการซ่อมแซม ก็ย่อมยากกว่าการป้องกัน และไม่สามารถการันตีผลลัพธ์ค่ะ

#หมอมีฟ้า

หมายเหตุ : สาร หมายถึงทั้งข้อมูล (information) และ สิ่งที่ออกฤทธิ์ต่อสมอง (substance)

รูปจาก : ธรรมะ โดย พระอาจารย์ชยสาโร/ Dhamma by Ajahn Jayasaro

ช่วยกันค่ะ 🏩
26/07/2025

ช่วยกันค่ะ
🏩

ขอบพระคุณสำหรับการให้ความช่วยเหลือและความห่วงใยทุกช่องทาง

เราจะทำให้ดีที่สุดเพื่อผ่านวิกฤตนี้ไปให้ได้ 🙏🙏🙏

นพลักษณ์ (enneagram) MBTI ฯลฯเป็น เครื่องมือ ที่มีประโยชน์ช่วยให้เรามองเห็น เข้าใจ และยอมรับความจริงหลาย ๆ อย่าง เกี่ยวก...
20/06/2025

นพลักษณ์ (enneagram)
MBTI
ฯลฯ

เป็น เครื่องมือ ที่มีประโยชน์
ช่วยให้เรามองเห็น เข้าใจ และยอมรับความจริงหลาย ๆ อย่าง เกี่ยวกับตัวเราและผู้อื่น ได้ง่ายขึ้น

แต่ก็เฉกเช่นเดียวกับทุกเครื่องมือ คือประเด็นสำคัญอยู่ที่วิธีการใช้

การมีสติ มีปัญญา มองเห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง จะช่วยให้เราไม่ยึดติดเครื่องมือใด หรืออาจไม่จำเป็นต้องใช้ตัวช่วยเหล่านี้เลย

การแบ่งบุคลิกภาพออกเป็นกลุ่มๆ เป็นสิ่งที่มนุษย์เราอุตสาหะพากเพียรกันมายาวนาน โหราศาสตร์ ซึ่งแบ่งบุคลิกภาพออกเป็นสิบสองราศีโดยมีดาวนักษัตรเป็นสัญลักษณ์น่าจะเป็นวิธีอันเก่าแก่ที่สุด ส่วนวิธีอื่นๆ ที่รู้จักกันกว้างขวางในรอบร้อยปีที่ผ่านมา มีทั้งนพลักษณ์ที่แบ่งบุคลิกภาพคนเป็นเก้ากลุ่ม และไมเออร์ส-บริกส์ ที่แบ่งเป็นสิบหกแบบ จุดร่วมของระบบเหล่านี้คือ ความชักจูงใจให้น่าเชื่อถือ ยิ่งมองตัวเองและคนอื่นผ่านระบบการจำแนกเช่นนี้ ก็ยิ่งเหมือนจะถูกต้องมากขึ้นทุกที

ตามหลักพุทธธรรม ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่เรามีบุคลิกภาพแบบใด แต่อยู่ที่ความสัมพันธ์ของเรากับบุคลิกภาพนั้นๆ ความยึดมั่นถือมั่นในบุคลิกภาพ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะใด ล้วนเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ทั้งสิ้น การปฏิบัติธรรมคือการฝึกให้เห็นความจริงอันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตาของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เรายึดถือเป็นตัวเป็นตน หรือเป็นของตัวของตน

พระพุทธองค์ทรงสอนว่า สิ่งสำคัญคือการถอนลูกศรที่ปักแน่นในอก มิใช่ง่วนอยู่กับไม้ที่แกะเป็นลูกศร

ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร
แปลถอดความ โดย ปิยสีโลภิกขุ

 #อะไรก็อันตรายได้ถ้าใช้ผิดๆช่วงนี้ ท่านได้รับยาคลายกังวล โดยเฉพาะ Alprazolam อาจเกิดความกังวลเกี่ยวกับยากลุ่มนี้ขอให้ข้...
11/06/2025

#อะไรก็อันตรายได้ถ้าใช้ผิดๆ

ช่วงนี้ ท่านได้รับยาคลายกังวล โดยเฉพาะ Alprazolam อาจเกิดความกังวลเกี่ยวกับยากลุ่มนี้

