ລາວເມດິແຄລ Laos Medicare

ລາວເມດິແຄລ Laos Medicare ໃຫ້ຄວາມຮູ້ ກ່ຽວກັບພະຍາດຕ່າງໆ ແນວທາ? ໃຫ້ຄວາມຮູ້ ກ່ຽວກັບພະຍາດຕ່າງໆ ແນວທາງການຮັກສາ ແລະ ແນະນຳ ອຸປະກອນການແພດທີ່ ທັນສະໄຫມ ໂດຍ ໃຫ້ຄຳປຶກສາຈາກຜູ້ຊ່ຽວຊານ

27/09/2025
11/09/2025

🦷 แค่เหงือกอักเสบสะสมเรื้อรัง สุดท้ายอาจเป็นข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้ ถ้าคุณดวงซวยมีปัจจัยเอื้ออย่างอื่น

บทความนี้ยาว ถ้าไม่มีเวลาให้อ่านสรุป แต่ถ้าอ่านตัวเต็ม คุณจะเข้าใจว่าธรรมชาติมันไม่ได้สร้างให้เราเป็นโรคง่ายขนาดนั้น แต่เพราะมีทุกสิ่งเหมาะเจาะกัน โรคเลยมา

————————————

📖 [ บทที่ 1 - ช่องปากกับชุมชนแบคทีเรียอันสงบสุข ]

ในช่องปากไม่ต่างอะไรกับลำไส้เลยค่ะ คือมีชุมชนแบคทีเรีย (Oral microbiome) มีแนวกั้นเหงือกกับฟัน กั้นระหว่างในปากกับเลือด

ผลจากการไม่ดูแลสุขภาพช่องปากเรื้อรัง เช่น แปรงฟันไม่สะอาด, กินของหวานแล้วปล่อยนอนข้ามคืนเลย ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงแวดล้อมในปากทีละนิด

————————————

🦠 [ บทที่ 2 - ไม่ดูแลสุขภาพปากจนแบคทีเรียตัวร้ายยึดครอง ]

แบคทีเรียแกรมบวกเริ่มใช้ฟิล์มโปรตีนจากน้ำลายเกาะ กลายเป็นแกนให้แบคทีเรียตัวอื่นมาเกาะต่อ ซึ่งตัวอันตรายคือ P. gingivalis ตัวเจ้าปัญหาของรูมาตอยด์เลย

ปกติ P. gingivalis มีน้อยมาก แต่พอได้เกาะเท่านั้นแหละ มันเลยแบ่งตัวมากขึ้น แล้วปล่อยสกิลพิเศษคือสร้างไบโอฟิล์มเป็นเคลือบเอาไว้ กลายเป็นคราบ (Plaque)

⏳ เวลาผ่านไป Plaque หนาขึ้นเรื่อยๆ ทำปฏิกิริยากับเกลือแร่ในน้ำลายแล้วเริ่มตกตะกอนกลายเป็นคราบหินปูนเกาะฟันในที่สุด

ซึ่งคนที่ไม่ค่อยดูแลช่องปาก และไม่ค่อยตรวจสุขภาพฟันเลย เชื่อว่าจะมีคราบนี้เกาะอยู่สีเหลืองบ้าง น้ำตาลบ้าง ซึ่งก็ขึ้นกับว่าเชื้อที่อยู่ข้างในมันดุมั้ย

⚠️ ถ้าเชื้อที่อยู่ข้างในเริ่มลุกลาม คราวนี้เหงือกจะเริ่มอักเสบละ (Gingivitis) สัญญาณแรกๆ คือแปรงฟันแล้วมีเลือดออก, หนักขึ้นก็เหงือกบวม อักเสบได้

และถ้ายังไม่รักษาอีก แบคทีเรียสามารถเข้าไปลุกขึ้น กลายเป็นโรคปริทันต์อักเสบเรื้อรัง (Chronic periodontitis) นี่แหละฮะ มันทำให้ ‘แนวกั้น’ ระหว่างปากกับกระแสเลือดอ่อนแอลง

เท่านี้ก็เตรียมการเสร็จแล้ว

————————————

🧬 [ บทที่ 3 - แบคทีเรียป่วนภูมิคุ้มกัน กับก้านชูที่เหมาะเจาะ ]

เมื่อเจ้า P. gingivalis ยึดครองถึงซอกลึกแล้ว มันจะมีสกิลพิเศษคือ ‘PAD’ นำโปรตีนบางชนิดมาเติมกรดอะมิโน ‘ซิทรูลีน’ เรียกโปรตีนเหล่านี้ว่า Citrullinated protein

ซึ่งมันเติมไปตามธรรมชาติของมัน เพราะโปรตีนกลุ่มนี้มันใช้ในชีวิตประจำวันของมัน แต่ไอ้แบคทีเรียตัวนี้มันเร็วกว่าชาวบ้านมากๆๆๆ

ซึ่ง Citrullinated protein ที่มีมากเกินไปนี้ เสี่ยงที่ภูมิคุ้มกันจะจดจำเป็นเชื้อโรคมากขึ้น เพราะร่างกายเราเองก็มีโปรตีนตัวนี้

👏 แต่ปรบมือข้างเดียวมันไม่ดังค่ะ ไม่งั้นคนเป็นโรคเหงือก กลายเป็นรูมาตอยด์กันทุกคน

ถ้าคนนั้นดันมีพันธุกรรมที่ใช้สร้างโปรตีน ‘ก้านชู’ ชนิดที่มีโอกาส ‘ถือ Citrullinated protein’ ได้ เราเรียกรหัสพันธุกรรมนี้ว่า HLA-DRB1

🤔 งงมั้ย? คือแบบนี้ค่ะ เวลาเม็ดเลือดขาวไปกินเชื้อเนี่ย มันจะเอาตัวอย่างเชื้อโรค ใส่ก้านชู แล้วไปฟ้องนายพล T cell จากนั้น T cell ก็ไปช่วย B cell แล้วทั้งคู่ก็สร้างภูมิคุ้มกันมาทำลายเชื้อโรคแบบจำเพาะ

