เวชศรณ์คลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ - Vejasorn Clinic

  • Home
  • เวชศรณ์คลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ - Vejasorn Clinic

เวชศรณ์คลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ - Vejasorn Clinic ตรวจรักษาโรคด้วย "ศาสตร์การแพทย์แผนไทย"
โดย แพทย์แผนไทยประยุกต์ (ปริญญา)
ปรับสมดุลย์ธาตุภายในร่างกายด้วยกดจุด & ยาสมุนไพร

เบาหวาน
05/12/2025

เบาหวาน

น้ำตาลในเลือด ถือเป็นอามะธาตุ (ธาตุดิบยังไม่ถูกย่อย)
หลักในการรักษาคือ ช่วยส่งเสริมการทำงานของไฟย่อยอาหารให้เป็นปกติ ปริมาณอามะในเลือดก็จะลดลงแบบยั่งยืน
แต่ถ้าใช้เป็นยาขับปัสสาวะในอามะในเลือด เห็นผลไว แต่เดี๋ยวก็กลับมาเป็นอีก เพราะสมุฏฐานของโรคอยู่ที่อพัทธปิตตะ ไม่ใช่คูถเสมหะ

01/12/2025

"ไหลตาย" เกิดจากอะไร
ในมุมมองทฤษฎีวิชาแพทย์แผนไทย
ไล่เรียงย้อนกลับจากสุดสิ้นสุด
(1) การเสียชีวิต (มรณะ)
คือ สภาวะที่ขันธ์ ๕ แยกออกจากจากกัน โดยปกติร่างกายประกอบด้วยธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ โดยแบ่งออกเป็น กาย (รูป) กับจิต (นาม) ตลอดอายุขัย รูปกับนามอาศัยซึ่งกันและกัน นามสั่งการรูป รูปตอบสนองนาม (จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว) หลักการรักษาตามศาสตร์การแพทย์แผนไทยจึงเป็นเรื่องวิธีการรักษาขันธ์ ๕ ในส่วนของรูปให้เป็นปกติและนามก็เป็นสุข เพราะถ้าหากรูปเสื่อมสลายไปจากพยาธิก็ดี จากความชราก็ดี นามก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ = เสียชีวิต
(2) โรคคาพยาธิของขันธ์ ๕
โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายก็ย่อมเกิดขึ้นจากขันธ์ ๕ นี่เอง ไม่โรคติดเชื้อ โรค NCD หรืออื่นๆ พยาธิของธาตุภายในร่างกายมีตั้งแต่ธาตุกำเริบ หย่อน พิการ แตกและออกจากร่างกาย. พยาธิในขั้นของกำเริบ หย่อน พิการไม่ได้มีผลถึงขึ้นเสียชีวิต แต่พยาธิในขั้นของแตกและออกจากร่างกายมีผลถึงขึ้นเสียชีวิต โบราณเรียกว่า สันนิบาตตรีโทษ เป็นสภาวะของกลไกการทำงานของธาตุไฟ ลม และน้ำภายในร่างกายเกิดความผิดปกติ และมีผลกระทบต่อธาตุดินขั้นนี้เรียกว่า มหาสันนิบาต. จิต (นาม) อาศัยอยู่กับกาย (รูป) ในส่วนของธาตุดินที่ชื่อว่า หทยัง (ใจ) จึงมักเรียก "จิตใจ" ซึ่งหทยังมีหทัยวัตถุเป็นที่ดำรงอยู่ของดวงจิต ดังนั้น โรคคาพยาธิใดก็ตามที่กระทบกับหทยังและหทัยวัตถุ จึงมีผลถึงขึ้นเสียชีวิตได้ เพราะลมในน้ำเลี้ยงหัวใจในหทัยวัตถุที่ชื่อว่า หทัยวาตะ เสียเจ้าเรือน (ผิดปกติไปจากธรรมชาติเดิม)
(3) น้ำเลี้ยงหัวใจที่ดวงจิตลอยอยู่
สัมพันธ์กับ สันนิจิตโลหิต โรคภัยไข้เจ็บใดก็ตามที่ทำให้เลือดเกิดความผิดปกติกลายเป็นพิษ ย่อมมีผลกระทบต่อหทัยวาตะ ซึ่งเป็นธาตุลมในน้ำเลี้ยงหัวใจ. อิงจากคัมภีร์แพทย์แผนไทยหลักๆ มาจาก 1.โรคไข้พิษ ไข้กาฬ (ตักศิลา) เกิดจากธาตุไฟในร่างกายกำเริบร้อนจนทำให้โลหิตกลายเป็นพิษ กับ 2.โรคลมพิษ (ชวดาร) เกิดจากธาตุลมในร่างกายกำเริบร้อนจนทำให้โลหิตกลายเป็นพิษ ได้เช่นกัน
(4) โรคไข้พิษ (ตักศิลา)
ธาตุไฟในร่างกายกำเริบร้อนจนทำให้โลหิตกลายเป็นพิษ เมื่อโลหิตเป็นพิษร้อน จนส่งผลกระทบกับอาการ 32 ประการภายในร่างกายขึ้นอยู่กับโลหิตเป็นพิษร้อนกระทบต่อธาตุ (หรืออวัยวะใด) แต่ในบริบทของโรคไหลตายนั้น กระทบหัวใจ คัมภีร์ได้อธิบายไว้ว่า "...บางทีทำพิษให้จับหัวใจ ให้นอนกรนไปไม่มีสติสมปฤดี ให้จับหลับกรนครอกๆ..." ภาวะนอนกรนและหยุดหายใจขณะหลับ เป็นอาการที่บ่งบอกว่าร่างกายเกิดไข้พิษจากระบบปิตตะ โลหิตกลายเป็นพิษกระทำโทษต่อหัวใจ ดังนั้นหากพิษของโลหิตกระทบหัวใจมากขึ้นก็จะส่งผลให้เกิดภาวะหยุดหายใจในขณะนอนหลับ กล่าวคือ ธาตุไฟร้อนจนหทัยวาตะไม่เคลื่อน = เกิดโอกาสเสียชีวิตจากการไหลตายได้