ขอให้ข้อมูล โดยเริ่มต้นจากภาพใหญ่ ดังนี้ค่ะ

✳️ การรักษาอาการโรคทางจิตเวช มีหลักการเดียวกันกับโรคฝ่ายกาย คือ รักษาด้วยยา (pharmacological treatment) และด้วยการไม่ใช้ยา (non-pharmacological treatment)

เช่น โรคย้ำคิดย้ำทำ ต้องทานยา + ปรับความคิดและพฤติกรรมการตอบสนองต่ออาการย้ำคิด

โรคเบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือดสูง ปรับการใช้ชีวิต(lifestyle modification) - การกิน การนอน การออกกำลังกาย + ต้องทานยาเมื่อถึงจุดที่จำเป็น

❌ การมีความจำเป็นต้องทานยา เป็นคนละเรื่องกับ การเสพยา และ/หรือ การติดยา
กลุ่มที่เอาไปเสพ(abuse) คือ ไม่จำเป็น แต่เอายาไปใช้ในทางที่ผิดเอง ใช้เพื่อความมึนเมา ความรู้สึก high
ไม่ได้เพื่อรักษาอาการของโรค ตามคำแนะนำของแพทย์ผู้รักษา
ดังเช่นเนื้อหาในภาพประกอบ

✅ส่วนกลุ่มที่ต้องทาน เพราะมีความจำเป็น(indication; ข้อบ่งชี้)
ถ้ากินยาถูกกับโรค ตามขนาดที่แพทย์แนะนำ ก็ไม่มีอะไรต้องวิตกกังวลค่ะ ในเมื่อมีข้อมูลทางการแพทย์ทุกอย่าง
(ส่วนตัวรู้สึกว่า อาหารที่กินเข้าไปทุกวันนี้ มี microplastic ไหม อาจจะน่าเครียดกว่า เพราะมองไม่เห็น และเรายังไม่รู้ถ่องแท้ว่ามันทำให้เกิดอะไรกับร่างกายได้บ้าง 😅)

⚠️ ยาอะไรก็อันตรายได้ ถ้าเอาไปใช้ผิดๆ เช่น Paracetamol เกินขนาด ก็มักจะทำให้ตับพัง แต่ไม่เสียชีวิต

‼️และจริง ๆ แล้ว ก็ไม่เพียงแต่ยาเท่านั้น - ส้อมก็ใช้ทำร้ายคนได้ / มีดจะไม่บาดถ้าใช้อย่างระวัง / ต้องมีการกำหนดความเร็วรถในพื้นที่ต่าง ๆ / สุนัขพลังเยอะ ต้องมีเวลาและพื้นที่ให้วิ่งเล่น ไม่งั้นจะเครียด เพิ่มความเสี่ยงในการกัดคน

❌ นาน ไม่ใช่ ติด ❌
… ระยะเวลาต้องดูตามโรค ตามวิธีการรักษา
ไม่ใช่ความรู้สึกว่านาน และหมายความว่า นานคือติด
การที่ต้องทานยาบางตัวนาน ๆ จึงไม่ได้แปลว่า ติดยา

แต่ ❗️คนที่เสพยาหรือสารจนติด มักจะต้องเสพไป(นาน)จนกว่าจะเลิกได้ ❗️

✅ การที่ต้องทานยาต่อเนื่องเป็นเวลานาน ไม่ได้แปลว่าเกิดการติดยานั้น ในเมื่อการทานยาเกิดจากความจำเป็น
เช่น โรค SLE ก็จะมียาที่ต้องทานไปยาวๆ คนไข้มักเล่าว่า ตอนอายุ 17-18 สมัยเป็นแรกๆ กินยาเป็นกำๆ แต่ตอนนี้เหลือแค่เม็ดเดียว
โรคทางจิตเวชก็เช่นกันค่ะ