ทีนี้คุณดันมีก้านชูชนิดนี้ (HLA-DRB1) มีโอกาสสูงที่จะหยิบไอ้ Citrullinated protein ซึ่งเป็นโปรตีนของเราแท้ๆ ไปฟ้องนายพล

ซึ่งถ้าคุณไม่ได้เป็นปริทันต์ โอกาสโคตรรรต่ำ เพราะโปรตีนนี้มันเจอน้อยมาก และยากมากที่เม็ดเลือดขาวจะไปเก็บมาฟ้อง

😵 แต่ถ้าคุณเป็นปริทันต์เรื้อรัง ซวยยยย เพราะไอ้แบคทีเรีย P. gingivalis แมร่งปั้ม โปรตีนนี้ระดับส่งออกอะ แถมเม็ดเลือดขาวมีโอกาสเก็บไปสูงมาก เพราะเม็ดเลือดขาวมันต้องจับกิน แบคทีเรียตัวนี้อยู่แล้วไง

แต่แต่แต่ปรบมือข้างเดียวมันไม่ดัง ต่อให้คุณมีปริทันต์อักเสบจนมีโปรตีนนี้สูง ต่อให้คุณมี HLA-DRB1 จนเม็ดเลือดขาวไปฟ้องแล้ว ถ้า T cell, B cell ไม่เล่นด้วย ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น

————————————

⚔️ [ บทที่ 4 - นายพล T cell, B cell ที่จำพวกเดียวกันเอง ดันรอดชีวิต ]

ปกติแล้วทั้ง T cell และ B cell จะเกิดมาพร้อมกับออกแบบเซนเซอร์ประจำตัว ใครก็ตามออกเซนเซอร์ที่ดันตรวจจับโปรตีนของเราเอง มันจะโดนฆ่ๅทิ้ง

แต่ถ้าคุณซวยระบบนี้พังพอดี แล้วดันทำให้ T cell และ B cell ตัวที่สร้างเซนเซอร์สวมได้กับ Citrullinated protein อีก

มันก็จะยิ่งซวยในซวยเลย ซึ่งโอกาสนี้เกิดค่อนข้างสุ่ม

————————————

🩺 [ บทที่ 5 - ทุกอย่างที่เหมาะเจาะ กำเนิดรูมาตอยด์ ]

ตอนนี้ทุกอย่างครบแล้วฮะ
• แบคทีเรียครองปากปล่อย Citrullinated protein รัวๆ
• เม็ดเลือดขาวที่มีก้านชู HLA-DRB1 กินเชื้อแล้วเอา Citrullinated protein มาใส่ก้านชู
• T cell ที่มีเซนเซอร์เข้าได้กับ Citrullinated protein ก็สวมพอดีกับคนที่มาชูให้ดู (ส่วน B cell ไปเจอตัวโปรตีนเอง)
• สุดท้าย T cell แปลงร่างเป็น Th cell (Th1, Th17) นำทัพเม็ดเลือดขาวลูกน้อง ตระเวนหาจุดที่มี Citrullinated protein เพราะมองเป็นศัตรูแล้ว
• B cell แปลงร่างเป็นโรงงานผลิตแอนติบอดี (Plasma cell) สร้างแอนติบอดีที่สวม Citrullinated protein ได้พอดี กระจายเข้าเลือด
• ซึ่งถ้าคุณสูบบุหรี่อีก บุหรี่ก็จะเร่ง PAD สร้าง Citrullinated protein เพิ่มอีก

🦵 สุดท้าย ‘ข้อ’ เป็นจุดที่มี Citrullinated protein เยอะ เพราะเซลล์เยื่อบุข้อใช้ และมักจะปล่อยออกมาตอนมีแรงเชิงกลถูไปมา (ตอนงอข้อเหยียดข้อ) นั่นเลยทำให้เหล่าภูมิคุ้มกัน รุมโจมตีข้ออย่างรุนแรง

เพราะคิดว่าไอนั่นคือแบคทีเรีย P. gingivalis

————————————

📌 [ สรุป ]
1️⃣ ไม่ดูช่องปากเลยจะเกิดคราบหินปูนที่มีแบคทีเรียอยู่
2️⃣ แบคทีเรียลุกลามไปในเหงือก ผลิต Citrullinated protein รัวๆ
3️⃣ ดันมีพันธุกรรม HLA-DRB1 อีกที่ถือโปรตีนนี้ไปฟ้องนายพล T/B cell ได้
4️⃣ นายพลกบฏที่ออกแบบเซนเซอร์มาจับกับโปรตีนนี้ได้ ดันรอดจากการตรวจจับมาอีก
5️⃣ นายพลจึงเจอเม็ดเลือดขาวถือโปรตีนนี้มาฟ้อง จดจำ แล้วควบทัพ + ปล่อยแอนติบอดี ตระเวนทั่วร่าง ที่ใดมี Citrullinated protein ที่นั่นมีสงคราม


ดังนั้นใครที่ยังสุขภาพดี อย่าลืมดูแลช่องปาก
✅ แปรงฟันอย่างน้อย 2 ครั้ง พยายามให้ฟันเคลือบฟลูออไรด์เอาไว้ บ้วนน้ำนิดๆ ก็พอ ให้มันเคลือบๆ ไว้
✅ เป็นไปได้ใช้ไหมขัดฟันยิ่งดี เพราะบางจุดมีเศษอาหารติดจริง ลองใช้ดูสิ แล้วจะรู้ว่า ไอเศษนี้อยู่มานานเท่าใดแล้ว
✅ เวลาแปรงหมุนปัดขึ้นลง (ค้นภาพดูได้) อย่าตะบี้ตะบันถู
✅ ลดอาหารหวาน/น้ำอัดลมลงหน่อย หรือไม่ก็กินแล้วก็ดูแลสุขภาพในปากหน่อย เพราะแบคทีเรียหมักแล้วเกิดกรดได้ ตัวร้ายชอบ
✅ ตรวจสุขภาพฟันเสมอ เป็นไปได้ทุกๆ 6-12 เดือน อย่างน้อยก็แงะหินปูนออก


