Brief Cardiology

Brief Cardiology หวังว่าเพจนี้จะทำให้น้องๆสนิทกับพ?

Ep.068 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 16 - QRS axis interpretation)ในEp.ก่อนหน้านี้พี่ได้พูดถึงวิธีการหาQRS axisไปแ...
18/07/2022

Ep.068 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 16 - QRS axis interpretation)

ในEp.ก่อนหน้านี้พี่ได้พูดถึงวิธีการหาQRS axisไปแล้ว กลับไปreviewได้ตามข้างล่างนี้
Ep.66: QRS axis
https://www.facebook.com/100605501348309/posts/618981762844011/

Ep.67: How to calculate QRS axis

QRS axis ในคนปกติ จะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆตามอายุที่มากขึ้น
สำหรับหมอเด็ก สิ่งที่น้องควรรู้คือเด็กแต่ละวัย มีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้าง และโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดแบบไหนบ้างที่น้องสามารถวินิจฉัยได้คร่าวๆโดยใช้ECGช่วย
โดยทั่วไปเวลาแปลผลเราจะแบ่งaxisออกเป็น 4 quadrants คือ
1. QRS axisปกติ (Normal axis) คือ 0 ถึง +90 องศา
-ผู้ใหญ่ปกติควรจะอยู่ในaxisนี้
-แต่ในเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนอายุ 1 เดือน ถ้าQRS axisอยู่ใน 0 ถึง +90 องศา ถือว่าเป็น left axis deviation for age มักจะเกิดจากหัวใจห้องซ้ายล่างโต
ซึ่งถ้าเด็กทารกนั้นมีcyanosisร่วมด้วย โรคที่จะต้องนึกถึงคือ Pulmonary atresia intact ventricular septum (PA/IVS)
2. QRS axisเบี่ยงไปทางขวา (Right axis deviation, RAD) คือ +90 ถึง +180 องศา
-พบในเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนอายุ 1 เดือน ถือว่าเป็นnormal QRS axis for age เนื่องจากตั้งแต่ช่วงที่ทารกอยู่ในท้องแม่หัวใจห้องขวาล่างทำงานหนักกว่าหัวใจห้องซ้ายล่าง หลังคลอดต้องใช้เวลาที่หัวใจห้องขวาล่างจะค่อยๆบางตัวลงจนเท่าผู้ใหญ่ซึ่งจะมีQRS axisเท่ากับผู้ใหญ่จริงๆเมื่ออายุมากกว่า 3 เดือนเป็นต้นไป
-พบในหัวใจห้องขวาล่างโต (Right ventricular hypertrophy, RVH) เช่น Pulmonary hypertension, Ebstein’s malformation of tricuspid valve, Tetralogy of Fallot เป็นต้น
-พบในRight bundle branch block (RBBB), Left posterior hemiblock
-พบในภาวะท่ีหัวใจอยู่ด้านขวา (Dextrocardia)
3. QRS axisเบี่ยงไปทางซ้าย (Left axis deviation, LAD) คือ 0 ถึง -90 องศา
หรือเรียกว่า ‘Superior QRS axis’, ‘Left superior axis’
-พบในหัวใจห้องซ้ายล่างโต (Left ventricular hypertrophy, LVH) เช่น
-พบในLeft anterior hemiblock
-ถ้าพบในเด็กอาจจะต้องนึกถึงอีก4ภาวะ (ที่มีการเลื่อนตำแหน่งของAV nodeไปposterior) มีวิธีจำคือ ‘CATS’
C = Complete Atrioventricular cushion defect (AVCD)
A = Atrial septal defect (ASD) Primum เท่านั้น (ASDอื่นๆเช่น ASD secundum, ASD sinus venosus, ASD coronary sinus type จะไม่มีsuperior axis)
T = Tricuspid atresia (TA)
S = Single ventricle (SV)
4. QRS axisเบี่ยงเกินปกติ (Extreme axis deviation หรือ No man’s land) คือ -90 ถึง -180 องศา
-พบน้อยมากๆ อาจเกิดจากExtreme right axis deviation เช่นในภาวะCOPD, emphysema
-อาจเจอในVentricular ectopy, ventricular pacing หรือ ในsingle ventricle

อจ.แพม ;)

Ep.067 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 15 - How to calculate QRS axis)ในEp.ที่แล้วพี่พูดถึงQRS axisไปบ้างแล้ว ใครที่...
04/02/2022

Ep.067 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 15 - How to calculate QRS axis)

ในEp.ที่แล้วพี่พูดถึงQRS axisไปบ้างแล้ว ใครที่พลาดEp.ที่แล้วไป กลับไปย้อนอ่านนิดนึงนะ
Ep.66: QRS axis
https://www.facebook.com/100605501348309/posts/618981762844011/

นอกจากการดูQRSว่าเป็นหัวตั้งหรือหัวกลับที่Lead I และLead aVF แล้ว
การคำนวณ QRS axisยังมีอีกวิธีที่ชอบสอนกันคือ ใช้สูตรคำนวณ QRS axis
ซึ่งพี่ไม่สามารถอธิบายที่มาที่ไปโดยละเอียดในที่นี้ได้
เอาเป็นว่าวิธีการคำนวณทำได้ไม่ยาก ดังนี้
Step 1: ดู axis lead I
ถ้าเป็น + ให้ใช้สูตร axis = 90-15-n(30)
ถ้าเป็น - ให้ใช้สูตร axis = 90+15+n(30)
Step 2: แทนค่า n โดยเทียบจากตาราง
ถ้าตรงกัน กับที่ท่อง ให้แทนค่า n=0
ถ้าตรงข้าม กับที่ท่อง ให้แทนค่า n=1
ถ้าเป็นeqiphasic(หรือQRSหน้าตาเป็นบวกและลบพอกัน) ให้แทนค่า n=0.5
(หรือเทียบตามที่เราท่องว่า ‘บวก บวก ลบ ลบ บวก II III aVR aVL aVF’

Step 3: ให้เอา n ที่ได้ทั้งหมดมาบวกกันแล้วไปแทนค่าในสูตรที่เลือกไว้ในstep 1 ก็จะได้ค่าของQRS axisออกมา

ไว้Ep.หน้าจะมาเล่าการแปลผลต่อนะ

อจพ. ;)

Ep.066 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 14 - QRS axis)วันนี้ก่อนจะพูดถึงQRS axisขอให้น้องไปอ่านEp.ก่อนหน้านี้นิดนึงนะ...
04/10/2021

Ep.066 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 14 - QRS axis)
วันนี้ก่อนจะพูดถึงQRS axisขอให้น้องไปอ่านEp.ก่อนหน้านี้นิดนึงนะ จะได้ตามทัน

Ep.56: Hexaxial system
https://www.facebook.com/100605501348309/posts/164699774938881/

