23/02/2025
**เจ็บคอจำเป็นต้องกินยาฆ่าเชื้อไหม?**
การเจ็บคอ (Sore throat) เป็นอาการที่พบบ่อยในเวชปฏิบัติ เป็นได้ทั้งจากเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย การตัดสินใจว่าจะรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อ (ยาปฏิชีวนะ) หรือไม่ ขึ้นอยู่กับสาเหตุ ความรุนแรงของอาการ และปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วย ในบทความนี้จะอธิบายแนวทางการพิจารณาจากหลักฐานทางการแพทย์สากลและผลงานวิจัยแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม (Randomized Controlled Trials: RCT) เพื่อให้เข้าใจว่าควรใช้ยาฆ่าเชื้อเมื่อไรและอย่างไร
---
# # 1. สาเหตุของการเจ็บคอ
1. **เชื้อไวรัส (Viral pharyngitis)**
- พบได้บ่อยที่สุด ประมาณ 70-80% ของการเจ็บคอทั้งหมด
- มักมีอาการร่วมเช่น ไอ น้ำมูกไหล คัดจมูก ตาแดง เสียงแหบ หรือท้องเสีย
- ส่วนใหญ่หายได้เองภายใน 5-7 วัน โดยการรักษาตามอาการ (ประคับประคอง)
2. **เชื้อแบคทีเรีย (Bacterial pharyngitis)**
- สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือ เชื้อ Group A Streptococcus (GAS) หรือ Streptococcus pyogenes
- อาการที่อาจสงสัยว่าเป็น GAS ได้แก่ มีไข้สูง ไม่มีอาการไอ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอโตและกดเจ็บ มีจุดหนองหรือคราบขาวบริเวณทอนซิล และอาการปวดคอค่อนข้างรุนแรง
- พบในเด็กและวัยรุ่นบ่อยกว่าในผู้ใหญ่
---
# # 2. แนวทางการวินิจฉัย
# # # 2.1 การประเมินทางคลินิก (Clinical scoring)
- **Centor Criteria** หรือ **Modified Centor (McIsaac) Criteria** ใช้ประเมินความน่าจะเป็นของการติดเชื้อ GAS ได้ โดยพิจารณาจาก
1. มีไข้ (Temperature > 38°C)
2. ไม่มีอาการไอ
3. ต่อมน้ำเหลืองที่คอโตและกดเจ็บ (Tender anterior cervical adenopathy)
4. มีจุดหนองหรือคราบขาวบนทอนซิล
5. อายุน้อยกว่า 15 ปี (เพิ่ม 1 คะแนน) และอายุมากกว่า 44 ปี (ลบ 1 คะแนน)
คะแนนรวมจะช่วยประเมินความเสี่ยง ซึ่งหากมีคะแนนสูง อาจพิจารณาทำ Rapid Antigen Detection Test (RADT) หรือส่งเพาะเชื้อคอ (Throat culture) เพื่อยืนยัน
# # # 2.2 Rapid Antigen Detection Test (RADT) และ Throat culture
- หากผลเป็น **บวก** ต่อ GAS โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน ควรได้รับยาฆ่าเชื้อตามแนวทาง
- หากผลเป็น **ลบ** หรือมีความเป็นไปได้ว่าเป็นเชื้อไวรัสสูง การให้ยาฆ่าเชื้ออาจไม่จำเป็น
---
# # 3. หลักฐานจากงานวิจัย (RCT) เกี่ยวกับการให้ยาฆ่าเชื้อ
1. **ลดระยะเวลาอาการเจ็บคอ**
- RCT จำนวนหนึ่งพบว่า ในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อ GAS จริง การให้ยาปฏิชีวนะสามารถลดระยะเวลาของอาการเจ็บคอได้เฉลี่ยประมาณ 1-2 วัน เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับยาหรือได้รับยาหลอก (Placebo)
- อย่างไรก็ตาม ในผู้ป่วยที่เป็นไวรัสหรือมีโอกาสเป็นแบคทีเรียน้อย การให้ยาฆ่าเชื้อไม่ได้ช่วยให้หายเร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
2. **ป้องกันภาวะแทรกซ้อน**
- งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า การให้ยาฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสมในผู้ป่วยที่ติดเชื้อ GAS สามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น ไข้รูมาติก เฉียบพลัน (Acute rheumatic fever) หรือฝีรอบทอนซิล (Peritonsillar abscess) ได้
- ในกรณีที่เจ็บคอจากไวรัสหรือเชื้ออื่น ๆ ที่ไม่ใช่ GAS งานวิจัยแสดงว่าการให้ยาฆ่าเชื้อไม่ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อไวรัส
3. **ผลข้างเคียงและการดื้อยา**
- RCT ที่ศึกษาผู้ป่วยจำนวนมาก พบว่าการใช้ยาฆ่าเชื้อโดยไม่จำเป็นอาจเกิดผลข้างเคียง ได้แก่ ปวดท้อง คลื่นไส้ ท้องเสีย หรือเกิดอาการแพ้ยา
- การใช้ยาฆ่าเชื้อโดยไม่เหมาะสมและต่อเนื่องนาน ๆ จะส่งเสริมให้เกิดการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญทั่วโลก (Antimicrobial Resistance)
---
# # 4. แนวทางการรักษาตามหลักฐานทางการแพทย์
1. **กรณีสงสัยว่าเกิดจากไวรัส**
