หมอเสาวภา เลี้ยงลูกเชิงบวก

หมอเสาวภา เลี้ยงลูกเชิงบวก กุมารแพทย์พัฒนาการและพฤติกรรม โรงพ เพจที่สอนการเลี้ยงลูกเชิงบวก และการเป็นพ่อแม่ที่มีความรู้คู่ความสุข เพจนี้เชื่อถือได้ และมั่นใจได้ว่า นี่คือ ของจริงค่ะ
(500)

“เด็กดื้อ”ทันทั่นวัย 5 ปีไม่ตั้งใจฟังคุณครู เล่นเสียงดังในห้องเรียนทำให้เพื่อนๆไม่ได้ยินนิทานที่ครูเล่า...เมื่อกลับมาอยู...
13/07/2025

“เด็กดื้อ”

ทันทั่นวัย 5 ปีไม่ตั้งใจฟังคุณครู เล่นเสียงดังในห้องเรียนทำให้เพื่อนๆไม่ได้ยินนิทานที่ครูเล่า...เมื่อกลับมาอยู่บ้าน ทันทั่นมักซน เล่น จนข้าวของเสียหาย พูดไม่ฟัง ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ก็เริ่มทนไม่ไหวกับความดื้อของทันทั่น

ไม่ว่าอยู่ที่โรงเรียนหรืออยู่บ้าน ทันทั่นมักโดนดุว่าเป็น “เด็กดื้อ”

หลายๆครั้งที่ทันทั่นโกรธจนตัวสั่นเมื่อได้ยินคำนี้ แม้แต่เพื่อนๆก็เคยโดนเตะ เพราะไปพูดใส่หน้าว่า “ทันทั่นเด็กดื้อ”

“เด็กดื้อ” เป็นคำที่มีผลกระทบต่อตัวตน ความรู้สึกมีคุณค่า (self esteem) ของเด็กมาก ทำให้เด็กไม่รู้สึกถึงศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง แต่กลับรู้สึกกว่า “ถูกตีตรา” เปลี่ยนแปลงไม่ได้

หากเราอยากให้เด็กเปลี่ยนแปลง แก้ไขตนเอง ก็ควร #ตำหนิเฉพาะพฤติกรรมที่เป็นปัญหา เพื่อความชัดเจนในการแก้ไข เช่น “ป้อมส่งเสียงดัง รบกวนคนอื่นแบบนี้ เพื่อนๆจะไม่ได้ยินเสียงคุณครู”

เมื่อตำหนิพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมให้ป้อมรู้แล้ว ก็ #ต้องสอนวิธีแก้ปัญหาด้วย เช่น “ทันทั่นอยากเล่นรถบรื๋นๆ ต้องเล่นตอนเวลาพักนะครับ” หรือ กระตุ้นให้เด็กคิดแก้ปัญหาเองก็ได้ เช่น “ทันทั่นคิดว่าเล่นรถดังๆแบบนี้ ควรเล่นที่ไหน? และตอนไหน?"

การระบุพฤติกรรมที่เป็นปัญหาพร้อมสอนการแก้ไข ทำให้เด็กเห็นภาพชัดเจนว่าตนเองต้องเปลี่ยนแปลงอะไร ดีกว่าคำ “เด็กดื้อ” ซึ่งเป็นคำเหมารวมนิสัยที่ไม่ดี ไม่ชัดเจนว่า “ฉันต้องเปลี่ยนแปลงอะไร”

หมอมักถามเด็กทุกคนที่บอกว่าตนเองเป็นเด็กดื้อว่า “ดื้อคืออะไรคะ” หรือ “หนูทำอะไร ถึงมีคนพูดคำนี้กับหนู” เด็กประมาณครึ่งหนึ่ง เงียบ ดูงง เหมือนหาคำตอบชัดเจนในสมองไม่ได้

เด็กอีกครึ่งพยายามคิด และใช้เวลานานกว่าจะนึกออกและตอบว่า “ไม่เชื่อฟังพ่อแม่” หรือ “ไม่เชื่อฟังครู”

ครั้นหมอถามต่อว่า “แล้วต้องเชื่อฟังเรื่องอะไรล่ะ” หรือ “ครู/พ่อแม่อยากให้เราทำอะไรหรือ?” พอเจอคำถามลงรายละเอียดที่เขาควรปรับปรุง... ส่วนใหญ่ตอบไม่ได้!!!

ทั้งๆที่ นี่คือสิ่งที่เราต้องการให้เด็กเปลี่ยนแปลง แต่เด็กกลับไม่รู้ชัด!😢

หากสมองเด็กจับภาพของความไม่ดี ความเป็นเด็กดื้อชัดเจน แต่ไม่ชัดเจนว่าต้องทำอะไรแทน โอกาสที่เด็กจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตนเองก็คงยาก....

หมอหวังว่า ผู้ใหญ่ที่ปรารถนาให้เด็กมีพฤติกรรมที่ดี ลอง #งดใช้คำตีตราเด็ก แล้วหันมา #ใช้คำพูดที่ระบุเฉพาะพฤติกรรมที่เป็นปัญหาพร้อมสอนสิ่งที่ควรทำแทน นะคะ 😊

สมองเด็กจะได้จดจำสิ่งที่ควรทำ แทนคำพูดตีตราที่มีแต่ลดคุณค่าในตัวเองลง....

ระลึกไว้ว่า “เมื่อใดที่คุณเปลี่ยน ลูกจะเปลี่ยนตาม” (quote จากหนังสือปราบลูกดื้อฯ รวมเทคนิคเชิงบวก)

เหลือ 2 ที่นั่ง คลาส “สื่อสารให้เป็น หนักแน่นให้ได้” เรียน 20 กรกฎาคมนี้ที่โรงแรมจัสมิน ราคา 9,500 บาทต่อท่าน มา 2ท่าน ลด 5% , มา 4 ท่าน ลด 10 % ลงทะเบียนเรียนแอดไลน์ https://lin.ee/IT43gvK (หมอเสาวภา-คลาสเรียนพ่อแม่)

ใครติดเรื่องทุนทรัพย์ไลน์เข้ามา และตอบคำถามนี้ "คุณจะนำสิ่งที่เรียนไป นอกจากเพื่อครอบครัวแล้ว คุณจะนำไปช่วยชุมชนหรือสังคมอย่างไร" มีผู้ได้รับทุนหลายท่านแล้ว 🙂 เชิญชวนค่ะ

#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

งานวิจัยใน10 ปีหลัง พบว่า “ไม่ว่าคนเราจะอายุเท่าไรก็ตาม สมองสามารถเปลี่ยนแปลงได้” ยิ่งเราใช้งานบ่อย ก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงดี ...
11/07/2025

งานวิจัยใน10 ปีหลัง พบว่า “ไม่ว่าคนเราจะอายุเท่าไรก็ตาม สมองสามารถเปลี่ยนแปลงได้” ยิ่งเราใช้งานบ่อย ก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงดี ไม่ใช่เปลี่ยนแค่ระดับสารเคมี แต่เปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างเลยค่ะ 😍

นั่นก็หมายความว่า อะไรที่เราทำไม่เป็น ถ้าเราฝึกฝนบ่อยๆๆๆๆ สุดท้ายเราจะทำเป็น และกลายเป็นนิสัยประจำตัว!!

ทักษะสมอง EF เป็นตัวอย่างหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนฝึกฝนได้ แต่ความยากของผู้ใหญ่ก็คือ การไม่ฝึกสม่ำเสมอและสมองก็มีความเคยชินในรูปแบบเดิมอยู่

ซึ่งแตกต่างจากเด็กๆ ที่สมองยังไม่เคยชินกับนิสัยต่างๆ พ่อแม่สามารถฝึกฝนโดยใส่ของดีเข้าไปในสมองลูก ยิ่งลูกฝึกบ่อย สมองก็จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ทักษะสมอง EF ก็จะกลายเป็นนิสัยประจำตัวลูกได้เลย 😃

งานวิจัยขนม Marshmallow ของ Walter Mischel เป็นงานวิจัยที่มีมานานแล้ว ถือเป็นงานวิจัยคลาสสิกที่คนรุ่นใหม่มักนำไปทำซ้ำ ตอนนั้นเขามีเป้าหมายในการดูทักษะ EF ของเด็ก

แต่สมัยนั้นยังไม่มีการพูดถึง EF เขาใช้คำว่า delay gratification แทน แปลว่าความสามารถในการหน่วงเวลาพึงพอใจของเด็ก (ซึ่งก็คือสมอง EFแหละค่ะ)

เขาอยากรู้ว่า เด็กที่รอกินขนมได้ กับเด็กที่รอไม่ได้ ในอนาคตจะเป็นอย่างไร งานวิจัยสรุปผลออกมาแบบนี้ เด็กที่สามารถอดทนรอคอยได้ จะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าเด็กที่ไม่อดทนรอ

ในภาพ เป็นงานวิจัยของนักวิจัยรุ่นใหม่ที่ทำคล้ายๆแบบเดิม เขาตั้งกติกากับเด็กว่า “ถ้าหนูอดทน นั่งรอจนกว่าผู้วิจัยกลับมา หนูจะได้ขนม 2 ชิ้น แต่ถ้าหนูไม่อยากรอ ให้กดกระดิ่งแล้วนักวิจัยจะกลับเข้ามา แต่จะได้กินแค่ 1 ชิ้น” (ครั้งนี้เขาบันทึกพฤติกรรมเด็กระหว่างรอเอาไว้ด้วย)

แน่นอนค่ะ... มีทั้งเด็กที่รอไม่ได้ และเด็กที่รอได้ เด็กที่รอได้ สมอง EF ทำงานอย่างไร?
ทักษะสมองEF เกี่ยวกับความสามารถ 3 สิ่งนี้

1 Inhibitory control
🔹เด็กต้อง “ยับยั้งตนเอง” (Inhibitory control) ไม่หยิบขนมที่อยู่ตรงหน้าให้ได้ แม้ว่าผู้ดูแลจะไม่นั่งอยู่ด้วย

ในการควบคุมนี้ เด็กต้องต่อสู้กับความอยากของตนเอง ทั้งอยากกินขนมและอยากกดกระดิ่ง บางทีเราเรียกว่า response inhibition คือเหยียบเบรค ความอยากเอาไว้ให้อยู่

2 Working memory
🔹เด็กจะต้องจดจำกติกาที่ผู้วิจัยบอก และดึงออกมาเตือนตนเองเป็นระยะๆระหว่างที่อดทนรอ เราเรียกว่า “ความจำใช้งาน” (Working memory)

เด็กที่รอไม่ได้ หยิบกินขนมไปก่อน ในระบบความจำนั้นเด็กจำได้ค่ะว่ากติกาคืออะไร เพราะเมื่อจบการวิจัย เด็กก็ตอบได้ว่ากติกาคืออะไร แต่ปัญหาที่แท้จริง คือ #ความจำใช้งานไม่ดี เด็กจำกติกาได้ แต่จำมาใช้งานไม่ได้ แต่นั่นก็เพราะ #ตัวเบรคไม่ดี

ตรงนี้ก็เหมือนลูกๆเราที่เมื่อถามย้อนกลับ เด็กก็ตอบได้ว่า ไม่ควรทำอะไร แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ เด็กก็ทำผิดซ้ำ 😟

ดังนั้น การสอนซ้ำๆ อาจไม่ช่วยให้ลูกดีขึ้น สิ่งที่ควรทำมากกว่าคือ #ฝึกตัวเบรคลูกให้รู้จักทำงาน วิธีการก็คือ #พ่อแม่พูดจริงทำจริง ตัวอย่าง หลังจากตกลงเวลากับลูกแล้วว่าดูการ์ตูนกี่นาที เมื่อครบเวลา (เราอาจยืดหยุ่นให้) แต่เมื่อครบเวลาจากการยืดหยุ่นแล้ว ก็ต้องถึงจุดสิ้นสุดที่ลูกต้องปิดการ์ตูน พ่อแม่ควรออก #กติกาโฟกัสตัวเบรค (ปิดการ์ตูน) ..."ตอนนี้ต้องปิดการ์ตูนแล้วค่ะ ลูกจะปิดเอง หรือ ให้แม่ปิด" (ท่องไว้ในใจ กติกาโฟกัสตัวเบรค ที่เราทำได้จริง ไม่ใช่ ถ้าไม่ปิดตอนนี้ ลูกจะไม่ได้ดูอีกเลย อันนี้ เราทำไม่ได้เนอะ😅 ภาษาหมอเรียกว่า ขู่ 😂 ลูกไม่ได้ฝึกสมอง EF แต่ไปใช้สมองกลัวทำงานแทน มันไม่ใช่วินัยเชิงบวก😅มีผลเสียต่อสุขภาพจิต จะกลายเป็นเด็กขี้กังวล)

ต่อค่ะ... หากลูกไม่สนใจกติกาตัวเลือก เราก็ ต้อง ปิด เลย (พ่อแม่พูดจริงทำ) ... ทำด้วยความหนักแน่นแบบไม่โกรธ (Kind but firm) ..... การปิดแทนลูก คือภาพที่กระทุ้งตัวเบรคในสมองลูก ครั้งหน้า กติกาโฟกัสตัวเบรค “ลูกจะปิดเอง หรือ ให้แม่ปิด” ตัวเบรคลูกจะทำงาน ลูกจะเลือกปิดเอง แน่นอนค่ะ 😊
….

มาต่อที่งานวิจัย.... ผู้วิจัยสังเกตพฤติกรรมของเด็กๆที่รอได้ พบว่า เด็กส่วนใหญ่ใช้วิธีเบี่ยงเบนตนเองออกไปจากการจ้องมองขนม บางคนร้องเพลง บางคนเอากติกามาร้องเป็นเพลงดังๆ “กินตอนนี้ได้แค่ 1 อดทนรอได้ถึง 2” บางคนเล่นสมมติว่ากำลังกินขนมอยู่

พฤติกรรมเหล่านี้คือ ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กๆ ไม่ให้หมกหมุ่นกับขนม... สุดยอดเลยนะคะ! (พวกเราไม่ควรสงสารลูกมากไป นอกจากลูกไม่ได้ใช้สมองแล้ว เรายังอดเห็นความคิดสร้างสรรค์ของลูกด้วย)

3 Cognitive flexibility
🔹ยืดหยุ่นในวิธีแก้ปัญหา หมายถึง เด็กสามารถจัดลำดับความสำคัญได้ว่า อะไรควรทำก่อนหลัง เด็กไม่ยึดติดว่า ต้องทำแบบนี้เสมอไปโดยไม่ดูว่าอะไควรทำก่อน เช่น เด็กไม่ควรเล่นเกมก่อน แล้วทำการบ้านตอน2ทุ่ม, หรือไม่ควรกินขนมก่อนกินข้าว

ขออธิบายแบบนี้ค่ะ ในงานวิจัยนี้เด็กได้เรียนรู้ไปแล้วว่า อะไรสำคัญอันดับหนึ่ง นั่นก็คือ "ความอดทนรอ" ดีกว่า ความอดทนน้อยหรือไม่อดทน (เพราะได้ขนมเพิ่มมา 2 ชิ้น)

ก็เหมือนกับบ้านที่ออกกติกา "กินข้าวหมดก่อน ถึงจะกินขนมนะคะ" และพ่อแม่ก็ทำให้เกิดขึ้นจริงๆได้ ตรงนี้ พ่อแม่ได้ฝึกทักษะสมองEFลูกแล้ว และลูกยังรับรู้ว่า กินข้าวหมด คือ สำคัญอันดับหนึ่ง ส่วนขนม สำคัญอันดับสอง

แล้วเกี่ยวยังไงกับ ยืดหยุ่นในวิธีแก้ปัญหา Cognitive flexibility อธิบายแบบนี้ค่ะ หากวันไหน เราทำไม่ได้ เช่น อากงให้ขนมมากินก่อนกินข้าว แล้วเราบอกลูกว่า กินขนมแค่ครึ่งหนึ่งนะคะ หนูจะได้กินข้าวลง... ด้วยสมองของลูกที่เคยถูกโปรแกรมมาแล้วว่า ข้าวสำคัญอันดับหนึ่ง ขนมอันดับสอง ลูกก็จะยืดหยุ่นได้ คือ กินขนมก่อน แต่กินนิดนึง เพื่อจะกินข้าวให้หมด...ไม่ใช่ว่า ไม่ยอมเด็ดขาด... หรือใช้เหตุการณ์กินขนมก่อน มาอ้างตอนอยู่กับพ่อแม่... แบบนี้ เป็นเพราะสมองลูกไม่เคยเรียงลำดับว่าอะไรสำคัญก่อน หลัง

แต่จะเป็นแบบนี้ได้ สมองลูกต้องถูกโปรแกรมมาแล้วเท่านั้น ไม่ใช่ ถูกล่อให้กิน กินไปเล่นไป กินไปเดินไป พ่อแม่ไม่ได้ฝึกทักษะสมองEFลูก เข้าใจผิดว่า ทำยังไงก็ได้ให้อาหารลงท้องลูก... หากคิดเท่านี้ ยิ่งโต ยิ่งเลี้ยงยากค่ะ... สู้คิดให้ลึก คิดถึงการฝึกสมองลูกให้ทำงานเป็น ลูกจะได้เบรคเป็น จัดลำดับความสำคัญเป็น ... เหนื่อยช่วงแรก ระยะยาวสบาย ถึงโตก็เลี้ยงไม่ยากค่ะ

อ้อ..ลืมบอกว่า งานวิจัย Marshmallow Test ของ Walter Mischel เขาตามยาวไปจนโตเป็นผู้ใหญ่ พบว่า เด็กกลุ่มที่รอคอยได้ ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและการศึกษามากกว่า, มีทักษะด้านอารมณ์และการควบคุมตนเองดีกว่า, ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลดีกว่า → มีเพื่อน มีความมั่นใจ

ส่วนเด็กที่รอไม่ได้ มีแนวโน้ม หุนหันพลันแล่น (impulsive), มีปัญหา ควบคุมอารมณ์ และพฤติกรรม, คะแนนสอบต่ำกว่า มีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตและพฤติกรรมเสี่ยงในวัยรุ่น 😭

ในเมื่อทุกๆวันก็ต้องสร้างวินัยให้ลูกอยู่แล้ว ทำเพิ่มอีกนิด ฝึกทักษะสมองEF ไปเลย คุ้มค่าต่อชีวิตลูกในระยะยาวค่ะ

#วินัยเชิงบวกคือเรื่องของทักษะสมองEF ไม่ใช่แค่อาบน้ำเสร็จ การบ้านเสร็จ ข้าวลงท้องเท่านั้น

เหลือ 4 ที่นั่ง คลาส “สื่อสารให้เป็น หนักแน่นให้ได้” เรียน 20 กรกฎาคมนี้ที่โรงแรมจัสมิน ราคา 9,500 บาทต่อท่าน มา 2ท่าน ลด 5% , มา 4 ท่าน ลด 10 % ลงทะเบียนเรียนแอดไลน์ https://lin.ee/IT43gvK (หมอเสาวภา-คลาสเรียนพ่อแม่)

ใครติดเรื่องทุนทรัพย์ไลน์เข้ามา และตอบคำถามนี้ "คุณจะนำสิ่งที่เรียนไป นอกจากเพื่อครอบครัวแล้ว คุณจะนำไปช่วยชุมชนหรือสังคมอย่างไร" มีผู้ได้รับทุนหลายท่านแล้ว 🙂 เชิญชวนค่ะ

#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

“แม่ก็ให้เขาทุกอย่าง ทำไมเป็นแบบนี้”คุณแม่มีลูกสาวคนเดียว ตอนนี้เป็นวัยรุ่นอยู่มัธยม 3 แล้ว เลี้ยงลูกมาไม่เคยมีปัญหาอะไร...
08/07/2025

“แม่ก็ให้เขาทุกอย่าง ทำไมเป็นแบบนี้”

คุณแม่มีลูกสาวคนเดียว ตอนนี้เป็นวัยรุ่นอยู่มัธยม 3 แล้ว เลี้ยงลูกมาไม่เคยมีปัญหาอะไรหนักใจ ลูกก็เชื่อฟังดี อยู่โรงเรียนก็ไม่มีอะไร แม่กับพ่อก็รับมือเรื่องดื้อของลูกมาได้จนปัจจุบัน....

จนวันหนึ่ง....แม่พบว่าลูกแอบมีแฟน...แม่เคยลงโทษยึดโทรศัพท์เพราะลูกนอนดึกมาก แม่เคยสั่งสอนลูกว่า ยังไม่ใช่วัยที่จะมีแฟน....แต่ตอนนี้....สถานการณ์ไปไกล แม่ไม่แน่ใจว่า เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรและไกลแค่ไหน...เห็นข้อความในโทรศัพท์ของลูก พูดถึงเรื่องจูบ...และการจับหน้าอก 😨

แม่เริ่มตระหนักว่า ลูกไม่ฟังคำสอนแม่เลย 😭.... ที่น่าเจ็บปวดใจที่สุด ในข้อความพูดถึงความน่าเบื่อของพ่อแม่ที่บ้าน...คำบ่น คำสอน คำห้าม และลูกบอกว่า.....ไม่อยากกลับบ้าน อยากไปหาแฟน...

หัวใจของคนเป็นพ่อแม่ คงร้าวรานไม่เป็นชิ้นดี 😭

สิ่งที่วนเวียนอยู่ในสมองของเราก็คือ ให้ลูกทุกอย่าง ทำไมลูกถึงเป็นแบบนี้.....

บางทีทุกอย่างที่เราให้ อาจไม่ตอบสนอง “ความรู้สึกมีคุณค่า” ที่ลูกควรได้, ต้องได้ตั้งแต่เล็กจนถึงปัจจุบัน ...ที่เราให้อาจเพียงตอบสนองความต้องการพื้นฐาน กับความอยากมี,อยากได้ของลูก ซึ่งลูกต้องการมากขึ้นตามกระแสสังคม ก็เป็นได้...

อันที่จริง ตัวลูกเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่า หนูต้องการอะไรจากพ่อแม่ ลูกให้คำตอบนี้ไม่ได้...

พ่อแม่ต่างหาก จะต้องตระหนักรู้ความจริงข้อนี้เอง

เด็กเติบโตและเปลี่ยนแปลงตามวัย วิธีเลี้ยงที่มีแต่ สั่ง และ สอน ทั้งการห้าม, ขู่, บ่น, ด่า, ประชด และใช้อารมณ์ เพื่อให้ลูกเชื่อฟังนั้น เอาพฤติกรรมลูกอยู่แค่เพียงวัยเด็ก แต่สำหรับวัยรุ่น ไม่มีทางเวิร์ค !! ..ซ้ำร้าย วิธีการเหล่านี้ยังทำลายความรู้สึกมีคุณค่าของลูกยาวนาน ตลอดระยะเวลาการเติบโตด้วย 😨

เมื่อลูกเข้าวัยรุ่น สมองจะสั่งให้ค้นหาเอกลักษณ์ตนเอง ไม่ว่าเพื่อน, ดารา, นักร้องฯ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการค้นหาตนเอง และวัยรุ่นจะอิงกับพ่อแม่ลดลง....

หากคุณยังเลี้ยงลูกวัยรุ่นด้วยวิธีเดิม หากเขาไม่ชนตรงๆให้ระเบิดไปเลย ก็จะก้มหน้านิ่งเงียบ เหมือนไม่อยู่ตรงนั้น และเจ้าความรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า, ไม่มีความสามารถ, ไม่ดีพอ ก็จะปรากฎชัดขึ้น ๆ ...แล้วลูกจะอยากอยู่บ้านนี้เพื่ออะไร .... เพื่อย้ำว่า ฉันไม่มีค่า คิดไม่เป็นและไม่ดีพอ ????? ...

ด้วยความรักลูก พ่อแม่ทำงานหนักก็เพื่อส่งเสียลูกเรียนดีๆ พ่อแม่สั่งสอนก็เพราะอยากให้เป็นคนดี พ่อแม่ห้ามก็เพราะไม่อยากให้เสียคน... ลูกอยากได้นั่น-นี่ พ่อแม่ก็หามาให้

เป็นความจริง ที่เจ็บปวดของพ่อแม่ เพราะสมองเด็กไม่เท่าสมองผู้ใหญ่... เด็กๆรับรู้ว่าพ่อแม่ “รัก” ค่ะ แต่เขาไม่รับรู้ว่า “ตนเองมีคุณค่า” และเด็กไม่สามารถเชื่อมโยงว่า ตนมีคุณค่าพ่อแม่จึงเสียสละแบบนี้ ... จนกว่า ลูกจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ตอนนี้สมองพร้อมแล้วที่จะคิดย้อนกลับและทำความเข้าใจพ่อแม่ (และไม่ใช่ทุกคนที่จะคิดได้ แม้สมองพร้อม)......

วิธีเลี้ยงที่มีแต่ สั่ง และ สอน ทั้งการห้าม, ขู่, บ่น, ด่า, ประชด และใช้อารมณ์ เพื่อให้ลูกเชื่อฟังนั้น ทำลายความรู้สึกมีคุณค่าในตัวลูก แถมยังเป็นวิธีเลี้ยงที่ลูกเอาตัวเองไม่รอด! พ่อแม่คิดเอง ตัดสินใจเอง แล้วก็ออกคำสั่ง ออกคำห้าม!!

หากย้อนเวลากลับได้... พ่อแม่คงอยากเลี้ยงลูกใหม่ ... ใครที่ผ่านมาอ่าน เริ่มเลี้ยงลูกด้วยวิธีเชิงบวกตั้งแต่เล็กเลยค่ะ เริ่มได้ตั้งแต่แรกเกิดเลย.....

การเลี้ยงลูกเชิงบวก คือ การสร้างเวลาคุณภาพ + การสร้างวินัยเชิงบวก

🔹 เวลาคุณภาพ คือ เวลาที่พ่อแม่วางงานทุกอย่างลง รวมทั้งมือถือ... นั่งลง เล่นกับลูก, ทำกิจกรรมกับลูก หรือตั้งใจรับฟังเรื่องราวของลูกอย่างไม่ตัดสิน หากจะสอน ต้องใจเย็นๆ เน้นสอนให้คิด สอนให้ตัดสินใจ และเปิดโอกาสให้ทำผิดและเรียนรู้จากตรงนั้น อย่าห้ามและปกป้องจนลูกไม่เคยผิดพลาด ไม่เคยล้มแรงๆ ไม่เคยทำการบ้านผิดแล้วโดนตัวแดง.....

อยู่กับลูกด้วยสติและสมาธิ ค่อยๆทำความเข้าใจทั้งความคิดและความรู้สึกลูก มองให้ลึกว่า ลูกอยากให้พ่อแม่ชื่นชม อยากให้พ่อแม่เข้าใจ และบางครั้งก็อยากได้กำลังใจมากกว่าแก้ปัญหาให้...

🔹 วินัยเชิงบวกที่แท้แล้ว คือ กระบวนการฝึกทักษะสมอง EF ค่ะ... ผลลัพธ์ที่ได้คือ ลูกรับผิดชอบเป็น, สามารถจัดลำดับความสำคัญว่าอะไรควรทำก่อน-หลัง ทำการบ้านก่อนเล่น, ปิดมือถือตามเวลา, ลูกหักห้ามใจได้, ไม่ใช่ยอมไปเพราะจะไปสนุกอีกที่ ลูกคิดเป็น, ตัดสินใจเป็นและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดได้

ลูกจะมีวินัยเชิงบวกได้ พ่อแม่ก็ต้องเรียนรู้วิธีเลี้ยงลูกแบบนี้... พ่อแม่ควรสื่อสารให้เป็น เพื่อให้ลูกเปิดใจ พ่อแม่ควรตั้งคำถามชวนลูกคิดให้เป็นเหมือนกัน และพ่อแม่ก็ควรแสดงพฤติกรรมเด็ดขาดแบบไม่ใช้อารมณ์ให้เป็นด้วย ไม่งั้น ลูกจะเอาแต่ใจ..

ท่องเอาไว้ งานเลี้ยงลูกคืองานสร้างคน อย่าโฟกัสกับการจัดการพฤติกรรมไม่ดี และสร้างพฤติกรรมที่ดีจนหลงทาง... งานสร้างคนมีความลึกกว่านั้น พฤติกรรมดีหรือไม่ดี มาจากการสั่งงานของ “สมอง” งานเลี้ยงลูก คือ การสร้างสมองลูกต่างหาก... จากสมองก้อนเล็กๆไปสู่สมองก้อนใหญ่ที่คิดเป็น, คิดได้, รับผิดชอบได้, จัดการอารมณ์ได้...

และที่สำคัญ “รู้คุณค่าของตนเอง” ไม่ต้องคอยหาคนอื่นๆมาเติมเต็ม จนไม่สนใจอนาคตเลย

เนื้อเรื่องดัดแปลงจากเคสจริงหลายๆเคสรวมกัน เพื่อไม่ให้กระทบกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ... ..

ใกล้เต็มแล้ว คลาส “สื่อสารให้เป็น หนักแน่นให้ได้” เรียน 20 กรกฎาคมนี้ที่โรงแรมจัสมิน ราคา 9,500 บาทต่อท่าน มา 2ท่าน ลด 5% , มา 4 ท่าน ลด 10 % ลงทะเบียนเรียนแอดไลน์ https://lin.ee/IT43gvK (หมอเสาวภา-คลาสเรียนพ่อแม่)

ใครติดเรื่องทุนทรัพย์ไลน์เข้ามา และตอบคำถามนี้ "คุณจะนำสิ่งที่เรียนไป นอกจากเพื่อครอบครัวแล้ว คุณจะนำไปช่วยชุมชนหรือสังคมอย่างไร" มีผู้ได้รับทุนหลายท่านแล้วนะคะ 🙂 เชิญชวนค่ะ

#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

นิทานเจ้าหญิง–เจ้าชายสร้างค่านิยม, ความเชื่ออะไรให้เด็ก ควรอ่านให้ลูกฟังมั๊ย?เสาร์ที่ผ่านมา หมอมีโอกาสสอนคุณครูอนุบาลโรง...
07/07/2025

นิทานเจ้าหญิง–เจ้าชายสร้างค่านิยม, ความเชื่ออะไรให้เด็ก ควรอ่านให้ลูกฟังมั๊ย?

เสาร์ที่ผ่านมา หมอมีโอกาสสอนคุณครูอนุบาลโรงเรียนขจรเกียรติศึกษาที่ภูเก็ตทั้ง 9 สาขา ในหัวข้อ “การนำนิทานไปใช้ให้ได้ประโยชน์สูงสุด”..... ซึ่งมีประเด็นหนึ่ง ที่หมอไม่มีโอกาสคุย.. ขอคุยทางนี้เลยนะคะ😊

อย่างแรกต้องบอกก่อนว่า ขึ้นชื่อว่านิทาน ไม่ใช่ว่าจะดีทุกเล่มน้าาาา ....

ที่แน่ๆ นิทานที่มีลักษณะขู่เด็กให้กลัว ให้กังวล กลัวจนต้องยอมไปทำ ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่พ่อแม่ขู่เด็กเลย สมองส่วนความกลัวทำงาน ไม่ใช่สมองส่วน EF เลย... (วินัยเชิงบวก คือ การพัฒนาทักษะสมอง EF ซึ่งช่วยให้เด็กรับผิดชอบได้ โดยไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต) แต่ความกลัว ทั้งระยะสั้นและระยะยาวมีผลต่อสุขภาพจิตแน่ๆค่ะ... หมอพบจำนวนเด็กไทยที่ขี้กังวลเยอะมาก หมอเชื่อว่า อาจเกิดจากพ่อแม่เองขู่เด็ก หรือ ใช้นิทานมาขู่เด็ก บอกว่าจะเป็นเหมือนตัวละครในนิทาน😢...

ลองหยุดขู่เด็กและหยุดใช้นิทานทำนองนี้ หรือ หากจะใช้ ควรชวนลูกคิดวิเคราะห์แทนค่ะ เช่น ทำไมเด็กคนนี้ถึงกลัว, เราจะทำอะไรที่ต่างจากเด็กคนนี้ดี, คุณพ่อคุณแม่ในเรื่องนี้ควรเปลี่ยนวิธีเลี้ยงลูกใหม่ยังไง... และที่สำคัญ ตัวคุณพ่อคุณแม่เองก็ต้องให้ความมั่นใจกับลูกด้วยว่า เราสามารถเลือกได้ เราตัดสินใจทำสิ่งที่ดีได้ โดยไม่ต้องให้ตัวกลัวมาครอบงำเรา... นิทานเขาแต่งมาให้กลัวเท่านั้น อย่าไปเชื่อ และอย่าไปกลัวแบบเด็กคนนี้นะ🙂💪.. ...

ส่วนนิทานเจ้าชาย-เจ้าหญิงล่ะ โอเคมั๊ย....
สมัยหมอเด็กๆก็ชอบมาก เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่คงชอบอารมณ์ชวนฝัน, รอคอยเจ้าชายขี่ม้าขาว แล้วก็แต่งงานกัน ชีวิตจะมีความสุขตลอดไป 555...

หันมาดูชีวิตตอนนี้ก่อน! 555 😂

นิทานเจ้าชาย-เจ้าหญิงรุ่นก่อน อาจปลูกฝังความเชื่อและค่านิยมที่ไม่ได้พัฒนาอะไรในชีวิตเท่าไรเลย อันที่จริงข้อดีก็มี แต่ข้อเสียดูจะมากกว่า ..ขอสรุปแบบนี้ค่ะ

ประโยชน์ของนิทานเจ้าหญิง–เจ้าชาย (ถ้าเลือกใช้ดี)
🎨 ด้านจินตนาการ
กระตุ้นโลกแฟนตาซี ความฝัน ความหวัง

❤️ ด้านอารมณ์
สื่อสารความรัก ความเมตตา การให้อภัย

✨ ด้านคุณธรรม
ตัวละครบางเรื่องแสดงความกล้าหาญ ความเมตตา

📚 ด้านโครงสร้างเรื่อง
นิทานเหล่านี้มักมี plot ชัดเจน → ฝึก narrative coherence ได้ดี

(narrative coherence หมายถึง “ความสามารถในการเล่าเรื่องอย่างมีลำดับ เชื่อมโยง และสื่อความได้ชัดเจน” ซึ่งงานวิจัยบอกว่า หากเด็กเล่านิทานแบบ narrative coherence ได้ จะช่วยพัฒนาสมองส่วนหน้า หรือทักษะสมอง EF)

แต่หากเราใช้เจ้าหญิง-เจ้าชาย “เวอร์ชันดั้งเดิม” โดยไม่ชวนคิด อาจเกิดข้อเสีย ตามนี้....

❌ แบบแผน “เจ้าหญิงต้องสวย-นิ่ง-ถูกรัก”
เด็กผู้หญิงบางคนอาจตีความว่าคุณค่าคือหน้าตา–ความเรียบร้อย

❌ เจ้าชายคือ “ผู้มาช่วย”
ทำให้เด็กไม่เห็นบทบาทของการแก้ปัญหา/กล้าตัดสินใจด้วยตนเอง

❌ ตัวร้ายหญิง = แม่เลี้ยง / แม่มด
สร้างภาพ stereotype ทางเพศ–อำนาจ
|
❌ มีจุดจบแบบเดียว: แต่งงาน → มีความสุข
เด็กเข้าใจว่า “ความสุข” คือการมีคู่ / จบที่คนอื่นมาเติมเต็ม

หมอขอแนะนำวิธีใช้นิทานเจ้าหญิง–เจ้าชายให้เกิด “พัฒนาการ”

1. ✅ เลือก “เวอร์ชันใหม่” หรือ “นิทานเจ้าหญิงที่เปลี่ยนภาพเดิม”

เช่น The Paper Bag Princess (เจ้าหญิงที่สู้มังกรเอง) อันนี้เป็นนิทาน ไม่ใช่หนังการ์ตูนค่ะ หรือเวอร์ชันเจ้าหญิงดิสนีย์รุ่นใหม่ เช่น Moana, Merida (Brave), Elsa ที่ไม่จบด้วยการแต่งงาน

2.✅ ถามคำถามแบบวิพากษ์เบา ๆ กระตุ้นความคิด

เจ้าหญิงรอเจ้าชายช่วย
คำถามแนะนำ
“หนูคิดว่าถ้าเจ้าหญิงลุกขึ้นมาช่วยตัวเองได้ จะทำอะไรได้บ้าง?”

แม่มดใจร้าย
คำถามแนะนำ “แม่มดอาจรู้สึกยังไงนะ? เขาเคยโดนอะไรบางอย่างมาก่อนรึเปล่า?” เขาควรแก้ปัญหาต่างจากนี้ยังไง?

จบด้วยแต่งงาน
คำถามแนะนำ “ถ้าไม่มีเจ้าชายเลย เจ้าหญิงจะมีความสุขได้มั้ยนะ?”

3. ✅ สะท้อนทางเลือกอื่นให้เด็กเห็น
“เจ้าหญิงคนนี้ไม่ต้องสวยมาก แต่เขากล้าหาญมากเลยเนอะ”

“ถ้าเราเป็นเจ้าหญิง/เจ้าชาย เราจะดูแลคนอื่นยังไงดี?”

“ความเก่งของเขาคืออะไร นอกจากชุดสวย?”

สรุปก็คือ นิทานเจ้าหญิง–เจ้าชายใช้ได้อยู่นะคะ แต่คุณพ่อคุณแม่และคุณครูต้องเล่าแบบเปิดมุม ชวนให้คิดด้วยคำถาม ไม่เปิดแค่โลกแฟนตาซี เพื่อให้เด็กได้ทั้งความฝัน + ความเข้าใจโลกจริง + คุณค่าในตัวเองโดยไม่ยึดกับรูปลักษณ์หรือการพึ่งคนอื่นค่ะ

ส่วนนิทานทำนองขู่เด็ก จะไปกระตุ้นสมองส่วนอะมิกดาล่า ไม่แนะนำให้ใช้....

ลองดูนะคะ...
ใกล้เต็มแล้ว คลาส “สื่อสารให้เป็น หนักแน่นให้ได้” เรียน 20 กรกฎาคมนี้ที่โรงแรมจัสมิน ราคา 9,500 บาทต่อท่าน มา 2ท่าน ลด 5% , มา 4 ท่าน ลด 10 % ลงทะเบียนเรียนแอดไลน์ https://lin.ee/IT43gvK (หมอเสาวภา-คลาสเรียนพ่อแม่)

ใครติดเรื่องทุนทรัพย์ไลน์เข้ามา และตอบคำถามนี้ "คุณจะนำสิ่งที่เรียนไป นอกจากเพื่อครอบครัวแล้ว คุณจะนำไปช่วยชุมชนหรือสังคมอย่างไร" มีผู้ได้รับทุนไปแล้วนะคะ 🙂 เชิญชวนค่ะ

#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

อีก 20 วัน..... คลาส "สื่อสารให้เป็น หนักแน่นให้ได้" จะเริ่มแล้ว!เนิ้อหาและกิจกรรมอัดแน่น คุณพ่อคุณแม่จะได้ฝึกจนทำเป็นจร...
30/06/2025

อีก 20 วัน..... คลาส "สื่อสารให้เป็น หนักแน่นให้ได้" จะเริ่มแล้ว!

เนิ้อหาและกิจกรรมอัดแน่น คุณพ่อคุณแม่จะได้ฝึกจนทำเป็นจริง (ไม่โกหก, ไม่overclaim)

แค่อ่าน อาจช่วยคุณได้บ้าง หรือบางบ้านก็ไม่ได้เลย.. เมื่อไม่ได้ผลก็เลยทำคุณเข้าใจว่า บ้านคุณคงต้องใช้วิธีแบบเดิม....

ยืนยันว่า "แก่นความรู้เรื่องของการเลี้ยงลูกเชิงบวก ใช้ได้กับทุกบ้าน แต่คุณต้องนำมาประยุกต์" แต่มันก็ไม่ง่าย

หากคุณมาทำเวิค์คช็อป คุณจะไดรู้ว่า บ้านเราควรเน้นตรงไหน ผ่อนตรงไหน เด็กแต่ละบ้านที่ไม่เหมือนกัน... คุณหมอสามารถฟีดแบคได้ตรงกับบ้านคุณ ความสามารถนี้มาจากประสบการณ์สอนผู้ปกครองเลี้ยงลูกเชิงบวกมา 20 ปี..... แล้วคุณจะรู้ว่า ทำไมทำตามที่อ่านมาแล้ว ถึงไม่ได้ผล...

ไม่ได้อยู่ที่ความรู้...
แต่อยู่ที่ นำความรู้มาประยุกต์ใช้กับบ้านคุณ

20 กรกฎาคม 8.00-16.30 น. ที่โรงแรมจัสมิน รับ 20 ท่านเท่านั้น
ราคา 9,500 บาทต่อท่าน มา 2 ท่าน ลด 5 %

ลงทุนเรื่องเลี้ยงลูก แม้มองไม่เห็นผลตอบแทนเป็นตัวเลขเหมือนทำธุรกิจ แต่เชื่อเถอะ ลูกที่เติบโตขึ้นด้วยวิธีเลี้ยงลูกเชิงบวก ลดโอกาสเป็นโรคซึมเศร้า, วิตกกังวล, ฆ่าตัวตาย ซึ่งวัยรุ่นเป็นมากขึ้น และเป็นในเด็กที่อายุน้อยลงเรื่อยๆ

ผลตอบแทนไม่ได้เห็นเป็นตัวเลข แต่เห็นเป็น ลูกสาว, ลูกชาย ที่มีสุขภาพจิตดี บ้านก็มีความสุขได้ไม่ยากเลย...

คุ้มนะคะ

ปล.1 ลงทะเบียนเรียนแอดไลน์ https://lin.ee/IT43gvK (หมอเสาวภา-คลาสเรียนพ่อแม่)

ปล. 2 ใครติดเรื่องทุนทรัพย์ไลน์เข้ามา และตอบคำถามนี้ "คุณจะนำสิ่งที่เรียนไป นอกจากเพื่อครอบครัวแล้ว คุณจะนำไปช่วยชุมชนหรือสังคมอย่างไร"

#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

4 ขั้นตอนช่วยลูกจัดการอารมณ์ (co-regulation)ตัวอย่างเช่น ลูกแย่งของกัน❤พ่อแม่จัดการอารมณ์ตนเองและนำพาลูกให้จัดการอารมณ์❤...
30/06/2025

4 ขั้นตอนช่วยลูกจัดการอารมณ์
(co-regulation)

ตัวอย่างเช่น ลูกแย่งของกัน

❤พ่อแม่จัดการอารมณ์ตนเอง
และนำพาลูกให้จัดการอารมณ์

❤อนุญาตให้ลูกมีความรู้สึก
อย่าตัดบท, อย่ารีบแก้ไขปัญหา
อย่าเพิ่งคุยเรื่องแบ่งกันเล่น

❤เสนอวิธีสงบก่อน
จะกอด หรือจะพูดระบาย
หรือจะออกไปจากตรงนี้ก่อน
หรือจะหายใจเข้า - ออกลึกๆ
หากลูกตี ก้าวร้าวจับมือ และปล่อยมือ
และเสนอทางเลือกอื่นในการระบาย
(ตามข้างบน)

❤แก้ไขปัญหาที่เป็นสาเหตุของอารมณ์
จะสอนให้แบ่งกัน, ไม่ทำร้ายกัน
ก็สอนตอนสงบหรือดีขึ้นแล้ว

พ่อแม่ควรทำตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ
เพราะ 4 ขั้นตอนนี้เป็นทักษะที่ต้องฝึกฝน
เราควรทำบ่อยๆ จะแม่นขึ้น และนิ่งขึ้น

ที่สำคัญ จะเห็นการเปลี่ยนแปลง
ทั้งในตัวลูกและตัวเราค่ะ

ปล. ช่วงวัยรุ่น(ซึ่งเลี้ยงยาก) ก็จะผ่านไปได้

#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

ยอมรับความรู้สึก แต่ไม่ยอมรับพฤติกรรมก้าวร้าวหยุดความก้าวร้าว ด้วยการช่วยลูกระบายออกเป็นคำพูดด้วยความใจเย็น และท่าทีสงบข...
27/06/2025

ยอมรับความรู้สึก แต่ไม่ยอมรับพฤติกรรมก้าวร้าว
หยุดความก้าวร้าว ด้วยการช่วยลูกระบายออกเป็นคำพูด
ด้วยความใจเย็น และท่าทีสงบของพ่อแม่...นะคะ

เป็นกำลังใจให้ทุกท่านค่ะ🙂

#หยุดลูกก้าวร้าว ด้วยความไม่ก้าวร้าว

#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

ช่วงที่ผ่านมา เราทราบข่าวผู้ที่มีชื่อเสียงเสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกหลายท่าน ตัวหมอเองรู้สึกใจหายทุกครั้งที่ทราบข่าวนี้....
26/06/2025

ช่วงที่ผ่านมา เราทราบข่าวผู้ที่มีชื่อเสียงเสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกหลายท่าน ตัวหมอเองรู้สึกใจหายทุกครั้งที่ทราบข่าวนี้...สมัยเป็นแพทย์ประจำบ้านกุมารฯ ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ โรคไข้เลือดออกมักพบในเด็กค่ะ น้อยมากๆ ที่จะเกิดขึ้นในผู้ใหญ่ หมอยังจำตัวเองนั่งเฝ้าเคสเด็กที่เป็นไข้เลือดออกในไอซียูได้เลย บางเคสก็รอดชีวิต แต่บางเคสก็เสียชีวิต 😭 ....

ปัจจุบัน เราพบผู้ใหญ่เป็นโรคไข้เลือดออกมากขึ้น แต่เด็กก็ยังเป็นกลุ่มที่พบบ่อยกว่า ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ต้นปีถึงกลางปีนี้ (1 ม.ค.-4 มิ.ย.68) ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกแล้ว 13,079 ราย ช่วงอายุที่พบมากคือเด็กอายุ 5 – 14 ปี มีผู้เสียชีวิตแล้ว 15 ราย แต่กลุ่มผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ

หลายคนเข้าใจว่า ถ้าเคยเป็นโรคไข้เลือดออกแล้ว ก็จะมีภูมิคุ้มกันโรค ไม่ต้องกังวลหรอก ความเชื่อนี้ถูกส่วนหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่ผิดค่ะ และผิดอย่างน่ากลัวด้วย!... เนื่องจาก เชื้อไวรัสเดงกีที่ก่อโรคในคนมี 4 สายพันธุ์ เราจึงมีภูมิคุ้มกันเฉพาะสายพันธุ์ที่โดนกัดเท่านั้น แปลว่า เราจะไม่เป็นโรคไข้เลือดออกอีกก็เมื่อโดนเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดิมเล่นงาน (แต่เราไม่มีทางรู้เลยว่ายุงตัวไหนพกพาสายพันธุ์อะไร) และที่น่ากลัวมากกว่านั้นก็คือ หากติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่หมายถึงต่างจากรอบแรก เจ้าระบบภูมิคุ้มกันเราจะตอบสนองแบบผิดปกติเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "Antibody-Dependent Enhancement" (ADE) คือภูมิคุ้มกันเดิมที่มีจากครั้งก่อนจะไปจับเชื้อสายพันธุ์ที่มันเห็นเป็นหน้าใหม่ไว้ แต่ไม่สามารถกำจัดได้ ผลก็คือเชื้อเข้าสู่เซลล์ได้มากขึ้น → เชื้อไวรัสเพิ่มจำนวนเร็ว ร่างกายตอบสนองเกินพอดี → เกิดการรั่วของหลอดเลือด → ช็อก, ความดันตก, เลือดออกในอวัยวะภายใน และนี่คือสาเหตุของการเสียชีวิต! แปลว่า ถ้าเคยเป็นโรคไข้เลือดออกแล้ว มันไม่ใช่ข่าวดีเลย ถือเป็นข่าวร้ายด้วยซ้ำ!

และคนไทยกว่า 70% เคยเป็นโรคไข้เลือดออกแต่ไม่รู้ตัว! แม้จะเป็นคนแข็งแรงดี ไม่มีโรคประจำตัวใดๆ หากเป็นซ้ำขึ้นมาก็เสี่ยงที่จะเป็นรุนแรง ดังที่เรามักตั้งคำถามเมื่อทราบข่าวผู้ที่เสียชีวิตว่า ก็แข็งแรงดีมาตลอดนี่นา 😟 ...

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว จะเห็นได้ว่า โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่คาดเดายากมากว่าใครจะเป็นรุนแรงหรือไม่ และที่สำคัญ โรคนี้ยังไม่มียารักษาเฉพาะ เป็นการรักษาประคับประคองตามอาการเท่านั้น...

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกแล้ว 😊 สามารถป้องกันโรคได้ 80% ลดความรุนแรง 90% ฉีดได้ตั้งแต่อายุ 4 ปีขึ้นไปค่ะ ไม่ว่าเด็ก ผู้ปกครอง หรือคนสูงอายุก็ฉีดได้ กลุ่มคนมีโรคประจำตัว เช่น หัวใจ เบาหวาน อ้วน ตับ ไต ถือเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ควรฉีดวัคซีน เพราะเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงที่อาจเกิดอาการรุนแรง

เมื่อมองย้อนกลับไปตอนเป็นแพทย์ประจำบ้านกุมารฯ ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ หากสมัยนั้นมีวัคซีนแบบนี้ หมอจะแจ้งคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านว่ามีวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกแล้วนะคะ และวัคซีนสามารถป้องกันโรคและลดความรุนแรงของโรคได้ 80-90% ...หมอเชื่อว่า เคสโรคไข้เลือดออกจะเข้าไอซียูน้อยลงมากหรืออาจไม่มีเลย 🙂...

ตัวหมอเอง สามีและลูกๆ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกแล้วค่ะ หากคุณพ่อคุณแม่สนใจลองปรึกษาคุณหมอใกล้บ้านนะคะ

ด้วยความปรารถนาดี🥰
#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

15/06/2025

เลี้ยงลูกวัยรุ่นยังไงดี

#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

14/06/2025

พรุ่งนี้บ่ายโมง ไลฟ์สด !

“เลี้ยงลูกวัยรุ่นยังไงดี “ ที่

เพจหมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

13/06/2025

แม่ที่มีความสุข ลูกจะมีความสุข
แล้วจะทำได้อย่างไร ภายใต้ปัญหามากมาย

#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก #ซาเทียร์

Satir Conference ครั้งที่ 5 "Where Curiosity meets Creativity"20 Years of Celebration!!งานประชุมสำหรับผู้สนใจศาสตร์การพั...
08/06/2025

Satir Conference ครั้งที่ 5
"Where Curiosity meets Creativity"
20 Years of Celebration!!

งานประชุมสำหรับผู้สนใจศาสตร์การพัฒนาศักยภาพมนุษย์และจิตบำบัดแนวซาเทียร์

ไม่ว่าคุณจะรู้จักหรือไม่รู้จักซาเทียร์โมเดลมาก่อน ในเมื่อคุณเป็นมนุษย์ และเชื่อในศักยภาพความเป็นมนุษย์ คุณสามารถมาทดลอง ทำความรู้จัก และมาเรียนรู้กับงานนี้ได้ทุกคน 😀

และในปีนี้ พิเศษอย่างยิ่งที่เป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปี สมาคมฯ Satir Thailand

24-26 กันยายน 2568
โรงแรมกราฟ ห้วยขวาง กรุงเทพ

ลงทะเบียน
https://forms.gle/jmVkPwJntHKwobdk7

หมอขอเชียร์ให้คุณพ่อคุณแม่มาเรียนรู้การใช้ซาเทียร์ประกอบการเลี้ยงลูก มันดีต่อใจเราและใจลูกมากกกก

พรุ่งนี้ หมอจะมาเล่าให้ฟังว่า Satir Model ดียังไง ทำไมหมอถึงชอบมาก ติดตามนะคะ 🥰

#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

ที่อยู่

Bangkok

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ หมอเสาวภา เลี้ยงลูกเชิงบวกผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง หมอเสาวภา เลี้ยงลูกเชิงบวก:

แชร์