10/12/2025
เรื่องของ "ยูริกในเลือดสูง" และ "โรคเกาต์" จะดูแค่ว่าอาการเกิดจาก "ปิตตะสูง" และจ่ายยาลดปิตตะไม่ได้ แพทย์แผนไทยต้องวินิจได้มากกว่านี้ แค่นี้ไม่พอ - กรดยูริกในเลือดสูงเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ - และคนไข้ที่มีกรดยูริกในเลือดสูงก็ไม่จำเป็นต้องเป็น "โรคเกาต์" เสมอไป
บทความโดย พท.กมลลาสน์ ชีวสาธน์เวชกุล
(แพทย์แผนไทย พท.ว เวชกรรมไทย / พท.ภ เภสัชกรรมไทย)
เวลาเจอคนไข้ที่มีภาวะกรดยูริกในเลือดสูง อย่าเพิ่งบอกคนไข้ว่าเกิดจากร่างกายภายในร้อน หรืออย่าเพิ่งไปบอกคนไข้ว่า "ปิตตะสูง" เพราะนั้นไม่ใช่ต้นเหตุของโรค แต่เป็นอาการของโรคในขณะนั้น แพทย์แผนไทยต้องวินิจฉัยโรคให้ได้มากกว่านี้
*** ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง ย่อมทำให้ความเป็นปิตตะเพิ่มขึ้นในกระแสเลือดอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ควรต้องทำคือ หาสาเหตุว่า "ปิตตะ" มันมาจากไหนเยอะขนาดนั้น และกรดยูริกมันสูงขึ้นมาได้อย่างไร
************************************
หลาย ๆ คนอาจโทษคนไข้ว่ากินอาหารที่มี "พิวรีน" มากเกินไปอย่างเดียวเลย ซึ่งขอบอกเลยว่าไม่จำเป็น เพราะบางคนกินแบบนั้นมาครึ่งชีวิตไม่เห็นเป็นอะไรตรวจเลือดก็ปรกติตลอด แล้วอยู่ดี ๆ ก็เกิดภาวะยูริกสูงขึ้นมาแบบไร้สาเหตุก็มีเยอะไป
ยกตัวอย่างสาเหตุที่ทำให้กรดยูริคสูงในเลือด (บางส่วน) เช่น
- เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- เกิดจากไตทำงานผิดปรกติ
- เกิดจากตับบางส่วนทำงานผิดปรกติ
- และอื่น ๆ อีกหลายสาเหตุ ไม่ได้มีแค่สาเหตุเดียว
*** ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุใดก็ตาม ต้นเหตุของอาการนั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับการสะสมตัวของ "ปิตตะ" โดยตรง แต่ก็มีเรื่องที่ควรระวังและจะต้องวินิจฉัยเพิ่มคือ กรณีปิตตะสูงขึ้นในเลือดไม่ได้มีแค่ยูริกอย่างเดียว เพราะภาวะน้ำตาลในเลือดสูงและไขมันในเลือดสูงก็ทำให้ความเป็นปิตตะในเลือดสูงเหมือนกัน
*** แพทย์แผนไทยต้องแยกสถานะ "อาโป" กับระดับของ "ปิตตะ" ออกจากกันให้ได้ก่อน เพราะมันเป็นลักษณะธาตุคนละระดับ
***********************************
และอย่างที่บอกไป คนที่มี "ยูริก" ในเลือดสูง ไม่จำเป็นต้องเป็น "โรคเกาต์" เสมอไป คนไข้ที่มีปัญหา "ยูริก" ในเลือกสูงแล้วจะเป็นโรคเกาต์ขึ้นมาได้ จะต้องมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคเพิ่ม เพราะฉะนั้นการรักษาคนไข้ด้วยยาสมุนไพรตำรับกับคนไข้ที่ยูริกสูงกับคนไข้ที่เป็นโรคเกาต์แล้ว ไม่ว่าจะยังไงก็จ่ายยาสมุนไพรตำรับไม่เหมือนกัน
*** โดยปรกติ อาการยูริกใรฃนเลือดสูงมักจะเกิดจากความผิดปรกติของ "ปิตตะและวาตะ" ต้นเหตุจากทั้ง 2 ธาตุไม่เหมือนกัน แต่อาการเหมือนกันนั่นคือ "ยูริกในเลือดสูง"
1) ในกรณีที่ "ยูริกในเลือดสูง" เกิดจากความผิดปรกติของ "วาตะ" ความเป็นไปได้อาจจะเกิดจากความผิดปรกติของ "ไต" เนื่องจากไตอาจเกิดการทำงานผิดปรกติขับกรดยูริกส่วนเกินออกทางไตในปริมาณไม่เหมาะสม ซึ่งในกรณีนี้การตรวจเพื่อยืนยันยังไงก็ต้องส่งคนไข้ไปตรวจเลือด ถ้าไม่ตรวจเลือดจะไม่สามารถยืนยันได้
*** ซึ่งโดยปรกติค่าเลือดที่จำเป็นต้องตรวจพื้นฐานจะไม่ได้มีแค่ตรวจระดับ "ยูริก" ในเลือดอย่างเดียวเท่านั้นจะมีตรวจอย่างอื่นด้วย เช่น
- ตรวจค่า Blood Urea Nitrogen
- ตรวจค่า Creatinine
- และอื่น ๆ อีกหลายค่า
เพราะฉะนั้น แพทย์แผนไทยจำเป็นต้องมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์พอสมควร การอ่านค่าผลเลือดอย่างเดียวไม่พอ ต้องวิเคราะห์และประมวลผล แปลผลได้ด้วยได้ ไม่อย่างนั้นจะเรียนการอ่านผลเลือดไปเพื่ออะไร
*****************************
ในกรณีที่ควรระวังคือ กรณีอาการ "ยูริกในเลือดสูง" ที่เกิดจาก "ปิตตะ" เพราะต้นเหตุของกระบวนการ "ปิตตะ" ผิดปรกติ จนเกิดภาวะยูริกในเลือดสูง เกิดขึ้นได้ตั้งแต่ "ปริณามัคคี" ในระบบทางเดินอาหาร และอาจเกิดจากไฟธาตุกองอื่นได้เหมือนกัน
*** แพทย์แผนไทยต้องหาให้เจอว่า ยูริกในเลือดสูงเกิดจากความผิดปรกติของปิตตะมาตั้งแต่ระยะไหน จะไปโทษว่าเกิดจากการกินอาหารอย่างเดียวไม่ได้ เพราะถ้าโทษอาหารอย่างเดียว บอกเลยว่าป่านนี้เป็นโรคเกาต์กันไปครึ่งโลกแล้ว
ข้อมูลที่เหลือ เดี๋ยวจะเอาไปอธิบายในห้อง พท. ในช่วงเวลา Live สด ท่านใดติดงานตามชมย้อนหลังได้เลย เดี๋ยวจะทำเอกสารเอกใน Database ของห้อง พท. ด้วย
ท่านใดต้องการสมัครห้อง พท. ติดต่อทางไลน์ได้เลย Line ID : revthai