🧩 โรคทุกวันนี้มันเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ทุกคนมีสิ่งนี้ แล้วจะเป็นเลย โรคคือชุมแห่งความซวยมารวมที่คนๆ หนึ่ง นั่นแปลว่าไม่ใช่ว่าติดแบคทีเรียตัวนี้แล้วจะเป็น แต่ใครจะรู้ว่าเรามีพันธุกรรมเสี่ยงรึเปล่า ระบบ QC นายพลจะพังรึเปล่า เนอะ

06/09/2025

📍สรุป “Hypothyroidism” ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ อัพเดทล่าสุด กันยา 2025 รีวิวจาก JAMA 📚
—————————————————————————
▪️อ่านฉบับเต็ม : https://ja.ma/4p36xto
—————————————————————————

🔹ผมแบ่งเป็น 1️⃣2️⃣ ประเด็นดังนี้ครับ

🔮 1️⃣ นิยาม ความชุก ความสำคัญ ? 🧑🏻‍🔬
🔮 2️⃣ หลักฐานบทความนี้มาจากไหน? 📚
🔮 3️⃣ สาเหตุของ Hypothyroidism 🧩
🔮 4️⃣ กลไกโรค (Pathophysiology) ⚙️
🔮 5️⃣ อาการของ Hypothyroidism ❄️
🔮 6️⃣ อาการแต่ละระบบอวัยวะที่พบได้🫀🧠🫁
🔮 7️⃣ การวินิจฉัย 🧭
🔮 8️⃣ การรักษา: ยา Levothyroxine 💊
🔮 9️⃣ Overtreatment & Undertreatment ⚠️
🔮 🔟 ปัจจัยรบกวน Levothyroxine 🧰
🔮 1️⃣1️⃣ Myxedema Coma 🚨
🔮 1️⃣2️⃣ โภชนาการ, Adjuncts & การพิจารณาหยุด Levothyroxine 🧂

—————————————————————————
🔮 1️⃣ นิยาม ความชุก ความสำคัญ ? 🧑🏻‍🔬
—————————————————————————

📍Hypothyroidism = ภาวะที่ร่างกายมี thyroid hormone ไม่เพียงพอ 🌀
ทำให้ระบบการทำงานต่าง ๆ ของร่างกาย “ช้าลง” (metabolic slowing) ⏳

📊 ความชุก (Epidemiology)
——————————————-
• Overt hypothyroidism 👉 TSH สูง + T4 ต่ำ 📉
• Subclinical hypothyroidism 👉 TSH สูง แต่ T4 ยังปกติ ⚖️
• พบได้บ่อยใน ผู้หญิงและผู้สูงอายุ 👩‍🦳👵
📍ตัวเลขที่รายงาน:
🌎 อเมริกา/ยุโรป → overt 0.3–2% (รวม subclinical ได้ถึง ~12%)
🌏 เอเชีย (พื้นที่ขาดไอโอดีน) → overt สูงสุดถึง 11%
• อัตราส่วนเพศหญิง:ชาย ≈ 5:1 👩:👨

👥 กลุ่มที่เสี่ยงสูง
————————-
• ผู้ที่มี autoimmune disease 🧬 เช่น type 1 diabetes, rheumatoid arthritis
• ผู้ที่มี ประวัติครอบครัว เป็นโรคไทรอยด์ 🧑‍👩‍👧
• ผู้ที่เคยได้รับ การฉายรังสีบริเวณคอ/ศีรษะ ☢️
• คนที่อยู่ในพื้นที่ ขาดหรือเกินไอโอดีน 🧂
• กลุ่มพันธุกรรมพิเศษ:
▪️Down syndrome → เสี่ยง 31–65% 🧒
▪️Turner syndrome → เสี่ยง 12–76% 👩

⚠️ ทำไมโรคนี้สำคัญ?
——————————-
• ถ้าไม่ได้รักษา → เสี่ยง โรคหัวใจ ❤️, ภาวะมีบุตรยาก 🤰, การแท้ง 🩸, ความจำเสื่อม 🧠
• ถ้าปล่อยให้รุนแรง → อาจนำไปสู่ myxedema coma 🛌 → อัตราตายสูง 20–30% ☠️
• แม้เป็น “subclinical” → ก็ส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดได้ 🫀

—————————————————————————
🔮 2️⃣ หลักฐานบทความนี้มาจากไหน? 📚
—————————————————————————

📍ก่อนที่เราจะเจาะลึกเรื่อง Hypothyroidism ให้สุด 🌀 เราต้องรู้ก่อนว่า รีวิวนี้อ้างอิงจากหลักฐานแบบไหน เพื่อจะได้ประเมินว่า “ข้อมูลที่อ่านต่อไปน่าเชื่อถือขนาดไหน” 🔍

🔎 การค้นคว้า (Methods)
—————————————
• ทีมผู้เขียนค้นข้อมูลจาก MEDLINE (PubMed) 📖 ตั้งแต่ปี 1946
• และจาก Embase 📘 ตั้งแต่ปี 1974
• ครอบคลุมจนถึงวันที่ 6 มิถุนายน 2025 📅
• ผลลัพธ์การค้นเจอทั้งหมด 6,319 บทความ 📂
• หลังคัดกรองคุณภาพและความเกี่ยวข้อง → เหลือ 87 บทความ ที่ถูกนำมาใช้จริง ✅

📊 องค์ประกอบของ 87 บทความ
————————————————-
• Randomized clinical trials (RCTs) → 5 งาน 🧪
• Systematic reviews & Meta-analyses → 9 งาน 📑
• Prospective studies → 14 งาน ⏩
• Retrospective studies → 13 งาน 🔙
• Cross-sectional studies → 24 งาน 🔍
• Narrative reviews → 11 งาน ✍️
• Guidelines / Consensus statements → 10 ฉบับ 📖
• Case series → 1 งาน 🧾