Ep.65: QRS wave
https://www.facebook.com/100605501348309/posts/197748361634022/

QRS axis เป็นการบอกผลรวมของทิศทาง หรือvectorของกระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากการdepolarizationของหัวใจห้องล่าง
โดยทิศทางที่ว่านี้ จะดูจากการวิ่งของกระแสไฟฟ้าในfrontal plane(Hexaxial system) ซึ่งก็คือการดูจาก Limb leadsนั่นเอง
และเรารู้ว่าในHexaxial system ประกอบด้วยเส้นทั้งหมด6เส้น ที่ห่างกัน30องศา
โดยที่ทั้งหมด360องศา จะเริ่มนับ0องศาจากตำแหน่ง3นาฬิกา
ถ้าหมุนตามเข็มนาฬิกา จะเป็น+90องศาที่ตำแหน่ง6นาฬิกา และ+180องศาที่ตำแหน่ง9นาฬิกา
ถ้าหมุนทวนเข็มนาฬิกา จะเป็น-90องศาที่ตำแหน่ง12นาฬิกา และ-180องศาที่ตำแหน่ง9นาฬิกา

ใน360องศานี้จะถูกแบ่งออกเป็นจตุภาค(quadrant)คือแบ่งออกเป็น4ส่วน
Lead I จะเป็นเส้นตามแนวแกนx ที่หัวของvectorจะชี้ไปทาง3นาฬิกา
Lead aVF จะเป็นเส้นตามแนวแกนy ที่หัวของvectorจะชี้ไปทาง6นาฬิกา
ถ้าไฟฟ้าวิ่งไปในทิศทางเดียวกันกับvectorจะเห็นQRSเป็นหัวตั้งขึ้น (positive wave, +)
แต่ถ้าไฟฟ้าวิ่งในทิศทางตรงกันข้ามกับvectorจะเห็นQRSเป็นหัวกลับ (negative wave, -)
และถ้าไฟฟ้าวิ่งตั้งฉากกับvectorจะเห็นQRSเป็นทิศขึ้นและลงที่พอๆกัน (biphasic wave)

วิธีการดูQRS axisง่ายๆคือ
-ถ้าLead I เป็น +, aVF เป็น + แสดงว่ากระแสไฟฟ้ารวมอยู่ที่ระหว่าง 0 ถึง +90 องศา ซึ่งเป็นQRS axisที่ปกติ (normal axis)
-ถ้าLead I เป็น -, aVF เป็น + แสดงว่ากระแสไฟฟ้ารวมอยู่ที่ระหว่าง +90 ถึง +180 องศา ซึ่งเป็นQRS axisเบี่ยงไปทางขวา (right axis deviation)
-ถ้าLead I เป็น +, aVF เป็น - แสดงว่ากระแสไฟฟ้ารวมอยู่ที่ระหว่าง 0 ถึง -90 องศา ซึ่งเป็นQRS axisเบี่ยงไปทางซ้าย (left axis deviation)
-ถ้าLead I เป็น -, aVF เป็น - แสดงว่ากระแสไฟฟ้ารวมอยู่ที่ระหว่าง -90 ถึง -180 องศา ซึ่งเป็นQRS axisเบี่ยงไปเกิน (extreme axis deviation)

นอกจากนี้ยังมีวิธีการหาaxisได้อีกหลายแบบ เดี๋ยวจะเอามาเล่าให้ฟังในEp.ถัดไปนะ

อจพ. ;)

12/07/2021
Ep.065 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 13 - QRS wave)เรารู้แล้วว่าP waveเป็นatrial depolarizationตัวที่บอกถึงทิศทางข...
03/05/2021

Ep.065 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 13 - QRS wave)

เรารู้แล้วว่าP waveเป็นatrial depolarizationตัวที่บอกถึงทิศทางของจุดกำเนิดไฟฟ้าที่มาจากหัวใจห้องบน
วันนี้พี่จะมาเล่าเกี่ยวกับQRS wave ซึ่งเป็นventricular depolarization ที่จะบอกถึงทิศทางการนำไฟฟ้าในหัวใจห้องล่าง ซึ่งหน้าตาของQRSจะขึ้นกับ ผลรวมของทิศทางการวิ่งของไฟฟ้าในหัวใจห้องล่าง และขึ้นกับระยะเวลาที่ใช้ในการวิ่งของกระแสไฟฟ้าในหัวใจห้องล่าง

ในภาวะปกติไฟฟ้าที่วิ่งจากหัวใจห้องบน(atrium)ลงมายังหัวใจห้องล่าง(ventricle)ผ่านAV nodeลงมาถึงHis bundle ซึ่งหลังจากนั้นไฟฟ้าจะกระจายไปสู่ventricleผ่านไปทางright bundle branchและleft bundle branchต่อไปจนถึงPurkinje fiber ซึ่งจะกระจายสัญญาณไฟฟ้าจากด้านในคือendocardiumออกไปด้านนอกคือepicardial surface

การเกิดQRS waveที่มีหน้าตาไม่เหมือนกันขึ้นกับตำแหน่งที่เรามองคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
ต้องเข้าใจก่อนว่าตำแหน่งของleadsต่างๆ ก็เหมือนกับการที่เราวางกล้องเพื่อมองทิศทางการวิ่งของไฟฟ้าจากมุมที่ต่างกัน
ใครที่ยังไม่ได้อ่านEp.ก่อนหน้านี้แนะนำว่ากลับไปอ่านอันนี้ก่อนนะ

Ep.56: Hexaxial system (Limb leads)
https://www.facebook.com/100605501348309/posts/164699774938881/

Ep.57: Precordial leads
https://www.facebook.com/100605501348309/posts/164702438271948/

Ep.58: Standard 12 leads ECG
https://www.facebook.com/100605501348309/posts/166700388072153/

ในช่วงที่เกิดdepolarization
-ไฟฟ้าที่วิ่งเข้าหาleadจะแสดงผลออกมาเป็นคลื่นที่หัวตั้งขึ้นหรือpositive wave
-ไฟฟ้าที่วิ่งออกจากleadจะแสดงผลออกมาเป็นคลื่นที่หัวกลับหรือnegative wave
-ไฟฟ้าที่วิ่งตั้งฉากกับleadจะแสดงผลออกมาเป็นคลื่นที่เรียกว่าbiphasic wave
-ถ้าไม่มีไฟฟ้าวิ่งในช่วงนั้นจะแสดงผลเป็นเส้นราบหรือisoelectric
ดังนั้นเมื่อเรามองตามช่วงเวลาที่คลื่นไฟฟ้าหัวใจวิ่งในventricleจาก2ด้านตรงกันข้ามกัน เช่น lead V1 กับ lead V6 จะเห็นQRSหน้าตาดังรูป
A.หลังจากไฟฟ้าวิ่งผ่านAV nodeและHis bundleจะเกิดการหน่วงสัญญาณ(delay)ทำให้มีช่วงที่เป็นisoelectric PR intervalให้เห็นในsurface ECG
B.ต่อมาไฟฟ้าจะเริ่มกระจายลงมาที่ด้านบนของผนังหัวใจ(upper septal area)ก่อน โดยทิศทางรวมของกระแสไฟฟ้าจะวิ่งจากด้านซ้ายไปขวา
ทำให้ในภาวะปกติเราจะเห็นจุดเริ่มต้นของQRS เป็นR waveที่lead V1 และเห็นQ waveเล็กๆได้ที่lead V6 (รวมทั้งในlead I, aVL, V5) เรียกว่าseptal Q wave
C.ต่อมาไฟฟ้าจะกระจายไปยังบริเวณที่เหลือของหัวใจห้องซ้ายล่าง(left ventricle)ทำให้ทิศทางรวมของกระแสไฟฟ้าจะวิ่งไปทางด้านล่างและด้านหลัง (inferior and posterior)
ทำให้เห็นลักษณะQRS waveเป็นหัวกลับในlead V1 (S wave) และเป็นหัวตั้งขึ้นในlead V6 (R wave)
D.หลังจากนั้นจะเป็นจุดที่ventricleทั้งหมดdepolarizedแล้ว และจุดสุดท้ายของQRSก่อนจะเข้าสู่ST segmentเรียกว่า J point ซึ่งในภาวะปกติจะต้องอยู่ที่เส้นisoelectric line
โดยในคนที่มีการนำไฟฟ้าในหัวใจปกติ และไม่มีหัวใจโตที่จะทำให้กระแสไฟฟ้าต้องใช้เวลาวิ่งนานขึ้น QRS waveจะต้องมีความกว้าง(QRS duration)ไม่เกิน 0.12 secในผู้ใหญ่ และมีค่าไม่เกิน 0.09 sec ในเด็ก

