Hugglory Clinic คลินิกพัฒนาการเด็ก

Hugglory Clinic คลินิกพัฒนาการเด็ก คลินิกกระตุ้นส่งเสริมพัฒนาการเด็ก ฝึกสมาธิ และปรับพฤติกรรม โดยนักวิชาชีพ มีใบประกอบโรคศิลปะ

🙋🏼‍♀️ทำไมทุกครั้งที่ต้องนั่งทำการบ้านกับลูกถึงใช้เวลานาน หรือมีบางครั้งที่ถึงกับต้องเสียน้ำตา?เหตุการณ์ข้างต้นอาจเป็นประ...
11/07/2025

🙋🏼‍♀️ทำไมทุกครั้งที่ต้องนั่งทำการบ้านกับลูกถึงใช้เวลานาน หรือมีบางครั้งที่ถึงกับต้องเสียน้ำตา?

เหตุการณ์ข้างต้นอาจเป็นประสบการณ์ที่หลายๆบ้านต้องเคยเจอ ซึ่งทำให้ผู้ปกครองอาจจะกังวลหากลูกเขียนไม่ได้แบบเพื่อนชั้นเดียวกัน กลัวตามเพื่อนไม่ทัน แต่หากมองย้อนกลับมาดูกว่าจะเขียนได้ก็ต้องใช้เวลา และทำซ้ำๆ เพราะงานเขียนไม่ใช่แค่จับดินสอแล้วเขียน แต่คือทักษะที่ต้องฝึกทั้งสายตา มือ และใจ รวมไปถึงการจัดสิ่งแวดล้อมขณะทำการเขียนก็มีส่วนมากกว่าที่คิด ✍🏻

✏️ในวันนี้ขอเสนอ “6 เทคนิคช่วยลูกในงานเขียน” เพื่อช่วยส่งเสริมทักษะการเขียน เพราะการเข้าใจว่า “การเขียน” มีองค์ประกอบอื่นๆ มากกว่าการขีดเส้นจะช่วยเพิ่มพูนทักษะนี้ได้ดีขึ้นยิ่งกว่าเดิม

📌หลังจากที่ผู้ปกครองได้รู้เทคนิคของช่วยลูกในงานเขียนไปแล้ว หวังว่าคุณพ่อคุณแม่จะเข้าใจองค์ประกอบที่ส่งผลต่องานเขียน และสามารถนำเทคนิคเหล่าไปปรับใช้กับลูกได้อย่างเหมาะสม
💁 ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม

คลินิกการประกอบโรคศิลปะสาขากิจกรรมบำบัด ฮักกลอรี่

✅️ เวลาเปิดทำการ อังคาร- อาทิตย์ 09.00-18.00 (ปิดทุกวันจันทร์)

☎️โทร 092-4620005, 082-0253952

🟢Line ID : https://lin.ee/tTebf6S

📍Google Map : https://maps.app.goo.gl/df9EewEMpeAhvHsDA....

ที่ตั้ง 🏠 : 55/37 โครงการสำเพ็ง2 (ฝั่งพระเจ้าตาก) ถ.กัลปพฤกษ์ บางแค กรุงเทพฯ

#กิจกรรมบำบัด #ฮักกลอรี่คลินิก #คลินิกพัฒนาการเด็ก
#ฝึกกิจกรรมบำบัด #นักกิจกรรมบำบัด

09/07/2025

📌 ประกาศหยุด 📌
วันพฤหัสบดี ที่ 10 กรกฎาคม 2568

✨ เนื่องในวันอาสาฬหบูชา ✨

🌷เปิดให้บริการวันศุกร์ ที่ 11 กรกฎาคม 2568

☎️ โทร. 092-4620005 082-0253952

คลินิก การประกอบโรคศิลปะสามากิจกรรมบำบัด ฮักกลอรี่
🟢Line ID : https://lin.ee/tTebf6S

📍Google Map : https://maps.app.goo.gl/df9EewEMpeAhvHsDA....

ที่ตั้ง 🏠 : 55/37 โครงการสำเพ็ง2 (ฝั่งพระเจ้าตาก) ถ.กัลปพฤกษ์ บางแค กรุงเทพฯ

☘️ หลายครอบครัวพาลูกไปรพ.หลายที่รอผล รอวินิจฉัย รอให้หมอบอกว่า “ #ลูกมีปัญหาไหม”ก่อนจะเริ่มพาลูกไปฝึก หรือส่งเสริมพัฒนาก...
08/07/2025

☘️ หลายครอบครัวพาลูกไปรพ.หลายที่
รอผล รอวินิจฉัย รอให้หมอบอกว่า “ #ลูกมีปัญหาไหม”
ก่อนจะเริ่มพาลูกไปฝึก หรือส่งเสริมพัฒนาการจริงจัง

แต่บางครั้ง…
สิ่งที่เรารอ อาจไม่ใช่คำตอบจากหมอ

แต่อาจเป็นการ “ขอเวลาให้ใจเรายอมรับ” ว่าลูกอาจต้องการความช่วยเหลือ

และนั่น…ไม่ใช่เรื่องผิดเลยค่ะ
เพราะการยอมรับว่า ลูกต้องการการดูแลที่มากขึ้น
คือ “ความกล้าหาญ” อย่างหนึ่งของคนเป็นพ่อแม่



🍂 อยากให้รู้ว่า…

🌟 การฝึกพัฒนาการ “อาจไม่ต้องรอ #ใบวินิจฉัยก่อน”
🌟 การเริ่มต้นเร็ว “ #ไม่ใช่การตีตรา” ว่าลูกผิดปกติ
🌟 ยิ่งเริ่มเร็วเท่าไร โอกาสที่ลูกจะเติบโตได้เต็มศักยภาพยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

การพาลูกมาฝึกพัฒนาการ ไม่ใช่เพราะเรากลัวว่าเขาจะมีปัญหา

แต่เพราะเรารักเขามากพอ…ที่จะไม่ปล่อยให้เขาเดินลำพัง

บางครั้ง…ลูกไม่ได้รอคำวินิจฉัย
เขาแค่รอให้พ่อแม่ “เริ่มต้นก่อน” เท่านั้นเองค่ะ 🤍

_____

หากสงสัยปัญหาพัฒนาการหรือกังวลกับพฤติกรรมลูก ทักเข้ามาปรึกษาที่ ฮักกลอรี่คลินิกได้นะคะ เรามีนักกิจกรรมบำบัดและนักแก้ไขการพูดพร้อมให้บริการ☺️

💁 ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม

คลินิกการประกอบโรคศิลปะสาขากิจกรรมบำบัด ฮักกลอรี่

✅️ เวลาเปิดทำการ อังคาร- อาทิตย์ 09.00-18.00 (ปิดทุกวันจันทร์)

☎️โทร 092-4620005, 082-0253952

🟢Line ID : https://lin.ee/tTebf6S

📍Google Map : https://maps.app.goo.gl/df9EewEMpeAhvHsDA....

ที่ตั้ง 🏠 : 55/37 โครงการสำเพ็ง2 (ฝั่งพระเจ้าตาก) ถ.กัลปพฤกษ์ บางแค กรุงเทพฯ

#กิจกรรมบำบัด #ฮักกลอรี่คลินิก #คลินิกพัฒนาการเด็ก
#ฝึกกิจกรรมบำบัด #นักกิจกรรมบำบัด

💡 การประเมินพัฒนาการของลูก ใครเป็นคนทำได้บ้าง?พ่อแม่หลายคนอาจสงสัยว่า…ระหว่าง “หมอพัฒนาการเด็ก” กับ “นักวิชาชีพผู้ประเมิ...
05/07/2025

💡 การประเมินพัฒนาการของลูก ใครเป็นคนทำได้บ้าง?

พ่อแม่หลายคนอาจสงสัยว่า…
ระหว่าง “หมอพัฒนาการเด็ก” กับ “นักวิชาชีพผู้ประเมินพัฒนาการ” แตกต่างกันอย่างไร?

แล้วแบบไหนถึงจะเหมาะกับลูกเราที่มีพัฒนาการช้า พูดช้า หรืออยู่ไม่นิ่ง?

มาดูความเหมือนและความต่างกันอย่างชัดเจน 👇



✅ ความเหมือนกัน
• ทั้ง หมอพัฒนาการเด็ก และ นักวิชาชีพ เช่น นักกิจกรรมบำบัด (OT), นักแก้ไขการพูด (SLP)
👉 สามารถ ประเมินพัฒนาการเด็กได้ โดยใช้แบบประเมินที่ได้รับการยอมรับ
• ใช้หลักเกณฑ์ทางวิชาการ และข้อมูลจากการสังเกต + ถามประวัติจากพ่อแม่
• ช่วยพ่อแม่เข้าใจจุดแข็ง-จุดที่ควรส่งเสริมของลูก
• สามารถแนะนำแนวทางฝึกพัฒนาเพิ่มเติมได้

———

✨ คำแนะนำสำหรับพ่อแม่
• หากลูก แค่มีข้อสงสัยเรื่องพัฒนาการ เช่น พูดช้า เล่นคนเดียว สมาธิสั้น 👉 สามารถเริ่มจากการ ประเมินกับนักวิชาชีพ ได้เลย
• หากลูก มีปัญหาหนัก/เรื้อรัง หรือมีแนวโน้มผิดปกติชัดเจน 👉 ควรไปพบ หมอพัฒนาการเด็ก เพื่อ วินิจฉัยและวางแผนการรักษา



💬 สรุป

“นักวิชาชีพสามารถประเมินและวางแผนฝึกพัฒนาได้ ส่วนหมอพัฒนาการเด็กสามารถวินิจฉัยโรคและออกใบรับรองทางการแพทย์ได้”

———-

หากต้องการเข้ารับคำปรึกษา หรือสนใจประเมินพัฒนาการลูก

💁 ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม

คลินิกการประกอบโรคศิลปะสาขากิจกรรมบำบัด ฮักกลอรี่

✅️ เวลาเปิดทำการ อังคาร- อาทิตย์ 09.00-18.00 (ปิดทุกวันจันทร์)

☎️โทร 092-4620005, 082-0253952

🟢Line ID : https://lin.ee/tTebf6S

📍Google Map : https://maps.app.goo.gl/df9EewEMpeAhvHsDA....

ที่ตั้ง 🏠 : 55/37 โครงการสำเพ็ง2 (ฝั่งพระเจ้าตาก) ถ.กัลปพฤกษ์ บางแค กรุงเทพฯ

#กิจกรรมบำบัด #ฮักกลอรี่คลินิก #คลินิกพัฒนาการเด็ก
#ฝึกกิจกรรมบำบัด #นักกิจกรรมบำบัด

⭐️วันที่ 25-27 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ครูอ๋อมนักกิจกรรมบำบัด ประจำฮักกลอรี่คลินิก ได้เข้ารับการอบรมหลักสูตรการใช้แบบประ...
28/06/2025

⭐️วันที่ 25-27 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา
ครูอ๋อมนักกิจกรรมบำบัด ประจำฮักกลอรี่คลินิก ได้เข้ารับการอบรมหลักสูตรการใช้แบบประเมินกระบวนการบูรณาการประสาทรับความรู้สึก (Sensory Processing Measure, SPM-2) ณ สถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต โดยมี ผศ.ดร.พีรเดช ธิจันทร์เปียง อาจารย์สาขากิจกรรมบำบัด คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นวิทยากร

🎓 การอบรมในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งก้าวของการพัฒนาศักยภาพของทีมเรา
เพื่อให้สามารถประเมินและออกแบบกิจกรรมที่ตอบโจทย์เด็ก ๆ ได้แม่นยำยิ่งขึ้น
เราตั้งใจนำความรู้ใหม่ ๆ มาพัฒนางาน เพื่อให้บริการที่ดีที่สุดสำหรับน้อง ๆ ทุกคนค่ะ 🤍

ดูแลลูกด้วย “Sensory Diet” ที่บ้านเพราะ  #เด็กบางคนต้องการมากกว่าแค่เล่นแนวคิดของ “Sensory Diet” หรือ “การจัดกิจกรรมกระต...
27/06/2025

ดูแลลูกด้วย “Sensory Diet” ที่บ้าน
เพราะ #เด็กบางคนต้องการมากกว่าแค่เล่น

แนวคิดของ “Sensory Diet” หรือ “การจัดกิจกรรมกระตุ้นประสาทสัมผัส” ถูกพัฒนาโดยนักกิจกรรมบำบัด Patricia และ Julia Wilbarger ในช่วงปี 1990s
หนึ่งในหนังสือที่แนะนำในหัวข้อนี้คือ Building Bridges through Sensory Integration เขียนโดย Paula Aquilla, Ellen Yack และ Shirley Sutton (ปี 2003)

เหมือนกับที่อาหารแต่ละหมู่จำเป็นต่อสุขภาพร่างกาย การจัดกิจกรรมทางประสาทสัมผัสในแต่ละวันก็จำเป็นต่อความต้องการทางร่างกายและอารมณ์ของเด็กเช่นกัน เด็กที่มีปัญหาเรื่องการประมวลผลทางประสาทสัมผัส (เช่น ตอบสนองไวเกินไป หรือช้าเกินไป) จะต้องการกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นระบบสัมผัส ระบบการทรงตัว (vestibular) และระบบรับรู้การเคลื่อนไหวของร่างกาย (proprioceptive) มากเป็นพิเศษ แต่เด็กมักไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เราจึงต้องช่วยให้เขาได้รับในสิ่งที่เหมาะสม

Sensory Diet นั้นประกอบด้วยกิจกรรม 3 ประเภทหลัก:

• กิจกรรมที่กระตุ้นให้ตื่นตัว (Alerting)
• กิจกรรมที่ช่วยจัดระเบียบการตอบสนอง (Organizing)
• กิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย (Calming)

โดยอาจเลือกทำกิจกรรมที่กระตุ้นหรือผ่อนคลายก่อน ขึ้นอยู่กับความต้องการของเด็กแต่ละคน



🔶 กิจกรรมกระตุ้นระบบประสาท (Alerting Activities)

เหมาะสำหรับเด็กที่ไม่ค่อยตอบสนองต่อสิ่งเร้า ต้องการแรงกระตุ้นเพื่อให้รู้สึกตื่นตัวและพร้อมจะเรียนรู้
ตัวอย่างกิจกรรม เช่น:

• เคี้ยวอาหารกรอบๆ อย่างซีเรียลแห้ง ป๊อปคอร์น มันฝรั่งทอด ขนมปังกรอบ ถั่ว เพรทเซล แครอท เซเลอรี่ แอปเปิ้ล หรือก้อนน้ำแข็ง
• อาบน้ำ
• กระโดดบนลูกบอลกิจกรรมหรือลูกบอลชายหาด
• กระโดดบนที่นอนหรือแทรมโพลีน



🔷 กิจกรรมที่ช่วยจัดระบบการตอบสนอง (Organizing Activities)

ช่วยให้เด็กควบคุมอารมณ์และการตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ดีขึ้น
ตัวอย่างกิจกรรม เช่น:

• เคี้ยวขนมที่มีแรงต้าน เช่น กราโนล่าบาร์ ขนมผลไม้แห้ง ลิคริช แอปริคอตแห้ง ชีส หมากฝรั่ง เบเกิล หรือขอบขนมปัง
• โหนตัวจากบาร์หรือราวโหน
• ผลักหรือดึงของหนัก
• พลิกตัวให้อยู่ในท่ากลับหัว (เช่น ห้อยหัวลงจากเก้าอี้)

🟢 กิจกรรมช่วยผ่อนคลาย (Calming Activities)

กิจกรรมกลุ่มนี้ช่วยลดความไวต่อสิ่งกระตุ้นของเด็ก หรือช่วยให้เด็กสงบลงเมื่อมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้ามากเกินไป ตัวอย่างเช่น:

• ดูดจุกนมหลอก ลูกอมแข็ง แท่งผลไม้แช่แข็ง หรือกินเนยถั่วด้วยช้อน
• ดันตัวแนบกำแพงด้วยมือ ไหล่ หลัง ก้น หรือหัว
• โยกตัว ชิงช้า หรือแกว่งเบาๆ ช้าๆ ไปมา
• กอด หรือนวดหลังเบาๆ
• อาบน้ำอุ่น



🏡 หากคุณพ่อคุณแม่ต้องการจัดโปรแกรม Sensory Diet ที่บ้าน

ควรปรึกษานักกิจกรรมบำบัดก่อน เพื่อให้แน่ใจว่ากิจกรรมที่เลือกตรงกับความต้องการของลูก เช่น

• ควรทำกิจกรรมอะไร?
• ควรทำเมื่อไหร่? ทำที่ไหน? บ่อยแค่ไหน? และนานเท่าไหร่?

แนวทางที่แนะนำ มีดังนี้:

🔸 กำหนดเวลาแน่นอนในแต่ละวัน เช่น หลังอาหารเช้า หลังเลิกเรียน หรือก่อนนอน เพื่อให้ร่างกายปรับตัวได้ง่าย

🔸 พยายามจัดกิจกรรมที่ลูกอยากทำ เด็กอาจไม่สามารถพูดว่า “ระบบประสาทของหนูต้องการการเคลื่อนไหวอย่างมาก” แต่เราสามารถสังเกตได้ เช่น ถ้าเขาดูอยากกระโดดจากโต๊ะ/เก้าอี้หรือโซฟา อยากปีนขึ้นที่สูงๆ แล้วกระโดดลงมา นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าร่างกายเขาต้องการกระตุ้น — ซึ่งเราควรหาวิธีที่ปลอดภัยกว่านั้นให้เขา

🔸 ปล่อยให้เด็กเป็นผู้นำในการเล่น แต่เราต้องคอยดูแลใกล้ชิด แม้เขาจะบอกว่า “เอาอีก!” ก็ไม่ควรปล่อยให้เล่นจนเหนื่อยเกินไป หากเด็กเริ่มแสดงอาการหงุดหงิดหรือหัวเราะเสียงดังจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้ แสดงว่าควรหยุดพัก!!

🔸 เปลี่ยนบรรยากาศหรือกิจกรรมบ้าง เพื่อไม่ให้เบื่อ ไม่ใช่ทำกิจกรรมเดิมๆซ้ำๆมากเกินไป

🔸 ตรวจเช็กกับนักกิจกรรมบำบัดเป็นระยะ เพื่อให้แน่ใจว่ากิจกรรม Sensory Diet ที่บ้านนั้น “มีประโยชน์ครบถ้วน” และตอบโจทย์ความต้องการของเด็กในแต่ละช่วงวัย

🧠 การจัดกิจกรรมทางประสาทสัมผัสอย่างสมดุล

การวางแผน Sensory Diet ที่สมดุลก็เหมือนกับการวางแผนออกกำลังกาย มันจะช่วยส่งเสริมการทำงานของเด็กทุกคน ไม่ว่าเด็กจะมีปัญหาเรื่องการตอบสนองทางประสาทสัมผัสหรือไม่ก็ตาม



👶 ส่งเสริมการประมวลผลทางประสาทสัมผัสที่ดีในบ้าน

เด็กหลายคนชอบสัมผัสและการเคลื่อนไหวมากกว่าเด็กคนอื่นๆ เด็กเหล่านี้มักจะมีพฤติกรรมชอบจับ ชอบชน หรือเล่นแรงๆ ซึ่งการที่พวกเขากระโดดเล่นบนชิงช้า หมุนตัวบนม้านั่งหมุน หรือกลิ้งตัวในกองใบไม้หรือโคลน นั่นแปลว่าร่างกายเขากำลังพยายาม “ปรับสมดุลตัวเอง” ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่ดี

ในขณะเดียวกัน เด็กบางคนกลับไม่ชอบการสัมผัสหรือการเคลื่อนไหว เพราะมันทำให้รู้สึกไม่สบายตัว เด็กกลุ่มนี้จะต้องการความช่วยเหลือและการแนะนำให้เรียนรู้ที่จะสำรวจสิ่งรอบตัวอย่างปลอดภัย เมื่อลูกเรียนรู้วิธีเล่นอย่างมั่นใจแล้ว เขาก็จะเริ่มปรับตัวและพัฒนาได้ดีขึ้นเช่นกัน

แนวทางในหน้านี้คือแนวคิดง่ายๆ ที่ผู้ปกครองสามารถทำได้ที่บ้าน เด็กทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็กที่แสวงหาสิ่งกระตุ้นมาก หรือเด็กที่ระมัดระวังและไม่กล้าเปิดรับสิ่งใหม่ ก็สามารถได้รับประโยชน์จากกิจกรรมเหล่านี้ได้ทั้งสิ้น

หากคุณพ่อคุณแม่ต้องการข้อมูลเชิงลึกหรือกิจกรรมที่หลากหลายเพิ่มเติม สามารถดูจากหนังสือเหล่านี้ได้ค่ะ

📘 The Out-of-Sync Child Has Fun (2006)
📘 The Out-of-Sync Child (2010)
📘 Growing an In-Sync Child (2010)
📘 In-Sync Activity Cards (2012)

————

💁 ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม

คลินิกการประกอบโรคศิลปะสาขากิจกรรมบำบัด ฮักกลอรี่

✅️ เวลาเปิดทำการ อังคาร- อาทิตย์ 09.00-18.00 (ปิดทุกวันจันทร์)

☎️โทร 092-4620005, 082-0253952

🟢Line ID : https://lin.ee/tTebf6S

📍Google Map : https://maps.app.goo.gl/df9EewEMpeAhvHsDA....

#กิจกรรมบำบัด #ฮักกลอรี่คลินิก #คลินิกพัฒนาการเด็ก
#ฝึกกิจกรรมบำบัด #นักกิจกรรมบำบัด

หากลูกๆของคุณพ่อคุณแม่ เป็นเด็กที่มีความอ่อนไหวสูง ทักมาปรึกษาเราได้นะคะ ฮักกลอรี่คลินิกเรามีนักกิจกรรมบำบัดที่จะคอยแนะน...
20/06/2025

หากลูกๆของคุณพ่อคุณแม่ เป็นเด็กที่มีความอ่อนไหวสูง ทักมาปรึกษาเราได้นะคะ ฮักกลอรี่คลินิกเรามีนักกิจกรรมบำบัดที่จะคอยแนะนำและให้การช่วยเหลือเด็กๆค่ะ🥰🥰

‘เด็กที่มีความอ่อนไหวสูง’ หรือ ‘Hypersensitive child’ หมายถึง เด็กกลุ่มที่มีความไวทางประสาทสัมผัส(sensory sensitivity)มากกว่าปกติ

สมองของเด็กกลุ่มนี้จะรับรู้ประสาทสัมผัส สิ่งเร้ารอบตัว เช่น เสียง กลิ่น สัมผัส แสง หรืออารมณ์ ได้เร็วและแรงกว่าเด็กทั่วไป ทำให้เด็กเหล่านี้อาจมีพฤติกรรมหรืออารมณ์ที่ดู “ง่าย” และ “แรง” กว่าที่ควรจะเป็นในสถานการณ์เดียวกัน


เด็ก Hypersensitive จะมีอาการไวต่อประสาทสัมผัส เช่น ไม่ชอบเสียงดัง เสียงแหลม หรือบางทีเป็นเสียงที่คนอื่นรู้สึกเฉยๆ ไวต่อแสง กลิ่น หรือเนื้อผ้าบางอย่าง บางคนไม่ชอบถูกสัมผัสตั

นอกจากนั้นอาจมีความไวทางอารมณ์ (Emotional hypersensitivity) เช่น รู้สึกเสียใจง่าย ร้องไห้ง่าย แม้เรื่องเล็กน้อย รู้สึกเสียใจเมื่อถูกตำหนิด้วยคำพูดเล็กน้อย โกรธง่าย หงุดหงิดง่าย บางคนอาจไวกับการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ของคนรอบข้าง เช่น เมื่อเห็นแม่ไม่สบายใจก็จะวิตกกังวลตาม

เด็กมักถูกมองว่า “ดูแลยาก” “ขี้วีน” “ขี้วีน“ ”ขี้แง“ แต่ในความเป็นจริงการจะดูแลเด็กเหล่านี้ต้องอาศัยความเข้าใจธรรมชาติของเขา ไม่ควรไปตีตราว่าเขาเป็น เด็กดื้อ หรือ เด็กนิสัยไม่ดี


วิธีการดูแลเด็กกลุ่มนี้

1. สังเกตและเข้าใจความไวของลูก

เด็กแต่ละคนมีความไวต่างกัน อาจไวต่อ เสียง กลิ่น แสง สัมผัส หรืออารมณ์ความรู้สึก ให้สังเกตว่าอะไรคือสิ่งกระตุ้นที่ทำให้ลูกไม่สบายใจ เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงหรือปรับสภาพแวดล้อม (แต่ไม่ควรตามใจโดยไม่มีเหตุผล)

______

2. รับฟังความรู้สึกของลูก

ยกตัวอย่าง

ลูกกลัวเสียงบางอย่าง เช่น กลัวฟ้าร้อง พ่อแม่อย่าไปบอกว่า “แค่นี้เอง ไม่เห็นเป็นไรเลย” เพราะจะทำให้ลูกไม่กล้าแสดงความรู้สึก แต่ควรพูดว่า “แม่เข้าใจนะว่าเสียงนั้นมันดังมากสำหรับลูก” ความเข้าใจจะช่วยให้ลูกรู้สึกสงบได้ง่ายขึ้น

เวลาที่ลูกโกรธ หงุดหงิด อย่ารีบบอกว่า “ไม่ต้องคิดมาก” หรือ “อย่าไปโกรธเลย” เพราะเท่ากับปฏิเสธความรู้สึกของลูก ควรพูดว่า “หนูโกรธใช่ไหมลูก แม่อยู่ตรงนี้นะ”/“แม่รู้ว่ามันน่าหงุดหงิดใจ แม่ฟังอยู่นะลูก ถ้าหนูอยากเล่าให้ฟัง”

______

3.ตั้งขอบเขตอย่างอ่อนโยน

เข้าใจลูก แต่ไม่ปล่อยให้พฤติกรรมรุนแรง เช่น การทำร้ายตัวเองหรือคนอื่น

“หนูโกรธได้ แต่ไม่ตีตัวเอง ไม่ตีแม่นะลูก แม่เข้าใจว่ามันยาก แต่แม่จะช่วยให้หนูจัดการมันได้”

______

4. เตรียมตัวลูกก่อนสถานการณ์เครียด

หากรู้ว่าอีกไม่นานจะมีเหตุการณ์ที่กระทบอารมณ์ เช่น ไปโรงเรียนแล้วอาจมีเพื่อนพูดบางอย่างที่ไม่ชอบ ก็คุยกับลูกก่อน ให้ลูกเตรียมใจไว้ก่อน เช่น

“บางทีไปโรงเรียน เพื่อนพูดอะไร แล้วหนูไม่สบายใจ หนูอยากจะร้องไห้ แม่เข้าใจ แม่อยากลองให้หนูหายใจลึกๆ แล้วมาเล่าเรื่องที่ไม่สบายใจให้แม่ฟังนะ แม่พร้อมฟังหนูเสมอ”

______

5. ให้ทางเลือกในการจัดการอารมณ์ความรู้สึก

เด็กบางคนกลัวเสียงดังเวลาไปที่คนเยอะๆ ก็อาจเตรียมที่อุดหูให้เขาก่อน เด็กที่ขี้โกรธ อาจเตรียมมุมสงบ เช่น เตียง เก้าอี้ ที่ลูกสามารถเข้าไปนั่งพักเมื่อเริ่มมีอารมณ์ อาจเป็นการไปห้องน้ำล้างน้ำ ดื่มน้ำเย็นๆ หรือลองคุยกับเด็ก เด็กบางคนต้องการกอด เด็กบางคนอยากอยู่คนเดียวเพื่อสงบจิตใจ ไม่ชอบให้คนไปยุ่งกับเขามาก ลองให้เขาเลือกด้วยตัวเอง

_______

6.เด็กเหล่านี้อาจมีภาวะอื่นๆ ร่วมด้วย(หรือไม่มีก็ได้) เช่น สมาธิสั้น ออทิซึมสเป็คตรัม โรควิตกกังวล โรคทางอารมณ์ ความเครียด การปรับตัว ฯลฯ ดังนั้นถ้ามีอาการมาก ควรต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการดูแลรักษา เช่น การทำกิจกรรมบำบัด Sensory integration


ที่สำคัญพ่อแม่ควรทำความเข้าใจและจัดการอารมณ์ตัวเองเวลาไปดูแลเด็กๆ เพราะพ่อแม่หลายคนมีความเครียดในการดูแล ทำให้เกิดอารมณ์โกรธ ปรี๊ดง่าย ส่งผ่านอารมณ์ลบต่างๆ ไปถึงเด็ก และยิ่งทำให้จัดการพฤติกรรมเด็กได้ยากขึ้นด้วย

การดูแลเด็กที่มีความอ่อนไหวสูงไม่ใช่การ “เปลี่ยนลูกให้เข้ากับโลก” แต่คือการ “ช่วยให้ลูกเข้าใจตัวเอง และอยู่ในโลกได้อย่างมั่นคง”ด้วยความรัก ความเข้าใจ และความมั่นใจจากพ่อแม่

หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์นะคะ

#หมอมินบานเย็น
#ข้อคิดจากห้องตรวจจิตเวชเด็ก

ขอบคุณข้อมูลดีๆเรื่องเอ็นข้อหย่อนจากเพจครูน้ำฝนค่ะ💪
14/06/2025

ขอบคุณข้อมูลดีๆเรื่องเอ็นข้อหย่อนจากเพจครูน้ำฝนค่ะ💪

🥰เอ็นข้อหย่อน (Joint Hypermobility) คือภาวะที่เอ็นรอบข้อมีความยืดหยุ่นมากกว่าปกติ ทำให้ข้อต่อเคลื่อนไหวได้กว้างเกินขอบเขตร่างกายออกแบบไว้ แม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รู้ตัว เด็กอาจมีปัญหาทางการเรียนรู้และพฤติกรรมที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน การสังเกตและการจัดการโดยนักกิจกรรมบำบัด (OT) จึงสำคัญ เพื่อให้ลูกแข็งแรงและมั่นคงทั้งร่างกายและจิตใจ

🚩เอ็นข้อหย่อนคืออะไร?
นิยาม: ภาวะที่เอ็น (Ligaments) ซึ่งเชื่อมกระดูกกับกระดูก มีความยืดหยุ่นเกินไป จนข้อต่อ “หลวม” และเคลื่อนไหวได้กว้างกว่าปกติ

🚩สาเหตุหลัก:

-พันธุกรรม (บางครอบครัวสืบทอดกันมา)

-ฮอร์โมนบางชนิด เช่น ในช่วงเติบโตเร็ว

-ภาวะบางอย่างร่วม เช่น Ehlers-Danlos Syndrome (EDS)

🚩วิธีสังเกตง่าย ๆ ว่าเด็กมีเอ็นข้อหย่อนหรือไม่
-มักนั่ง ท่า W-sittingบ่อยครั้ง
-ยืดแขน–ขาเกินขอบเขต ให้ลองให้เด็กลากแขนขึ้นเหนือศีรษะหรือกางขาออกด้านข้าง หากกางได้แบนราบเกือบ 180° โดยไม่รู้สึกเจ็บ แปลว่าอาจจะมีเอ็นหย่อน
-เคลื่อนไหวข้อโดยไม่มีแรงต้าน
-หมุนข้อมือ หมุนข้อเท้า หรือโค้งหลังไปข้างหลังเกินปกติ
-ถ้าทำได้ง่ายเกินไป (ไม่มีแรงต้าน) ให้สงสัยภาวะเอ็นข้อหย่อน
- นั่ง–ยืนเปลี่ยนท่าบ่อย
-เด็กจะโยกตัวหรือสลับท่านั่งเพื่อ “หา” ตำแหน่งที่รู้สึกมั่นคง
-สอบถามอาการเจ็บข้อตอนใช้งาน เด็กอาจบ่นว่าปวดข้อเข่า ข้อศอก หรือข้อเท้าหลังออกกำลังกายเล็กน้อย

🚩ผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก
-ความมั่นคงในการเคลื่อนไหวต่ำ
-เด็กจะรู้สึกไม่มั่นคง เวลาเดินวิ่งอาจสะดุดง่าย เกิดอุบัติเหตุลื่นล้มบ่อย
-กล้ามเนื้ออ่อนแรง
-เนื่องจากเอ็นไม่ช่วยรับน้ำหนักเต็มที่ เด็กจึงพึ่งพากล้ามเนื้อมัดลึกมาก เกิดความอ่อนล้าเร็วกว่าปกติ
-พัฒนาการทักษะมัดเล็กช้า
-ทักษะจับดินสอ เขียนหนังสือ ตัดกระดาษอาจยากลำบาก
-พฤติกรรม “ยุกยิก” เด็กอาจต้องขยับตัวอยู่เสมอเพื่อค้นหา “ตำแหน่งชัวร์” ทำให้ดูซนและมีปัญหาสมาธิในห้องเรียน
-ความเจ็บปวดเรื้อรัง
หากไม่จัดการ อาจเกิดปวดข้อเรื้อรังเมื่อโตขึ้น หรือเสี่ยงท่าออฟฟิศ ซินโดรมได้

🚩แนวทางแก้ไขโดยนักกิจกรรมบำบัด (OT)
- ฝึกกิจกรรมส่งเสริม Core Stability Training
เช่น Plank Variations: ค้าง 5–10 วินาที ช่วยเสริมกล้ามเนื้อมัดลึก
Bridge Exercise: ยกสะโพกค้าง 5 วินาที ซ้ำ 8–10 ครั้ง

-ฝึกกิจกรรมส่งเสริม Vestibular & Proprioceptive Activities เช่น

✅ Balance Disc: เดินหรือยืนบนบอร์ดเบา ๆ 1–2 นาที

✅Single-leg Stance: ยืนขาเดียว แขวนมือออกด้านข้าง ค้าง 5–8 วินาที สลับข้าง

✅Bodyweight Strengthening

✅Squat & Heel Raises: Squat เบา ๆ 10 ครั้ง; เดินเขย่งสลับส้น–ปลายเท้า

✅Theraband Exercises: ดึง–ผลักยางยืด ฝึกกล้ามเนื้อแขนและขา

-ให้กิจกรรมส่งเสริม Deep Pressure Input

✅Ball Squeeze / Weighted Activities: บีบลูกบอลนวด หรือสวมกระเป๋าน้ำหนักเบา 1–2 นาที

✅Proprioceptive Input: ใช้ผ้าพันข้อศอก–ข้อมือ เพื่อเพิ่มรับรู้ตำแหน่งร่างกาย

สรุป🚩
ภาวะเอ็นข้อหย่อนอาจดูไม่เป็นเรื่องใหญ่ แต่ถ้าปล่อยไว้นาน เด็กจะพลาดโอกาสสร้างความแข็งแรงทั้งร่างกายและสมาธิในวัยเรียน การสังเกตง่าย ๆ ด้วยท่า W-sitting, ยืดขาข้อเกิน, และสังเกตกิจกรรมในชีวิตประจำวัน จะช่วยให้พ่อแม่และครูรู้ตัวเร็วขึ้น นักกิจกรรมบำบัดจึงออกแบบโปรแกรม SI โดยเน้นสร้างเสถียรภาพข้อผ่าน Core Stability, Balance Training, Strengthening, และ Deep Pressure Input เมื่อฝึกอย่างสม่ำเสมอ เด็กจะเคลื่อนไหวมั่นคงขึ้น จับดินสอได้ถนัด เขียนหนังสือขีดเขียนได้สวย และลดพฤติกรรม “ยุกยิก” ในห้องเรียนลงอย่างเห็นผลค่ะ

#ครูน้ำฝนนักกิจกรรมบำบัด #พัฒนาการการเล่นในแต่ละช่วงวัย #การเล่น #แม่และเด็กอ่อน #นายแพทย์ประเสริฐ #นักกิจกรรมบำบัด #พัฒนาการเด็กเล็ก #แม่และเด็ก #พัฒนาการเด็ก #กิจกรรมบำบัด #เอ็นข้อหย่อน

👩‍⚕️การใช้หน้าจอ (Screen Time) ในเด็กเล็ก โดยเฉพาะในช่วงอายุต่ำกว่า 2 ปี เป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากผู้ปกครองและนักว...
13/06/2025

👩‍⚕️การใช้หน้าจอ (Screen Time) ในเด็กเล็ก โดยเฉพาะในช่วงอายุต่ำกว่า 2 ปี เป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากผู้ปกครองและนักวิจัย เนื่องจากมีผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กในหลายด้าน บทความนี้จะอธิบายถึงเหตุผลที่การใช้หน้าจอส่งผลเสียต่อพัฒนาการของเด็กเล็ก พร้อมข้อมูลจากงานวิจัยและตัวอย่างประกอบ👇👇



ทำไมการใช้หน้าจอจึงส่งผลเสียต่อพัฒนาการของเด็กเล็ก⁉️

1️⃣ขัดขวางพัฒนาการทางสมองและการเรียนรู้

สมองของเด็กในช่วงขวบปีแรกมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว การเรียนรู้ผ่านการโต้ตอบกับผู้ดูแลและสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญ การใช้หน้าจอมากเกินไปอาจลดโอกาสในการมีปฏิสัมพันธ์แบบสองทาง ซึ่งจำเป็นต่อการพัฒนาทักษะทางภาษาและสังคม งานวิจัยพบว่าเด็กที่ใช้หน้าจอมากมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาในการควบคุมตนเองและสมาธิในวัยเรียน (https://answers.childrenshospital.org/screen-time-infants/)

2️⃣ส่งผลต่อพัฒนาการทางภาษาและการสื่อสาร

การเรียนรู้ภาษาในเด็กเล็กเกิดจากการฟังและโต้ตอบกับผู้ใหญ่ การใช้หน้าจอแทนการสื่อสารแบบตัวต่อตัวอาจทำให้เด็กมีพัฒนาการทางภาษาช้าลง การศึกษาพบว่าเด็กที่ใช้หน้าจอมากมีคะแนนพัฒนาการด้านการสื่อสารและการแก้ปัญหาต่ำกว่าเด็กที่ใช้หน้าจอน้อย https://jamanetwork.com/journals/jamapediatrics/fullarticle/2808593

3️⃣ลดทอนทักษะทางสังคมและอารมณ์

เด็กเรียนรู้การเข้าใจอารมณ์และพฤติกรรมของผู้อื่นผ่านการสังเกตและโต้ตอบกับคนรอบข้าง การใช้หน้าจอมากอาจลดโอกาสในการพัฒนาทักษะเหล่านี้ งานวิจัยชี้ว่าเด็กที่ใช้หน้าจอมากมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์และมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม

4️⃣ส่งผลต่อพัฒนาการทางร่างกาย

การใช้หน้าจอมากทำให้เด็กมีเวลาน้อยลงในการเคลื่อนไหวและเล่น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนากล้ามเนื้อและทักษะการเคลื่อนไหว การศึกษาพบว่าเด็กที่ใช้หน้าจอมากมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาในการพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวและมีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพ



💢ตัวอย่างประกอบ💢

🟢เด็กอายุ 1 ปี ที่ใช้หน้าจอวันละ 1-4 ชั่วโมง มีความเสี่ยงที่จะมีพัฒนาการด้านการสื่อสารและการแก้ปัญหาช้ากว่าเด็กที่ใช้หน้าจอน้อยกว่า https://www.parents.com/study-shows-screen-time-harm-in-infants-7814272

🔴เด็กอายุ 12 เดือน ที่ดูโทรทัศน์หรือวิดีโอมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน มีแนวโน้มที่จะมีอาการคล้ายออทิสติกมากกว่าเด็กที่ไม่ดูเลย https://cps.ca/en/documents/position/screen-time-and-preschool-children?utm_source=chatgpt.com



🚩คำแนะนำสำหรับผู้ปกครอง
🔺หลีกเลี่ยงการใช้หน้าจอในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ยกเว้นการวิดีโอคอลกับสมาชิกในครอบครัว
🔺ส่งเสริมการเล่นและปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัว เช่น การอ่านนิทาน เล่นของเล่นที่เหมาะสมกับวัย และการพูดคุยกับเด็ก
🔺หากจำเป็นต้องใช้หน้าจอ ควรเลือกเนื้อหาที่มีคุณภาพและดูร่วมกับเด็ก พร้อมอธิบายเนื้อหาให้เด็กเข้าใจ



📍สรุป📍

🎈การใช้หน้าจอในเด็กเล็ก โดยเฉพาะในช่วงอายุต่ำกว่า 2 ปี มีผลกระทบต่อพัฒนาการในหลายด้าน ทั้งทางสมอง ภาษา สังคม อารมณ์ และร่างกาย ผู้ปกครองควรให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านการปฏิสัมพันธ์และการเล่น เพื่อพัฒนาศักยภาพของเด็กอย่างเต็มที่

----------------

💁 ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม

คลินิกการประกอบโรคศิลปะสาขากิจกรรมบำบัด ฮักกลอรี่

✅️ เวลาเปิดทำการ อังคาร- อาทิตย์ 09.00-18.00 (ปิดทุกวันจันทร์)

☎️โทร 092-4620005, 082-0253952

🟢Line ID : https://lin.ee/tTebf6S

📍Google Map : https://maps.app.goo.gl/df9EewEMpeAhvHsDA....

#กิจกรรมบำบัด #ฮักกลอรี่คลินิก #คลินิกพัฒนาการเด็ก
#ฝึกกิจกรรมบำบัด #นักกิจกรรมบำบัด

ที่อยู่

Bangkok

เวลาทำการ

อังคาร 09:00 - 18:00
พุธ 09:00 - 18:00
พฤหัสบดี 09:00 - 18:00
ศุกร์ 09:00 - 18:00
เสาร์ 09:00 - 18:00
อาทิตย์ 09:00 - 18:00

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Hugglory Clinic คลินิกพัฒนาการเด็กผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Hugglory Clinic คลินิกพัฒนาการเด็ก:

แชร์

ประเภท