❓ดังนั้น หากสงสัยว่า เพราะอะไรอาการยังไม่หาย? เพราะอะไรยังต้องทานยาอยู่?
ทำไมเพื่อนเราหายแล้ว เรายังไม่หาย (ขนาดเรารักษาก่อน)?
นี่อยู่ในช่วงสงบอาการ หรือ ระยะป้องกันไม่ให้อาการกำเริบ? สนับสนุนให้ถามหมอที่ดูแลเลยค่ะ
บทความประกอบ https://bit.ly/courseofRx

#หมอมีฟ้า

 #เธอมีสิทธิ์ที่จะหยุด_พักเพื่อฟื้นฟูร่างกาย และ เรียกคืนพลังให้ใจของตัวเองได้นะ"เพราะ 🥀 แก้วที่ว่างเปล่า ดับกระหายให้ใค...
08/06/2025

#เธอมีสิทธิ์ที่จะหยุด_พัก

เพื่อฟื้นฟูร่างกาย

และ เรียกคืนพลังให้ใจ

ของตัวเองได้นะ"

เพราะ

🥀 แก้วที่ว่างเปล่า ดับกระหายให้ใครไม่ได้

🌷 การดูแลเอาใจใส่ผู้อื่น แต่ละเลยตนเอง อาจดูยิ่งใหญ่ แต่ไม่ยั่งยืน

(ถ้อยคำส่วนหลัง จากเพจ วิชาใจ ค่ะ)

#หมอมีฟ้า

 #สิ่งที่ถูกบอกเล่าและเรื่องราวที่ไม่ได้พูด จิตแพทย์ตรวจอะไรและยังไง เป็นหัวข้อหนึ่งที่หมอเคยเขียนบทความไว้นานมากแล้ว เน...
06/06/2025

#สิ่งที่ถูกบอกเล่าและเรื่องราวที่ไม่ได้พูด

จิตแพทย์ตรวจอะไรและยังไง เป็นหัวข้อหนึ่งที่หมอเคยเขียนบทความไว้นานมากแล้ว
เนื่องจากคิดว่าหลายคนก็น่าจะสงสัยว่า การตรวจสภาพจิต (Mental Status Examination; MSE) ของจิตแพทย์ ที่ว่าเปรียบเสมือนการตรวจร่างกาย (Physical Examination) ของแพทย์แผนกอื่น นั้นต้องดูอะไร

อย่างไรก็ตาม หมอคิดว่า ไม่ว่าจะบอกเล่าอย่างไร สุดความสามารถแค่ไหน ก็เป็นการยากที่จะทำให้คนที่ไม่ใช่จิตแพทย์เข้าใจได้
มันเหมือนกับ ถ้าเราไปฟังจิตรกรอธิบายวิธีการลงสีน้ำ เราก็จะเข้าใจแค่เท่าที่ความคิดเราจะพาไป แต่จะเข้าใจมันจริง ๆ หากได้เห็นกระบวนการนั้นด้วย

ตอนนี้ หลาย ๆ ท่านน่าจะได้ดู MV เพลง I’m OK // not OK กันแล้ว
การแสดงของคุณนุ่น ศิรพันธ์ ทำให้หมอคิดว่า จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจบางส่วนของการตรวจสภาพจิตได้ง่ายขึ้นมาก

ผู้ชมจำนวนมาก น้ำตาไหลและหูดับ ไม่ได้ยินเพลงเลยในรอบแรก (หมอก็เป็นคนหนึ่งในนั้นค่ะ)

ช่วงเวลา 2 นาทีเต็ม ๆ ที่คุณซันนี่มานั่งอยู่ตรงหน้า แม้คุณนุ่นจะไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ภาษากาย (อวัจนภาษา) ไม่ว่าจะเป็นสีหน้า แววตา การกระตุกของกล้ามเนื้อใบหน้า ฯลฯ นั้น ถ่ายทอดความรู้สึกมากมาย และชัดเจนเกินกว่าคำพูดเสียอีก ซึ่งมันก็มากระทบใจผู้ชมจนร้องไห้ตามไปด้วย

นอกจากสิ่งที่ผู้ป่วยเล่า สีหน้า แววตา ท่าทาง น้ำเสียง ขณะเล่าก็เป็นข้อมูลที่สำคัญ
“ #เล่าอย่างไร” สำคัญไม่น้อยไปว่า “เล่าอะไร”