ไว้Ep.ถัดไปพี่จะมาเล่าเกี่ยวกับQRS axisต่อนะ

อจพ. 😉

Ep.064 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 12 - P axis)เมื่อEp.ที่ผ่านมาพี่พูดถึงsinus rhythmไปบ้างแล้ว ใครที่ยังไม่ได้อ...
01/03/2021

Ep.064 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 12 - P axis)

เมื่อEp.ที่ผ่านมาพี่พูดถึงsinus rhythmไปบ้างแล้ว ใครที่ยังไม่ได้อ่านกลับไปดูได้นะ

Ep.62 Rate and Rhythm
https://www.facebook.com/100605501348309/posts/442069403868582/

Ep.63 P wave
https://www.facebook.com/100605501348309/posts/459500972125425/

วิธีที่ง่ายที่สุดในการดูaxisคือให้ดูที่lead I และ aVF
โดยหลักการของvectorคืออะไรที่วิ่งไปในทิศทางเดียวกับจะเกิดwaveเป็นหัวตั้ง(positive) ถ้าวิ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามจะเกิดwaveเป็นหัวกลับ(negative)

Normal P axis
-P wave หัวตั้ง(positive wave)ในlead I และ aVF
-แสดงว่าจุดกำเนิดไฟฟ้าน่าจะมาจากsinus node (SA node) หรือจากตำแหน่งHigh Right Atrium (high RA)

Left axis deviation
-P wave หัวตั้ง(positive wave)ในlead I และ หัวกลับ(negative wave) ในlead aVF
-จุดกำเนิดไฟฟ้ามักจะมาจากตำแหน่งLow Right Atrium (Low RA) ซึ่งอาจจะมาจากSA nodeได้ในกรณีที่หัวใจเต้นช้า
-หรืออาจมาจากJunctional rhythm

Right axis deviation
-P wave หัวกลับ(negative wave)ในlead I และ หัวตั้ง(positive wave) ในlead aVF
-ที่พบได้บ่อยที่สุดคือเกิดจากการติดleadแขนซ้ายและแขนขวาสลับกัน (Right-left limb leads reversal)
-อีกสาเหตุนึงที่พบบ่อยคือหัวใจอยู่ด้านขวาที่เรียกว่าDextrocardia เนื่องจากSA nodeจะสลับข้างมาอยู่ด้านซ้ายต่อAV node
-วิธีการแยกTrue dextrocardiaออกจากLimb leads reversal คือให้ดูที่chest leads(Precordial leads)
ถ้าติดLeadสลับ จะเห็น Normal R wave progression (หมายถึงR waveจะค่อยๆสูงขึ้นเรื่อยๆจากV1ไปถึงV5,V6 ซึ่งจะต้องมีR waveสูงสุดในหัวใจฝั่งซ้าย)
ถ้าเป็นDextrocardia จะเห็น Reverse R wave progression (หมายถึงR waveจะค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆจากV1ไปถึงV5,V6 เพราะLeft ventricle ย้ายไปอยู่ด้านขวา)

Undetermined (northwest) axis
-P wave หัวกลับ(negative wave)ในlead I และ aVF
-เป็นจุดกำเนิดไฟฟ้าที่ผิดปกติในหัวใจห้องบน (ectopic atrial rhythm) หรืออาจมาจากJunctional rhythm

ไว้Ep.หน้าจะมาเล่าเกี่ยวกับQRS axisต่อนะ

อจพ. ;)

Ep.063 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 11 - P wave)P wave ที่เราเห็นในECGเกิดจากหัวใจห้องบนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่าน หรือ...
01/02/2021

Ep.063 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 11 - P wave)

P wave ที่เราเห็นในECGเกิดจากหัวใจห้องบนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่าน หรือเรียกว่าatrial depolarization ซึ่งหน้าตาของP waveที่เราเห็นนั้นขึ้นกับตำแหน่งที่เป็นจุดกำเนิดไฟฟ้าและความช้าหรือเร็วของการกระจายไฟฟ้าในหัวใจห้องบน
ปกติแล้วSinus P wave จะเห็นได้ง่ายและชัดที่lead V1 และ lead II
มีความสูง(amplitude) จะไม่เกิน 0.2 mV (ไม่เกิน 2mm ในstandard 12 leads ECG)
ความกว้าง(duration) ไม่เกิน 0.12 sec ในผู้ใหญ่ หรือ 0.09 sec ในเด็ก (ไม่เกิน 3 mmในผู้ใหญ่ หรือ 2.25 mm ในเด็กในstandard 12 leads ECG)
โดยพูดง่ายๆคือP wave ในตอนต้นก็คือright atrium เนื่องจากไฟฟ้ากระจายจากด้านขวา และในตอนท้ายก็คือleft atrium

Right atrial enlargement (RAE)
เนื่องจาก ส่วนต้นของP waveเป็นตัวแทนของright atrium
ดังนั้นเมื่อมีหัวใจห้องขวาบนโต (RAE) จะเห็น P waveสูงขึ้น เรียกว่า ‘P Pulmonalae’
สาเหตุของRAE ที่พบบ่อยในผู้ใหญ่คือ ความดันปอดสูง หรือpulmonary hypertensionทำให้มีtricuspid valve regurgitation จนสุดท้ายทำให้RAขยายขนาดขึ้น
ECG criteria ของ RAE คือ
-P wave amplitude > 2.5 mm ในlead II และ/หรือ > 1.5 mm ใน lead V1

Left Atrial Enlargement (LAE)
ส่วนหลังของP waveเป็นตัวแทนของleft atrium
ดังนั้นเมื่อหัวใจห้องบนซ้ายขยายขนาดขึ้น (LAE) จะทำให้กระแสไฟฟ้าใช้เวลาเดินทางนานขึ้น จึงเห็นเป็น P waveที่กว้างขึ้นหรือมี2หัว(bifid, notched P wave)หรือมีทั้งส่วนที่หัวตั้งและหัวกลับรวมกัน(biphasic P wave) เรียกว่า ‘P mitrale’
ECG criteria ของ LAE คือ
-P wave duration ≥ 0.12 sec ใน lead II
-Notched P wave ใน limb leads ที่ระยะระหว่างPeakแรกและPeakที่2ของP (inter-peak duration) ≥ 0.04 sec
-Biphasic P wave ที่ส่วนหลังของP waveช่วงที่หัวกลับ (Terminal P negativity) ในlead V1 มีความกว้าง(duration) ≥ 0.04 sec และ ลึก(depth) ≥ 1 mm