⚠️ สิ่งที่ต้องระวัง
————————-
• บทความนี้เป็น Narrative Review ✒️
• ไม่ใช่ Systematic Review หรือ Meta-analysis ที่คัดกรองเข้มงวดที่สุด
• แปลว่าอาจมีงานวิจัยบางส่วน ตกหล่น หรือมี bias ได้ 🎭
• แต่ยังถือว่าเป็น “ภาพรวมใหญ่” ของหลักฐานล่าสุดในปี 2025 🔥

—————————————————————————
🔮 3️⃣ สาเหตุของ Hypothyroidism 🧩
—————————————————————————

📍แบ่งเป็น 4 กลุ่มใหญ่ คือ Primary, Secondary, Tertiary และ Peripheral

🥇 Primary Hypothyroidism (เกือบทั้งหมด >99%)
—————————————————————————
👉 เกิดที่ต่อมไทรอยด์เองโดยตรง

▪️ Hashimoto thyroiditis 🧬
• โรคออโตอิมมูน → ระบบภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์ต่อมไทรอยด์
• พบบ่อยที่สุด คิดเป็น ~85% ของ primary hypothyroidism
▪️Congenital hypothyroidism 👶
• ความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด เช่น thyroid agenesis, dysgenesis
▪️Iatrogenic ⚕️
• การผ่าตัดต่อมไทรอยด์, radioactive iodine, การฉายรังสี
▪️Iodine deficiency 🧂⬇️
• เจอบ่อยในพื้นที่ที่อาหารขาดไอโอดีน → การสร้างฮอร์โมนลดลง
▪️Iodine excess 🧂⬆️
• ไอโอดีนมากเกินไป → paradoxical inhibition ของการสร้างฮอร์โมน
▪️Infiltrative disease 🩸
• เช่น sarcoidosis → ทำลายเนื้อเยื่อต่อมไทรอยด์
▪️Transient thyroiditis ⏳
• postpartum, silent, subacute thyroiditis → มักหายเอง
▪️Medications 💊
• Amiodarone, Lithium → กดการสร้าง/หลั่งฮอร์โมน
• Interferon-α, Interleukin-2 → immune dysregulation
• Tyrosine kinase inhibitors → ทำให้เกิด destructive thyroiditis
• Immune checkpoint inhibitors → กระตุ้น autoimmunity

🥈 Secondary Hypothyroidism
————————————————-
👉 ปัญหาที่ pituitary gland : TSH หลั่งน้อยลง 🌀

🔹สาเหตุ:
• Pituitary tumor
• Infiltrative disease
• Sheehan syndrome (หลังคลอดเลือดออกมากจนทำให้ pituitary ขาดเลือด)
• ยาบางชนิด เช่น dopamine, somatostatin

🥉 Tertiary Hypothyroidism
———————————————
👉 ปัญหาที่ hypothalamus
• TRH หลั่งลดลง → TSH ลดลง → thyroid hormone ลดลง
• มักเจอจากโรคที่ทำลาย hypothalamus หรือมีภาวะเลือดไปเลี้ยงไม่พอ

🎯 Peripheral Hypothyroidism
—————————————————
👉 ไม่ได้เกิดจากปัญหาที่ต่อม แต่เกิดจาก การตอบสนองของร่างกาย
• Consumptive hypothyroidism
• Tumor บางชนิดผลิต deiodinase type 3 มากผิดปกติ → เร่งสลาย T4/T3
• Resistance to thyroid hormone
• ความผิดปกติทางพันธุกรรม ทำให้เซลล์ “ดื้อต่อฮอร์โมน”

—————————————————————————
🔮 4️⃣ กลไกโรค (Pathophysiology) ⚙️
—————————————————————————

🔹 ฮอร์โมนไทรอยด์คืออะไร?
——————————————-
•Thyroxine (T4) และ Triiodothyronine (T3) 🧪
• สร้างจากการ iodination ของ tyrosine โดยเอนไซม์ thyroid peroxidase 🔬
• สัดส่วน: T4:T3 ≈ 14:1
• T3 = ตัวออกฤทธิ์แรงกว่า T4 หลายเท่า ⚡

🔹 การขนส่งในเลือด 🚛
—————————————
- ฮอร์โมนไทรอยด์ > 99.5% จับกับโปรตีน เช่น:
• Thyroxine-binding globulin (TBG)
• Transthyretin
• Albumin
• Lipoproteins
•มีเพียง free fraction เท่านั้นที่ออกฤทธิ์ได้จริง 🎯

🔹 การเปลี่ยน T4 → T3 🔄
——————————————-
• ใช้เอนไซม์ deiodinase
• ขึ้นกับ tissue-specific expression → บางอวัยวะสร้าง T3 มากกว่าอวัยวะอื่น
• ทำให้ผลของ thyroid hormone แตกต่างกันในแต่ละเนื้อเยื่อ 🧠💪

🔹 Hashimoto thyroiditis (สาเหตุหลัก) 🧩
—————————————————————
- Autoimmune disease → lymphocyte infiltration + antibody-mediated destruction
▪️Autoantibodies ที่พบบ่อย:
• Anti-thyroid peroxidase (anti-TPO)
• Anti-thyroglobulin
- กลไก: T-cell–mediated injury + cytokine-induced apoptosis → ทำลาย thyroid epithelial cells → ฮอร์โมนผลิตไม่ได้ ❌

🔹 Secondary Hypothyroidism 🧠
——————————————————
• เกิดจาก pituitary gland หลั่ง TSH ไม่พอ
• เช่น pituitary tumor, infiltrative disease, Sheehan syndrome
• ทำให้ ต่อมไทรอยด์ไม่ได้ถูกกระตุ้น → ฮอร์โมนต่ำ

🔹 Tertiary Hypothyroidism 🧩
————————————————
• ปัญหาที่ hypothalamus → TRH หลั่งน้อยลง → cascade ทั้งระบบพัง

