Nutrition Support Team

  • Home
  • Nutrition Support Team

Nutrition Support Team Nutrition Support Team
Sunpasitthiprasong Hospital

04/08/2025

📌 อ่านให้จบก่อนตัดสินใจ ผ่าตัดลดน้ำหนัก

ผ่าตัดลดน้ำหนัก ไม่ใช่ทางลัด แต่เป็นทางเลือกหนึ่งของการรักษา

การผ่าตัดลดน้ำหนัก (Bariatric Surgery) กลายเป็นทางเลือกที่พูดถึงมากขึ้นในยุคที่โรคอ้วนรุนแรงส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างรอบด้าน เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หรือข้อเข่าเสื่อม แต่ก่อนจะตัดสินใจ "ผ่า" อยากชวนทุกคน “อ่านให้จบ” เพราะการผ่าตัดไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคน และไม่ใช่ทางลัดในการลดน้ำหนัก

✅ ใครเหมาะกับการผ่าตัดลดน้ำหนัก?

แพทย์จะพิจารณาแนะนำการผ่าตัดเฉพาะในผู้ที่...

BMI ≥ 37.5 kg/m² หรือ

BMI ≥ 32.5 kg/m² พร้อมโรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนัก เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 ความดันโลหิตสูง หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

ไม่สามารถลดน้ำหนักได้ด้วยวิธีทั่วไป เช่น ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย หรือใช้ยาลดน้ำหนักภายใต้การดูแลของแพทย์

✨ ข้อดีของการผ่าตัดลดน้ำหนัก

ลดน้ำหนักได้ชัดเจนและต่อเนื่อง

ลดความเสี่ยงหรือควบคุมโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือด

เพิ่มคุณภาพชีวิต เช่น เดินเหินคล่องขึ้น นอนหลับดีขึ้น อารมณ์ดีขึ้น

⚠️ ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย

❌ ผ่าตัดแล้วจะกินอะไรก็ได้ → ผิด! หลังผ่าตัดต้องปรับพฤติกรรมการกินอย่างเคร่งครัด

❌ ผ่าตัดแล้วหุ่นผอมทันที → ผิด! การเปลี่ยนแปลงใช้เวลา และต้องมีวินัย

❌ ผ่าตัดแล้วจะไม่มีผลข้างเคียง → ผิด! การผ่าตัดมีความเสี่ยง เช่น แผลติดเชื้อ ลิ่มเลือด หรือขาดสารอาหาร

การผ่าตัดลดน้ำหนัก ปัจจุบันมี 2 เทคนิคที่นิยม คือ

1️⃣.การผ่าตัดแบบสลีฟ (Sleeve Gastrectomy):

เป็นการผ่าตัดย่อขนาดกระเพาะอาหารให้เล็กลง โดยการตัดกระเพาะอาหารส่วนที่เกินออกไปประมาณ 75-80% ทำให้เหลือกระเพาะอาหารในลักษณะท่อยาวคล้ายแขนเสื้อ ซึ่งช่วยจำกัดปริมาณอาหารที่รับประทานได้และลดการผลิตฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกหิว

แต่กระเพาะอาหารที่ถูกตัดออกไปบางส่วน ส่งผลให้ร่างกายดูดซึมวิตามินและเกลือแร่บางชนิดได้ลดลงตลอดชีวิต ได้แก่ วิตามินบี 12 ธาตุเหล็ก สังกะสี แคลเซียม ซึ่งควรต้องได้รับการเสริมหลังผ่าตัดตลอดชีวิต

2️⃣.การผ่าตัดแบบบายพาส (Roux-en-Y Gastric Bypass):

วิธีนี้เป็นการผ่าตัดทั้งลดขนาดกระเพาะอาหารให้เล็กลงและปรับเปลี่ยนทางเดินอาหารให้เบี่ยงข้ามส่วนที่ดูดซึมสารอาหารสูง ทำให้จำกัดปริมาณอาหารและลดการดูดซึมสารอาหารได้

นอกจากจะส่งผลทำให้มีโอกาสเกิดการขาด วิตามินบี 12 ธาตุเหล็ก สังกะสี แคลเซียม ยังเพิ่มโอกาสการขาดวิตามินที่ละลายในไขมัน กลุ่มอาการอาหารตกเร็ว (Dumping syndrome)

ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นได้หลังการผ่าตัดลดน้ำหนัก

· ภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลัน (ใน 30 วัน):
เช่น แผลรั่ว ลิ่มเลือด เสียเลือด กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

อัตราการเสียชีวิตหลังผ่าตัดเฉียบพลันอยู่ที่ 0.1–0.2%

ภาวะแทรกซ้อนระยะยาว:
เช่น การขาดสารอาหาร (ธาตุเหล็ก, แคลเซียม, วิตามิน B12), ภาวะอาหารตกเร็ว (Dumping syndrome) เกิดจากอาหารไหลเร็วเกินไปสู่ลำไส้ ทำให้มีอาการเวียนหัว หน้ามืด ท้องเสีย โดยมีโอกาสเกิดขึ้นได้ 20–50% โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ผ่าตัดด้วยวิธี RYGB, นิ่วในถุงน้ำดี, โรคกระดูกพรุน, โรคกรดไหลย้อน, แผลในลำไส้

บางรายมี “น้ำหนักกลับขึ้น” โดยเฉพาะหลัง sleeve gastrectomy หากไม่ปรับพฤติกรรม

📍 ก่อนตัดสินใจ ควรปรึกษาใครบ้าง?

แพทย์อายุรกรรมโรคอ้วน อายุรกรรมโภชนศาสตร์คลินิก อายรุกรรมต่อมไร้ท่อ เพื่อประเมินความเหมาะสมและวางแผนการรักษา

ศัลยแพทย์เฉพาะทางผ่าตัดโรคอ้วน

นักโภชนาการ เพื่อวางแผนการกินก่อน–หลังผ่าตัด

จิตแพทย์หรือจิตวิทยา ในบางกรณี เช่น มีภาวะกินเกินจากอารมณ์ หรือโรคซึมเศร้าร่วม

🧭 ทางเลือกอื่นก่อน “ผ่า”

หากยังไม่พร้อมผ่าตัด ยังมีทางเลือกอื่นที่ปลอดภัยและได้ผลในบางกลุ่ม เช่น

การปรับพฤติกรรมแบบเข้มข้น (Intensive Lifestyle Intervention) และ โปรแกรมควบคุมน้ำหนักโดยทีมสหวิชาชีพ ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด

การใช้ยาในผู้ที่มีข้อบ่งชี้ เช่น ยาฉีดกลุ่ม GLP-1



💬 สรุป

การผ่าตัดลดน้ำหนักคือ “เครื่องมือ” ไม่ใช่ “ทางลัด” และต้องทำควบคู่กับการปรับพฤติกรรมตลอดชีวิต