บางที เราก็ไม่รู้หรอกว่า เรา(ยัง)รู้สึกกับเรื่องอะไร แค่ไหน อย่างไร จนกว่าเราจะได้พูดถึงมัน
(คนไข้หลายคน จึงได้หัวเราะทั้งน้ำตาตอนท้ายว่า นึ่คิดว่าวันนี้จะไม่ร้องไห้แล้วนะเนี่ย)

นอกจากนี้ “ #สิ่งที่ไม่ถูกพูดถึง” และ “ #ความรู้สึกที่ไม่ถูกแสดงออก” ก็สำคัญไม่แพ้กัน รวมไปถึง ปฏิสัมพันธ์ที่คนไข้มีกับจิตแพทย์

บางเรื่องไม่เคยถูกกล่าวถึง เพราะมันเป็นส่วนที่คน ๆ นั้นเก็บไว้ลึกที่สุด กลไกทางจิตก็ช่วยซ่อนจนมิด ชนิดที่เจ้าตัวก็ไม่รับรู้ไปด้วย เพื่อช่วยให้เขาอยู่ต่อได้โดยไม่เจ็บปวดเกินไป

ซึ่งมันอาจจะเป็น บาดแผลทางใจ ที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา

คนที่มีแผล และเสียเลือดจากแผลนั้น ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว เลือดก็ไหลอยู่ดี

ซึ่งหากผู้ป่วยมาตรวจติดตามนานพอ หมอก็จะรู้ว่า อะไรที่ถูก “ข้าม” ไป

ยกตัวอย่าง ความรู้สึก และ การแสดงออกทางอารมณ์ ที่พบเจอในห้องตรวจ และเป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้หมอช่วยคนไข้ได้

> คุณ A บอกว่าเกร็ง “กลัว”เจ้านายจะแก้งานอีก
… แต่สีหน้าท่าทางบ่งบอกว่า “หงุดหงิด” ไม่ใช่ วิตกกังวล

> คุณ B เล่ามรสุมชีวิตที่เจอในช่วงที่ผ่านมา
หมอทักว่าเรื่องหนักขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นน่าจะร้องไห้หนักไปแล้ว เพราะอะไรคุณถึงไม่ร้อง?
คนไข้อึ้งไปนิดนึง ก่อนจะตาแดง น้ำตาเอ่อ แต่อยู่ ๆ น้ำตาก็แห้งไป !
… หมอเหมือนเห็น คลื่นที่กำลังจะซัดเข้าฝั่ง แล้วจู่ ๆ ก็ถูกดูดกลับลงทะเลไป
ทั้งหมดมีที่มาที่ไปจากประสบการณ์วัยเด็ก

> คุณ C บอกว่าอาการโรคซึมเศร้าดีขึ้นมาก (ตอนนั้นโควิดเพิ่งระบาดหนัก ยังใส่ mask กัน) แต่จู่ ๆ แววตาของคนไข้ ก็ฉายความเศร้า … หมอรู้สึกเหมือนเห็นรุ้งสีเทาพาดขึ้นมาบนดวงตา จึงต้องถามว่า ตอนนี้คิดอะไรอยู่

> คุณ D แทบไม่เล่าอะไรนอกจากเรื่องงาน ซึ่งก็ไม่ได้เล่ามากนัก นั่นก็ดี นี่ก็โอเค … ถ้าเช่นนั้นจะป่วยได้อย่างไร?
สุดท้ายก็พบว่า มันเป็นผลของแผลใจ(อย่างน้อย) 3 แผล

ข้างต้นนั้นก็คือส่วนหนึ่งของข้อมูลจากการตรวจสภาพจิต

แต่แม้ไม่ได้เรียนมาทางนี้ มนุษย์เราทุกคนก็ล้วนมีความสามารถในรับรู้ความรู้สึกของคนอื่นอยู่แล้ว
เห็นได้ชัดจากการดูหนัง ดูละคร ดูสัมภาษณ์ และ MV นี้ ซึ่งคุณนุ่นถ่ายทอด(ไม่อยากใช้คำว่า แสดง เลย) ความรู้สึกได้อย่างยอดเยี่ยม

