โรคนิ่วน่ารู้ Urology

โรคนิ่วน่ารู้ Urology ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคในระบบปัสสาวะและสืบพันธุ์เพศชาย โดยนพ.ศิริอนันต์ ประสิทธิ์ ศัลยแพทย์ระบบปัสสาวะ
(1)

06/08/2025
05/08/2025

แนวคิดเรื่องการกลับมาเกิดใหม่ (Reincarnation) ได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกเมื่อประมาณสามพันปีก่อนในอารยธรรมอินเดียโบราณ ซึ่งได้พัฒนากลายเป็นความเชื่อเรื่องวัฏสงสารในแก่นของศาสนามากมาย ไม่ว่าจะเป็นฮินดู พุทธ หรือเชน ไปจนถึงปรัชญาในยุคกรีกโบราณ ก็มีแนวคิดเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด มีความเชื่อว่าจิตวิญญาณของมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่ได้ตายพร้อมกับร่างกาย แต่จะย้ายไปอยู่ในร่างใหม่ เช่นกัน
แน่นอนว่าแนวคิดเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ช่างดูไม่เป็นวิทยาศาสตร์เสียเลย เพราะแนวคิดนี้ไม่สามารถทดลองและทำซ้ำได้ ตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แต่ถึงกระนั้นหลักการบางอย่างของวิทยาศาสตร์ก็กลับบอกใบ้ว่าการเวียนว่ายเกิดอาจเกิดขึ้นได้จริง ผ่านทฤษฎีบทหนึ่งที่เรียกว่า Poincaré Recurrence Theorem หรือ ‘การเวียนเกิดของปวงกาเร่’
หากอ้างอิงตามทฤษฎีบทนี้ หากเราวางแอปเปิ้ลทิ้งไว้บนโต๊ะเฉย ๆ เมื่อเวลาผ่านไปมันก็จะถูกย่อยสสายไปเรื่อย ๆ จนอะตอมของแอปเปิ้ลกลายเป็นเถ้าธุลีลอยอยู่ในอากาศ หรือไม่ก็กลายไปเป็นองค์ประกอบหนึ่งของจุลินทรีย์หลายร้อยล้านตัวที่เข้ามากัดกินซากแอปเปิ้ล ซึ่งสักวันหนึ่งในอนาคตห่างไกล อาจจะยาวนานกว่าอายุของจักรวาลในปัจจุบัน อะตอมทั้งหมดที่ได้กระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ก็อยู่จะกลับกลายมาเป็นแอปเปิ้ลลูกเดิมอีกครั้งหนึ่ง ไม่ต่างอะไรกับการเวียนว่ายตายเกิด
เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด ต้องขอเน้นย้ำก่อนว่า คำว่า ‘การเวียนเกิด’ (Recurrence) ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า ทฤษฎีนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออธิบายวัฏสงสารโดยตรง แต่เป็นทฤษฎีเชิงคณิตศาสตร์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อทำความเข้าใจธรรมชาติของระบบทางฟิสิกส์ที่อยู่ภายใต้กฎของนิวตัน ซึ่งดันไปเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสารและการโยกย้ายของอะตอมโดยบังเอิญ
จุดเริ่มต้นของทฤษฎีบทนี้ ต้องย้อนกลับไปในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 นักฟิสิกส์และนักปรัชญาเชื่อว่าเหตุการณ์ทั้งหมดในโลกและจักรวาลนั้นมีชะตากรรมที่ลิขิตไว้อย่างสมบูรณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกควบคุมด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า หรือที่เรียกว่านิยัตินิยม หรือ Determinism