🔹 ยาที่กดการทำงานของแกนนี้ 💊
————————————————
• Immune checkpoint inhibitors (anti–PD-1, PD-L1, CTLA-4) → ทำให้เกิด thyroiditis หรือ hypophysitis (อักเสบของ pituitary)
• ผลลัพธ์ = ทั้ง primary และ secondary hypothyroidism อาจเกิดขึ้นจากยาได้

—————————————————————————
🔮 5️⃣ อาการของ Hypothyroidism ❄️
—————————————————————————

🔹 อาการหลักที่มักพบ
———————————
• Fatigue (อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย) 😮‍💨 → เจอบ่อยที่สุด ประมาณ 74–86%
• Weight gain (น้ำหนักขึ้น) ⚖️ → พบ 24–59%
• Cold intolerance (ทนหนาวไม่ค่อยได้) ❄️ → พบ 35–65%
• Constipation (ท้องผูก) 🚽 → พบ 33–41%
• Cognitive impairment (สมองทำงานช้า, ความจำแย่) 🧠💤 → พบ 45–48%
• Bradycardia (ชีพจรช้า) ❤️🐢 → พบ 12–19%

🔹 ทำไมถึงเกิดอาการเหล่านี้?
——————————————-
• ฮอร์โมนไทรอยด์ = ตัวควบคุม metabolic rate 🔥
• เมื่อฮอร์โมนลดลง → การเผาผลาญช้าลง → ร่างกายใช้พลังงานน้อยลง
▪️ผลคือ:
• เหนื่อยง่ายจาก metabolism ลดลง 🛌
• น้ำหนักขึ้นเพราะใช้พลังงานน้อยลง + retention ของน้ำ 💧
• หนาวง่ายเพราะร่างกายสร้างความร้อนไม่พอ ❄️
• สมองทำงานช้าลง → concentration & memory แย่ลง 🧠

🔹 ปัจจัยที่มีผลต่ออาการ
————————————-
• ผู้สูงอายุ ≥70 ปี 👵👴 → มักมีอาการน้อยกว่า โดยเฉพาะ cold intolerance และ weight gain
• เพศหญิง 👩 → fatigue พบมากกว่าเพศชาย
• ผู้ป่วยเบาหวาน 🍭 → untreated hypothyroidism ทำให้ insulin sensitivity ลดลง และ glucose disposal แย่ลง → คุมน้ำตาลยาก

—————————————————————————
🔮 6️⃣ อาการแต่ละระบบอวัยวะที่พบได้🫀🧠🫁
—————————————————————————

🪞 Appearance (ลักษณะภายนอก)
——————————————————
• ผิวแห้ง/หยาบ (dry, coarse skin) 55–70% 🧴
• ใบหน้าบวม (puffy face), บวมรอบตา 👀
• ขนคิ้วร่วง โดยเฉพาะด้านนอก (eyebrow loss) 24–36%
• เล็บเปราะ แตกง่าย 💅
• ลิ้นโต (macroglossia), บวมทั่วตัว (generalized edema)

❤️ Cardiovascular
——————————-
• เหนื่อยง่ายเวลาออกแรง (shortness of breath on exertion) 44–59% 🏃‍♀️
• ความทนทานในการออกกำลังกายลดลง
• ชีพจรช้า (bradycardia) 12–19% 🐢
• ความผิดปกติอื่น: endothelial dysfunction, diastolic hypertension, hypotension, dyslipidemia, pericardial effusion

🍽️ Gastrointestinal
———————————
• แน่นท้อง ท้องอืด (dyspepsia, bloating)
• ท้องผูก (constipation) 33–41% 🚽
• ปัญหาอื่น: esophageal dysmotility, delayed gastric emptying, bacterial overgrowth, steatotic liver disease
• บางรายอาจมี ascites (พบได้น้อย)

🔥 General Metabolic
————————————
• น้ำหนักขึ้น (weight gain) 24–59% ⚖️
• เหนื่อยง่าย (fatigue/weakness) 74–86% 😴
• หนาวง่าย (cold intolerance) 35–65% ❄️
• ผลที่ตามมา: metabolic rate ต่ำ, hypothermia, myxedema coma (แม้พบได้น้อย

05/09/2025

“ยารักษาสิว” มีกี่แบบ? เข้าใจยาทา–ยากินใน 5 นาที

ยาทารักษาสิว: กลุ่มยาและแนวทางการใช้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
การรักษาสิวโดยใช้ยาทาเฉพาะที่ (topical therapy) ถือเป็นแนวทางพื้นฐานที่สำคัญ โดยเฉพาะในสิวระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง ซึ่งมีหลายกลุ่มยาให้เลือกใช้ ทั้งแบบเดี่ยวหรือร่วมกับยาอื่น ทั้งนี้ การเลือกใช้ต้องพิจารณา กลไกการออกฤทธิ์, ความเหมาะสมในแต่ละราย และภาวะเฉพาะ เช่น การตั้งครรภ์ ร่วมด้วย