ในชีวิตประจำวัน ที่เรามีความสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ มีปฏิสัมพันธ์กันในบางช่วงเวลา

เราทุกคนล้วนมีอะไรบางอย่าง ที่อยากเล่าให้ใครบางคนฟัง

คงจะดีถ้าความทุกข์ของใครจะเบาบางลง เมื่อมีใครสักคนให้เวลา รับฟังในสิ่งที่เขาพูด และรับรู้ในสิ่งที่เขาไม่ได้พูด

#หมอมีฟ้า

บทความเก่า : จิตแพทย์ตรวจอะไรและยังไง https://www.facebook.com/ThaiPsychiatricAssociation/photos/a.499791366791551/552654511505236/?type=3

Nostalgia มาจากภาษากรีก nostos (หมายถึง “การกลับคืน”) และ algos (หมายถึง “ความเจ็บปวด”) ปัจจุบัน nostalgia หมายถึง ความโ...
05/06/2025

Nostalgia มาจากภาษากรีก nostos (หมายถึง “การกลับคืน”) และ algos (หมายถึง “ความเจ็บปวด”)

ปัจจุบัน nostalgia หมายถึง ความโหยหาอดีต ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อเรานึกถึงช่วงเวลาที่มีความหมาย ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำที่ดีหรือแม้แต่ช่วงเวลาที่ยากลำบาก ความรู้สึกนี้มักจะผุดขึ้นมาในช่วงที่ชีวิตเปลี่ยนแปลง หรือเมื่อเรากำลังเผชิญกับปัญหาในปัจจุบัน นอกจากนี้ประสาทสัมผัสทั้งห้า ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น เสียง หรือภาพที่คุ้นเคย ล้วนเป็นตัวกระตุ้นที่ดึงความทรงจำในอดีตให้กลับมาชัดเจนราวเพิ่งเกิดขึ้น

ด้านหนึ่ง nostalgia คือการเยียวยา ....

บางแผลไม่เคยหายสนิท แต่เราต้องอยู่กับมัน
คนบางคนซ่อนความคิดถึงไว้อย่างมิดชิด แล้วใช้ชีวิตต่อไปเหมือนว่าโอเค ทั้งที่ในใจท่วมไปด้วยความคิดถึง และไม่เคยโอเคเลยจริงๆ
ทำไมดากานดากับไข่ย้อยถึงอยู่ในความทรงจำของผู้คน แม้เราจะรู้จักกับ “เพื่อนสนิท” คู่นี้มาจะครบ 20 ปีแล้ว

ดากานดากับไข่ย้อย คือช่วงเวลาเบ่งบานที่ไม่อาจหวนคืน คือมิตรภาพที่กรุ่นไปความคิดถึง (ที่ส่งไปถึงเมื่อสายเกินไป) คือความรักที่ไม่สมหวัง คือความหวานปนขม ที่เมื่อนึกถึงขึ้นมาทีไร หลายคนก็ยิ้มทั้งน้ำตา
ความคิดถึง (nostalgia) เป็นอารมณ์และความรู้สึกที่ทรงพลัง สามารถทำให้เราหลุดจากปัจจุบันชั่วขณะเพื่อย้อนกลับไปสัมผัสกับช่วงเวลาในอดีต

nostalgia มาจากภาษากรีก nostos (หมายถึง “การกลับคืน”) และ algos (หมายถึง “ความเจ็บปวด”) เดิมทีคำนี้ใช้เพื่ออธิบายความโศกเศร้าลึกซึ้งของทหารที่คิดถึงบ้าน (ศัพท์คำนี้ถูกบัญญัติขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 17) ซึ่งค่อนข้างเป็นนิยามในแง่ลบ แต่ต่อมาได้พัฒนาเป็นสภาวะทางอารมณ์ที่ซับซ้อนและมีแง่บวกมากขึ้น