Bi-Atrial Enlargement (BAE)
คือจะมีลักษณะของทั้งRAEและLAEร่วมกัน คือ
P wave ใน lead II มีความสูง > 2.5 mm และกว้าง ≥ 0.12 sec
P wave ใน lead V1 ในช่วงแรกที่เป็นหัวตั้ง มีความสูง > 1.5 mm และ prominent P-terminal force

เดี๋ยวEp.หน้าจะมาเล่าเกี่ยวกับP axisต่อนะ

อจพ. ;)

Ep.062 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 10 - Rate and rhythm)วันนี้พี่จะขอshareวิธีการอ่านECG styleหมอหัวใจเด็กทั่วไป...
04/01/2021

Ep.062 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 10 - Rate and rhythm)
วันนี้พี่จะขอshareวิธีการอ่านECG styleหมอหัวใจเด็กทั่วไปละกันนะ ถ้าบังเอิญมีEPหรือใครที่มีความรู้ ผ่านมาอ่านแล้วอะไรอยากเสริมหรือช่วยแก้ไขให้ก็ยินดีค่า ;)
สำหรับเวลาจะอ่านECG 12 leadsขอให้น้องกลับไปดูEp.ที่แล้วนิดนึงนะ

Ep.58: Standard 12 leads ECG
https://www.facebook.com/100605501348309/posts/166700388072153/

Ep.59: Component of ECG (P QRS T wave)
https://www.facebook.com/100605501348309/posts/164703191605206/

Ep.60: Component of ECG (PR, QT interval and PR, ST segment)
https://www.facebook.com/100605501348309/posts/216644459744412/

Rateหรืออัตราเร็วของหัวใจ(heart rate, HR) มีหน่วยเป็น ครั้งต่อนาที(beat per minute, bpm)
โดยที่เรารู้แล้วว่าความเร็วกระดาษกราฟของECGคือ 25 mm/sec
ดังนั้น ความกว้าง 1ช่องเล็อก จะเท่ากับ 0.04 วินาที (0.04 sec = 40 msec)
ซึ่งวิธีนับHRว่ามีกี่ครั้งต่อนาทีทำได้ไม่ยาก ให้เริ่มจากดูว่าหัวใจเต้นสม่ำเสมอหรือไม่
1.ถ้าเต้นสม่ำเสมอ(regular HR) ให้นับจำนวนช่องระหว่างR waveถึงR waveตัวถัดไป
โดย HR (bpm) = 300/ช่องใหญ่ = 1500/ช่องเล็ก
2.ถ้าเต้นไม่สม่ำเสมอ(irregular HR) ให้นับจำนวนQRSหรือP waveทั้งหมดใน30ช่องใหญ่(6 sec)
โดย HR (bpm) = จำนวนQRSที่นับได้ใน30ช่องใหญ่ x 10
Atrial rate ให้นับจำนวนP wave
Ventricular rate ให้นับจำนวน QRS wave

ใครที่เล่นดนตรีคงจะรู้จักดีว่า ‘Rhythm’ หมายถึงจังหวะ ซึ่งประกอบไปด้วยBeat(แต่ละตัวโน้ต)และTempo (timeหรือความเร็วของจังหวะ)
ถ้าเทียบกันแล้วRhythmของECG ก็คล้ายกัน จะหมายถึง จุดกำเนิดไฟฟ้าที่เป็นตัวกำหนดจังหวะของการเต้นของหัวใจ ซึ่งจะมีความเร็วเฉพาะของตัวมันเองที่แตกต่างกันไปตามตำแหน่งต่างๆ
ในหัวใจโดยปกติแล้ว มีจุดกำเนิดไฟฟ้าได้หลายแห่ง โดยคนที่ทำงานเร็วที่สุดคนนั้นจะเป็นตัวกำหนดจังหวะการเต้นของหัวใจ จุดกำเนิดไฟฟ้าที่เรารู้จักได้แก่
1.SinusหรือSA node ซึ่งจะต้องมีคุณสมบัติของsinus rhythmคือ
-P waveนำหน้าQRSทุกตัว
-P axisปกติ (lead I เป็น +, aVF เป็น +)
-PR intervalคงที่
-P wave หน้าตา(morphology)เหมือนกันหมด
-Heart rateเหมาะสมไปกับอายุที่ควรจะเป็น
ส่วนใหญ่ถ้าการนำไฟฟ้าในหัวใจปกติ มักจะเห็นP waveตามด้วยQRSที่ตัวแคบ(narrow QRS complex)
2.Atrial rhythm คือจุดกำเนิดไฟฟ้าอยู่ในหัวใจห้องบน(atrium)ในตำแหน่งอื่นที่ไม่ใช่SA node
-มักจะเห็นP waveที่ไม่ใช่คุณสมบัติของsinus ตามหลังด้วยตามด้วยQRSที่ตัวแคบ(narrow QRS complex)
3.Junctional rhythm คือจุดกำเนิดไฟฟ้าอยู่ใต้ต่อAV nodeพอดี หรือแถวๆHis bundle
-มักจะไม่ได้มีP waveนำหน้า จะเห็นเป็นQRSที่ตัวแคบ(narrow QRS complex)
-P waveที่เกิดขึ้นอาจจะมาก่อนหรือซ้อนกับQRSหรือหลังQRSก็ได้ และมักจะมีลักษณะเป็นinverted P waveในinferior leads (lead II, III, aVF เป็น -)
-ซึ่งบางครั้งจะเห็นว่าP waveและQRS wave ต่างคนต่างเต้น ไม่ได้ไปด้วยกัน เรียกว่า AV dissociation
4.Ventricular rhythm คือจุดกำเนิดไฟฟ้าอยู่ในหัวใจห้องล่าง(ventricle)
-มักจะไม่ได้มีP waveนำหน้า และจะเห็นเป็นQRSที่ตัวกว้าง(wide QRS complex) และอาจเห็นAV dissociation

ไว้Ep.ต่อไปพี่ค่อยมาเล่าให้ฟังต่อนะว่าP wave axisแปลผลอะไรได้บ้าง

อจพ. ;)

Ep.061 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 9 - Additional Components of ECG)เมื่อEp.ที่แล้วเราพูดถึงP QRS T U waveไปแล้ว...
07/12/2020

Ep.061 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 9 - Additional Components of ECG)

เมื่อEp.ที่แล้วเราพูดถึงP QRS T U waveไปแล้ว วันนี้พี่จะมาเล่าต่อในส่วนของsegments, intervals, durationนะ
Ep.60: Components of ECG
https://www.facebook.com/100605501348309/posts/216644459744412/

PR segment
-เป็นเส้นที่อยู่ระหว่างP waveและQRS wave โดยปกติจะอยู่ในแนวเดียวกับเส้นระนาบ(isoelectric line)
-โดยที่ปกติ อาจจะตำ่กว่าเส้นระนาบ(PR depression)ไม่เกิน 0.8 mm ในstandard 12 leads ECG
ถ้าPR depressionมากกว่านั้น ถือว่าผิดปกติเสมอ มักเจอในภาวะpericarditis หรือพบน้อยมากๆในatrial infarction