ในตอนนั้นอองรี ปวงกาเร (Henri Poincaré) ได้ตั้งคำถามว่า ถ้าเรามีระบบทางฟิสิกส์ที่มันซับซ้อนมาก ๆ แล้วมันจะเสถียรหรือไม่พังทลายลงไหมในระยะยาว ? จากนั้นเขาก็ได้เลือกศึกษาปัญหาสามวัตถุ ซึ่งเป็นระบบที่มีวัตถุ 3 ก้อนที่เคลื่อนที่สัมพันธ์กันด้วยแรงโน้มถ่วง เช่น ระบบดวงอาทิตย์-โลก-ดวงจันทร์ ที่ยังไม่มีใครสามารถหาคำตอบที่สมบูรณ์ที่สามารถใช้ได้กับทุกกรณี จนถึงปัจจุบันก็ตาม
แต่ก่อนที่จะไปที่ตัวทฤษฎีบท เราต้องรู้จักพื้นฐานสำคัญของมันเสียก่อน นั่นก็คือคำว่าระบบเอกเทศ (Isolated system) และระบบที่จำกัด (Finite system)
ระบบเอกเทศ ในทางฟิสิกส์แล้วคือระบบที่ไม่แลกเปลี่ยนพลังงานและมวลของสสารกับสิ่งแวดล้อมภายนอกได้อย่างสมบูรณ์ เช่น แก้วน้ำเก็บความเย็นในอุดมคติ ซึ่งจะมีช่องว่างระหว่างผนังของแก้ว ที่ถูกสูบอากาศออกจนกลายเป็นสุญญากาศสมบูรณ์ โดยสุญญากาศภายในแก้วจะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เครื่องดื่มภายในสูญเสียความร้อนออกไป
ส่วนระบบที่จำกัดนั้น หมายถึงจักรวาลที่มีปริมาตรจำกัด แม้จะใหญ่โตแต่ก็ไม่ได้เป็นอนันต์ ก็ถือว่าเป็นระบบที่จำกัด
โดยทฤษฎีบทการเวียนเกิดของปวงกาเรนั้นกล่าวว่า “หากเรามีระบบเอกเทศและที่มีความจำกัดอยู่ด้วย ระบบนั้นจะกลับมาอยู่ในสถานะเดิมหรือใกล้เคียงกับสถานะเริ่มต้นของมันแบบซ้ำ ๆ ไม่ว่าระบบจะซับซ้อนแค่ไหน หากเรามีเวลานานพอ” ไม่ว่าจะเป็นแอปเปิ้ลที่กล่าวไปข้างต้น หรือชีวิตมนุษย์เราก็ตาม
คุณอาจจะเริ่มมองเห็นภาพลาง ๆ แล้วว่าทฤษฎีบทของปวงกาเรจะตอบคำถามเรื่องการกลับมาเกิดใหม่ได้อย่างไร เราทุกคนรู้ดีว่าตัวเรานั้นประกอบขึ้นจากอะตอมและอนุภาคมูลฐานต่าง ๆ ตัวเราในขณะที่กำลังอ่านข้อความนี้ก็จะมีการจัดเรียงของอนุภาคในร่างกายด้วยรูปแบบหนึ่ง เช่น อายุ 20 ปี สูง 170 เซนติเมตร หนัก 45 กิโลกรัม มีค่าความดันเลือด 103/64 มิลลิเมตรปรอท มีผมจำนวน 84,000 เส้น ฯลฯ
เมื่อเราเสียชีวิตลง อะตอมต่าง ๆ ที่เคยประกอบขึ้นเป็นตัวเรานั้นไม่ได้หายไปไหน แต่แค่สลายตัวและกระจายเป็นฝุ่นผงสู่สิ่งแวดล้อม กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล ถ้าหากจักรวาลนี้เป็นไปตามที่ทฤษฎีบทของปวงกาเรบอก อะตอมทุกตัวที่เคยประกอบขึ้นเป็นตัวเราที่มี อายุ 20 ปี สูง 160 เซนติเมตร หนัก 45 กิโลกรัม ฯลฯ จะกลับมารวมกันอีกครั้งแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าตอนไหน
เนื่องจากหลักการซ้อนทับทางกลศาสตร์ควอนตัม อนุภาค แต่ละตัวมีโอกาสหรือความน่าจะเป็นที่จะปรากฎอยู่ในตำแหน่งใด ๆ ก็ได้ในจักรวาล อนุภาคที่ประกอบรวมกันเป็นวัตถุใด ๆ เมื่อแตกสลายเคลื่อนที่ออกจากกันแล้ว ก็มีโอกาสที่จะเคลื่อนที่กลับมารวมตัวกันกลายเป็นวัตถุเดิมอีกครั้ง
ถ้าเราตั้งตารอจนนานมากพอ จักรวาลก็อาจจะสร้างตัวเราขึ้นมาและคนที่เรารักขึ้นมาใหม่ ให้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอีกครั้งก็ได้นะ
_________________________________________
ติดตาม The Principiaได้ในทุกช่องทางออนไลน์ หรือ
ติดต่อโฆษณาได้ที่ theprincipia2021@gmail.com หรือโทร 064-771-1333