(5) โรคลมพิษ (ชวดาร)
ธาตุลมในร่างกายกำเริบร้อนจนทำให้โลหิตกลายเป็นพิษ เมื่อโลหิตเป็นพิษร้อน จนส่งผลกระทบกับอาการ ๓๒ ประการภายในร่างกายขึ้นอยู่กับโลหิตเป็นพิษร้อนกระทบต่อธาตุ (หรืออวัยวะใด) แต่ในบริบทของโรคไหลตายนั้น กระทบหัวใจ โดยเฉพาะลมที่มีพิษมาก 6 จำพวก คัมภีร์อธิบายไว้ว่า "...ลมอินทร์ธนู ๑ ลมกุมภัณฑยักษ์ ๑ ลมอัศมุขี ๑ ลมราทธยักษ์ ๑ ลมบาทจิตร ๑ ลมพุทธยักษ์ ๑ แลลมจำพวกเหล่านี้ บังเกิดแก่มนุษย์ผู้ใด มนุษย์ผู้นั้นตกเข้าอยู่ในเนื้อมือพระยามัจจุราช เยียวยาเปนอันยากนัก..." ซึ่งไม่มีอาการปรากฎแสดงอย่างเช่นไข้พิษ กล่าวได้ว่า โรคลมพิษนี้เป็นภัยเงียบซึ่งเกิดขึ้นได้ทุกเวลา หากคนไข้มีพฤฒิกรรมการก่อโรคก็เปรียบเสมือนการบรรจุกระสุนเข้ารังเพลิง ปืน (ลมมีพิษในเส้นอัมพฤกอัมพาต) อาจลั่นได้ทุกเวลา "...ดุจปืนเปนที่ตั้งแห่งดินประสิวลูกกระสุนแลเพลิง จึงแล่นออกจากลำกล้อง ประหารชีวิตสรรพสัตว์ทั้งปวงให้วินาศฉิบหาย..."
(6) ทำไมไหลตายจึงเกิดขึ้นตอน "นอนหลับช่วงกลางคืน"
คัมภีร์สมุฏฐานวินิจฉัย กล่าวว่า กาลสมุฏฐานมีผลต่อการเกิดโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง ธาตุวินิจฉัยขยายให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า กลางวันกองสมุฏฐานกลางธาตุ (กาย) เป็นเจ้าเรือน ส่วนกลางคืนกองสมุฏฐานต้นธาตุ (จิต) เป็นเจ้าเรือน ด้วยเหตุนี้โรคไหลตายที่มีสมุฏฐานเกิดจากหทัยวาตะ (ถูกกระทบจากโลหิตเป็นพิษ) จึงเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้ช่วงเวลา 02.00 - 06.00 น. ซึ่งมีหทัยวาตะเป็นเจ้าเรือนนั้น ทำให้อาการกำเริบขึ้นและอาจเสียชีวิตได้ เพราะโลหิตจะไหลเวียนไปยังกองสมุฏฐานหทัยวาตะในช่วงเวลาดังกล่าวมากขึ้น
(7) ไหลตาย เป็นสันนิบาตประเภท อภิวาราภัยสันนิบาต
คัมภีร์สิทธิสาระสงเคราะห์ อธิบายว่า "...เกิดจากความเพียรกระทำการงานและทรมานร่างกาย มิวายเวลาหาความสุขมิได้เป็นต้น จึงมีอาการกระทำให้ขลาด ให้เจรจาผิด ให้ทุกข์โศก และให้บังเกิดซึ่งความโกรธได้ มักให้สะท้านร้อนสะท้านหนาว กระทำดุจปีศาจเข้าสิง มักให้คลั่ง ให้กลัวคนให้ใหลหลง และให้กระหายน้ำเป็นกำลัง..." การทำงานเกินกำลัง ทุกข์กาย (อดข้าวน้ำกินนอนไม่เป็นเวลา) ทุกข์ใจ (มีความเครียดสะสม ประสบกับอารมณ์ด้านลบเป็นประจำ) ไม่ว่าจากอาชีพการงาน ความสัมพันธ์ หรือครอบครัวก็ตาม
( 8 ) อายุสธรรม หลักธรรมที่ทำให้อายุยืน ในพระไตรปิฎก มีดังนี้
1. บริโภคอาหารย่อยง่าย
2. ทำในสิ่งที่สบายแก่ร่างกาย
3. รู้จักพอประมาณในสิ่งที่สบาย
4. ประพฤฒิตนให้เหมาะสมตามกาล
5. เว้นจากกามคุณ
ดังนั้นหากทำตรงกันข้ามกับข้างต้น มีผลทำให้อายุสั้นลง
1. อดข้าว อดน้ำ กินอาหารล่วงผิดเวลา กินอาหารให้โทษ
2. ทุกข์ทรมานกายกับใจ ทำงานเกินกำลัง เป็นต้น
3. ไม่ได้พักผ่อนหย่อนกาย สบายใจ
4. อดนอนหลับอดนอน กินตอนกลางคืน เป็นต้น
5. ดวงจิต ไม่ได้เว้นว่างจากการถูกกระตุ้นด้วยรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
ทุกอย่างเริ่มต้นจาก..
พฤฒิกรรมสุขภาพที่ไม่ดี (มูลเหตุการเกิดโรค) !
ปล. หากจับชีพตรีธาตุสมุฏฐาน แล้วพบว่าสุมนาวาตะ กำเดาและคูถเสมหะเป็นธาตุไฟและมีลักษณะยอดแหลมทั้งหมด นั่นบ่งบอกถึง ภาวะของโลหิตเป็นพิษกระทบอาการ 32 เพราะไฟร้อน + ลมร้อน + น้ำร้อนทั้งกายและจิตครับ

29/11/2025

📣📣📣 ประชาสัมพันธ์งานอบรมสัมมนาประจำ เดือนธันวาคม [ วันที่ 6-7 ธ.ค. 2568 ] หัวข้อ "การตรวจชีพจรตรีธาตุสมุฏฐาน" ครั้งที่ 13
🔵 รายละเอียดเนื้อหาการอบรม มีดังนี้
📍 รู้ว่าวิธีการตรวจประเมินที่แรกเกิดของโรค
- วิธีการตรวจโดยส่วนใหญ่เป็นการตรวจที่ตั้งของโรคเช่น ดูลิ้น ดูหน้า ดูผิว ดูเล็บ แต่การจับชีพจรตรีธาตุสมุฏฐานเป็นการตรวจประเมินที่แรกเกิดของโรคโดยตรง ซึ่งจะทำให้แพทย์รู้ว่ากองสมุฏฐานใดที่เสียเจ้าเรือนและต้องกำหนดเป็นเวชพิกัดในการรักษา
📍 รู้ว่าวิธีการรักษาด้วยตำรับยาสมุนไพร
- ชิมตำรับยาสมุนไพรตามกองสมุฏฐาน และจับชีพจรเพื่อประเมินผลการเปลี่ยนแปลงของตรีธาตุภายในร่างกาย หลังจากชิมยาว่ากองสมุฏฐานกลับคืนสู่เจ้าเรือนหรือยัง
📍 ประโยชน์หลังจากอบรม
ทักษะการตรวจชีพจรประเมินตรีธาตุได้ว่า กองพิกัดสมุฏฐานใดเป็นปกติหรือผิดปกติ ซึ่งจะช่วยให้วางแผนการรักษาทางเวชกรรมและช่วยให้จ่ายยารักษา รวมถึงหัตถการได้ตรงกับสมุฏฐานของโรค
🔵 ระยะเวลาอบรม 2 วัน
- วันเสาร์ที่ 6 - วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม 2568
- เวลา 09.00 น. - 16.00 น
✅ เครื่องดื่ม อาหารว่างและอาหารกลางวัน
✅ ที่จอดรถ
✅ เอกสารประกอบการเรียน
✅ ประกาศนียบัตรมอบให้หลังอบรม
🔵 สถานที่อบรม ณ ห้องประชุมเวชศรณ์ ชั้น 3
📌 เวชศรณ์คลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ จังหวัดปทุมธานี https://maps.app.goo.gl/ZnVowdhY3Jebvqfg9
(ห่างจากห้างสรรพสินค้า ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต ประมาณ 15 นาที)
🔵 ค่าลงทะเบียน 4,900 บาท/ท่าน
(สามารถมัดจำบางส่วนก่อนได้ ที่เหลือชำระวันอบรม)
ปล. ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ดังนี้
➡️ Chat : m.me/279914382733892
➡️ Line :
➡️ เบอร์โทรศัพท์ : 092 916 2255 คุณกนกอร (เกด)🙏

📢 ประกาศแจ้งวันหยุดให้บริการทางคลินิกประจำเดือน ธันวาคม 2568 หยุดให้บริการทางคลินิกทุกวันจันทร์ คลินิกเปิดให้บริการเวลา ...
29/11/2025

📢 ประกาศแจ้งวันหยุดให้บริการทางคลินิกประจำเดือน ธันวาคม 2568

หยุดให้บริการทางคลินิกทุกวันจันทร์
คลินิกเปิดให้บริการเวลา 10.00-18.00 น.

ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้
ติดต่อสอบถาม/จองคิวล่วงหน้าโทร. 092-916-2255 / 094-415-1654
LINE :

29/11/2025

ชีพจรในเคสจิตเวช
- มาด้วยอาการปวดกล้ามเนื้อ
จับชีพจร พบว่า สัตถวาตกะเป็นน้ำเย็น อพัทธปิตตะไม่มีกำลัง ส่วนหทัยวาตะและพัทธปิตตะก็เป็นไฟเลย ใช้ยาหอมเทพจิตรไปแก้ในส่วนหทัย และศุขไสยาสน์ไปแก้ในส่วนอุทริยะ ไม่ได้นวดรักษาให้เพราะชีพจรในส่วนของไฟและลมไม่มีกำลังเลย ต่อให้นวดไปเดี๋ยวกลับมาเป็นอีกครับ
ข้อสังเกตที่พบ คนไข้ที่ทานยาจิตเวชจะมีอาการสงบ เป็นผลมาจากสัตถกวาตะเย็นลง แต่หทัยวาตะมักกำเริบร้อน และไฟย่อยอาหารเย็นลงครับ การขับถ่ายจึงมักมีปัญหาเพราะลมไม่มีกำลัง เคลื่อนได้น้อยลง
บำรุงรักษาดวงจิตที่เป็นกษัยตริย์ก่อน และ ช่วยเติมเสบียงเข้าสู่กายนครให้มากขึ้น (เพิ่มกำลังให้คนไข้) รักษาไปตามสมุฏฐานของโรคครับ
ปล. โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายย่อมเกิดจากกองสมุฏฐานภายในร่างกายที่เสียเจ้าเรือน หากประเมินการทำงานของกองสมุฏฐานธาตุได้ ช่วยให้เรารู้เวชพิกัดในการรักษาครับ

13/11/2025

ศาสตร์แพทย์แผนไทย กล่าวถึงเรื่อง "การบริโภคอาหาร" สอดคล้องกับหลัก "โภชเนมัตตัญญุตา" ในพระพุทธศาสนา คือ ความรู้จักประมาณในการบริโภค
แต่ขยายต่อจากพุทธศาสนาว่า "วิธีการบริโภคอาหารที่ดี/ไม่ดี" มีอะไรบ้าง เช่น ไม่กินมากเกินไป หรือน้อยเกินไป กินล่วงเวลา ผิดเวลาไปจากปกติเดิม กินเวลากลางคืน กินแต่ของดิบ ของหมักดอง อาหารย่อยยาก กินแต่เนื้อสัตว์ เป็นต้น
ปัจจัยเหล่านี้ในคนที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงเป็นปกติ ไม่ได้ห้าม เพียงแต่ชี้ให้เห็นว่า หากบริโภคอาหารลักษณะนี้จะก่อให้เกิดโทษ (และตามมาด้วยโรค) มากกว่าคุณ (และก่อให้เกิดประโยชน์). ส่วนคนที่เจ็บป่วยเป็นโรคแล้ว การบริโภคอาหารลักษณะนี้ ทำให้การรักษาไม่ดีขึ้นและกลายเป็นโรคเรื้อรังได้
ทั้งหมดมีวัตถุประสงค์คือ "กินแต่พอดี" ทั้งในแง่ปริมาณอาหาร คุณภาพอาหารที่ดี และช่วงเวลารับประทานอาหารที่เหมาะสม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกำลังของธาตุไฟย่อยอาหาร ซึ่งในแต่ละคนมีกำลังมากน้อยไม่เท่ากัน
ปล. "หลักวิชา" กับ "หลักธรรม" ในข้อนี้ ไม่ได้ขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์ หรือเป็นความเชื่อโบราณที่ล้าหลังแต่อย่างใด
รูปภาพจาก https://summitmanorgatlinburg.com/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%88-%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A3/