ปัจจุบัน nostalgia หมายถึง ความโหยหาอดีต ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อเรานึกถึงช่วงเวลาที่มีความหมาย ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำที่ดีหรือแม้แต่ช่วงเวลาที่ยากลำบาก ความรู้สึกนี้มักจะผุดขึ้นมาในช่วงที่ชีวิตเปลี่ยนแปลง หรือเมื่อเรากำลังเผชิญกับปัญหาในปัจจุบัน นอกจากนี้ประสาทสัมผัสทั้งห้า ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น เสียง หรือภาพที่คุ้นเคย ล้วนเป็นตัวกระตุ้นที่ดึงความทรงจำในอดีตให้กลับมาชัดเจนราวเพิ่งเกิดขึ้น
🩵 ด้านหนึ่ง nostalgia คือการเยียวยา
แม้ว่าความทรงจำบางอย่างจะมาพร้อมกับความรู้สึกโหยหา แต่ก็มีข้อดีหลายอย่าง
- ความทรงจำในแง่บวกช่วยเสริมกำลังใจในยามที่เรารู้สึกท้อแท้
- ช่วยค้นหาความหมายของชีวิต ความคิดถึงอดีตช่วยให้เราเข้าใจเส้นทางชีวิตของตัวเองมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่รู้สึกไม่แน่ใจหรือหลงทาง
- เมื่อชีวิตต้องเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือความสัมพันธ์ การคิดถึงอดีตช่วยให้เรายืนหยัดในความเชื่อและคุณค่าของตัวเอง ทำให้เรายังเดินต่อได้ด้วยความเข้าใจตัวเองมากขึ้น
- ข้อดีที่เรียบง่ายที่สุดก็คือ ความคิดถึงอดีตสามารถทำให้เรารู้สึกดี การนึกถึงช่วงเวลาที่มีความสุข จะกระตุ้นการหลั่งโดพามีนในสมอง ทำให้อารมณ์ดีขึ้นในทันที
🩶 ด้านที่อ่อนไหวของความคิดถึง
- การจมอยู่กับอดีตมากเกินไปอาจฉุดเราไว้ไม่ให้เติบโต ทำให้เราไม่สามารถก้าวไปข้างหน้า หรือไม่สามารถปรับตัวกับปัจจุบันได้
- ทำให้เราเศร้า โดยไม่รู้สาเหตุ โดยเฉพาะคนที่มีแนวโน้มวิตกกังวลง่าย อาจมีอาการวิตกและซึมเศร้ามากกว่ามีความสุขเมื่อย้อนคิดถึงอดีต
เราอาจบอกคนอื่นว่าเราโอเค ทั้งที่ในใจกำลังพังทลาย แต่ท้ายที่สุดแล้ว ความคิดถึงไม่ใช่สิ่งที่ต้องหลีกหนี และการยอมรับว่าเราไม่โอเค ก็ไม่ใช่ความอ่อนแอเสมอไป
น่าสนใจว่าความรู้สึกคิดถึงอดีต (nostalgia) ไม่ได้เป็นแค่ความโหยหาลอยๆ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางความคิดได้ด้วย เพราะในช่วงเวลาที่เรารู้สึกอ่อนแอหรือเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต การนึกถึงช่วงเวลาที่เราเคยผ่านอะไรยากๆ และการรอดพ้นจากมันมาได้ก็เป็นหลักฐานว่าตัวเรามีศักยภาพ มีคุณค่า และยังเตือนใจเราว่า "เราเคยเข้มแข็งมาก่อน" และ "เรายังเข้มแข็งได้อีก"
ถ้าเคยชอบ "เพื่อนสนิท"
เอ็มวีเพลง "I'm ok//not ok"
คงทำให้เรานึกถึง “สวัสดี เราชื่อดากานดา”
ที่อาจผุดขึ้นมาพร้อมประโยค
“แกมาบอกอะไรเอาตอนนี้”

ในชีวิตจริง เราอาจไม่มีโอกาสกลับมาเจอกัน แต่เอ็มวีนี้ได้ช่วยพาความทรงจำเมื่อนานมาแล้วของใครหลายคนกลับมา ให้ทั้งยิ้มและมีน้ำตาไปพร้อมกัน