PR interval
-เป็นระยะเวลาที่นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของP waveไปจนถึงจุดสิ้นสุดของPR segment ก่อนQRS wave วึ่งเป็นเวลาตั้งแต่SA nodeไปatriumจนผ่านAV node ซึ่งจะมีความสามารถในการหน่วง(delay)กระแสไฟฟ้า ก่อนที่จะไปถึงventricle
-ถ้าPR interval น้อยกว่า 0.12 sec (3 mm ในstandard 12 leads ECG) ถือว่าshort PR อาจพบได้ในผู้ป่วยที่เป็นWPW
-ถ้าPR interval ยาวกกว่า 0.2 sec (5 mm ในstandard 12 leads ECG) ถือว่าPR prolong ซึ่งพบได้ใน1st degree AV block

QRS duration
-เป็นระยะเวลาตั้งแต่จุดเริ่มต้นของQ waveไปยังจุดสิ้นสุดของS wave ซึ่งเป็นเวลาที่กระแสไฟฟ้าวิ่งจากHis bundleลงไปยังventricleโดยผ่านright bundle, left bundle branches
-โดยทั่วไปในผู้ใหญ่QRS durationจะมีค่าไม่เกิน 0.12 sec (3 mm ในstandard 12 leads ECG) และในเด็กจะมีค่าไม่เกิน 0.09 sec (2.25 mm ในstandard 12 leads ECG)

ST segment
-เป็นระยะเวลาตั้งแต่สิ้นสุดของS waveไปจนถึงก่อนT wave จุดเริ่มต้นของST segmentเราเรียกว่า J point
-โดยปกติST segment จะอยู่ในแนวเดียวกับเส้นระนาบ(isoelectric line) แต่จะสามารถมีความสูงกว่าเส้นระนาบได้ไม่เกิน 1 mm หรือต่ำกว่าเส้นระนาบได้ไม่เกิน 0.5 mm

QT interval
-เป็นระยะเวลาที่นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของQRS complexไปจนถึงสิ้นสุดของT wave ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ตรงกับการบีบตัวของหัวใจห้องล่างตั้งแต่เริ่มdepolarizationจนสิ้นสุดrepolarization
-ค่านี้ขึ้นกับเพศ อายุ สถานะของเกลือแร่ในร่างกาย และอัตราการเต้นของหัวใจ เมื่อหัวใจเต้นเร็ว QT intervalจะสั้นลง แต่เมื่อหัวใจเต้นช้า QT intervalจะยาวขึ้น
-โดยปกติค่าQT intervalนี้จะต้องมาคำนวณเพื่อให้สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ เรียกว่าcorrected QT (QTc)

อจพ. 😉

Ep.060 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 8 - Components of ECG)เมื่อEp.ที่แล้วพี่ได้พูดถึงโครงสร้างในหัวใจที่เกี่ยวข้อ...
02/11/2020

Ep.060 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 8 - Components of ECG)

เมื่อEp.ที่แล้วพี่ได้พูดถึงโครงสร้างในหัวใจที่เกี่ยวข้องกับการนำไฟฟ้า การติด12leads ECGไปแล้ว วันนี้จะมาต่อเรื่องส่วนประกอบของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ(Electrocardiography, ECG, EKG)นะ ใครยังไม่ได้อ่านย้อนกลับไปอ่านนิดนึงนะ

Ep.054: Anatomy of conducting system
https://www.facebook.com/100605501348309/posts/160435922031933/

Ep.055: ECG recording
https://www.facebook.com/100605501348309/posts/160103112065214/

Ep.056: 12 leads ECG
https://www.facebook.com/100605501348309/posts/164699774938881/


ECGที่เรารู้จักกันทุกวันนี้มีส่วนประกอบหลักคือ 3 waves, 2 intervals, 2 segments, 1 duration วันนี้ขอพูดถึงwavesก่อนละกัน

P wave
-เป็นคลื่นไฟฟ้าที่เกิดจากหัวใจห้องบนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่าน หรือเรียกว่าatrial depolarization ซึ่งจะเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการบีบตัวของหัวใจห้องบน(atrial contraction)ตามมา
-เวลาที่SA nodeส่งสัญญาณไฟฟ้าออกมา จะไม่มีwaveให้เห็นในsurface ECG เพราะไฟฟ้าที่ออกมานั้นมีน้อยมาก ซึ่งจังหวะของการปล่อยสัญญาณของSA nodeนี้จะเกิดในช่วงเวลาก่อนจะมีP wave
-โดยปกติP waveจะเห็นก่อนQRS waveมีลักษณะคล้ายๆสามเหลี่ยมที่ปลายมน
-ถ้าจุดกำเนิดไฟฟ้ามาจากSA node(หรือsinus) จะเป็นpositive(หัวตั้งขึ้น)ที่lead I, II, aVF
ความสูง(amplitude) จะไม่เกิน 0.2 mV (ไม่เกิน 2mm ในstandard 12 leads ECG)
ความกว้าง(duration) อยู่ระหว่าง 0.08 - 0.11 sec ในผู้ใหญ่ (ไม่เกิน 2.75mm ในstandard 12 leads ECG)
-ถ้าจุดกำเนิดไฟฟ้ามาจากที่ส่วนอื่นของatrium ก็จะทำให้ลักษณะของP wave เช่นP axis เปลี่ยนแปลงไป

QRS complex
-เป็นคลื่นไฟฟ้าที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านลงไปหัวใจห้องล่าง หรือventricular depolarization หลังจากนั้นจะเกิดการบีบตัวของหัวใจห้องล่าง(ventricular contraction)ตามมา
-ที่เราเรียกว่าcomplex เนื่องจากเป็นการรวมกับของwaveที่มีหัวแหลมคือ Q,R,S waves
โดยปกติแล้ว จะเรียกnegative waveอันแรกที่เกิดขึ้นว่า Q wave, เรียกpositive waveอันแรกที่เกิดขึ้นว่า R wave, และเรียกnegative waveที่ตามหลังRว่า S wave
-Q wave อาจจะพบได้ในภาวะปกติหรือเกิดจากการมีหัวใจขาดเลือดก็ได้ แยกจากกันได้โดย
ในภาวะปกติเราจะเห็นQ waveเล็กๆได้ที่lead I, aVL, V5, V6 เรียกว่าseptal Q wave
ในภาวะที่หัวใจขาดเลือด(myocardial infarction) Q waveที่เห็นจะมีลักษณะเฉพาะคือจะ สูงกว่าปกติ (มากกว่า1/3ของความสูงR waveในleadเดียวกัน) และกว้างกว่าปกติ (มากกว่า 0.03 sec หรือ 0.75 mm ในstandard 12 leads ECG)

T wave
-เกิดจากการคลายกระแสไฟฟ้าของหัวใจห้องล่างเพื่อกลับเข้าสู่สมดุล หรือventricular depolarization ซึ่งจะทำให้เกิดการคลายตัวของหัวใจห้องล่าง(ventricular relaxation)ตามมา
-โดยที่T waveจะมีลักษณะเป็นรูปล่างโค้งฐานกว้างเหมือนหลังเต่า ที่ความยาวของช่วงขาขึ้นไม่เท่ากันกับขาลง เรียกว่าAsymmetrical T wave และจะมีทิศทางเดียวกันกับQRS complex

U wave
-เป็นwaveที่ตามหลังT wave และอาจพบได้ในคนปกติ หรือพบในภาวะhypokalemia การแยกU waveออกจากT waveมีความสำคัญ เพราะถ้าวัดรวมU waveจะทำให้QT interval ยาวกกว่าที่ควรจะเป็นได้

อจพ. 😉

Ep.059 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 7 - Special lead placement- Brugada leads, Lewis leads)ในEp.ที่แล้วพี่พูดถึงเ...
05/10/2020

Ep.059 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 7 - Special lead placement- Brugada leads, Lewis leads)

ในEp.ที่แล้วพี่พูดถึงเรื่องการติดstandard 12-lead ECG ไปแล้ว วันนี้จะขอเอาวิธีการติดleadที่น้องๆอาจจะได้ใช้กันบ่อยๆมาเล่าให้ฟังละกันนะ

Ep.56: Hexaxial system (Limb leads)
https://www.facebook.com/100605501348309/posts/164699774938881/

Ep.57: Precordial leads
https://www.facebook.com/100605501348309/posts/164702438271948/

Ep.58: Standard 12 leads ECG
https://www.facebook.com/100605501348309/posts/166700388072153/

เริ่มจากBrugada leads ละกันนะ
-หลายคนคงเคยได้ยินว่าในประเทศไทยโดยเฉพาะทางภาคอีสานของบ้านเรามีคนไข้ ‘ใหลตาย’ จำนวนมากพอสมควร โรคนี้ทางการแพทย์เรียกว่า ‘บรูกาด้า’ (Brugada)
-ลักษณะเฉพาะของคลื่นไฟฟ้าหัวใจในคนไข้กลุ่มนี้คือจะมี right bundle branch blockร่วมกับมีการยกแบบโค้งขึ้นในprecordial leadsข้างขวา คือ V1-V3 เรียกว่า ‘Coved type ST elevation’ ซึ่งเมื่อมีการเลื่อนตำแหน่งของleadsสูงขึ้นจากตำแหน่งเดิมจะทำให้เห็นลักษณะนี้ได้ชัดเจนขึ้น
วิธีการติดleadsคือ ติดLimb leadsเหมือนปกติ
-Lead V1 วางที่ตำแหน่งด้านขวาของsternumที่ ตรงIntercostal spaceที่4 (เหมือนปกติ)
-Lead V2 วางที่ตำแหน่งด้านซ้ายของsternumที่ ตรงIntercostal spaceที่4 (เหมือนปกติ)
-Lead V1-1 วางที่ตำแหน่งด้านขวาของsternumที่ ตรงIntercostal spaceที่3 (เอาlead V3 มาติด)
-Lead V2-1 วางที่ตำแหน่งด้านซ้ายของsternumที่ ตรงIntercostal spaceที่3 (เอาlead V4 มาติด)
-Lead V1-2 วางที่ตำแหน่งด้านขวาของsternumที่ ตรงIntercostal spaceที่2 (เอาlead V5 มาติด)
-Lead V2-2 วางที่ตำแหน่งด้านซ้ายของsternumที่ ตรงIntercostal spaceที่2 (เอาlead V6 มาติด)

อีกอันนึงคือLewis lead
-หลายคนคงยังไม่คุ้นกับการติดleadsแบบนี้ สรุปคือเป็นการติดเพื่อให้สามารถมองเห็น P wave ที่มาจากsinus node (SA node)ได้ชัดขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่เป็น Wide QRS complex tachycardia หรือกรณีที่ไม่แน่ใจว่าP waveอยู่ที่ไหนกันแน่
เทคนิคนี้ได้รับการพูดถึงโดย Sir Thomas Lewis
วิธีการติดคือ ติดPrecordialหรือchest leadsเหมือนปกติ
-Lead RA วางที่ตำแหน่งด้านขวาของsternumตรงIntercostal spaceที่2 หรือตรงกลางของsternum (manubrium)
-Lead LA วางที่ตำแหน่งด้านขวาของsternumตรงIntercostal spaceที่4
-Lead RL วางที่ตำแหน่งปกติ
-Lead LL วางที่ใต้ชายโครงขวา (right costal margin)
โดยเวลาแปลผลให้ดูที่Lead I ในกระดาษที่record จะเห็น P waveเป็นหัวตั้ง ที่ชัดขึ้น

อจพ. 😉

Ep.058 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 6 - Standard 12 leads ECG)ปัจจุบันมีการทำคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ใช้กันบ่อยมากที่สุ...
21/09/2020

Ep.058 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 6 - Standard 12 leads ECG)

ปัจจุบันมีการทำคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ใช้กันบ่อยมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นStandard 12-lead ECG ในEp.ก่อนพี่ได้เล่าเรื่องHexaxial system, precordial systemไปแล้ว วันนี้จะมาเล่าให้ฟังว่าจะดูยังไงว่าECGที่เราเรียกว่าstandardคือแบบไหน

Ep.56: Hexaxial system (Limb leads)
https://www.facebook.com/100605501348309/posts/164699774938881/

Ep.57: Precordial leads
https://www.facebook.com/100605501348309/posts/164702438271948/

กระดาษกราฟECG จะมีหน้าตาเป็นตาราง โดยมีสี่เหลี่ยมเล็ก (กว้าง 1 มิลลิเมตร ยาว 1 มิลลิเมตร) และ สี่เหลี่ยมใหญ่ (กว้าง 5 มิลลิเมตร ยาว 5 มิลลิเมตร)
-กระดาษจะวิ่งด้วยความเร็ว 25 มิลลิเมตรต่อวินาที (25 mm/sec)
ดังนั้นหนึ่งช่องเล็กในแนวแกนX (กว้าง 1 มิลลิเมตร) จะเท่ากับ 0.04 วินาที (sec) หรือ 40 มิลลิวินาที (msec)
หนึ่งช่องใหญ่ในแนวแกนX เท่ากับ 5 ช่องเล็ก จะเท่ากับ 0.2 วินาที (sec) หรือ 200 มิลลิวินาที (msec)
-ความสูงในแนวแกนY คือ amplitude ของกระแสไฟฟ้าที่วัดได้ โดยความสูงช่องเล็กคือ 1 มิลลิเมตร จะเท่ากับ 0.1 มิลลิโวลต์ (mV)
-Calibration boxในstandard ECG ที่เราเห็นคือ มีความกว้าง5ช่องเล็ก (เท่ากับ 25mm/sec) ความสูง10ช่องเล็ก (เท่ากับ 10mm/mV)
ส่วนHalf standard ECG คือ มีความกว้าง5ช่องเล็ก (เท่ากับ 25mm/sec) ความสูง5ช่องเล็ก (เท่ากับ 5mm/mV)

วิธีการแปลผลECG ให้คิดเสมือนการเอากล้องไปวางที่มุมต่างๆเพื่อมองหัวใจ โดยให้อ่านแยกตามLimb leads, Chest leads ดังนี้
1.Limb leads (ใช้บอกซ้ายขวา บนล่าง)
-Lead II, III, aVF เป็น Inferior leads
-Lead I, aVL เป็น High left lateral leads
-Lead aVR เป็น Right side leads
2.Chest leads (ใช้บอกซ้ายขวา หน้าหลัง)
-Lead V1-V2 เป็น Anteroseptal wall ของ Left ventricle
-Lead V3-V4 เป็น Anteroapical wall ของ Left ventricle
-Lead V5-V6 เป็น Anterolateral wall ของ Left ventricle
-Lead V7-V9 เป็น Posterolateral (Inferobasal) wall ของ Left ventricle
-Lead V4R-V1 เป็น Right ventricle