05/08/2025

10 ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับโรคไต

1. กินยาเบาหวาน ความดันมาก ๆ ทำให้เกิดโรคไต

❌ การไม่สามารถคุมความดันกับเบาหวานได้ต่างหาก ที่ทำให้เกิดโรคไต และปัจจุบันยาเบาหวานบางตัว (SGLT2i, GLP-1) และยาลดความดันบางตัว (RASi, ns-MRA) มีการศึกษาชัดเจนว่าชะลอไตเสื่อมได้

2. ค่า eGFR ยิ่งสูงยิ่งดี ไตยิ่งเสื่อมช้า

❌ ไม่จริงเสมอไป ในคนที่เป็นโรคไตเรื้อรังแล้วเช่นคนที่เป็นเบาหวานลงไตหรือคนอ้วน ค่า eGFR ที่สูงไปอาจจะบ่งบอกภาวะไตทำงานมากกว่าปกติ การดูค่า eGFR ต้องดูร่วมกับโปรตีนร่วมในปัสสาวะเสมอ ถ้าค่าโปรตีนรั่วสูงบ่งบอกว่าไตมีแนวโน้มเสื่อมเร็ว ในทางตรงกันข้าม ยาในข้อที่ 1 หลายตัว ช่วงที่ใช้ยาตอนแรก ๆ ค่าไตจะลดลงมาเล็กน้อย เพราะมันช่วยแก้ภาวะที่ไตทำงานมากกว่าปกติ ไตจะได้อยู่กับเราได้นานขึ้นๆ

3. โรคไตควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เพราะทำลายไต

❌ โพแทสเซียมไม่ได้ทำลายไต ตรงกันข้ามโพแทสเซียมมีแนวโน้มจะช่วยป้องกันโรคไต, โรคความดันโลหิตสูงได้ *โรคไตระยะ 1-3 ที่ไม่ได้มีโพแทสเซียมสูง สามารถกินได้โดยปลอดภัยแถมได้ประโยชน์* แต่หลีกเลี่ยงในคนที่ไตระยะ 4-5 หรือมีโพแทสเซียมสูงแล้ว เพราะโพแทสเซียมที่สูงไปจะทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้

4. โรคไตห้ามกินกาแฟ

❓จริงๆ กาแฟดำ มีฟอสฟอรัสไม่สูงมากกินได้ มีงานวิจัยหลายงานที่บ่งบอกว่าการกินกาแฟดำไม่เกินวันละ 1-2 แก้วต่อวันให้ผลดีต่อไตและหัวใจ แต่ต้องรอข้อสรุปที่ชัดเจนต่อไป ในไตระยะท้าย ๆ อาจจะต้องระวังเนื่องจากคาเฟอีนบางส่วนขับออกทางไต อาจจะต้องปรับปริมาณกาแฟที่รับประทาน พิจารณาลดถ้ามีอาการใจสั่น ถ้าฟอสฟอรัสสูงมากอาจจะเลี่ยงกาแฟชงสำเร็จรูป

5. การฟอกทางเส้นเลือดดีกว่าการฟอกไตทางช่องท้อง

❌ ข้อมูลปัจจุบันไม่แตกต่างกัน และการฟอกไตทางช่องท้องในคนไข้ที่ยังมีปัสสาวะ จะมีแนวโน้มรักษาปัสสาวะที่เหลืออยู่ได้ดีกว่า

6.โรคไตต้องกินไข่ขาวเสริม

❌ การกินไข่ขาวเสริมไม่ได้ช่วยโรคไตเลย โดยทั่วไปแล้วคำแนะนำของโรคไตก่อนฟอกไตคือจำกัดโปรตีน 0.6-0.8 กรัม/นน ตัว/วัน การกินไข่ขาวก็เปลี่ยนเป็นกรดอะมิโนเหมือนอันอื่นทั่ว ๆ ไป เพียงแต่ว่าไข่ขาวมีคลอเรสตอรอลต่ำ มีฟอสฟอรัสต่ำ จึงเป็นโปรตีนที่ดีกับคนไข้ที่ฟอกแล้วในกรณีที่ต้องกินโปรตีนเสริม แต่สำหรับคนที่ยังไม่ได้ฟอก ไม่จำเป็นต้องกินไข่ขาวเสริมและสามารถปรับการกินโปรตีนจากอาหารทั่วไปอย่างเหมาะสม