1. Topical Retinoids
ตัวอย่าง : adapalene, tretinoin, tazarotene, trifarotene
กลไก : ลดการอุดตันของรูขุมขน (comedolysis) และต้านการอักเสบ เป็น “backbone” ของการรักษาสิวเกือบทุกชนิด
วิธีใช้ : เริ่มต้นที่ขนาดเท่าเมล็ดถั่วลันเตา (pea-sized) ทาทั่วใบหน้าในตอนกลางคืน วันเว้นวัน หรือแบบ short-contact (ทาทิ้งไว้ 30–60 นาทีแล้วล้างออก) เพื่อลดการระคายเคือง จากนั้นจึงเพิ่มความถี่ตามความทนของผิว
ข้อควรระวัง :
- หลีกเลี่ยงการใช้ในหญิงตั้งครรภ์ทุกระยะ
- Trifarotene 0.005% มีข้อมูลประสิทธิภาพทั้งบริเวณใบหน้าและลำตัว เหมาะกับผู้ที่มี truncal acne
2. Benzoyl Peroxide (BPO)
กลไก : กำจัดเชื้อ Cutibacterium acnes และป้องกันการดื้อยาปฏิชีวนะ
ข้อเด่น : สามารถใช้เดี่ยวๆ หรือร่วมกับ topical retinoid หรือยาปฏิชีวนะเฉพาะที่ โดยแนวทางล่าสุดจัดให้เป็นหนึ่งในยาหลัก
ข้อควรระวัง : อาจทำให้ระคายเคือง และฟอกสีผ้า/ผมได้
3. Topical Antibiotics
ตัวอย่าง : clindamycin, erythromycin
ข้อควรระวัง : ห้ามใช้เดี่ยวๆ ควรใช้ร่วมกับ BPO เสมอ เพื่อลดความเสี่ยงของการดื้อยา โดยมักอยู่ในรูปแบบ fixed-dose combination
4. Azelaic Acid (15–20%)
ข้อบ่งใช้ : สิวอักเสบ รอยดำหลังสิว (post-inflammatory hyperpigmentation)
ข้อได้เปรียบ : ถือว่าใช้ได้ในหญิงตั้งครรภ์ เมื่อมีข้อบ่งชี้
5. Salicylic Acid
กลไก : keratolytic ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน
บทบาท : เป็นทางเลือกเสริมในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถทนต่อ retinoid ได้
6. Dapsone Gel (5–7.5%)
ข้อบ่งใช้ : เหมาะกับสิวอักเสบบางราย
ข้อควรระวัง : หากใช้ร่วมกับ BPO อาจเกิดการเปลี่ยนสีผิว/ขนเป็นสีเหลือง-ส้มชั่วคราว ควรทาสลับเวลา และหลีกเลี่ยงในผู้มีภาวะ G6PD deficiency
7. Clascoterone Cream 1%
กลไก : เป็น topical androgen receptor inhibitor ลดผลของ androgen ต่อต่อมไขมัน

ยากินรักษาสิว: เมื่อไรควรใช้ และประเด็นสำคัญที่ควรรู้
การใช้ยาแบบ systemic therapy โดยเฉพาะ “ยากิน” ถือเป็นแนวทางสำคัญสำหรับสิวในระดับ ปานกลางถึงรุนแรง หรือกรณีที่ไม่ตอบสนองต่อยาทา
1. Oral Antibiotics
ตัวอย่างที่ใช้บ่อย : doxycycline, lymecycline, sarecycline, minocycline
ข้อบ่งใช้ : ใช้ในสิวระดับ ปานกลางถึงรุนแรง โดยให้ใช้เป็น “คอร์สระยะสั้น” ร่วมกับ benzoyl peroxide และยาทาอื่น เพื่อป้องกันการดื้อยาปฏิชีวนะ
แนวทางทั่วไป : ใช้ระยะเวลาประมาณ 12 สัปดาห์ แล้วจึงพิจารณาหยุดและเปลี่ยนไปใช้ยาทาเพื่อการควบคุมระยะยาว (maintenance)
ข้อควรระวังเฉพาะสำหรับ doxycycline :
- อาจเกิด photosensitivity ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด
- ให้รับประทานพร้อมน้ำเต็มแก้ว และหลีกเลี่ยงการนอนราบอย่างน้อย 30 นาทีหลังรับประทาน เพื่อลดความเสี่ยง esophagitis
2. Hormonal Therapy ในเพศหญิง
ตัวเลือกหลัก :
- Combined oral contraceptives (COCs)
- Spironolactone
มีบทบาทในการควบคุมสิวจากภาวะฮอร์โมน
Spironolactone :
แม้เป็น potassium-sparing diuretic แต่หลักฐานหลายฉบับสนับสนุนว่า ไม่จำเป็นต้องตรวจระดับโพแทสเซียมเป็น routine ในหญิงสุขภาพดี (ควรประเมินเป็นรายกรณี หากมีโรคไต หรือใช้ยาที่มีผลต่อโพแทสเซียม)
3. Isotretinoin (ยากิน)
ข้อบ่งใช้หลัก :
- สิวรุนแรง
- สิวดื้อต่อการรักษา
- สิวที่มีแผลเป็นถาวร หรือมีผลกระทบต่อจิตใจ
แนวทางสากล (เช่น AAD 2024) แนะนำให้ใช้ isotretinoin อย่างชัดเจนในกลุ่มนี้
ขนาดยา :
- เริ่มที่ 0.5–1 mg/kg/day
- เป้าหมาย cumulative dose รวม 120–150 mg/kg (สามารถปรับตามการตอบสนองและผลข้างเคียง)
ข้อควรระวัง :
- ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์สูง (teratogenic)
- ต้องมีระบบควบคุมการตั้งครรภ์ และให้ข้อมูลความเสี่ยงที่ชัดเจนก่อนเริ่มใช้
- ควรติดตามภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

เลือกการรักษาสิวให้เหมาะ
🔹 สิวเล็กน้อย (Non-inflammatory/Comedonal หรือ papule จำนวนไม่มาก)
แนวทางแนะนำ :
- เริ่มใช้ topical retinoid ตอนกลางคืน ร่วมกับ benzoyl peroxide ตอนเช้า
- หากมีผิวระคายเคืองง่าย → พิจารณาใช้ azelaic acid แทน หรือสลับใช้
🔹 สิวระดับปานกลาง (สิวอักเสบหลายเม็ด หรือกระจายหลายตำแหน่ง)
แนวทางแนะนำ :
- เพิ่มยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน เช่น doxycycline ควบคู่กับ BPO และยาทาเดิม
- ใช้เป็น คอร์สระยะสั้น ~12 สัปดาห์
- จากนั้นเปลี่ยนไปใช้เฉพาะ retinoid และ BPO เป็นระยะควบคุมต่อเนื่อง (maintenance)
🔹 สิวรุนแรง (nodule, cyst, แผลเป็น, หรือมีผลกระทบต่อจิตใจ)
แนวทางแนะนำ :
- พิจารณาเริ่ม isotretinoin ชนิดรับประทาน
- หรืออาจพิจารณา ฉีด corticosteroid เฉพาะที่ (intralesional) ในกรณีที่มีก้อนใหญ่อักเสบเฉพาะจุด
🔹 สิวบริเวณลำตัว (Truncal acne)
แนวทางแนะนำ :
- ใช้ trifarotene 0.005% หรือ
- ใช้ benzoyl peroxide แบบล้างออก (BPO wash) ช่วยได้ดี
⏱️ ระยะเวลาเริ่มเห็นผล :
- ผู้ป่วยส่วนใหญ่เริ่มตอบสนองต่อการรักษาในช่วง 6–8 สัปดาห์
- ควรติดตามและประเมินผลอย่างเป็นระบบที่ 12 สัปดาห์ และไม่ควรหยุดยาเร็วจนเกินไป