"น้องกระเพาะอาหารอาจจะดื้อหรือเกเร หิวบ่อย เพราะถูกตามใจมานาน ก่อนตัดสินใจ ตัด ควรให้โอกาสน้องได้ฝึก ก่อน เพราะน้องก็มีหน้าที่ ดูดซึมสารอาหารตัวสำคัญหลายอย่าง แต่หากพยายามควบคุมอย่างเต็มที่แล้ว ยังไม่สามารถลดน้ำหนักได้ โรคเรื้อรังรุนแรงรุมเล้า การเลือกผ่าตัดกระเพาะก็เป็นทางเลือกหนึ่ง ควรเลือกทำในสถานพยาบาลที่ได้การรับรองและมีการดูแลและติดตามแบบครบวงจรโดยทีมสหสาขา ติดตามต่อเนื่องตามแพทย์นัด เพราะหากตัดไปแล้ว ยังตามใจน้องบ่อย ก็มีโอกาสกลับมายืดและกลับไปรับประทานเยอะได้ และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการขาดสารอาหารบางชนิดได้"

หากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังพิจารณา ลองชะลอหนึ่งก้าว อ่านข้อมูลให้รอบด้าน และเข้ารับคำปรึกษากับทีมแพทย์ก่อนทุกครั้ง

#แพทย์โภชนาการ #นักกำหนดอาหาร #อยากผอม #ผ่าตัด #ผ่าตัดลดน้ำหนัก #ต้องอ่าน #ทางเลือก #ไม่ใช่ทางลัด

บทความโดย พญ.เฉลิมพร เตียวศิริมงคล อายุรแพทย์โภชนศาสตร์คลินิก โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา
จัดทำโดยคณะอนุกรรมการสื่อสารองค์กรสมาคมผู้ให้อาหารทางหลอดเลือดดำและทางเดินอาหารแห่งประเทศไทย

Reference Gulinac M. Bariatric surgery state-of-the-art World J Clin Cases 2023 July 6; 11(19): 4504-4512

02/08/2025
31/07/2025

>> แบบประเมิน EAT-10 (Eating Assessment Tool-10) คือ แบบประเมินการกลืนสำหรับผู้ใหญ่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อคัดกรองปัญหาการกลืน (Dysphagia) อย่างง่าย รวดเร็ว และใช้ได้ในเวชปฏิบัติทั่วไป

28/07/2025

ยาลดน้ำหนัก ใช่คำตอบของทุกคนหรือไม่ ❓️❓️

ในยุคที่หลายคนพยายามลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพ ยาลดน้ำหนักกลายเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ แต่รู้หรือไม่ว่า...
ไม่ใช่ทุกคนจะเหมาะกับการใช้ยา!
⚠️ ข้อบ่งชี้ยาลดน้ำหนัก
ดัชนีมวลกายเกิน 30 หรือ เกิน 27 และมีโรคร่วม โดยได้ผ่านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างถูกต้องแล้วเป็นเวลามากกว่า 3-6 เดือน และน้ำหนักยังลดไม่เกิน 5% ของน้ำหนักตั้งต้น

ปัจจุบัน ยาลดน้ำหนักที่ผ่าน อย. ประเทศไทย แบ่งออกเป็น 3 ประเภท

1️⃣ ยากดความอยากอาหาร ได้แก่ ยา phentermine
🔸️กลไกการออกฤทธิ์ เพิ่ม สารสื่อประสาทสมอง กลุ่ม norepinephrine, dopamine และ serotonin ใน hypothalamus ทำให้ลดความอยากอาหาร
🔹️ผลข้างเคียง: ปากแห้ง ใจสั่น นอนไม่หลับ ความดันโลหิตสูง

2️⃣ ยาควบคุมระดับน้ำตาล/ฮอร์โมนได้แก่ hormone GLP-1 agonists: liraglutide และ semaglutide หรือ GLP-1/GIP agonist: Tirzepatide)
🔸️กลไกการออกฤทธิ์ ลดความอยากอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น
🔹️ผลข้างเคียง: คลื่นไส้อาเจียน ท้องผูก

3️⃣ ยายับยั้งเอ็นไซม์ย่อยไขมัน Lipase inhibitor: Orlistat
🔸️กลไกการออกฤทธิ์ ยับยั้ง การย่อยและการ ดูดซึมไขมันจาก อาหารได้มากถึง 30 % ทำให้ได้รับ พลังงานลดลง แต่ ไม่มีผลต่อความ อยากอาหาร
🔹️ผลข้างเคียง: อุจจาระเป็นน้ำมันปน กลั้นอุจจาระไม่อยู่ เพิ่มความเสี่ยงการขาดวิตามินที่ละลายในไขมัน

ทั้งนี้ยาเหล่านี้ “ไม่ได้ช่วยเผาผลาญไขมันโดยตรง” แต่ทำงานร่วมกับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย เพื่อให้การลดน้ำหนักมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โดยในปัจจุบันพบว่ามียาที่ไม่ผ่านการรับรองโดย อย และ ถูกนำมาใช้ผิดข้อบ่งชี้ ทั้งขายแบบผิดกฎหมายโดยการผสมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่โฆษณาเกินจริง หรือ ใช้ในคลินิกที่มีแพทย์ซึ่งอาจมิใช่แพทย์เฉพาะทาง และอาจไม่ได้ระบุชื่อบนฉลาก

❌️ Sibutramine
⛔️ อันตราย / เหตุผลที่ต้องหลีกเลี่ยงถูก: “ยกเลิกการใช้” ทั่วโลก เพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายและเส้นเลือดในสมองแตก

❌️Fenfluramine / Dexfenfluramine
⛔️อันตราย / เหตุผลที่ต้องหลีกเลี่ยง: ถูก “ยกเลิกการใช้” ทั่วโลก ทำให้เกิดโรคลิ้นหัวใจรั่วและภาวะความดันหลอดเลือดปอดสูง

❌️Ephedra / Ma Huang
⛔️อันตราย / เหตุผลที่ต้องหลีกเลี่ยง: กระตุ้นหัวใจ ความดันโลหิตสูงเฉียบพลันอาจนำไปสู่เส้นเลือดในสมองแตก เสี่ยงเสียชีวิต

❌️DNP (2,4-Dinitrophenol)
⛔️อันตราย / เหตุผลที่ต้องหลีกเลี่ยง: สารเคมีอันตรายระดับสูง! เสี่ยงต่อระบบเผาผลาญและอวัยวะวายเฉียบพลัน