12/11/2025

พระป่าฉันอาหารวันละ ๑ มื้อ สะท้อนการบริโภคตามเหตุปัจจัยใด ?
"ความรู้สึกหิว" เกิดจากปริทัยหัคคีกระตุ้นการทำงานของปริณามัคคี เกิดเป็นน้ำลาย (เหงื่อแห่งอาหาร) เป็นต้น เพื่อย่อยสลายความเป็นวัตถุธาตุของอุทริยังภายในอันตัง โดยเฉพาะในส่วนไส้อ่อน (ลำไส้เล็ก) เพื่อให้ได้รส โอชะไปบำรุงเลือด เนื้อและร่างกาย การทำหน้าที่ของปริณามัคคียังช่วยให้กำลังของปริหัคคีเพิ่มขึ้นและสามารถหมุนเวียนธาตุไฟ ให้เคลื่อนไปได้ตลอดปลายมือปลายเท้าได้ (มีเรี่ยวแรงมีกำลัง) เป็นต้น และส่งผลให้ชิรนัคคีตามมังสทวารประสาท รวมถึงสันตัปปัคคีทั่วร่างกาย ทำหน้าที่ได้ตามปกติ
ปริทัยหัคคี กับ ปริณามัคคี เป็นธาตุไฟในส่วนของรูปขันธ์ - นิปผันนรูป ๑๘ สัมพันธ์กับ นามขันธ์ (จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว) คัมภีร์สมุฏฐานวินิจฉัยจึงสมมติเรียกว่า จตุกาลเตโช กล่าวคือ "เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ" มีผลต่อการกระตุ้นการทำหน้าที่ของธาตุไฟ ๔ กองภายในร่างกาย ซึ่งรวมถึง ปริทัยหัคคี กับ ปริณามัคคี
จำแนกเหตุกระตุ้น "ปริทัยหัคคี กับ ปริณามัคคี" ตามนามขันธ์ ได้ดังนี้
1. กินเมื่อรู้สึกทุกข์ใจ ทุกข์กาย หรือสุขกาย สุขใจ
เช่น กินเมื่อหิวกระหาย กินเลี้ยงฉลอง เป็นต้น
- เรียกว่า กินตามเวทนา
2. กินเมื่อจดจำได้ว่าเป็นเวลามื้ออาหาร
เช่น มื้อเช้า กลางวัน เย็น กลางคืน หรือ IF เป็นต้น
- เรียกว่า กินตามสัญญา
3. กินเมื่อคิดปรุงแต่งไปตามอารมณ์ต่างๆ ทั้งดีและร้าย
เช่น อยากกินให้คุ้มเงิน (โลภ) เลือกบุตเฟ่ต์
- เรียก กินตามสังขาร
4. กินเมื่อรับรู้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
เช่น เห็นของน่าอร่อย กลิ่นหอมน่าลอง เสียงทำอาหารน่าทาน
- เรียก กินตามวิญญาณ
มนุษย์เราเลือกได้ครับว่า อยากให้ "ปริทัยหัคคีและปริณามัคคี" ทำงานเนื่องจากเหตุกระตุ้นเป็นแบบไหน ?
1. กินตามเวทนา
หิวก็กิน กระหายก็ดื่ม (ไม่ต่างจากสัตว์อื่นๆ)
2. กินตามสัญญา
กินตามความจำ ระลึกได้ นึกขึ้นได้ตามที่กำหนดไว้
3. กินตามสังขาร
กินตามกุศลเจตสิก อกุศลเจตสิก หรือแบบกลางๆ (อัพยา)
4. กินตามวิญญาณ
กินตามรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่รับรู้ผ่านทางประสาทร่างกาย
คำถามคือ วิธีการบริโภคแบบใดที่สอดคล้องตามที่เนื้อหาในคัมภีร์แพทย์แผนไทยได้กล่าวไว้ เช่น
- ไม่ควรบริโภคมากเกินไป น้อยเกินไป
- ไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์มาก
- ไม่ควรกินล่วงเวลา ผิดเวลา กินกลางคืน
- ไม่ควรอดอาหาร อดน้ำ
- ไม่ควรทานอาหารที่ย่อยได้ยาก
- ไม่ควรทานอาหารหมักดอง และอื่นๆ
คำตอบก็คือ บริโภคตามสัญญา !
เป็นวิธีบริโภคที่มีเป็นประโยชน์มากที่สุด เกิดโทษน้อยที่สุดด้วยเช่นกัน
(บนพื้นฐานของความรู้ที่ถูกต้อง เหมาะสม)
ถ้าพิจารณาจากวัตรปฏิบัติของพระภิกษุสงฆ์ตามธรรมวินัยก็คือ บริโภคตามสัญญา กล่าวคือ กินอาหารเป็นเวลา เพื่อให้ปริทัยหัคคีและปริณามัคคีกำเริบขึ้นเป็นเวลา (เทรนด์ธาตุไฟให้กำเริบเป็นช่วงเวลา ไม่ได้เทรนด์ให้กำเริบตลอดเวลา เพราะอาหารเป็นเหตุของโรค) ดังนั้นการฉันอาหารในช่วงใกล้ 10.00 น. หรืออยู่ในช่วงมัชฌิมยามในเวลากลางวัน อุตุสมุฏฐานจากภายนอกจะช่วยทำให้อพัทธปิตตะ ซึ่งเป็นเจ้าเรือนมีกำลังเพิ่มขึ้นอีกด้วย คือ ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด (ในวันนั้น)
"บริโภคตามสัญญา" ยังสัมพันธ์กับ กาลสมุฏฐาน เช่น อาหารรส โอชะแบบใดเหมาะกับมื้อเช้า (อุระเสมหะ) มื้อเที่ยง (อพัทธปิตตะ) และมื้อเย็น (สัตถกวาตะ) และ ฤดูสมุฏฐานเช่น ฤดูร้อน ฝน หนาว อาหารรส โอชะแบบใดเหมาะกับปิตตะ วาตะ และเสมหะ เป็นต้น
ทั้งหมดก็เพื่อให้ปริมาณมัคคีมีกำลังสม่ำเสมอ (สมธาตุ) ทำหน้าที่ย่อยอาหารที่บริโภคเข้าสู่ภายในร่างกายได้เป็นปกติ เพื่อให้ได้โอชะที่เป็นประโยชน์ไปบำรุงร่างกาย ส่วนมูลธาตุเช่นมุตร คูถก็ขับออกทางทวารเบื้องล่าง ทำให้ร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคตามพระไตรปิฎกระบุไว้
ปล. หากโจทย์คือ "กินอย่างไรเพื่อให้ธาตุไฟย่อยอาหารทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด" คำตอบคือ นอกจากบริโภคอาหารที่มีประโยชน์แล้ว ต้อง "บริโภคตามสัญญา" ด้วยครับ
รูปภาพจาก
https://thebuddh.com/?p=40054