😅 การเข้าใจผิดว่า หยุดเองไม่ได้เพราะยามีอันตราย ดังนั้นอย่าได้เริ่มรักษาเลยก็เหมือนคิด(ไปเอง)ว่า ถ้าใส่เฝือก แล้วจะเอาออ...
03/06/2025

😅 การเข้าใจผิดว่า หยุดเองไม่ได้เพราะยามีอันตราย ดังนั้นอย่าได้เริ่มรักษาเลย

ก็เหมือนคิด(ไปเอง)ว่า ถ้าใส่เฝือก แล้วจะเอาออกไม่ได้ ดังนั้นอย่าใส่เลย (อ่าว แล้วกระดูกที่หักล่ะ?!?) 😅

“อย่าหยุดยาจิตเวชเองนะ !”

เพราะมันอันตราย…เหรอ ??

#ความเข้าใจผิดติดอันดับ


เชื่อว่าคนส่วนใหญ่เคยได้ยินคำเตือนที่ว่า อย่าหยุดยาจิตเวชเอง

หากเป็นคนไข้ที่รับการรักษาอยู่แล้ว ก็จะทราบเหตุผลจากการให้ข้อมูลของแพทย์ผู้รักษา

แต่คนจำนวนไม่น้อยที่ได้ยินแบบนี้
ฟังแล้วเข้าใจผิด คิดไปเองว่า เพราะยามัน “อันตราย” จึงหยุดสุ่มสี่สุ่มหน้าไม่ได้

ดังนั้น เมื่อถึงเวลาที่เจ็บป่วยด้วยโรคทางใจ บางคนก็เลยไม่กล้าพบจิตแพทย์
เพราะกลัวการทานยา ด้วยเข้าใจผิดว่า ไม่อยากเริ่ม เดี๋ยวจะหยุดไม่ได้
ซึ่งเป็นการเสียโอกาสอย่างมาก

เหตุผลที่แท้จริง คือ

คนไข้ไม่สามารถประเมินอาการด้วยตนเอง และวางแผนการรักษาเองได้ (เช่นเดียวกันกับโรคอื่น ๆ)

ดังนั้น คนที่หยุดเอง เพราะรู้สึกว่าดีขึ้นแล้ว คิดเองว่าอาจจะไม่ต้องกินยา หรือเพราะเหตุอื่น ๆ
… #อาการก็มักจะกลับมา_เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาที่ควรจะหยุดยานั่นเอง …

แต่หากคนไข้ไปพบแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ หมอก็จะประเมินให้อยู่แล้วว่า
หลังจากไม่มีอาการแล้ว จะต้องกินยาต่อเนื่องอีกนานแค่ไหนเพื่อป้องกันอาการกำเริบ ซึ่งต้องอาศัยหลายปัจจัย

😅 การเข้าใจผิดว่า หยุดเองไม่ได้เพราะยามีอันตราย ดังนั้นอย่าได้เริ่มรักษาเลย
ก็เหมือนคิด(ไปเอง)ว่า ถ้าใส่เฝือก แล้วจะเอาออกไม่ได้ ดังนั้นอย่าใส่เลย (อ่าว แล้วกระดูกที่หักล่ะ?!?) 😅

หลายคนทนทรมานกับอาการอยู่นาน ประสิทธิภาพในการทำงานย่ำแย่ ความสัมพันธ์สั่นคลอน เพราะไม่ทราบข้อมูลที่ถูกต้อง
กว่าจะตัดสินใจพบแพทย์ อาการก็หนักซะแล้ว (รักษาหายได้เหมือนกัน แต่ย่อมยากและนานกว่า อาการที่น้อยและเป็นมาไม่นาน)

เจอแบบนี้แล้ว หมอรู้สึกเสียดาย ที่คนไข้เสียโอกาสในการรักษาเร็วกว่านี้จริง ๆ ค่ะ

#หมอมีฟ้า

อยากให้ทุกคนหาข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ มากกว่าเพียงฟังประสบการณ์หรืออ่านความคิดเห็นของคนอื่น

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ หมอมีฟ้าผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ประเภท