ซึ่งเมื่อแปลตามCoronary territory ดังนี้
-Leads V1-V4 (septal, anterior): Left anterior descending artery (LAD)
-Leads I, aVL, V5-V6 (left lateral): Left circumflex artery (LCx)
-Leads II, III, aVF, V4R : Right coronary artery (RCA)

อจพ. 😉

Ep.057 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 5 - Precordial system)เมื่อEp.ก่อนเราได้ทำความรู้จักกับLimb leadsและEinthoven...
07/09/2020

Ep.057 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 5 - Precordial system)

เมื่อEp.ก่อนเราได้ทำความรู้จักกับLimb leadsและEinthoven’s triangleไปแล้ว วันนี้พี่จะขอเล่าเกี่ยวกับPrecordial leadsต่อนะ สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่านEp.ก่อนย้อนกลับไปอ่านนิดนึงนะ

Ep.56: Hexaxial system
https://www.facebook.com/100605501348309/posts/164699774938881/?extid=5RPzaANJiIvB2nWZ&d=n

ซึ่งจะเห็นได้ว่าHexaxial systemหรือLimb leads เป็นการบอกทิศบน-ล่างและซ้าย-ขวาในแนวระนาบ(frontal plane)

สำหรับPrecordial leadsหรือChester leadsนั้น จะเป็นการบอกทิศทางหน้า-หลังและซ้าย-ขวา ในแนวขวาง(horizontal plane)
วิธีการวัดกระแสไฟฟ้ามีหลักการเหมือนกันกับaugmented limb leadsคือ จุดกึ่งกลางของสามเหลี่ยมEinthoven’s ที่เรียกว่าWilson’s central terminal จะทำหน้าที่เป็นขั้วลบและPrecordial leadsที่แปะไว้จะเป็นขั้วบวก
Precordial leadsจะวางในระนาบที่ตั้งฉากกับLimb leads โดยในstandard 12-lead ECGจะมีทั้งหมด 6 leads คือ V1-V6 (อักษร ‘V’ ย่อมาจากvector)
-Lead V1 วางที่ตำแหน่งด้านขวาของsternumที่ ตรงIntercostal spaceที่4
-Lead V2 วางที่ตำแหน่งด้านซ้ายของsternumที่ ตรงIntercostal spaceที่4
-Lead V3 วางที่ด้านซ้ายตำแหน่งกึ่งกลางระหว่างV2และV4
-Lead V4 วางที่ด้านซ้ายตำแหน่งmidclavicular line ตรงIntercostal spaceที่5
-Lead V5 วางที่ด้านซ้ายตำแหน่งanterior axillary line ตรงIntercostal spaceที่5
-Lead V6 วางที่ด้านซ้ายตำแหน่งmidaxillary line ตรงIntercostal spaceที่5
*ถ้าใครผ่านcardioเด็กจะรู้ว่าเรามีการวางleadพิเศษอีกอันนึงคือ
-Lead V4R วางที่ตำแหน่งmidclavicular line ตรงIntercostal spaceที่5 แต่อยู่ที่ด้านขวาของchest wall
ทำโดยเอาV3ย้ายไปแปะที่V4Rแทน สาเหตุที่วางเช่นนี้เพราะในเด็กที่chest wallเล็กๆถ้าวางstandard 12 leads ECGจะเกิดปรากฏการณ์ที่QRS waveในprecordial leadsเหมือนกันหมด(stereotype pattern) เพราะleadsติดกันเกินไปจนเชื่อมกลายเป็นleadเดียวกัน
-ถ้าในคนไข้ที่หัวใจอยู่ข้างขวา(dextrocardia) จะแปะlimb leadsปกติ แต่จะแปะprecordial leadsเป็น V1, V2, V3R, V4R, V5R, V6R
**ถ้าใครผ่านadultจะมีการวางleadพิเศษคือ
-Leads V7-V9 ซึ่งจะแปะอ้อมไปด้านหลังของคนไข้

ไว้Ep.ถัดไปพี่จะเอาวิธีการแปะleadแบบพิเศษที่ใช้บ่อยมาเล่าให้ฟังนะ

อจ.แพม 😉

Ep.056 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 4 - Hexaxial system)Ep.ที่แล้วเล่าค้างไว้ว่าLimb leadsในECGมี2แบบ คือ (Bipola...
24/08/2020

Ep.056 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 4 - Hexaxial system)

Ep.ที่แล้วเล่าค้างไว้ว่าLimb leadsในECGมี2แบบ คือ (Bipolar) Limb leads ที่มี3leads และ Augmented limb leads อีก3leads รวมกันเรียกว่า Hexaxial system (เนื่องจากมีleadsทั้งหมด6อัน=hexa + ติดที่แกนของลำตัว=axial)

ตั้งแต่เริ่มคิดค้นECG มีการใช้electrodeหรือleadมาแปะไว้ที่แขนขา เพื่อให้เป็นตัวรับสัญญาณไฟฟ้าโดยจะแปะที่แขนขวา (Right arm, RA), แขนซ้าย (Left arm, LA), ขาซ้าย (Left leg, LL) และจะมีการแปะอีกขั้วไว้ที่ขาขวา (Right leg, RL) เพื่อเป็นgroundสำหรับลดโอกาสเกิดการกวนของกระแสไฟฟ้า(electrical interferance)ที่จะวัด
พี่จะพยายามแบ่งเป็นหัวข้อให้อ่านเข้าใจง่ายขึ้นดังนี้นะ (ดูตามรูปประกอบไปด้วยนะ)
1.Bipolar limb leads
-การวัดค่าของกระแสไฟฟ้าจะทำโดยจะเลือกจับคู่จากRA,LA,LL ให้ขั้วหนึ่งเป็นบวกและอีกขั้วนึงเป็นลบ จึงเรียกleadที่เกิดขึ้นนี้ว่า Bipolar leads (Bi=สอง + Polar=ขั้ว) โดยจะมีการวิ่งของทิศทางvectorจากขั้วลบไปยังขั้วบวก
-Lead I เกิดจากการจับคู่ RA (ขั้วลบ) และ LA (ขั้วบวก) ทำให้vectorจากleadนี้วิ่งขนานเป็นแนวราบ (0 degree) และทิศทางจากขวาไปซ้าย
-Lead II เกิดจากการจับคู่ RA (ขั้วลบ) และ LL (ขั้วบวก) ทำให้vectorจากleadนี้วิ่งตามเข็มนาฬิกาชี้ลงล่าง (+60 degree) และทิศทางจากขวาไปซ้าย
-Lead III เกิดจากการจับคู่ LA (ขั้วลบ) และ LL (ขั้วบวก) ทำให้vectorจากleadนี้วิ่งตามเข็มนาฬิกาชี้ลงล่าง (+120 degree) และทิศทางจากซ้ายไปขวา
2.Einthoven’s triangle
-เป็นการนำขั้วของlead I, II, IIIมาเรียกต่อกัน จะเกิดเป็นสามเหลี่ยม โดยชื่อนี้ตั้งขึ้นตามDr.Willem Eithovenผู้ค้นพบ P,QRS,T waves
-จุดกึ่งกลางของสามเหลี่ยมที่สร้างขึ้นเรียกว่าWilson’s central terminal ตั้งตามชื่อผู้ค้นพบคือDr.Frank N. Wilson โดยจุดนี้จะทำหน้าที่เป็นขั้วลบของunipolar leadsคือAugmented limb leadsและPrecordial leads เพราะในความเป็นจริงแล้วการวัดกระแสจากขั้วเดียว(unipolar)ไม่มีอยู่จริง จึงต้องมีการสร้างจุดที่เป็นขั้วลบ หรือnegative poleขึ้นมา
3.Augmented limb leads
-การวัดค่าของกระแสไฟฟ้าเกิดจากการสร้างขั้วลบที่ตำแหน่งWilson’s central terminalไปเชื่อมต่อกับขั้วบวกที่RA,LA,หรือLL
-เนื่องจากกระแสที่วัดได้มีขนาดเล็กจึงจำเป็นต้องมีการขยายสัญญาณ(augmentation) จึงทำให้มีอักษร ‘a’ ซึ่งเป็นตัวย่อของ ‘augmented’ นำหน้าชื่อlead
-Lead aVF เกิดจากการจับคู่Central terminal (ขั้วลบ) และ LL (ขั้วบวก) ทำให้vectorจากleadนี้วิ่งตามเข็มนาฬิกาชี้ลงล่าง (+90 degree)
-Lead aVL เกิดจากการจับคู่Central terminal (ขั้วลบ) และ LA (ขั้วบวก) ทำให้vectorจากleadนี้วิ่งทวนเข็มนาฬิกาชี้ขึ้นบน (-30 degree) และทิศทางจากขวาไปซ้าย
-Lead aVR เกิดจากการจับคู่Central terminal (ขั้วลบ) และ RA (ขั้วบวก) ทำให้vectorจากleadนี้วิ่งทวนเข็มนาฬิกาชี้ขึ้นบน (-150 degree) และทิศทางจากซ้ายไปขวา