7.ค่า creatinine ที่สูงขึ้นในคนที่ออกกำลังกายต้องหยุดออกกำลังกาย

❌ ต้องแยกภาวะที่ออกกำลังกายอย่างหนักจนเกิดกล้ามเนื้อสลายออกไปก่อน ซึ่งอาจจะมีอาการปวด ปัสสาวะสีโค้ก มีค่ากล้ามเนื้อสลายในเลือดเพิ่มขึ้น แต่สำหรับคนที่ไม่มีอาการ เวลาเรามีกล้ามเนื้อมากขึ้น ค่า creatinine อาจจะสูงขึ้นได้โดยที่การทำงานของไตไม่ได้แย่ลง ซึ่งในกรณีนี่ควรตรวจ serum cystatin-C เพื่อประเมินการทำงานของไตร่วมด้วย ซึ่งถ้า eGFRcr-cys ปกติ ก็แปลว่าไตไม่ได้เสื่อม

8.ถ้าฟอกไตแล้วยังไงก็ไม่ฟื้น ต้องฟอกตลอดไป

❓ ต้องแยกว่าไตวายมีสองกรณี 1. ไตวายฉับพลัน 2. ไตวายเรื้อรัง ถ้ามีภาวะไตวายฉับพลันอยู่ อาจจะเกิดจากสาเหตุใดก็แล้วแต่ ไตอาจจะฟื้นได้ อาจจะสามารถหยุดฟอกได้ การฟอกไตสำหรับไตวายฉับพลันเป็นขั้นตอนหนึ่งของการช่วยชีวิตให้พ้นจากภาวะวิกฤตช่วงนั้นเพื่อรอไตฟื้น ส่วนไตเรื้อรังโอกาสฟื้นตัวจะน้อยกว่า

9.การกินน้ำปริมาณมาก ๆ ดีกับไต

❓น่าสนใจว่าปัจจุบันงานวิจัยที่แนะนำให้กินน้ำปริมาณมาก ๆ พบว่าไม่ได้ช่วยชะลอไตเสื่อมเลย อย่างไรก็ตามการดื่มน้ำวันละสองลิตรต่อวันในคนไข้ที่ยังมีปัสสาวะปกติอาจจะช่วยลดการขาดน้ำได้ แต่การดื่มน้ำมากกว่านี้หรือคนไข้ที่เริ่มมีปัญหาในการขับน้ำ (ระยะ 4-5) อาจจะต้องระมัดระวังภาวะโซเดียมต่ำ เกิดจากการกินน้ำมากเกินไปจนทำให้โซเดียมในเลือดเจือจาง ภาวะนี้ถ้าเป็นรุนแรงจะอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

10. ปวดหลังบ่อย ๆ เท่ากับไตเสื่อม

❌ ส่วนใหญ่ปวดหลังคือปวดกล้ามเนื้อกับกระดูก ถ้าปวดบริเวณสีข้างอาจจะเป็นตำแหน่งของไต แต่เป็นอาการของติดเชื้อที่กรวยไต หรือนิ่ว หรืออาการอักเสบบางอย่าง ส่วนใหญ่โรคไตเรื้อรังจะไม่มีอาการปวด อาการเริ่มต้นอาจจะไม่มีอาการหรือมาด้วยปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน อาการปัสสาวะเป็นฟองต้องตรวจยืนยันว่าเป็นโปรตีนรั่วหรือไม่ ถ้าเป็นอาจจะเป็นโรคไตกลุ่มเนฟโฟรติก ซึ่งมีการรักษาเฉพาะ

05/08/2025
แบบคัดกรองโรคจิตลองทำกันดูครับผมลองทำแล้ว ได้ 11 คะแนนเต็มhttps://dmh.go.th/download/ebooks/psychotictest.pdf
05/08/2025

แบบคัดกรองโรคจิต
ลองทำกันดูครับ
ผมลองทำแล้ว ได้ 11 คะแนนเต็ม

https://dmh.go.th/download/ebooks/psychotictest.pdf

คนที่สื่อวิญญาณได้มี 2 ประเภท1.คนไข้จิตเวช2.มิจฉาชีพเครดิต อ.ตฤณห์
05/08/2025

คนที่สื่อวิญญาณได้มี 2 ประเภท

1.คนไข้จิตเวช
2.มิจฉาชีพ

เครดิต อ.ตฤณห์

มาดูกันครับว่าแอลกอฮอล์มีผลต่อสุขภาพทางเพศอย่างไรบ้าง ?•ผลของแอลกอฮอล์ต่อความต้องการทางเพศเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หนึ่งหรือส...
05/08/2025

มาดูกันครับว่าแอลกอฮอล์มีผลต่อสุขภาพทางเพศอย่างไรบ้าง ?