❌️Thyroid hormones (T3, T4)
⛔️อันตราย / เหตุผลที่ต้องหลีกเลี่ยง: บางคนใช้เพื่อเร่งเผาผลาญโดยไม่มีข้อบ่งชี้ ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะและกล้ามเนื้อสลาย

❌️ Senokot/Dulcolac
⛔️ อันตราย / เหตุผลที่ต้องหลีกเลี่ยง: ยาระบาย ทำให้วิงเวียน ใจสั่น เสียน้ำจากการขับถ่ายที่ผิดปกติ

ซึ่งหากได้รับยาเหล่านี้ อาจอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ‼️

📍ข้อควรระวังสำคัญ
▪️ ไม่ควรซื้อยากินเองจากออนไลน์หรือแหล่งที่ไม่น่าเชื่ถือ
▪️ผู้ป่วยโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ควรพบแพทย์เฉพาะทางด้านอายุรกรรม และ ปรึกษาแพทย์ที่รักษาโรคหลักก่อนใช้เสมอ

▶️ อย่าลืมว่า การใช้ยาลดน้ำหนักควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทาง เพื่อความปลอดภัยและเหมาะสมกับสุขภาพของแต่ละบุคคล และเมื่อมีผลข้างเคียงควรแจ้งให้แพทย์ที่ดูแลทราบทันที

และหากน้ำหนักตัวไม่อยู่ในเกณฑ์ที่มีข้อบ่งชี้ อาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน น้ำหนักตัวที่ลดเร็วเกินไป เพิ่มโอกาสสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ และ เพิ่มโอกาสเกิดภาวะน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเร็วหลังการหยุดยา ที่เรียกว่าเกิดภาวะ โยโย่ได้

การลดน้ำหนักแบบยั่งยืน ควรใช้การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ได้แก่การลดอาหารพลังงานสูง กินอาหารที่มีกากใยสูง น้ำตาลน้อย ไขมันอิ่มตัวต่ำ โปรตีนที่เพียงพอ ร่วมกับการเพิ่มกิจกรรมทางกาย การนอนหลับอย่างเพียงพอ ไม่เครียด เลี่ยงบุหรี่ แอลกอฮอล์ และสารเสพติด

#ยาลดน้ำหนัก #ยาลดความอ้วน #อยากผอม #สุขภาพดี #แพทย์โภชนาการ

บทความโดย ผศ.พญ.ศานิต วิชานศวกุล
จัดทำโดยคณะอนุกรรมการสื่อสารองค์กรสมาคมผู้ให้อาหารทางหลอดเลือดดำและทางเดินอาหารแห่งประเทศไทย

21/07/2025

พลังงานสำหรับการวิ่ง: เข้าใจระบบเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

ร่างกายมนุษย์จำเป็นต้องมีพลังงานในการเคลื่อนไหว ซึ่งพลังงานหลักที่เซลล์นำไปใช้คือ ATP (Adenosine Triphosphate)

การทำความเข้าใจว่าเซลล์ผลิต ATP ได้อย่างไร และร่างกายปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานอย่างไร จะช่วยให้นักวิ่งวางแผนการฝึกซ้อมได้อย่างชาญฉลาดและพัฒนาประสิทธิภาพในการวิ่งได้ดีขึ้น

เซลล์สามารถผลิต ATP ได้ 4 วิธีหลัก และถูกใช้ในสถานการณ์และความเข้มข้นของการออกกำลังกายที่แตกต่างกัน:

🏃🏽‍➡️1️⃣ระบบครีเอทีนฟอสเฟต (Creatine Phosphate System): เป็นระบบที่ให้พลังงานเร็วที่สุดสำหรับการเคลื่อนไหวแบบ ฉับพลันและสั้นมาก ไม่เกิน 15 วินาที เช่น การออกตัววิ่งระยะสั้น ระบบนี้ผลิต ATP ได้เพียง 1 โมเลกุลต่อครั้ง

🏃🏽‍♀️‍➡️2️⃣ไกลโคไลซิส (Glycolysis): เป็นการสลายกลูโคสที่ได้จากไกลโคเจนในกล้ามเนื้อและตับ. สามารถผลิต ATP ได้ 2 โมเลกุล และคงอยู่ได้ประมาณ 11 นาที จุดเด่นคือกระบวนการนี้สามารถเกิดขึ้นได้ โดยไม่ใช้ออกซิเจน การฝึกเพื่อเป็นนักวิ่งระยะสั้น (sprinters) จะเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพของไกลโคไลซิส

🏃🏾‍♂️‍➡️3️⃣การหายใจแบบใช้ออกซิเจน (Aerobic Respiration): เป็นกระบวนการที่ใช้กลูโคสและออกซิเจนในการผลิตพลังงาน มีประสิทธิภาพสูงกว่า สามารถผลิต ATP ได้ 28-30 โมเลกุล และเป็นแหล่งพลังงานหลักสำหรับการออกกำลังกายที่ยาวนานประมาณ 2-3 ชั่วโมง การฝึกเพื่อเพิ่มความทนทาน (endurance) มุ่งเน้นการพัฒนาการหายใจแบบใช้ออกซิเจน

🏃🏿‍♀️‍➡️4️⃣การออกซิเดชันของกรดไขมัน (Fatty Acid Oxidation): เป็นระบบที่ใช้ไขมันสำรองในร่างกายเป็นพลังงาน เป็นแหล่งพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถผลิต ATP ได้มากถึง 98-106 โมเลกุล และแทบจะ ไม่มีข้อจำกัดด้านเวลา ในการใช้งาน เหมาะสำหรับการวิ่งระยะไกลมากๆ

การปรับเปลี่ยนระบบพลังงานและประเภทการฝึก ร่างกายจะปรับเปลี่ยนการใช้ระบบพลังงานตาม ความเข้มข้นของการฝึก และอัตราการเต้นของหัวใจ:

🟢ที่ความเข้มข้นต่ำ (โซน Recovery หรือ Fat Burn) ร่างกายจะเน้นการใช้ Fatty Acid Oxidation เป็นหลัก
🟡เมื่อความเข้มข้นเพิ่มขึ้น (โซน Aerobic) ร่างกายจะพึ่งพาระบบ Aerobic Respiration มากขึ้น
🔴ที่ความเข้มข้นสูงสุด (โซน Anaerobic หรือ Max Effort) ร่างกายจะใช้ Glycolysis เป็นหลัก

การทำความเข้าใจว่าการฝึกวิ่งแต่ละประเภทส่งผลต่อระบบพลังงานในร่างกายอย่างไร เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการออกแบบโปรแกรมการฝึกซ้อมที่มีประสิทธิภาพและตรงตามเป้าหมายของนักวิ่ง แหล่งข้อมูลระบุประเภทการฝึกวิ่งหลักๆ ไว้ 4 ประเภท ได้แก่:

💪🏼Recovery Run (การวิ่งฟื้นฟู): การวิ่งประเภทนี้มีวัตถุประสงค์หลักคือ ไม่ใช่เพื่อพัฒนา (หรือกระตุ้นโดยตรง) ระบบพลังงานใดๆ ในร่างกาย แต่เป็นการวิ่งด้วยความหนักที่ต่ำมาก เพื่อช่วยในการฟื้นฟูร่างกายหลังจากการฝึกซ้อมหนัก หรือเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับวันฝึกซ้อมถัดไป การวิ่งในโซนนี้จะอยู่ในระดับอัตราการเต้นของหัวใจที่ต่ำที่สุด ซึ่งเป็นโซน "Recovery" (การฟื้นตัว) ซึ่งอาจจะอยู่ที่ประมาณ 60% ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด

🦵🏼Easy Run (การวิ่งสบายๆ): การวิ่งแบบ Easy Run มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาการใช้ Fatty Acid Oxidation (การออกซิเดชันของกรดไขมัน) ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานจากไขมันที่ร่างกายสามารถใช้ได้อย่างยาวนานและมีประสิทธิภาพสูง การวิ่งประเภทนี้จะช่วยเพิ่มความสามารถของร่างกายในการดึงไขมันมาใช้เป็นพลังงานได้ดีขึ้น โดยจะเน้นการวิ่งในโซนที่เรียกว่า "Fat Burn🔥" ซึ่งเป็นช่วงอัตราการเต้นของหัวใจที่เหมาะสมที่สุดในการเผาผลาญไขมัน มักจะอยู่ในช่วงก่อนถึง 1st Lactate Threshold (จุดเปลี่ยนแลคเตทแรก)

💨Tempo Run (การวิ่งเร็วต่อเนื่อง): การวิ่งแบบ Tempo Run มีเป้าหมายหลักในการพัฒนา Aerobic Respiration (การหายใจแบบใช้ออกซิเจน) ซึ่งเป็นระบบพลังงานหลักสำหรับการวิ่งระยะกลางถึงระยะไกล การฝึกนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของร่างกายในการรักษาระดับความเร็วที่สูงขึ้นได้นานขึ้น โดยยังคงใช้พลังงานแบบใช้ออกซิเจนเป็นหลัก โดยจะวิ่งในโซน "Aerobic" ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายมีการใช้พลังงานแบบใช้ออกซิเจนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และมักจะอยู่ระหว่าง 1st Lactate Threshold และ 2nd Lactate Threshold (จุดเปลี่ยนแลคเตทที่สอง)

👣Interval Run (การวิ่งสลับเร็วสลับช้า): การวิ่งแบบ Interval Run เป็นการฝึกที่เน้นการพัฒนาความเร็วสูงสุดและประสิทธิภาพของระบบ Glycolysis (ไกลโคไลซิส) รวมถึงการเพิ่ม VO2 Max ซึ่งหมายถึงปริมาณออกซิเจนสูงสุดที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ในระหว่างการออกกำลังกายอย่างหนัก การฝึกประเภทนี้ประกอบด้วยการวิ่งเร็วในระยะสั้นๆ สลับกับการพักหรือวิ่งช้า ซึ่งจะผลักดันให้ร่างกายเข้าสู่โซน "Anaerobic" (ไม่ใช้ออกซิเจน) หรือ "Max Effort" (ความพยายามสูงสุด) เพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบไกลโคไลซิสให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การฝึกไกลโคไลซิสที่มากเกินไปอาจส่งผลจำกัดต่อการพัฒนาการหายใจแบบใช้ออกซิเจนได้

#นักวิ่ง #วิ่งเพื่อสุขภาพ #วิ่งเร็วที่สุด #วิ่งกับหมอ #หมอพาวิ่ง #ฝึกฝนร่างกายด้วยการวิ่ง

บทความโดย นพ. กิตติธัช แต้มแก้ว
อาจารย์แพทย์หน่วยโภชนศาสตร์คลินิกและโรคอ้วน สาขาวิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
จัดทำโดยคณะอนุกรรมการฝ่ายสื่อสารองค์กร สมาคมผู้ให้อาหารทางหลอดเลือดดำและทางเดินอาหารแห่งประเทศไทย

15/07/2025

Integrating lifestyle factors like diet and physical activity with receptor agonists is essential for managing symptoms, maintaining nutrition, preserving lean mass, and promoting regular physical activity.

https://ja.ma/4nNzTvp

SIADH เป็นอีกภาวะที่ทีมโภชนบำบัดมักจะเจอในเวชปฏิบัติ
14/07/2025

SIADH เป็นอีกภาวะที่ทีมโภชนบำบัดมักจะเจอในเวชปฏิบัติ

📍แก้ Na ยังไงก็ไม่ขึ้น! มารู้จัก ”SIAD” หรือชื่อเดิม “SIADH”🧐
—————————————————————————
👩‍⚕️ “พี่คะ… คนไข้ Na 119 ให้ 3% NaCl ไปแล้ว 1 amp ตอนที่อาเจียน 🤮 ตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้ ให้ NSS ต่อ แต่เช้านี้ยังไม่ขึ้นเลยค่ะ…”

👨‍⚕️ “อืม ลองดูว่ามี volume depletion มั้ย ปัสสาวะออกเยอะรึเปล่า? หรืออาจจะเป็น SIAD!”

🔁 เคสแบบนี้วนมาให้เราเจอบ่อยๆ
– คนไข้ hyponatremia แบบไม่มี volume depletion
– ไม่บวม ไม่แห้ง ไม่มี hypotension
– ปัสสาวะไม่ลดเลย (ยังออกดี!) 💦
– เจาะ Na รอบใหม่… ยังอยู่ที่ 117! 😵‍💫

“ทำไมแก้ sodium ยังไงก็ไม่ดีขึ้น?”
“คนไข้ดูไม่ขาดน้ำ ทำไมยัง low Na?”
“หรือว่านี่คือ SIAD!?”
“SIAD รักษายังไง ต้องเจาะอะไรเพิ่ม?”
“แล้วต้องกลัว overcorrection ไหม?”
————————————————————————
✏️ มารู้จักกับ SIAD ▪️สาเหตุอันดับ 1️⃣ ของภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ “Hyponatremia”
————————————————————————

💧 โซเดียมต่ำเป็น electrolyte disturbance ที่พบบ่อยที่สุดในโรงพยาบาล
– พบได้มากถึง 30% ของผู้ป่วยใน
– และเป็นสาเหตุของอาการที่หลากหลาย ตั้งแต่…
🌀 เวียนหัว
🛏 ซึม
⚡️ ชัก
🧠 สมองบวม
💀 จนถึง brain herniation และเสียชีวิต!

🚨 ทำไมต้องรีบวินิจฉัยให้ถูกตั้งแต่แรก?
———————————————————-
🔹 เพราะถ้ารักษา Na ต่ำ แบบผิดกลไก เช่น ให้ NSS ในคนที่ไม่ได้ขาด volume
→ อาจยิ่งทำให้ Na ลดลงอีก!
→ เสี่ยง seizures หรือ coma

🔹 แต่ถ้ารีบแก้เร็วเกิน โดยไม่เข้าใจว่า Na ต่ำมานานแล้ว
→ เสี่ยงเกิด Osmotic Demyelination Syndrome (ODS)
→ พูดไม่ได้ กลืนไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้… ตลอดชีวิต

📍 Na ต่ำจึง ไม่ใช่แค่ให้ 3%NaCl หรือ 0.9%NaCl แต่เป็น ภาวะที่ต้องคิดอย่างละเอียดรอบคอบเสมอ!

🧠 1️⃣ SIAD คืออะไร? 📝
🧠 2️⃣ จุดเริ่มต้นของ SIAD 🌊
🧠 3️⃣ Criteria วินิจฉัย SIAD 🌊
🧠 4️⃣ วินิจฉัยแยกโรคที่คล้ายกัน 🧐
🧠 5️⃣ สาเหตุของ SIAD 🌡️
🧠 6️⃣ ประเมิน 4 อย่างก่อนการรักษา 🧑🏻‍⚕️
🧠 7️⃣ รักษา SIAD 🏥
➕ ประเด็นเพิ่มเติมใน comment

————————————————————————-
🧠1️⃣ SIAD คืออะไร? 📝
————————————————————————-

👩‍⚕️SIAD หรือชื่อเต็มว่า
Syndrome of Inappropriate Antidiuresis
เป็นภาวะที่ร่างกาย “หลั่ง ADH มากเกินความจำเป็น”
แม้ว่า volume ในร่างกายจะปกติหรือเกินก็ตาม!

💧 กลไกหลักของ SIAD:
1. มีการหลั่ง ADH โดยไม่เหมาะสมกับ osmolar status หรือ volume status 🧠
2. ADH ไปกระตุ้น V2 receptor ที่ renal collecting duct 🫗
3. ทำให้มีการ reabsorb น้ำกลับ โดยไม่ reabsorb เกลือ 💦
4. ร่างกายเลยเจือจางโซเดียม (Dilutional hyponatremia) 🧂
5. ผลคือ Serum sodium ลดลง (แต่ยัง euvolemic) 📉

🚫 SIAD ≠ Hypervolemia
—————————————-
แม้จะดูเหมือนมีน้ำเกิน แต่ร่างกายจะขับน้ำส่วนเกินออกบางส่วน
ทำให้คนไข้ส่วนใหญ่ ดูไม่บวม ไม่แห้ง
= เรียกว่า “Euvolemic hyponatremia”

🔬 ตัวอย่าง Clinical ที่เข้าได้กับ SIAD:
-——————————————————-
• Serum sodium ต่ำ
• Serum osmolality ต่ำ
• Urine osmolality สูง (เกิน 100 mOsm/kg)
• Urine sodium สูง (มักเกิน 30 mmol/L)
• ไม่มี edema
• ไม่มี sign ของ volume depletion

❓แล้ว SIAD มักเกิดจากอะไร?
🦠 โรคปอด เช่น pneumonia, TB
🧠 โรคในสมอง เช่น stroke, tumor
💊 ยาบางชนิด เช่น SSRI, carbamazepine
🦀 มะเร็งบางชนิด (เช่น small cell lung cancer)

————————————————————————-
🧠 2️⃣ จุดเริ่มต้นของ SIAD 🌊
————————————————————————-

📅 ปี 1957
🔬 โลกการแพทย์ได้รู้จัก SIAD เป็นครั้งแรก!
👨‍⚕️ ทีมนักวิจัยนำโดย Schwartz & Bartter รายงานผู้ป่วย มะเร็งปอดชนิด bronchogenic carcinoma ที่มี…

– 💧 Serum sodium ต่ำมาก
– 🧪 Serum osmolality ต่ำ
– ⚖️ ไม่มี dehydration และไม่มี edema
– และที่สำคัญ… 🔥 พบ ADH สูงผิดปกติ โดยไม่มีเหตุให้ร่างกายต้องหลั่ง!

📌 พวกเขาตั้งชื่อภาวะนี้ว่า
“Syndrome of Inappropriate Secretion of Antidiuretic Hormone”
ซึ่งต่อมากลายเป็นชื่อยอดฮิตที่เรารู้จักกันว่า “SIAD”

📅 ปี 1967
🧠 Bartter & Schwartz ตีพิมพ์บทความใน American Journal of Medicine 🇺🇸
💡 พวกเขากำหนด เกณฑ์วินิจฉัย SIAD อย่างเป็นระบบ
= กลายเป็น “มาตรฐานทองคำ” ที่แพทย์ทั่วโลกรู้จักในชื่อ “Bartter & Schwartz Diagnostic Criteria” 🏅

————————————————————————-
🧠 3️⃣ Criteria วินิจฉัย SIAD 🌊
————————————————————————-

🌎 Bartter & Schwartz Diagnostic Criteria ได้กำหนดเกณฑ์ (Essential Criteria)

🔹 ต้องเข้าเกณฑ์ครบทั้ง 6 ข้อต่อไปนี้
——————————————————

✅ 1) Hypotonic hyponatremia 💧
——————————————————
– Serum sodium < 135 mmol/L
– Serum osmolality < 275 mOsm/kg
📌 ยืนยันว่าเป็น โซเดียมต่ำแบบแท้จริง (ไม่ใช่ pseudohyponatremia จาก lipid, glucose ฯลฯ)

✅ 2) Inappropriately concentrated urine 🧪
——————————————————————
– Urine osmolality > 100 mOsm/kg
📌 ปกติ ADH ควร “ถูกปิด” เมื่อ Na ต่ำ → ปัสสาวะควรเจือจาง
แต่ใน SIAD → ADH หลั่งเกิน → น้ำไม่ถูกขับออก → ปัสสาวะยังเข้มข้น

✅ 3) Clinical euvolemia ⚖️
———————————————
– ไม่มี hypotension
– ไม่มี dry mucosa, ไม่มี skin turgor ลด
– ไม่มี edema, ไม่มี ascites หรือ pleural effusion
📌 คือ “คนไข้ดูปกติ” ทั้งที่น้ำในร่างกายเกินจริง!