- แนะนำการรักษาประคับประคอง (Supportive treatment) ได้แก่ ดื่มน้ำมาก ๆ บ้วนคอด้วยน้ำเกลืออุ่น พักผ่อนเพียงพอ ใช้ยาลดไข้และลดอาการปวด เช่น พาราเซตามอล (Paracetamol) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ตามความเหมาะสม
- **ไม่** จำเป็นต้องให้ยาฆ่าเชื้อ เพราะไม่ได้ช่วยให้อาการดีขึ้นหรือป้องกันภาวะแทรกซ้อน
2. **กรณีสงสัยหรือยืนยันว่าติดเชื้อ GAS**
- แพทย์มักเลือกใช้ยาฆ่าเชื้อกลุ่ม Penicillin V หรือ Amoxicillin เป็นยามาตรฐาน เพราะสามารถกำจัดเชื้อ GAS ได้ดีและมีอัตราการดื้อยาต่ำ
- หากผู้ป่วยแพ้ยา Penicillin อาจใช้ยาในกลุ่ม Macrolides เช่น Azithromycin หรือ Clarithromycin เป็นทางเลือก
- โดยปกติให้ยาอย่างน้อย 10 วัน หรือให้ตามขนาด/ระยะเวลาตามแนวทางการรักษา เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน
3. **กรณีอาการเจ็บคอไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด**
- หากมีคะแนนจาก Centor/McIsaac Criteria สูง หรือมีอาการบ่งชี้ต่อ GAS ควรพิจารณาทำ RADT หรือ Throat culture ก่อนเริ่มยาฆ่าเชื้อ
- หากผลตรวจเป็นลบ และอาการไม่รุนแรง ควรติดตามอาการ หรือรักษาประคับประคองเป็นหลัก
---
# # 5. สรุปและข้อแนะนำ
- ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มีอาการเจ็บคอเกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งไม่ตอบสนองต่อยาฆ่าเชื้อ การให้ยาฆ่าเชื้อในกลุ่มนี้จึง **ไม่** มีประโยชน์ และยังเสี่ยงต่ออาการข้างเคียงและการดื้อยา
- การตรวจวินิจฉัยเบื้องต้นโดยใช้เกณฑ์ทางคลินิก (Centor/McIsaac Criteria) ร่วมกับ Rapid Antigen Detection Test (RADT) หรือ Throat culture จะช่วยยืนยันภาวะติดเชื้อแบคทีเรีย (โดยเฉพาะ GAS) เพื่อพิจารณาการใช้ยาฆ่าเชื้อได้อย่างแม่นยำ
- งานวิจัยแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม (RCT) ชี้ว่า ยาฆ่าเชื้อมีประโยชน์จริงในผู้ป่วยที่ติดเชื้อ GAS โดยช่วยลดระยะเวลาอาการเจ็บคอ ลดความเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อน แต่ในกรณีของการติดเชื้อไวรัสไม่ได้ช่วยให้อาการดีขึ้น
- การใช้ยาฆ่าเชื้อโดยไม่จำเป็น นอกจากจะไม่ช่วยให้อาการเจ็บคอที่เกิดจากไวรัสหายเร็วขึ้นแล้ว ยังอาจทำให้เกิดผลเสีย ทั้งอาการข้างเคียงและการเพิ่มขึ้นของปัญหาเชื้อดื้อยา
**คำแนะนำผู้ป่วย:**
1. หากมีอาการเจ็บคอ ร่วมกับไข้สูงและไม่มีอาการไอ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเป็นไปได้ของเชื้อ GAS
2. หากแพทย์วินิจฉัยหรือยืนยันว่าเป็นเชื้อ GAS ให้รับประทานยาฆ่าเชื้อครบตามกำหนด ห้ามหยุดยาเองแม้อาการจะดีขึ้น
3. หากประเมินว่าเป็นการติดเชื้อไวรัส ควรรักษาประคับประคองและดูแลสุขภาพให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อบรรเทาอาการ
4. ไม่ควรซื้อยาฆ่าเชื้อกินเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อป้องกันการใช้ยาเกินจำเป็นและภาวะดื้อยา
---
**เอกสารอ้างอิง (References):**
- Shulman ST, et al. *Clinical Practice Guideline for the Diagnosis and Management of Group A Streptococcal Pharyngitis: 2012 Update by the Infectious Diseases Society of America*. Clin Infect Dis. 2012;55(10):1279-1282.
- Spinks A, et al. *Antibiotics for sore throat*. Cochrane Database of Systematic Reviews. 2021;7(7):CD000023.
- NICE. *Sore throat (acute): antimicrobial prescribing (NG84)*. 2018.
- Centor RM, et al. *The Diagnosis of Strep Throat in Adults in the Emergency Room*. Med Decis Making. 1981;1(3):239-246.
บทสรุปคือ **ไม่ใช่ทุกกรณีของอาการเจ็บคอที่จะต้องใช้ยาฆ่าเชื้อ** หากเป็นการติดเชื้อไวรัสมักหายได้เอง ด้วยการดูแลตามอาการ แต่ถ้าแพทย์วินิจฉัยได้ว่าเป็นเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะ Group A Streptococcus ควรได้รับยาฆ่าเชื้อตามแนวทางอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและลดการแพร่กระจายของเชื้อ นี่คือความสำคัญของการตรวจและวินิจฉัยที่ถูกต้อง รวมถึงการใช้ยาอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยตามหลักฐานทางการแพทย์จาก RCT และแนวทางสากลค่ะ