04/08/2025
บทเรียนจาก "เดอะแบก" Naomi - นาโอมิ
เอาจริงๆ แอดเองก็ไม่คิดว่า จะได้สรุปเรื่องราวชีวิตของน้องลงเพจ แต่ฟังแล้วก็รู้สึกว่า มีมุมมองและข้อคิดที่น่าสนใจ ลองอ่านกันดูนะ
- น้องเริ่มต้นสนใจเรื่องการเงินและการลงทุนมาตั้งแต่เด็ก เพราะไม่ชอบเห็นแม่เหนื่อย ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ต้องทำงานหนักเลี้ยง 4 ชีวิต เธอต้องการหาเงินมาช่วยแม่ให้ได้
- ความสัมพันธ์ที่ดีและความรักในครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญในการเป็นนักวางแผนทางการเงินของน้อง ทุกคนในบ้านรักกันและห่วงใยกัน
- เมื่อทุกคนรักกัน พวกเขาจะบอกว่า "แค่นี้พอแล้ว เพราะถ้ามากกว่านี้เราเหนื่อย" สิ่งนี้ทำให้ครอบครัวไม่เรียกร้องสิ่งใดเกินตัว และเข้าใจซึ่งกันและกัน
----------
การเป็น #เดอะแบก อย่างมีความสุขและมุ่งมั่น
- น้องกล่าวว่า เธอเป็น "เดอะแบก" ที่มีความสุข เพราะความรักที่เธอมีต่อครอบครัว เธอต้องการดูแลทุกคนให้ดีที่สุด เพื่อให้คุณยายได้รับการดูแลที่ดีที่สุด และแม่สบายใจสบายกาย
- ทุกคนต้อง "แบก" อะไรบางอย่างในชีวิต การมีคนที่ต้องดูแลทำให้มีแรงบันดาลใจและจุดมุ่งมั่นในชีวิต การเป็นเดอะแบกอย่างเต็มใจและมุ่งมั่นทำให้รู้สึกภูมิใจในตัวเอง
- น้องแตกต่างจากมุมมองของคนรุ่นใหม่บางคนที่ไม่อยากเป็นผู้ใหญ่หรือไม่อยากรับผิดชอบ เพราะเธอเห็นว่าการเติบโตและการรับผิดชอบเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และมันสร้างความสุขและแรงผลักดันให้เธอเก่งขึ้น
---------
#บทเรียนด้านการเงิน
- น้องมีวินัยทางการเงินมาตั้งแต่เด็ก เริ่มทำงานพาร์ทไทม์ตั้งแต่สมัยมัธยมปลายเพื่อหาเงินช่วยเหลือแม่
- วางแผนการเรียนอย่างชาญฉลาดเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของแม่ เช่น การเรียนไม่ไกลบ้านและการขอทุนการศึกษา แถมยังรับงานพิเศษช่วยเพื่อนทำการบ้านเพื่อหารายได้เสริม
- เน้นการเก็บเงินก้อนใหญ่ก่อนที่จะนำไปลงทุน เพื่อให้เห็นผลตอบแทนที่ชัดเจนและเป็นแรงจูงใจ
- จบการศึกษาเร็ว (3 ปีครึ่ง) เพื่อที่จะได้เริ่มทำงานเร็วขึ้น และเริ่มทำงานทันทีหลังจากเรียนจบ
(อันนี้ขยันมากทั้งหาเงิน ขยันเรียน ประหยัดค่าใช้จ่าย มองว่าการออกไปเรียนเป็นการสร้างค่าใช้จ่าย)
- รายได้ 17,000 บาท แบ่งให้แม่ 10,000 บาท และใช้ชีวิตอย่างประหยัดมาก (ค่าเช่าหอประมาณ 4,000 บาท เหลือใช้เพียงวันละ 100 บาท) โดยการรับงานเสริมกิ๊กๆ ก๊อกๆ และทานอาหารเดิมๆ ซ้ำๆ
- น้องตระหนักถึงความไม่สมดุลระหว่างการทำงานหนักกับสุขภาพจิตและกายเมื่อรับงานมากเกินไป ซึ่งนำไปสู่การประเมินและตัดสินใจลาออกบางส่วน เพื่อรักษาสมดุลชีวิต
- วางแผนการเงินด้วยการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน (สลากออมสิน, ทองคำ, หุ้น, กองทุน, Crypto) และให้ความสำคัญกับการมีเงินสำรองและเงินเย็นเพื่อความมั่นคงของครอบครัว
- มองว่า ประกันชีวิตและสุขภาพ ก็เป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนเพื่อรองรับเหตุฉุกเฉินและลดภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมากหากตนเองเกิดเจ็บป่วย
- น้องกล้าที่จะพูดคุยกับแม่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในบ้านอย่างเปิดอก และวางแผนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและการดูแลผู้สูงอายุในบ้าน ซึ่งรวมถึงการใช้สิทธิ์ของรัฐบาลเมื่อการทำประกันส่วนตัวไม่สามารถทำได้แล้ว
- เธอและแม่ยังพูดคุยกันถึงเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่าง การจัดการงบประมาณสำหรับงานศพ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจตรงกันถึงความคาดหวังและขอบเขตของค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมกับความรักที่มีให้กัน โดยไม่จำเป็นต้องเกินตัว สิ่งนี้มาจากประสบการณ์จริงที่เคยดูแลงานศพของญาติ
***การสื่อสารที่ชัดเจนช่วยให้เมื่อถึงเวลาจริง ทุกคนจะเข้าใจและไม่เกิดความขัดแย้ง น้องยังวางแผนเรื่องของตัวเองด้วย เพื่อให้คนที่อยู่ข้างหลังรู้ว่าเธอต้องการให้เป็นแบบไหน
---------
ความสุข vs เงินทอง
- ครอบครัวของน้องไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดเลย ไม่เคยมีคำถามว่า "ทำไมชีวิตไม่ดีกว่านี้" ทุกคนพอใจในสิ่งที่ตนเองมี
- สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการมีกันและกัน ไม่ใช่เรื่องของมูลค่าเงินทอง หรือการมีบ้านหลังใหญ่
- การไม่เรียกร้องซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดความอยาก "ให้" ซึ่งกันและกัน น้องบอกว่า "ถ้าแม่ไม่มีนามิ แม่มีหนูเก็บเป็น 10 ล้านแล้วนะ" แต่แม่ก็เลือกที่จะมีเธอมากกว่าเงินเก็บนั้น
- ความรักในครอบครัวเป็นเหมือน "ยาอายุวัฒนะ" ที่ทำให้มีแรงผลักดันในการใช้ชีวิตและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
ขอบคุณนาโอมิ และมนุษย์ต่างวัยมากครับ