19/08/2019
ไทย 3 ดุมล้อโลก (World Hubs): ท่องเที่ยว สุขสภาพ อภิบาลคนชรา
โดย ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
ประเทศไทยมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเป็นอันดับต้นๆ ของโลก และการท่องเที่ยวยังเป็นกิจกรรมที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจสูง โดยการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเป็นกิจกรรมท่องเที่ยวส่วนที่ใหญ่ที่สุด อันดับถัดมา คือ การท่องเที่ยวเพื่อความงามและการดูแลสุขภาพ หรือผมขอเรียก “สุขสภาพ” (Wellness tourism) การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Culinary tourism) และการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์/เพื่อความยั่งยืน
ในขณะเดียวกัน แนวโน้มโลกกำลังเข้าสังคมผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ โดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ในปี 2030 และ 2050 จำนวนประชากรที่อายุมากกว่า 60 ปี จะสูงถึงร้อยละ 18 และ 22 ของประชากรทั่วโลก ตามลำดับ
ผมจึงมีความเห็นว่า ประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับการกำหนดเป้าหมาย การสร้างประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลาง “ดุมล้อโลก” (World Hubs) คือ ศูนย์กลางหรือฮับการท่องเที่ยว ศูนย์กลางความงามและการดูแลสุขภาพหรือฮับสุขสภาพ และการดูแลสุขภาพ การเกษียณอายุสำหรับผู้สูงอายุหรือฮับอภิบาลคนชรา ภายในปี 2030
- ฮับการท่องเที่ยว (Tourism Hub)
ผมได้พูดและเขียนไว้นานแล้วและหลายครั้งแล้วว่า ประเทศไทยควรกำหนดเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย 200 ล้านคน ภายในปี 2030 เป็นอย่างช้า ซึ่งอาจดูเหมือนเป็นไปได้ยาก แต่ผมเชื่อว่าเป็นไปได้ โดยผมมีข้อเสนอบางประการ อาทิ
การพัฒนาประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในภูมิภาค โดยการพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางการบินและโลจิสติกส์ของภูมิภาค เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวอาเซียน ต้องมาประเทศไทยก่อนไปประเทศอื่น และการสร้างความร่วมมือและเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวในอาเซียน เช่น การจัดโปรแกรมท่องเที่ยวหรือเส้นทางการท่องเที่ยวข้ามประเทศแบบเป็นแพ็คเกจ เป็นต้น
ยกตัวอย่าง นครวัดและเสียมเรียบ ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็น Landmark และ Destination ยอดนิยมประจำปี 2015 โดย Trip Advisor นั้น ประเทศไทยควรสร้างความเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวของไทยที่อยู่ใกล้เคียง เช่น ศรีสะเกษ เพื่อเป็นได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองประเทศ
การสร้างสรรค์กิจกรรมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนรูปแบบใหม่ๆ ให้ตรงกับความสนใจของนักท่องเที่ยว และตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย โดยจัดในรูปแบบเหมารวม (Package Tour) เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ครอบคลุมทั้งการดูแล การรักษา และการฟื้นฟูสุขภาพ การท่องเที่ยวเชิงเกษตร การท่องเที่ยวสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวสูงอายุ ครอบครัว และฮันนีมูน เป็นต้น
ตลอดจนการยกระดับประเพณีท้องถิ่นให้เป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวระดับโลก การพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวเพื่อให้ท่องเที่ยวไทยได้ทั้ง 365 วันตลอดทั้งปี ทั้งนี้กระทรวงท่องเที่ยวฯ ต้องมีโปรแกรมทางเลือกต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและเป็นประโยชน์มากที่สุดแก่นักท่องเที่ยว
- ฮับสุขสภาพ (Wellness Hub)
ผมมีแนวคิดว่า ภาครัฐควรตั้งเป้าหมายดึงดูดคนต่างประเทศที่มีความสามารถและมีอายุระหว่าง 50 – 65 ปี เพื่อให้เข้ามาทำงาน อยู่อาศัย เกษียณอายุในเมืองไทย และใช้ความสามารถที่มีในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ เพื่อมีส่วนช่วยพัฒนาประเทศไทยให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว
เราต้องหาแนวทางจูงใจให้คนเก่งอยากมาอยู่ประเทศไทย เช่น การให้สัญชาติไทย การได้รับสวัสดิการ สิทธิพิเศษทางภาษี เกียรติยศ ชื่อเสียง หรืออาจให้ตำแหน่งเป็น “ที่ปรึกษาการสร้างชาติไทย” (Thailand Nation-Building Consultant) หรือดึงดูดด้วยแรงจูงใจแท้จริง (Intrinsic motivation) คือ การใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีคุณค่า เป็นต้น
ทั้งนี้ ประเทศไทยต้องสร้างความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมบริการสุขภาพโดยรวมไปพร้อมกันด้วย ไม่ว่าจะเป็น
1) การปฏิรูประบบสาธารณสุขในภาพรวมให้มีคุณภาพ
2) การสร้างมาตรฐานโรงพยาบาลให้ได้รับการรับรองในระดับนานาชาติ
3) การวิจัยหาเรือธงและทำตลาดมุ่งเน้นการดูแลสุขภาพ ที่ไม่ใช่การรักษาพยาบาลเพียงอย่างเดียว
4) การแก้ปัญหาบุคลากรขาดแคลน
5) การกำกับดูแลการให้บริการทางการแพทย์ให้มีมาตรฐาน เท่าเทียมและเป็นธรรม และ
6) การจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อประโยชน์ในการวางแผนและกำหนดยุทธศาสตร์ในอนาคต
นอกจากนี้ เราควรสร้างการเชื่อมโยงภาคเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ โดยการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคประชากิจ ธุรกิจ รัฐกิจ ในการค้นหาและวิจัยทรัพยากรชีวภาพที่มีศักยภาพ เพื่อนำมาต่อยอดในการท่องเที่ยวด้านความงามและการดูแลสุขภาพ
รวมทั้งการอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ โดยลดขั้นตอนของคนที่จะเข้ามารับบริการสุขภาพในประเทศไทย เช่น การทำวีซ่าไม่ยุ่งยากและกำหนดระยะเวลาที่ให้อยู่ในประเทศไทยอย่างเหมาะสม ดังตัวอย่างของประเทศอินเดียที่ให้วีซ่าประเภท M หรือ Medical Visa ซึ่งเป็นวีซ่าสำหรับผู้ป่วยต่างชาติที่ต้องการเดินทางเข้ามารับบริการทางการแพทย์ในอินเดีย โดยมีอายุไม่เกิน 1 ปี และขยายเวลาได้เพิ่มอีกไม่เกิน 1 ปี เป็นต้น
- ฮับอภิบาลคนชรา (Elderly Health Care and Retirement Hub)
ภาครัฐควรมีการจัดเตรียมพื้นที่เพื่อจัดสร้างหมู่บ้านผู้เกษียณอายุ (Retirement Villages) สำหรับผู้สูงอายุทั้งไทยและต่างชาติ อันเป็นชุมชนที่จะทำให้ผู้สูงอายุได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างเป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและส่วนรวม ซึ่งแนวทางดำเนินการควรเริ่มต้นด้วยการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งสถานดูแลผู้สูงอายุให้มีความชัดเจน เพื่อรองรับธุรกิจบริการผู้สูงอายุภาคเอกชนรูปแบบต่างๆ และเป็นข้อกำหนดและแนวทางในการปฏิบัติ สำหรับผู้ประกอบการสถานดูแลผู้สูงอายุอย่างระบบและมีมาตรฐานเดียวกัน
นอกจากนี้ ประเทศไทยควรจัดตั้งหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในด้านผู้สูงอายุ เพื่อทำหน้าที่ควบคุม ตรวจสอบ และรับรองมาตรฐานสถานประกอบการ รวมทั้งการพัฒนาระบบฐานข้อมูลและเผยแพร่องค์ความรู้ที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ และสนับสนุนการเผยแพร่ข้อมูลด้านการตลาดเชิงลึก เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงและนำข้อมูลไปใช้ให้ เป็นประโยชน์ในการวางแผนการดำเนินธุรกิจ ปรับปรุงและพัฒนารูปแบบของบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด
มากกว่านั้น ภาครัฐควรส่งเสริมศักยภาพของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุ เช่น การสนับสนุนสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการในลักษณะของเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ เพื่อนำมาจัดตั้งธุรกิจที่เกี่ยวกับดูแลผู้สูงอายุ ตลอดจนยกระดับมาตรฐานการบริการให้สูงขึ้น หรือการลดหย่อนทางภาษีให้กับผู้ประกอบการ เพื่อลดอุปสรรคและเอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวเป็นบริการที่ให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุ จึงเป็นเสมือนการตอบแทนสังคม โดยการดูแลและสนับสนุนให้ผู้สูงอายุในสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ในมุมมองของผม การสร้างประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเพื่อ “สุขสภาพ” ทั้งสำหรับคนทั่วไปและเฉพาะเจาะจงสำหรับผู้สูงอายุ เป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยก้าวสู่ประเทศรายได้สูงได้ แต่ประเด็นสำคัญกว่า คือ ความกล้าที่จะตั้งเป้าหมายและลงมือทำอย่างเร่งด่วน ด้วยความร่วมมือและร่วมใจของทุกภาคส่วน