•ผลของแอลกอฮอล์ต่อความต้องการทางเพศ

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หนึ่งหรือสองแก้วอาจช่วยเพิ่มความตื่นตัวทางเพศได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะได้ผลเสมอไป ในปริมาณต่ำแอลกอฮอล์อาจลดความยับยั้งชั่งใจและทำให้รู้สึกมีความสุขหรือเคลิบเคลิ้ม ซึ่งอาจทำให้บางคนรู้สึกเปิดใจหรือพร้อมต่อกิจกรรมทางเพศมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยด้าน “ความคาดหวัง” เข้ามาเกี่ยวข้อง หลายคนมักเชื่อมโยงการดื่มแอลกอฮอล์กับการลดความเขินอาย และรู้สึกเซ็กซี่หรือมั่นใจมากขึ้น

แต่การดื่มมากเกินไปกลับให้ผลตรงข้ามและการพึ่งพาแอลกอฮอล์เป็นประจำสัมพันธ์กับภาวะผิดปกติทางเพศ

•ผลของแอลกอฮอล์ต่อสมรรถภาพทางเพศ

แอลกอฮอล์เป็นสารกดประสาทในระบบประสาทส่วนกลาง จะทำให้การทำงานของร่างกายบางอย่างช้าลง เช่น การหายใจ การทำงานของสมอง และการไหลเวียนโลหิต ส่งผลลบต่อประสบการณ์ทางเพศได้หลายรูปแบบ:

1. ทำให้แข็งตัวได้ยาก
แอลกอฮอล์อาจส่งผลลดความสามารถในการแข็งตัวและคงการแข็งตัวไว้ เนื่องจาก:
• ลดการไหลเวียนของเลือดไปยังองคชาต
• กดการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง
• ทำให้ความดันโลหิตสูง
หากดื่มมากเป็นประจำก็อาจทำให้เกิดความเสียหายถาวรและภาวะหย่อนสมรรถภาพได้

2. ลดน้ำหล่อลื่นในช่องคลอด
เมื่อถูกกระตุ้นทางเพศ ร่างกายจะเตรียมพร้อมสำหรับการมีเพศสัมพันธ์โดยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังอวัยวะเพศ ทำให้บวมและหล่อลื่นเองตามธรรมชาติ การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปสามารถขัดขวางกระบวนการนี้และลดน้ำหล่อลื่นในช่องคลอด ส่งผลให้เกิดการเสียดสีและไม่สบายตัวขณะมีเพศสัมพันธ์

3. ลดความรู้สึกกระตุ้นทางเพศ
การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากอาจลดความรู้สึกกระตุ้นหรือความเพลิดเพลินจากการมีเพศสัมพันธ์
การตอบสนองทางเพศที่ลดลงนี้เกิดจากการไหลเวียนเลือดและการทำงานของสมองที่ลดลง ทำให้เซ็กส์ไม่รู้สึกดีเท่าเวลาที่ไม่ได้ดื่ม

•ผลของแอลกอฮอล์ต่อการถึงจุดสุดยอด

แอลกอฮอล์สามารถทำให้ถึงจุดสุดยอดได้ยากขึ้น ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย แม้ว่าเครื่องดื่มหนึ่งแก้วอาจไม่ส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดมากนัก แต่หากดื่มมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาได้ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรม ซึ่งนำไปสู่ ความผิดปกติในการถึงจุดสุดยอดจากแอลกอฮอล์ (alcohol-induced or****ic dysfunction)
ภาวะนี้อาจหมายถึง:
•ใช้เวลานานกว่าจะถึงจุดสุดยอดหรือหลั่ง (delayed ej*******on: ใช้เวลานานกว่า 30 นาทีแม้มีการกระตุ้น)
•ไม่สามารถถึงจุดสุดยอดได้เลย

•ผลของแอลกอฮอล์ต่อพฤติกรรมเสี่ยง

การดื่มหนึ่งหรือสองแก้วอาจช่วยให้ผ่อนคลายและลดความเขินอาย แต่หากดื่มมากไปแอลกอฮอล์จะส่งผลต่อการตัดสินใจและความหุนหันพลันแล่น ทำให้คุณตัดสินใจในสิ่งที่ปกติอาจไม่ทำ เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย

ด้วยความปรารถนาดีจากแอดมินเพจโรคนิ่วน่ารู้ urology

สุขสันต์วันเกิดทีมอเวนเจอร์
05/08/2025

สุขสันต์วันเกิดทีมอเวนเจอร์

05/08/2025
Team THAILAND สู้ๆ
04/08/2025

Team THAILAND

สู้ๆ

การคัดกรองความเสี่ยงของแผลเบาหวานที่เท้าเพื่อประเมินความเสี่ยงของการเกิดแผลที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวาน ควรมีการคัดกรองเท้าทุ...
04/08/2025

การคัดกรองความเสี่ยงของแผลเบาหวานที่เท้า

เพื่อประเมินความเสี่ยงของการเกิดแผลที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวาน ควรมีการคัดกรองเท้าทุกปี
การคัดกรองควรรวมถึง:
•การประเมินภาวะระบบประสาทเสื่อม
•การประเมินภาวะหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ
•การตรวจหาความผิดปกติของผิวหนัง เช่น แผลหรือการลอก

1.การประเมินการสูญเสียความรู้สึก

ผู้ป่วยเบาหวานควรได้รับการประเมินเพื่อหาการสูญเสียความรู้สึกปกป้อง ซึ่งเป็นสัญญาณของ neuropathy ชนิดใยประสาทใหญ่เสื่อมโดยการทดสอบที่ใช้ได้แก่:
•Semmes-Weinstein monofilament 5.07 ใช้กดทดสอบที่ อย่างน้อย 3 จุดต่อเท้า เพื่อตรวจว่ารับรู้แรงกดหรือไม่
•ส้อมเสียง 128 Hz (tuning fork) เพื่อตรวจว่ารับรู้การสั่นหรือไม่ (ทั้งแบบเปิด–ปิด หรือจับเวลาการรู้สึกสั่น
•Ipswich Touch Test ใช้นิ้วชี้ของผู้ตรวจแตะเบาๆ ที่ 6 หรือ 8 จุดเฉพาะบนเท้า ถ้าผู้ป่วยไม่รู้สึก แสดงว่ามีความเสี่ยงสูง

2.การตรวจร่างกาย

ควรประเมินลักษณะต่างๆ ของเท้าดังนี้:
•ตาปลา
•ผิวหนังระหว่างนิ้วเปื่อย
•ล็บหนา ซึ่งอาจเป็นเชื้อรา

ความผิดรูปของนิ้วเท้า เช่น hammer toes หรือ claw toes จะเห็นข้อนิ้วโปนด้านบนปลายนิ้วเท้างอลง ปลายนิ้วเท้า ที่สัมผัสพื้นหรือรองเท้าก็เป็นจุดเสี่ยงต่อการเกิดแผลเช่นกัน
การตรวจ การเคลื่อนไหวข้อเท้า ทั้ง dorsiflexion และ plantarflexion สามารถตรวจหา equinus deformity ได้ (คือ dorsiflexion ต่ำกว่า 0 องศา) ซึ่งจะเพิ่มแรงกดที่ฝ่าเท้า

Charcot arthropathy

หมายถึง การหักของกระดูกเท้าร่วมกับการเคลื่อนของข้อในผู้ป่วยที่มี peripheral neuropathy อาจทำให้เกิดความผิดรูปอย่างมากและเพิ่มความเสี่ยงของแผลที่เท้า โดยเฉพาะบริเวณ กลางเท้า ข้อเท้า และส้นเท้า

3.การประเมินหลอดเลือด

การคลำชีพจรบริเวณข้อเท้าและเท้าเป็นขั้นตอนพื้นฐานในการประเมินระบบไหลเวียนเลือด แต่มีความไวเพียง 71.7% และความจำเพาะ 72.3% ในการวินิจฉัย ภาวะหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (PAD)

เนื่องจาก PAD ส่งผลต่อผู้ป่วยแผลเบาหวานที่เท้าประมาณครึ่งหนึ่ง แพทย์ควรพิจารณาการตรวจเพิ่มเติม ได้แก่:
• Ankle-Brachial Index (ABI)
• Toe-Brachial Index (TBI)
• การส่งต่อไปยังแพทย์เฉพาะทางหลอดเลือด

https://www.facebook.com/share/1JGH4exQfr/?mibextid=wwXIfr

04/08/2025

เหล้าเข้าปาก
องค์บากเข้าสิง

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ โรคนิ่วน่ารู้ Urologyผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์