✅ 4) Urine sodium > 30 mmol/L 🧂
———————————————————-
– ในภาวะกินเกลือปกติ
📌 แสดงว่าไต ไม่ได้พยายามเก็บเกลือไว้
→ สนับสนุนว่าไม่มี hypovolemia

✅ 5) ไม่มีโรคอื่นที่อธิบาย hyponatremia ได้ ❌
———————————————————————-
– ต้อง rule out ทุกอย่างก่อน ได้แก่:
🔸 Adrenal insufficiency
🔸 Hypothyroidism
🔸 Advanced renal failure (CKD IV , V)
🔸 Liver cirrhosis, heart failure, nephrosis
📌 เพราะโรคเหล่านี้ก็ทำให้ Na ต่ำ + UOsm สูง ได้เช่นกัน!

✅ 6) No recent use of diuretics 🚫
——————————————————
📌 โดยเฉพาะ thiazide diuretics
เพราะสามารถทำให้…
– 💧 Na ต่ำ
– 🧪 UOsm สูง
– 🧂 Urine Na สูง
= ซึ่ง เหมือน SIAD แทบทุกประการ!

📌 ดังนั้น… ถ้าใช้ยาขับปัสสาวะในช่วง 1–2 สัปดาห์ที่ผ่านมา → วินิจฉัย SIAD ไม่ได้ ❌

✏️แต่ในบางเคสยังวินิจฉัยไม่ครบ → ต้องใช้ Supplemental Criteria มาช่วยเสริม

🔹 7️⃣ ข้อของ Supplemental Criteria
———————————————————-
📝 อ้างอิงตาม European Renal Best Practice 2014 และ Warren et al., Endocr Rev 2023

✅ 1) Serum uric acid < 4 mg/dL 🧂
———————————————————-
– ADH สูง → น้ำเกิน → dilute UA
– ร่วมกับ increased UA clearance
📌 เจอ UA ต่ำมากใน SIAD → ต่างจาก hypovolemia ที่ UA สูงเพราะ hemoconcentration

✅ 2) Serum urea < 21.6 mg/dL 💧
———————————————————-
– ADH ทำให้ volume เกิน → dilute urea
– บาง guideline เดิมใช้ BUN < 10–12 แต่เวอร์ชันนี้ให้ cutoff ที่แม่นยำกว่า
📌 ถ้า Cr ปกติ แต่ urea ต่ำผิดปกติ → นึกถึง SIAD

✅ 3) Failure to correct after 0.9% NaCl 🧪
—————————————————————
– NSS แก้ Na ได้เฉพาะใน volume depletion
– ใน SIAD → NSS ถูกขับออกทั้งน้ำและเกลือ → Na ยิ่งไม่ขึ้น
📌 ทดสอบ bedside ได้ ถ้า Na ไม่ขึ้นเลยหลัง NSS → สนับสนุน SIAD

✅ 4) Fractional sodium excretion (FE Na) > 0.5% 🔁
———————————————————————
– Euvolemic หรือ volume normal → kidney ขับ Na ได้ดี
– ต่างจาก hypovolemia ที่ kidney พยายามกัก Na → FE Na ต่ำ
📌 FE Na > 0.5% บอกว่า “ร่างกายไม่ได้ขาด volume”

✅ 5) Fractional urea excretion > 55%
—————————————————————
– คล้าย FE Na แต่สำหรับ urea
– Hypovolemia → ร่างกาย reabsorb urea (FE ต่ำ)
– SIAD → ขับ urea ได้ดี
📌 FE urea สูง = สนับสนุนว่าไม่ขาด volume → สอดคล้องกับ SIAD

✅ 6) Fractional uric acid excretion > 12% 📉
———————————————————————-
– เป็น marker ที่นำมาใช้ประกอบร่วมได้
– SIAD ขับ UA ได้ดีเพราะไม่มี volume depletion
📌 ใช้ร่วมกับ serum UA → แม่นกว่าใช้ค่าใดค่าหนึ่งเดี่ยว ๆ

✅ 7) Correction with fluid restriction 🚱
———————————————————————
– hallmark ของ SIAD: Na เพิ่มหลังงดน้ำ
📌 ถ้าจำกัดน้ำ (≤ 1 ลิตร/วัน) แล้ว Na เพิ่ม → สนับสนุน SIAD
→ ยิ่งถ้า Na ไม่ขึ้นหลัง NSS แต่ขึ้นหลังงดน้ำ = ยิ่งชัด!

⚠️ ข้อควรระวัง:
————————
🔴 ค่าเหล่านี้อาจถูกรบกวนได้ใน CKD, cirrhosis, malnutrition
🔴 ต้องวินิจฉัยร่วมกับ clinical picture และ exclusion อื่น
🔴 ไม่ใช้แทน Bartter Criteria แต่ใช้ “เสริมความมั่นใจ” เมื่อยังไม่ครบ

————————————————————————-
🧠 4️⃣ วินิจฉัยแยกโรคที่คล้ายกัน 🧐
————————————————————————-

1️⃣ Hypovolemic hyponatremia จาก salt loss 🩸
————————————————————————-
🌀 เช่น vomiting, diarrhea, diuretics, cerebral salt wasting
📌 ทำให้ volume ลด → กระตุ้น ADH → UOsm สูง
🧂 ถ้า Na intake ยังพอ → Urine Na อาจยัง > 30 ได้

👁 ชวนให้เข้าใจผิดว่า: เป็น SIAD (เพราะ Na ต่ำ, UOsm สูง, Urine Na สูง)
💣 แต่จริง ๆ แล้วคนไข้ ขาด volume!

🔍 วิธีแยก:
– BUN/Cr > 20
– FeNa < 1%
– Orthostatic hypotension, dry mucosa
– Na ดีขึ้นหลังให้ NSS

2️⃣ Hypothyroidism 🧬
————————————
🔸 โดยเฉพาะในกรณี severe หรือ myxedema
🧠 ส่งผลให้ renal perfusion ลด → ร่างกายค้าง free water

👁 ชวนให้เข้าใจผิดว่า: เป็น SIAD เพราะ Na ต่ำ, UOsm สูง, ไม่มีบวม

🔍 วิธีแยก:
– ตรวจ TSH + Free T4
– ถ้าผิดปกติชัดเจน → ต้องรักษา hypothyroidism ก่อนวินิจฉัย SIAD

3️⃣ Adrenal insufficiency (AI) 🧯
—————————————————
🔸 โดยเฉพาะ secondary AI (ACTH ต่ำ)
💥 ทำให้ cortisol ต่ำ → ร่างกายหลั่ง ADH ไม่หยุด
→ Na ต่ำ, UOsm สูง, Urine Na สูง

👁 ชวนให้เข้าใจผิดว่า: เป็น SIAD เพราะคนไข้ “ไม่ hypotensive” และไม่มีบวม
💣 แต่ถ้าไม่ให้ steroid → อาการจะทรุดลงทันที