สรุป
การรักษาสิวที่มีประสิทธิผลสูงมักอาศัยการใช้ยาหลายกลไกควบคู่กัน โดยมีหลักการสำคัญดังนี้ :
- ใช้ topical retinoid ร่วมกับ benzoyl peroxide เป็นพื้นฐานของการรักษา
- พิจารณา ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่หรือยารับประทานเพิ่มเติมในระยะสั้น ตามระดับความรุนแรงของโรค
- ในกรณีสิวรุนแรง หรือมีแนวโน้มเกิดแผลเป็น/ผลกระทบทางจิตใจ อาจจำเป็นต้องใช้ isotretinoin
การใช้ยาทั้งหมดควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ โดยเฉพาะในช่วงตั้งครรภ์, ให้นมบุตร หรือเมื่อมีข้อกังวลด้านสุขภาพจิตและผลข้างเคียงระยะยาว

29/08/2025

7 กลุ่มยาที่ไม่ควรกินคู่กับ “นม” และเหตุผลแบบสั้นๆ

นม : ปัจจัยสำคัญที่รบกวนการดูดซึมยาบางชนิด
นมมีปริมาณแคลเซียมสูง และเป็นแหล่งโปรตีนที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนหลากหลายชนิด ซึ่งทั้งแคลเซียมและกรดอะมิโนเหล่านี้สามารถรบกวนการดูดซึมของยาบางกลุ่มได้ โดยกลไกหลัก ได้แก่
- การเกิด chelating ระหว่างแคลเซียมกับตัวยา ทำให้ตัวยาไม่สามารถดูดซึมผ่านทางเดินอาหารได้อย่างเหมาะสม
- การแข่งขันกับ amino acid transporter ซึ่งยาบางชนิดต้องใช้ในการผ่านผนังลำไส้
ด้วยเหตุนี้ ยาที่มีคุณสมบัติถูกจับกับแคลเซียมหรือแย่งตัวขนส่งกับกรดอะมิโน จึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานร่วมกับนม

ด้านล่างคือ 7 กลุ่มยาสำคัญที่ไม่ควรรับประทานร่วมกับนม พร้อมเหตุผลทางเภสัชจลนศาสตร์ และช่วงเวลาที่แนะนำให้เว้นการรับประทานนมก่อนหรือหลังการใช้ยา

1. Tetracyclines (เช่น tetracycline, doxycycline, minocycline)
- ข้อควรระวังในการใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์นม
ยาในกลุ่ม tetracyclines สามารถเกิดปฏิกิริยา chelation กับแคลเซียมในผลิตภัณฑ์นม เช่น นมวัว โยเกิร์ต หรือชีส ส่งผลให้เกิดสารประกอบที่ไม่ละลายน้ำ และลด bioavailability ของยาอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจนำไปสู่ความล้มเหลวในการรักษา
- แนวทางการเว้นช่วง
แนะนำให้เว้นระยะห่างระหว่างการรับประทาน tetracyclines กับผลิตภัณฑ์นมอย่างน้อย 2–3 ชั่วโมง
- แนวทางส่วนใหญ่แนะนำ เว้น 2 ชั่วโมง

2. Fluoroquinolones (เช่น ciprofloxacin, levofloxacin, ofloxacin, norfloxacin)
- ข้อควรระวังในการใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์นมและแคลเซียม
การรับประทานยาในกลุ่ม fluoroquinolones ร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม โยเกิร์ต หรือแม้แต่น้ำที่เสริมแคลเซียม อาจรบกวนการดูดซึมของยาอย่างมีนัยสำคัญ โดยแคลเซียมจะจับกับตัวยาเกิดเป็น chelate complex ส่งผลให้ระดับยาในกระแสเลือดลดลง และประสิทธิภาพในการรักษาอาจลดลงตามไปด้วย
- แนวทางการเว้นช่วง
- หลีกเลี่ยงการรับประทาน fluoroquinolones ร่วมกับผลิตภัณฑ์นม โยเกิร์ต หรือเครื่องดื่มที่มีแคลเซียมเสริม
- แนะนำให้เว้นระยะห่าง อย่างน้อย 2 ชั่วโมง ก่อนหรือหลังการรับประทานยา
- หากรับประทานร่วมกับยาลดกรดที่มีแมกนีเซียมหรืออะลูมิเนียม (antacids) ควรเว้นระยะห่างนานกว่านั้น ตามคำแนะนำในเอกสารกำกับยา

3. Bisphosphonates (เช่น alendronate, risedronate, ibandronate)
- ข้อควรระวังในการใช้ร่วมกับอาหารและผลิตภัณฑ์นม
ยากลุ่ม bisphosphonates มีอัตราการดูดซึมต่ำมากโดยธรรมชาติ (โดยทั่วไปน้อยกว่า 1%) และจะลดลงยิ่งขึ้นหากรับประทานร่วมกับอาหารหรือเครื่องดื่ม โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีแคลเซียม เช่น นม ซึ่งสามารถรบกวนการดูดซึมของยาอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการรักษาโรคกระดูกพรุนหรือภาวะอื่นที่เกี่ยวข้องกับกระดูก
- แนวทางการรับประทาน
- ควรรับประทานยาขณะท้องว่างในตอนเช้า ด้วยน้ำเปล่าเท่านั้น
- ห้ามรับประทานร่วมกับอาหาร นม ชา กาแฟ หรือน้ำผลไม้
- หลังรับประทานยาแล้ว ควรเว้นระยะอย่างน้อย 30 นาที ก่อนบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มใด ๆ สำหรับ alendronate และ risedronate
- สำหรับ ibandronate ให้เว้นอย่างน้อย 60 นาที
- หลีกเลี่ยงการดื่มนมในช่วงเวลาดังกล่าวโดยเด็ดขาด

4. Thyroid hormone (levothyroxine)
- ข้อควรระวังในการใช้ร่วมกับนมและผลิตภัณฑ์แคลเซียม
แคลเซียมในนมและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสามารถลดการดูดซึมของ levothyroxine ผ่านทางเดินอาหารอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนในเลือดไม่คงที่ และอาจนำไปสู่ภาวะ hypothyroidism ที่ควบคุมได้ยากในผู้ป่วยบางราย
- แนวทางการรับประทาน
- ควรรับประทาน levothyroxine ขณะท้องว่าง
- แนะนำให้รับประทานยาก่อนอาหารเช้า 30–60 นาที พร้อมน้ำเปล่า
- ควรเว้นระยะห่างจากการบริโภคนม หรือผลิตภัณฑ์ที่มีแคลเซียมอย่างน้อย 4 ชั่วโมง หลังรับประทานยา เพื่อไม่ให้รบกวนการดูดซึม

5. Iron supplements (เช่น ferrous sulfate, ferrous fumarate)
- ข้อควรระวังในการใช้ร่วมกับนม
การรับประทานธาตุเหล็กร่วมกับนมหรือผลิตภัณฑ์นม อาจส่งผลให้การดูดซึมของ iron ถูกยับยั้งโดยแคลเซียมและโปรตีนบางชนิดในนม ซึ่งจะลดประสิทธิภาพในการรักษาภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
- แนวทางการรับประทาน
- ควรเว้นระยะห่างจากการดื่มนมหรือรับประทานผลิตภัณฑ์นมอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
- แนะนำให้รับประทาน iron supplements พร้อมน้ำเปล่าหรือวิตามินซี (เช่น น้ำส้ม หรือน้ำผลไม้ที่มีกรด) เพื่อช่วยเพิ่มการดูดซึมผ่านลำไส้เล็ก

6. Levodopa (รวมถึงสูตรผสม carbidopa/levodopa)
ยาหลักในการรักษาโรคพาร์กินสัน
- ข้อควรระวังในการใช้ร่วมกับนมและอาหารที่มีโปรตีนสูง
โปรตีนในนมและอาหารเมื่อย่อยแล้วจะเกิดเป็น large neutral amino acids (LNAAs) ซึ่งใช้ transporter ชนิดเดียวกันกับ levodopa ในการดูดซึมผ่านผนังลำไส้และผ่านเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง
หากมี LNAAs ปริมาณมาก อาจแย่งการดูดซึมของ levodopa ได้ ส่งผลให้ประสิทธิภาพของยาในการควบคุมอาการสั่นหรือแข็งเกร็งลดลง โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ไวต่อระดับยาในกระแสเลือด
- แนวทางการรับประทาน
- ควรรับประทานยาก่อนอาหารประมาณ 30–60 นาที
- หลังอาหารอย่างน้อย 1–2 ชั่วโมง โดยเฉพาะมื้อที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ หรือนม
- หลีกเลี่ยงการรับประทานยาพร้อมอาหารที่มีนมหรือโปรตีนสูง

7. Baloxavir marboxil
ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดรับประทานครั้งเดียว (single-dose antiviral)
- ข้อควรระวังในการใช้ร่วมกับนมและแร่ธาตุ
Baloxavir เป็นยาในกลุ่ม metal-chelating agents ซึ่งสามารถจับกับแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก หรือสังกะสี ได้ หากรับประทานร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่มีแคลเซียมสูง เช่น นมหรือเครื่องดื่มเสริมแร่ธาตุ อาจเกิดการจับกัน (chelation) และทำให้ระดับยาในเลือดลดลง ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อไวรัสลดลงตามไปด้วย
- แนวทางการรับประทาน
- ตามคำแนะนำในเอกสารกำกับยา : หลีกเลี่ยงการรับประทานยาพร้อมกับผลิตภัณฑ์นมและเครื่องดื่มหรืออาหารเสริมที่มีแร่ธาตุ (เช่น calcium-fortified drinks)
- ควรแยกช่วงเวลาให้เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยา chelation

เคล็ดลับจำง่ายเกี่ยวกับ “ยาและนม”
- สำหรับยาในกลุ่มที่ไวต่อการจับกับแคลเซียมหรือโปรตีน เช่น
▸ ยาปฏิชีวนะที่เกิด chelation ได้ (เช่น tetracyclines, fluoroquinolones)
▸ Bisphosphonates
▸ Levodopa (ซึ่งใช้ transporter ร่วมกับ amino acids)
→ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานร่วมกับนม และแยกเวลาตามคำแนะนำเฉพาะของแต่ละยาเพื่อไม่ให้ประสิทธิภาพของยาลดลง
- หากเผลอรับประทานยาพร้อมนมเพียงครั้งเดียว โดยทั่วไปไม่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงแต่อาจทำให้ประสิทธิผลของยาลดลง
→ ควรแยกการรับประทานนมในมื้อถัดไป และปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร หากอาการยังไม่ดีขึ้นตามที่ควรเป็น
- อย่าหยุดยาเองโดยพลการและควรตรวจสอบคำแนะนำในเอกสารกำกับยาหรือแผ่นพับยาทุกครั้งก่อนใช้ยา

Address

Vientiane

Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when ລາວເມດິແຄລ Laos Medicare posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Contact The Practice

Send a message to ລາວເມດິແຄລ Laos Medicare:

Share

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram