03/02/2025
การใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ 😍😁
มีประโยชน์ และปลอดภัยในทุกวัยนะ!
ฟลูออไรด์ในไทย ปลอดภัยและจำเป็น
ช่วงสองวันที่ผ่านมา ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลเรื่องอันตรายของฟลูออไรด์ โดยอ้างว่าส่งผลต่อความฉลาด การป่วยมะเร็ง มวลกระดูกบาง ฟันผุกร่อน หินปูนที่ข้อ หรือมีผลกระทั่งถึงการกลายพันธุ์ นอกจากนี้ผู้เผยแพร่ยังกล่าวอ้างว่าบุคลากรการแพทย์แนะนำให้ใช้ยาสีฟันมีฟลูออไรด์ เพื่อให้เกิดโรคในประชาชนเพื่อประโยชน์ทางการเงินแก่ตนเอง
ข้อมูลชุดนี้ เชื่อถือได้จริงหรือไม่??
ในประเด็นนี้ มีทันตแพทย์หลายท่านได้ออกมาโพสต์ชี้แจง เช่น ทพญ.กมลชนก เดียวสุรินทร์ กรรมการสมาคมทันตกรรมเด็กแห่งประเทศไทย ได้โพสต์ถึงข้อมูลที่เคยเขียนไว้ใน Facebook สมาคมทันตกรรมเด็กแห่งประเทศไทยว่า “ยาสีฟันฟลูออไรด์ไม่ได้อันตรายอย่างที่คนแชร์กัน” การเกิดพิษของฟลูออไรด์เป็นไปได้ 2 ลักษณะ คือ เกิดแบบเฉียบพลัน และเกิดแบบเรื้อรัง ในกรณีเฉียบพลัน ถ้าเป็นกรณีการเกิดพิษของฟลูออไรด์จากยาสีฟัน จะเป็นอันตรายต่อเมื่อเป็นการผู้ป่วยกินยาสีฟันปริมาณมาก ๆ เข้าไปในคราวเดียว แทนที่จะเป็นการบีบใส่แปรงสีฟันแล้วบ้วนทิ้งหลังแปรงเสร็จ ฉะนั้น การใช้ยาสีฟันแบบปกติ แทบไม่มีโอกาสทำให้เกิดพิษจากฟลูออไรด์
ส่วน ทพ.วัชรพงษ์ ต้นประสงค์ ซึ่งกำลังศึกษาปริญญาเอก สาขาทันตกรรมผู้สูงอายุและการฟื้นฟูสุขภาพช่องปาก ที่ Tokyo Medical and Dental University ประเทศญี่ปุ่น ได้ชี้แจงประเด็นสำคัญเกี่ยวกับฟลูออไรด์ดังนี้ คือ ความเป็นพิษจากการใช้ฟลูออไรด์นั้นขึ้นอยู่กับปริมาณและระยะเวลาที่บริโภคเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งการได้รับอันตรายจากฟลูออไรด์ในยาสีฟันนั้นเกิดขึ้นได้น้อย เนื่องจากมิได้เป็นการบริโภคยาสีฟันผสมฟลูออไรด์โดยตรง และได้ระบุว่า งานวิจัยของโพสต์ต้นทางมีจุดประสงค์เพื่อดูพยาธิสภาพในสัตว์ทดลอง ผ่านการบริโภคฟลูออไรด์ในน้ำดื่มที่ความเข้มข้น 200 ppm แต่ในชีวิตประจำวันนั้น น้ำดื่มมีสารประกอบฟลูออไรด์ที่ความเข้มข้นราว 1.5 ppm เท่านั้น แตกต่างจากระดับที่อ้างอิงในวิจัยมาก รวมทั้งมีการเปรียบเทียบข้อมูลจากงานวิจัยดังกล่าวกับระดับความเข้มข้นของสารประกอบฟลูออไรด์ในยาสีฟันซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อมูล ดังนั้นการอ้างอิงงานวิจัยนั้น จำเป็นต้องพิจารณาให้รอบคอบและเหมาะสม
เพื่อความกระจ่างในเรื่องนี้ ทีมประชาสัมพันธ์ได้ส่งโพสต์ทั้งสามชิ้นให้ รศ.ดร.ทพญ.ศิริรักษ์ นครชัย ประธานอนุกรรมการฝึกอบรมและสอบฯ สาขาทันตกรรมสำหรับเด็ก ราชวิทยาลัยทันตแพทย์แห่งประเทศไทย พิจารณาแล้วได้ให้ความเห็นว่า
“คุณหมอทั้งสองท่านกล่าวไว้ได้ถูกต้องแล้ว ปัจจุบันการป้องกันฟันผุโดยการใช้ฟลูออไรด์รูปแบบต่าง ๆ จะเน้นการสัมผัสของฟลูออไรด์กับผิวฟัน ไม่มีความจำเป็นต้องรับประทานเข้าไป ควรใช้ยาสีฟันตามคำแนะนำทั้งความเข้มข้นของฟลูออไรด์และปริมาณยาสีฟัน ในเด็กโตและผู้ใหญ่โอกาสที่จะกลืนยาสีฟันมีน้อยมากเพราะสามารถควบคุมการบ้วนทิ้งได้ดี ส่วนเด็กเล็กอาจมีโอกาสกลืนมากกว่า แต่ถ้าใช้ปริมาณยาสีฟันตามที่แนะนำ ปริมาณฟลูออไรด์จากยาสีฟันที่กลืนจะน้อยมาก โอกาสเกิดพิษจากฟลูออไรด์จึงน้อยเช่นกัน ในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 3 ปี ถ้าใช้ยาสีฟันที่มีความเข้มข้น 1000-1500 ppm ตามปริมาณที่แนะนำคือ ใช้ปริมาณน้อยพอเปียกแปรงสีฟัน การแปรงฟันวันละสองครั้งจะมีปริมาณฟลูออไรด์ในยาสีฟัน ประมาณ 0.2-0.3 mgF ซึ่งไม่เกิน ปริมาณที่ไม่เกิดผลข้างเคียงในวัยนี้คือ 0.4-0.7 mgF ส่วนพิษของฟลูออไรด์ที่เกิดจากดื่มน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีฟลูออไรด์สูงอย่างต่อเนื่องนั้น มีความเป็นไปได้ที่มีบางพื้นที่ของประเทศไทยอาจมีความเข้มข้นของฟลูออไรด์ในน้ำดื่มมาก ต้องหลีกเลี่ยงการดื่มนำ้ที่มีฟลูออไรด์สูงเกิน แต่ก็ยังไม่ได้เป็นข้อห้ามการใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ถ้าไม่ได้มีการกลืนยาสีฟันเข้าไป การพิจารณาความเป็นพิษของฟลูออไรด์จะดูเพียงความเข้มข้นของฟลูออไรด์ในสารนั้นเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูปริมาณของสารที่รับเข้าไปด้วย
ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญทั้งสามท่านต่างบ่งชี้ว่า การเผยแพร่ข้อมูลด้านอันตรายของฟลูออไรด์ดังกล่าวนั้นไม่มีหลักฐานทางวิชาการรองรับ เป็นการบิดเบือนข้อมูลจากงานวิจัยในสัตว์ทดลองมาสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชน
สำหรับท่านที่สนใจข้อมูลวิชาการเชิงลึกติดตามอ่านได้จาก
1.แนวทางการใช้ฟลูออไรด์สำหรับเด็ก
https://www.thaidental.or.th/main/download/upload/upload-20190213213340.pdf
2.ปริมาณฟลูออไรด์ที่แนะนำ จากสมาคมทันตกรรมเด็กแห่งประเทศไทย
https://web.facebook.com/452215124942310/photos/a.452617651568724/722136214616865/?type=3&_rdc=1&_rdr
หมายเหตุ: แหล่งอ้างอิงที่ 2 ยังมีข้อจำกัดด้านการอัพเดทปริมาณฟลูออไรด์แนะนำ ในอดีตแนะนำที่ 1000 ppm ปัจจุบันขยับเพดานเป็น 1000 - 1500 ppm แล้ว