🔍 วิธีแยก:
– ตรวจ AM cortisol
– ACTH stimulation test
– สังเกตอาการร่วม: fatigue, weight loss, postural dizziness

4️⃣ Diuretic use (โดยเฉพาะ thiazide) 💊
————————————————————
🔸 เจอบ่อยมากในผู้สูงอายุ
🔸 ทำให้เกิด Na ต่ำ + UOsm สูง + Urine Na สูง + ดู euvolemic

👁 ชวนให้เข้าใจผิดว่า: เป็น SIAD ทุกประการ!
📛 แต่ Bartter & Schwartz บอกชัด:

ถ้าใช้ diuretics → ❌ ห้ามวินิจฉัย SIAD

🔍 วิธีแยก:
– ตรวจสอบประวัติการใช้ยาภายใน 1–2 สัปดาห์
– หยุดยาแล้วติดตาม Na
– ถ้า rebound ขึ้น → สาเหตุคือยา ไม่ใช่ SIAD

————————————————————————-
🧠 5️⃣ สาเหตุของ SIAD 🌡️
————————————————————————-

โรคไหน? ยาอะไร? ทำไมร่างกายถึงหลั่ง ADH ไม่หยุด?

🧠 SIAD = ภาวะที่ร่างกาย หลั่ง ADH เกินความจำเป็น
แม้ว่า…

– 📈 Sodium จะต่ำ
– 🧪 Osmolality จะต่ำ
– 💧 Volume จะปกติ

📌 แต่ ADH ยังคงถูกกระตุ้น → น้ำถูกดูดกลับ → Na ยิ่งต่ำลงเรื่อย ๆ!

🔥 แล้วสาเหตุที่ไปกระตุ้น ADH ผิดปกติมีอะไรบ้าง?
————————————————————————-
➡️ ขอแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่

“CNS–LUNG–CANCER–DRUGS”

1. 🧠 CNS Disorders
———————————-
โรคทางสมองเป็นสาเหตุ ที่เจอบ่อยที่สุด ใน ICU และ stroke unit!

🧨 ตัวอย่าง:
– Stroke (ischemic หรือ hemorrhagic)
– Subarachnoid hemorrhage (SAH)
– Traumatic brain injury
– Meningitis, encephalitis
– Brain abscess, tumor
– Psychosis, delirium, pain

📌 กลไก:
การระคายเคือง hypothalamus หรือ disruption ของ osmoregulation → กระตุ้น ADH ผิดปกติ

2. 🫁 Pulmonary Disorders
——————————————-
“โรคปอดกระตุ้น ADH” เป็นคำพูดคลาสสิกที่ทุกหมอต้องท่องให้ขึ้นใจ

🧨 ตัวอย่าง:
– Pneumonia (ทุกชนิด โดยเฉพาะ Legionella)
– Tuberculosis
– Empyema
– Asthma exacerbation
– Mechanical ventilation (PEEP สูง ๆ)
– Pneumothorax
– Lung abscess

📌 กลไก:
– ปอดอักเสบหรือ hypoxia → กระตุ้น ADH ผ่าน stress axis
– หรือกระตุ้นทาง mechanoreceptor

3. 🦀 Malignancies
———————————-
มะเร็งบางชนิด สร้าง ADH เองได้โดยตรง = Ectopic ADH production

🧨 ตัวอย่างที่ classic สุด:
– Small cell lung cancer (SCLC) ✅
นอกจากนี้ยังมี:
– Pancreatic cancer
– Duodenal cancer
– Bladder cancer
– Prostate, breast, leukemia, lymphoma

📌 กลไก:
– Tumor สร้าง ADH โดยไม่ถูกควบคุม
– หรือกระตุ้น hypothalamic ADH pathway

4. 💊 Medications
———————————-
กลุ่มนี้เจอบ่อยโดยไม่รู้ตัว!
บางรายมี SIAD เพราะยาเพียงตัวเดียว 😱

🧨 กลุ่มยาที่พบบ่อย:

SSRI (เช่น sertraline)➡️ เพิ่ม ADH release
Carbamazepine ➡️ เพิ่ม ADH release + renal sensitivity
Vincristine ➡️ กระตุ้น hypothalamus
Cyclophosphamide ➡️ Direct tubular effect
NSAIDs ➡️ เพิ่ม renal sensitivity ต่อ ADH
Opioids ➡️ กระตุ้น ADH ผ่าน CNS
Antipsychotics ➡️ หลายกลไก ทั้ง CNS และ renal
M**A ➡️ กระตุ้น ADH รุนแรง → severe hyponatremia
ACEi ➡️ AVP release stimulant

📌 หลายครั้ง SIAD จากยาอาจเกิดช้า → ต้อง สอบประวัติย้อนหลังหลายสัปดาห์

🧩 สาเหตุอื่น ๆ ที่ไม่เข้ากลุ่มข้างต้น:
—————————————————-
– Pain / postoperative state
– Nausea (แม้แค่คลื่นไส้ ก็พอให้ ADH หลั่ง!)
– Acute psychosis
– HIV infection
– Idiopathic (พบในผู้สูงอายุบางราย)

📌อะไรพบบ่อยสุด? 🧐

📚 ข้อมูลจาก International SIAD Registry
(>1,500 ราย | อ้างใน Warren 2023 และ Rosner 2024)

🔹 อันดับ 1: Idiopathic – 35.2%
เยอะสุด! หมายถึง…หาสาเหตุไม่เจอ 😵
มักเกิดจากตรวจไม่ครบ หรือยังซ่อนอยู่ (เช่น early cancer, AI) หรือไม่ใีสาเหตุชัดเจน

🔹 อันดับ 2: มะเร็ง – 23.6%
โดยเฉพาะ SCLC
บางเคส Na ต่ำก่อนเจอเนื้องอกอีก 😮
ระวัง paraneoplastic syndrome ด้วย!

🔹 อันดับ 3: ยา – 17.8% 💊
เช่น SSRI, carbamazepine, NSAIDs, opioids
คนไข้มักลืมบอก หรือกินมานานจนไม่คิดว่าเกี่ยว

🔹 อันดับ 4: โรคปอด – 10.7% 🫁
เช่น pneumonia, TB, PEEP สูง
เจอบ่อยใน ICU/ventilated cases

🔹 อันดับ 5: โรค CNS – 8.5% 🧠
เช่น SAH, stroke, encephalitis
มัก Na drop เร็วหลังเหตุการณ์

📌 รวม “สาเหตุอื่น ๆ” อีก ~14%
เช่น postop, pain, HIV, autoimmune

————————————————————————-
🧠 6️⃣ ประเมิน 4 อย่างก่อนการรักษา 🧑🏻‍⚕️
————————————————————————

ก่อนจะเริ่มแก้ค่า Na ให้ผู้ป่วย hyponatremia
แพทย์ต้องประเมิน 4 อย่างสำคัญนี้ให้ครบก่อน 🎯
เพื่อป้องกันทั้ง brain edema และ ODS
รวมถึงตัดสินใจว่าเคสไหน “ต้อง admit” หรือ “ส่งกลับได้”

1️⃣ Duration ⏱
——————————
ผู้ป่วยเป็น Acute หรือ Chronic hyponatremia?