12/11/2025

ยาทาชันธรณี ขนาดบรรจุ 10 กรัม เป็นยาใช้ทาผิวหนัง ภายนอกร่างกาย สรรพคุณ รักษาแผลฝีหนอง แผลสะเก็ดเงิน แผลเรื้....

12/11/2025
12/11/2025

น้ำนมวัว ในทัศนะของแพทย์แผนไทย !?
อิงข้อมูลจากคัมภีร์สรรพคุณยา ระบุว่า

(1) "..น้ำนมโครสเย็น กินปิดธาตุ ชอบแก้โรคในอก ให้มีกำลังเจริญไฟธาตุ.."
(2) "...น้ำนมทั้งปวงมีรสหวานยิ่งกินมีกำลัง แก้นอนมิหลับ แก้ลม เจริญไฟธาตุ..."
บ่งบอกว่า เมื่อบริโภคนมวัว (กรณีนี้หมายถึง น้ำนมวัวแท้ 100 %) เข้าสู่ร่างกาย น้ำนมเมื่อเข้าสู่ไส้ใหญ่ - (อันตัง : ระบบทางเดินอาหาร รวมถึงระบบขับถ่าย) มีผลทำให้ไฟย่อยอาหาร(ปริณามัคคี) มีกำลังลดลง เนื่องจาหรสหวานที่ซึมซาบได้ดีที่ไส้ใหญ่ กอรปกับฤทธิ์เย็น ดังนั้นผู้ที่ธาตุไฟย่อยอาหารหย่อน - ท้องอืดง่าย (วิสมธาตุ) หรือไม่มีกำลัง - ท้องเดิน/ท้องเสียง่าย (มันทธาตุ) จึงไม่ควรบริโภคน้ำนมวัว รวมถึงอาหารที่มีรสหวานฤทธิ์เย็นและผสมน้ำนมวัว เพราะจะยิ่งทำให้กำลังของไฟย่อยอาหารน้อยลงตามลำดับ ! นอกจากนี้น้ำนมวัวยังส่งผลต่อไปยัง ลมในไส้ (โกฎฐาสยาวาตา) ให้เคลื่อนตัวน้อยลง เมื่อลำไส้บีบตัวน้อยลง ทำให้หยุดขับถ่าย (ปิดธาตุ) ได้ หรือขับถ่ายได้ไม่สะดวก
แต่น้ำนมวัวก็มีข้อดี เพราะรสมันหวาน สารอาหาร (โอชะ) ซึมซาบได้ดีที่ลำไส้และรวมถึงธาตุบริเวณทรวงอก (ปัปผาสปัญจกะ) เช่น หัวใจ เป็นต้น ทำให้ความร้อนช่วงอก (ปริทัยหัคคี) มีกำลังเพิ่มขึ้น ซึ่งสัมพันธ์กับการเคลื่อนธาตุไฟไปยังปลายมือปลายเท้า
บริบทของการใช้ "น้ำนมวัว" ในตำรับยาสมุนไพร
จึงมักพบเห็นการใช้น้ำนมวัวในกรณีที่ต้องการลดความร้อนในไส้ ในท้อง และบำรุงกำลังความร้อนช่วงอกเพิ่มขึ้น เช่น ตำรับยาทำลายพระสุเมรุ มีน้ำนมโคเป็นกระสาย เป็นต้น
น้ำนมวัว ในบริบทของอาหาร
หากบริโภคน้ำนมวัวมากเกินไป อาจส่งผลทำให้ธาตุไฟบริเวณท้อง (มัตถกปัญจกะ) ลดลง และธาตุไฟบริเวณทรวงอก (ปัปผาสปัญจกะ) เพิ่มขึ้น สังเกตได้จากหากมีอาการดังนี้ ย่อยอาหารได้น้อยลง ท้องอืด ท้องผูก ไม่มีลมเบ่งถ่าย เหนื่อยอ่อนเพลียง่าย แนะนำเบื้องต้นให้ลองหยุดบริโภคน้ำนมวัว
ปล. วัตถุธาตุไม่ว่าจะมาจากพืช สัตว์หรือธาตุวัตถุ ต่างมีทั้งข้อดี (คุณ) และข้อเสีย (โทษ) ต่อร่างกาย