การอ่านค่าก็จะเป็นไปตามกฎของVector เหมือนที่ได้เล่าให้ฟังเมื่อEp.ที่แล้ว คือ
Ep.55: ECG recording
https://www.facebook.com/100605501348309/posts/160103112065214/

-กระแสไฟฟ้าที่วิ่งไปทิศทางเดียวกันกับvectorของleadจะมีค่าเป็นบวก หรือpositive wave
-กระแสไฟฟ้าที่วิ่งไปทิศทางตรงกันข้ามกับvectorของleadจะมีค่าเป็นลบ หรือnegative wave
-กระแสไฟฟ้าที่วิ่งตั้งฉากกับvectorของleadจะมีค่าบวกและลบเท่ากัน หรือbiphasic wave
-ถ้าไม่มีกระแสไฟฟ้าวิ่งจะเกิดเป็นเส้นขีดแนวราบ หรือisoelectric line

Ep.ถัดไปจะมาเล่าเรื่องPrecordial leadsให้ฟังต่อนะ

อจ.แพม 😉

Ep.055 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 3 - ECG recording)โดยทั่วไปเรารู้ว่ามีcellในหัวใจที่เป็นตัวกำเนิดกระแสไฟฟ้า แ...
10/08/2020

Ep.055 Basic ECG (EKG) in Pediatrics (Part 3 - ECG recording)

โดยทั่วไปเรารู้ว่ามีcellในหัวใจที่เป็นตัวกำเนิดกระแสไฟฟ้า และไฟฟ้านั้นจะมีการกระจายผ่านทางเส้นทางนำไฟฟ้าที่ได้เล่าให้ฟังไปแล้วในEp.ก่อนหน้านี้ แต่เราไม่สามารถมองเห็นกระแสไฟฟ้าเหล่านั้นได้ จึงเป็นที่มาของแนวคิดที่เปลี่ยนจากพลังงานไฟฟ้าให้ออกมาในรูปแบบของคลื่น และแสดงผลออกมาเป็นกราฟ

ในแต่ละcellของหัวใจก็จะมีการสร้างกระแสไฟฟ้าออกมาในทิศทางที่แตกต่างกัน แต่เวลาที่เราพูดถึงการวัดกระแสไฟฟ้าในหัวใจ จริงๆแล้วเรากำลังวัดผลรวมของกระแสไฟฟ้าในเวลานั้น โดยค่าที่ได้จะออกมาในรูปแบบของเวคเตอร์(vector)
ผลรวมของกระแสไฟฟ้าจะถูกเปลี่ยนจากคลื่นไฟฟ้าให้เป็นvectorรวม และแสดงผลออกมาเป็นเส้นคลื่น(wave) โดยค่าที่วัดจะแสดงออกมาเป็นเส้นตามแกนY
เมื่อทิศทางของคลื่นวิ่งเข้าหาจุดที่วัดกระแสไฟฟ้า จะทำให้เส้นวิ่งไปด้านบนของแกนYหรือมีค่าเป็นบวก(positive wave)
ในทางกลับกันถ้าทิศทางของคลื่นวิ่งออกจากจุดที่วัดกระแสไฟฟ้า จะทำให้เส้นวิ่งไปด้านล่างของแกนYหรือมีค่าเป็นลบ(negative wave)
แต่ถ้ากระแสนั้นวิ่งตั้งฉากกับจุดที่เราวัดกระแสไฟฟ้า คลื่นก็จะแสดงผลออกมาเป็นทิศทางขึ้นและลงที่เท่ากัน หรือเรียกลักษณะนี้ว่าbiphasic
และถ้าไม่มีไฟฟ้าเกิดขึ้นในเวลานั้น เส้นที่เกิดขึ้นก็จะมีลักษณะเป็นเส้นตรงเรียกว่าisoelectric waveform

ตำแหน่งที่เราใช้วัดกระแสไฟฟ้าเรียกว่าLead โดยแต่ละตำแหน่งที่วางleadก็เหมือนกับการตั้งกล้องหรือเอาตามองจากตำแหน่งนั้นๆ ดังนั้นเพื่อที่จะให้ได้ภาพรวมเป็น3มิติของหัวใจ จึงต้องมีการตั้งกล้องในหลายๆตำแหน่ง

ในปัจจุบัน การจะหาว่าคนไข้มีหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่ สามารถทำได้โดยการวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบมาตรฐาน 12 ลีด (Standard 12 leads Electrocardiography, 12-lead ECG)
การวางleadsใน12-lead ECGที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ จะมีหลักการวัดไฟฟ้าทั้งหมด3แบบ คือ
1.Limbs leads ซึ่งเป็นBipolar leads ได้แก่ lead I, II, III
2.Augmented limb leads เป็นUnipolar leads ได้แก่ lead aVR, aVL, aVF
โดยที่เมื่อเอาlimb leads และaugmented limb leads มารวมกันจะเรียกว่า ‘Hexaxial system’
3.Precordial leads เป็นUnipolar leads ได้แก่ lead V1, V2, V3, V4, V5, V6

ไว้Ep.ต่อๆไปพี่จะมาเล่าว่าแต่ละleadวัดยังไงและแปลผลยังไงให้นะ

อจพ. 😉

Address

Alawwa

Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when Brief Cardiology posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Contact The Practice

Send a message to Brief Cardiology:

Share

Category