🇺🇸 U.S. Guidelines (Stern / Rosner / UpToDate)
– ใช้เกณฑ์ 48 ชั่วโมง
– Acute ≤ 48 ชม. → สมองยังไม่ adapt → เสี่ยง brain edema
– Chronic > 48 ชม. หรือไม่ทราบระยะเวลา → เสี่ยง ODS
→ ถ้าไม่แน่ใจ → treat as chronic

🇪🇺 European Guideline (ESE 2023)
– ใช้เกณฑ์ 48 ชม. เช่นกัน
– แนวทางนี้ระบุไว้ชัดใน diagnostic pathway ว่าให้ถือเป็น chronic หากระยะเวลาไม่ชัด

2️⃣ Severity 🧪
——————————
ค่า Na ต่ำแค่ไหน?

🔬 U.S. (Rosner / Stern)
– Severe hyponatremia: Na < 120 mEq/L
– Na 115–119 → risk seizure ≈ 2.5%
– Na < 100 → seizure risk ≈ 10% แม้เป็น chronic
– อีก paper: Na < 110 → seizure risk เพิ่ม ~7%

🧠 Risk เพิ่ม ODS เมื่อ Na ต่ำมาก โดยเฉพาะหากแก้เร็ว

🇪🇺 Europe
– หลีกเลี่ยงคำว่า “severe” เพื่อกันสับสน
– ใช้คำว่า Profound hyponatremia แทน → ตัดที่ Na < 125
– เป็นคำแนะนำจาก Working group 11 คน ใน guideline ปี 2023

3️⃣ อาการของผู้ป่วย 😵‍💫
————————————
คนไข้มีอาการทางสมองหรือไม่?

🇺🇸 U.S. Classification (Stern et al.)
– แบ่งเป็น 3 ระดับ:
•Severe symptoms: ชัก, ซึม, respiratory arrest
• Mild to moderate: ปวดหัว, คลื่นไส้, ง่วง
• Asymptomatic: เดินได้ดี พูดรู้เรื่อง ไม่มีอาการ

🧠 กรณีพิเศษ → Intracranial pathology = นับว่าเป็น severe symptom แม้ยังไม่ชัก
– เพราะกลุ่มนี้ “เสี่ยงเกิด brain edema” สูงมาก
– สาเหตุที่จัดเป็น intracranial pathology มี 5 อย่าง:
1. Recent traumatic brain injury
2. Recent intracranial surgery
3. Recent intracranial hemorrhage
4. Intracranial neoplasm
5. Other space-occupying lesions

🇪🇺 Europe (ESE 2023)
– แบ่งเป็น:
• Moderately severe: nausea, confusion
• Severe: seizure, coma, vomiting + neuro sign
→ ใช้ระดับอาการกำหนด “การให้ 3% NaCl”

4️⃣ จะ admit ผู้ป่วยหรือไม่? 🏥
———————————————

🇺🇸 U.S. Criteria for Admission (Stern / Ayus JC)
– แนะนำ admit เมื่อ Na < 120
– หรือมีอาการชัดเจน
– หรือเป็น intracranial pathology 5 อย่างข้างต้น
→ เพราะเสี่ยง brain edema แม้ยังไม่แสดงอาการ

🟢 Target discharge (U.S.): Na ≥ 125
→ ปลอดภัยพอที่จะส่งกลับได้
→ แต่ถ้ามี brain lesion ยังต้อง monitor

🇪🇺 Europe (ESE 2023)
– แนะนำ admit เมื่อ Na < 125
– หรือมี profound hyponatremia + moderate symptoms
– หาก Na ≥ 130 + ไม่มีอาการ = discharge ได้เลย

————————————————————————-
🧠 7️⃣ รักษา SIAD 🏥
————————————————————————-

✅ เริ่มจากการประเมิน “อาการ” ก่อนรักษา

🇺🇸 U.S. (Stern, UpToDate, Rosner JASN 2024)
————————————————————————-
แบ่ง 3 กลุ่มใหญ่:

1️⃣ Severe symptoms: ชัก ซึม ชะงักหายใจ
→ ให้ 3% NaCl bolus ทันที (100 mL IV push, max 3 ครั้ง)

2️⃣ Mild to moderate symptoms: มึน ปวดหัว คลื่นไส้ เดินลำบาก
→ พิจารณา FR (Fluid restriction) หรือให้ยาเฉพาะราย

3️⃣ Asymptomatic: เดินได้ พูดรู้เรื่อง
→ เริ่มจาก FR อย่างเดียวก่อน

❗️ถ้ามี intracranial pathology (TBI, brain tumor ฯลฯ) = จัดเป็น “Severe symptoms” โดยอัตโนมัติ

🇪🇺 Europe (ESE 2023)
————————————
แบ่งเป็น 2 กลุ่ม:

1️⃣ Severe symptoms: seizure, coma, vomiting + neuro sign
→ ให้ 3% NaCl bolus เช่นเดียวกับ U.S.

2️⃣ Moderately severe: nausea, confusion, headache
→ ให้ 3% NaCl หรือ FR แล้วแต่ความเหมาะสม

💡 ข้อสังเกต: Europe ใช้คำว่า “profound” (Na 500 → ควรหลีกเลี่ยง FR

2️⃣ Urea
————-
เป็น oral osmotic agent → เพิ่ม solute load → ดึงน้ำออกผ่านไต

– 🇪🇺 Europe: แนะนำ urea เป็น second-line
– 🇺🇸 U.S.: ใช้น้อยกว่า (บางแห่งไม่ใช้เลย)

3️⃣ Tolvaptan
———————
V2 receptor antagonist → ต้าน ADH โดยตรง

– 🇺🇸 U.S.: ใช้ได้ ถ้า FR ล้มเหลว หรือเคสเรื้อรังที่ต้องการคุม Na
– 🇪🇺 Europe: แนะนำเฉพาะใน chronic SIAD ที่มี symptom หรือไม่ตอบสนอง FR
→ ต้องใช้ด้วยความระวัง เพราะเสี่ยง overcorrection

➡️ ต่อใน Comment 📝




Address

Sunpasit Road

Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when Nutrition Support Team posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Shortcuts

  • Address
  • Alerts
  • Claim ownership or report listing
  • Want your practice to be the top-listed Clinic?

Share