09/11/2025

10 ประเด็นน่าสนใจในคัมภีร์ธาตุวิวรณ์ [ หลังจบคลาสเรียน ]
1. วิวรณ์หมายถึง การอธิบาย ขยายความ ดังนั้น คัมภีร์ธาตุวิวรณ์จึงว่าด้วยการอธิบายเกี่ยวกับธาตุ ๔ ว่า เหตุของการเกิดโรคคืออะไร โรคที่เกิดขึ้นเกิดจากธาตุขันธ์ส่วนใดผิดปกติ เกิดจากกองสมุฏฐานธาตุใดเสียเจ้าเรือน และเวชวิธีในการรักษามีอะไรบ้าง. การอ่านคัมภีร์เพื่อศึกษาแนวคิดเวชกรรมไทยจึงอยู่ที่ประเด็นเหล่านี้ เราไม่ได้อ่านแล้วแปลตามตัวอักษร
2. ผู้เรียนถามขึ้นว่า แล้วอย่างนี้การอธิบายความ ขยายความของอาจารย์แต่ละแต่ละท่านจะมีความแตกต่างกันใช่ไหม คำตอบ ใช่ครับ ขึ้นอยู่กับว่าอธิบายบนพื้นฐานความรู้ใด สำหรับผมที่มาสอนอธิบายความรู้ผ่านพระอภิธรรมปิฎกและวิสุทธิมรรคเป็นพื้นฐาน และประกอบกับประสบการณ์ที่ได้มาจากการรักษาคนไข้ตามกองสมุฏฐาน ดังนั้นวิชาแพทย์แผนไทยจึงมีพุทธศาสนาเป็นพื้นฐาน ไหว้ครูตอนต้นทุกคัมภีร์ก็ไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก่อนเสมอ
3. เราจะเห็นว่าตั้งแต่คัมภีร์ธาตุวิภังค์ โรคนิทานมา คัมภีร์แยกอาการผิดปกติ/โรคตามธาตุ ๔ ทั้งสิ้น สะท้อนแนวคิดในคัมภีร์ธาตุวินิจฉัย คือ ไม่ว่าจะเกิดโรคภัยไข้เจ็บชนิดใดก็ตามย่อมเกิดขึ้นภายในร่างกายที่ประกอบด้วยธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ดังนั้น หมอแผนโบราณจึงแยกโรคจากมุมมองว่า ธาตุใดเป็นที่ตั้งของโรค ไม่ใช่แยกจำแนกโรคตามชื่อโรคหมอสมมติ ดังนั้นไม่ว่าอาการผิดปกติเล็กน้อย หรืออาการผิดปกติถึงขึ้นเสียชีวิตก็ย่อมเกิดขึ้นจากธาตุ ๔ สุดแท้แต่ว่าจะเป็นธาตุ ๔ ของจิต กายหรือร่างกายทั้งหมด
4. แยกข้อมูลออกเป็น ๔ หัวข้อตามธาตุดังนี้
- สีน้ำตาล ธาตุดิน ข้อมูลส่วนนี้จะบอกเกี่ยวกับที่มาของข้อมูล ตำราเอกสารที่มีการอ้างอิง กล่าวถึง
- สีฟ้า ธาตุน้ำ ข้อมูลส่วนนี้จะบอกเกี่ยวกับ เหตุการเกิดโรค ชื่อโรคหมอสมมติ
- สีเหลืองส้ม ธาตุไฟ ข้อมูลส่วนนี้บอกถึงเวชพิกัด ว่าธาตุใดเป็นที่ตั้งของโรค ต้องพิจารณาจากอาการผิดปกติ และกองสมุฏฐานธาตุใดเป็นที่แรกเกิดของโรค ต้องดูจากอาการผิดปกติเช่นกัน
- สีเขียว ธาตุลม ข้อมูลส่วนนี้บอกถึงเวชวิธีในการรักษาว่าอาการผิดปกตินั้นสามารถรักษาได้อย่างไรบ้าง หัตถการ หรือตำรับยา วิธีบริหารยาแบบใด
เนื้อหาในคัมภีร์แพทย์จะมีรูปแบบประมาณนี้ แต่ไม่ใช่ทุกหัวข้อจะมีครบ แต่ละข้อมูลในสีน้ำตาล ฟ้า เหลืองส้ม และเขียวต่างก็มีประโยชน์แตกต่างกันออกไป ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างเหตุต้นไปยังผลปลายที่ร้อยเรียงต่อกันเป็นลำดับ
5. อาการผิดปกติ เกิดมาจากธาตุขันธ์ที่ผิดปกติ ธาตุขันธ์ที่ผิดปกติ เกิดมาจากกองสมุฏฐานธาตุที่เสียเจ้าเรือน กองสมุฏฐานธาตุที่เสียเจ้าเรือน เกิดมาจากอาหาร อุตุและจิต เรียกรวมว่า มูลเหตุของการเกิดโรค
ไข้ตัวร้อนเป็นเปลว ย่อมเกิดมาจากสันตัปปัคคีผิดปกติ สันตัปปัคคีผิดปกติเกิดมาจากกำเดาสมุฏฐาน กำเดาสมุฏฐานที่เสียเจ้าเรือนมาจากอาหารฤทธิ์ร้อน กระทบความร้อนและจิตใจที่เร่าร้อน เป็นต้น
6. ฤดูเป็นเพียง ๑ ใน อุตุสมุฏฐานเท่านั้น ปัจจุบันอาชีพสมุฏฐานมีผลในการพิจารณาการถูกกระทบร้อนเย็นร่วมด้วย บางอาชีพเสมือนฤดูร้อนตลอดทั้งปี บางอาชีพเสมือนฤดูหนาวตลอดทั้งปีก็มี ดังนั้นบริบทของอุตุ คือการพิจารณาว่าวิถีชีวิตในแต่ละวันกระทบร้อน เย็นหรือหนาวมากที่สุด
7. อาการผิดปกติ/โรค (โรคาพยาธิ) แบ่งออกเป็นเอก ทุวัน ตรีและจตุโทษ มีหลายเกณฑ์ในการแบ่ง บ้างก็ใช้จำนวนชั่วโมง บ้างก็ใช้จำนวนวัน แต่ที่แน่นอนที่สุดก็คือ อาการผิดปกติ เนื่องจากธาตุของแต่ละคนไม่เหมือนกันการจลนะและผิดปกติของธาตุ หากนับตามหน่วยชั่วโมง หรือวันอาจคลาดเคลื่อนได้ ให้ถือเอาตามอาการผิดปกติ เพราะอาการผิดปกติบ่งบอกถึงสมุฏฐานธาตุที่เสียเจ้าเรือน
8. กรรมสมุฏฐานเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่น วันเกิด โรคชาติสัมพันธ์ตระกูล เป็นต้น แต่อาหาร จิตและอุตุสมุฏฐานที่เรียกรวมว่า พฤฒิกรรมสุขภาพ (+)/ มูลเหตุการเกิดโรค (-) ปรับเปลี่ยนได้ แนวคิดตรงนี้สะท้อนว่าศาสตร์แพทย์แผนไทยให้ความสำคัญกับความแข็งแรงของ Host เช่น อาหารที่เกิน อารมณ์ที่ประสบ เป็นต้น มากกว่าการฆ่าเชื้อโรค Agents ส่วน Environment ต่างๆ เช่น ฤดู กาล ประเทศ จักรราศี เปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติอยู่แล้ว
9. อาหารเป็นยาก็ต่อเมื่อเราบริโภคให้ครบทั้ง 10 รส มื้อกลางวันที่ผ่านกินรสอะไรไปแล้วบ้าง ตอบ หวาน เค็ม มัน เผ็ดร้อน ขาดรสไหน ขม ฝาด เป็นต้น รสแต่ละรสไปบำรุงธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ต่างกัน ถ้าเรากินอาหารที่มีประโยชน์แต่รสเดิมซ้ำๆ ก็มีประโยชน์ (โอชะ) แก่เฉพาะธาตุนั้นๆ เท่านั้น ต้องทานให้หลากหลายรสและหลากหลายประเภท ดูอย่างอาหารไทยเช่น ต้มยำกุ้ง มีกี่รส ตอบ รสเผ็ดร้อน รสเค็ม รสมัน รสเปรี้ยว รสหวาน บลาๆ สังเกตไหมอาหารไหนแต่ละมีเมนูมีรสมากกว่า 4 รส++
10. ในมุมมองของผู้เขียนคัมภีร์แพทย์แผนไทย การอ่านศึกษาคัมภีร์จำเป็นไหมต่อการเป็นแพทย์แผนไทย ? ตอบ จำเป็น ความหมายคือไม่ใช่แค่เพียงจดจำได้ แต่ต้องเข้าใจตามหลักเหตุและผลว่าเนื้อหาในบริบทนั้น เหตุของการเกิดโรคคืออะไร เวชพิกัดในการรักษาคืออะไร และมีเวชวิธีในการรักษาอย่างไรบ้าง ตรงนี้จะทำให้เราได้สาระสำคัญของวิชาเวชกรรมไทยนำมาประยุกต์ใช้ในการรักษา โรคในปัจจุบันทั้งหลายก็ขึ้นในขันธ์ ๕ นี่เอง ย่อมรักษาได้ผ่านกองสมุฏฐานธาตุเช่นกัน
ปล. คัมภีร์วิวรณ์ เราจะได้แนวคิดเรื่องของเหตุและผลที่เกิดขึ้นต่อกันเป็นลำดับ (อิทัปปัจจยตา)

Address


Opening Hours

Tuesday 10:00 - 18:00
Wednesday 10:00 - 18:00
Thursday 10:00 - 18:00
Friday 10:00 - 18:00
Saturday 10:00 - 18:00
Sunday 10:00 - 18:00

Telephone

+66944151654

Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when เวชศรณ์คลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ - Vejasorn Clinic posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Contact The Practice

Send a message to เวชศรณ์คลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ - Vejasorn Clinic:

  • Want your practice to be the top-listed Clinic?

Share

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram