หมอเสาวภา เลี้ยงลูกเชิงบวก

หมอเสาวภา เลี้ยงลูกเชิงบวก กุมารแพทย์พัฒนาการและพฤติกรรม โรงพ เพจที่สอนการเลี้ยงลูกเชิงบวก และการเป็นพ่อแม่ที่มีความรู้คู่ความสุข เพจนี้เชื่อถือได้ และมั่นใจได้ว่า นี่คือ ของจริงค่ะ
(501)

วันแม่ปีนี้...อยากบอกแม่ทุกคนว่า คุณอาจจะเคยรู้สึกว่า “ฉันยังทำได้ไม่ดีพอ” หรือ “ฉันควรจะใจเย็นกับลูกมากกว่านี้”อยากให้ค...
12/08/2025

วันแม่ปีนี้...อยากบอกแม่ทุกคนว่า คุณอาจจะเคยรู้สึกว่า “ฉันยังทำได้ไม่ดีพอ” หรือ “ฉันควรจะใจเย็นกับลูกมากกว่านี้”

อยากให้คุณแม่ทุกคนหยุดหายใจลึก ๆ แล้วมองตัวเองด้วยความอ่อนโยน เหมือนที่มองลูก 😊...

ความเป็นจริงคือ…ไม่มีแม่เพอร์เฟคบนโลกนี้... เราทุกคนก็ “แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง” #ที่พยายามเรียนรู้วิธีรักและดูแลลูกให้ดีที่สุดในแบบของเรา

การเลี้ยงลูกเชิงบวก ไม่ใช่การเลี้ยงที่ไม่หลุด ไม่พลาด... ผิดๆ ถูกๆ เป็นเรื่องปกติมาก สำคัญคือ เราได้หันกลับมามองตาลูกและบอกกับเขา (และตัวเราเอง) ว่า “แม่จะพยายามเข้าใจหนูให้มากขึ้นและจะเรียนรู้ตลอดเวลา” ต่างหาก 🙂

ถ้าวันนี้คุณยังรู้สึกว่าตัวเองไม่เพอร์เฟค…นั่นแปลว่าคุณเป็นแม่ปกติที่กำลัง “เติบโต” ไปพร้อมกับลูก เหมือนแม่คนอื่นๆรวมทั้งตัวหมอด้วย

ให้รางวัลกับหัวใจของตัวเอง คาดหวังกับตัวเองตามจริง อย่าคาดเค้น รีดเนื้อรีดตัวจนไม่เหลือพลังใจเลย...

เพราะสิ่งที่ลูกต้องการ ไม่ใช่แม่เลี้ยงลูกเชิงบวกที่เครียดตลอดเวลา แต่คือแม่ที่ “อยู่ตรงนี้” กับลูก และพยายามเข้าใจลูกด้วยหัวใจของ “ความรัก” 🥰

"รักลูกที่สุดในโลก"
"รักแม่ที่สุดในโลก"

#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

ขอเชิญ ผู้ปกครองเด็กสมาธิสั้น เข้าร่วมงานวิจัย🔔“โครงการวิจัยผลของโปรแกรมการเลี้ยงบุตรอย่างมีสติแบบออนไลน์ต่อความเครียดขอ...
02/08/2025

ขอเชิญ ผู้ปกครองเด็กสมาธิสั้น เข้าร่วมงานวิจัย🔔

“โครงการวิจัยผลของโปรแกรมการเลี้ยงบุตรอย่างมีสติแบบออนไลน์ต่อความเครียดของผู้ปกครองเด็กสมาธิสั้น”

โดยทีมผู้วิจัย คือ ผศ.นพ. วัลลภ อัจสริยะสิงห์ อ.นพ.นที วีรวรรณ และ พญ.นันท์นภัส ผาสุข ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

📚โปรแกรมประกอบด้วยการอบรมทุกวันอังคาร หรือ พฤหัสบดี เวลา 20:00-21:30 น. ทุกสัปดาห์ จำนวน 4 ครั้ง

📺ทาง Zoom meeting และการฝึกสติวันละ 10 นาที

📝 คุณสมบัติผู้สมัคร:
- ผู้ปกครองของเด็กที่มีอายุ 6-12 ปี
- เด็กได้รับการวินิจฉัยโรคสมาธิสั้น
- โดยเป็นผู้ดูแลหลัก คือ ดูแลเด็กมานานอย่างน้อย 1 ปี และ ดูแลเด็กอย่างน้อย 4 วันต่อสัปดาห์
- เข้าใจภาษาไทย
- เข้าถึง internet และสามารถใช้ Line ได้

📍 สมัครง่ายๆ เพียงสแกน QR Code หรือกดลิงค์
https://forms.gle/hz2WYiNaiSUBxG8x9

📍 สอบถามเพิ่มเติม:
LINE OA: https://lin.ee/MyKJNjg
📞 0614397159 (พญ.นันท์นภัส)
(ติดต่อได้ทุกวัน เวลา 8.00 - 17.00 น.)
......
ทีมอาจารย์ศิริราชทั้งนั้นเลย มีประโยชน์แน่ๆค่ะ อ่านแล้วอยากเข้าโครงการฝึกสติกับอาจารย์บ้าง ณ สถานการณ์บ้านเมืองแบบนี้ 😅

ขอเชิญชวนผู้ปกครองเด็กสมาธิสั้นนะคะ 😊คุณได้ประโยชน์แน่ๆ

#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

จากคุณหมอเทอด หมอพัฒนาการเด็ก อ่านแล้วอยากส่งต่อให้ทุกๆท่าน เราจะเข้าใจเด็กๆและครอบครัวลึกซึ้งขึ้น ส่วนผู้ที่ทำงานด้านนี...
28/07/2025

จากคุณหมอเทอด หมอพัฒนาการเด็ก อ่านแล้วอยากส่งต่อให้ทุกๆท่าน เราจะเข้าใจเด็กๆและครอบครัวลึกซึ้งขึ้น ส่วนผู้ที่ทำงานด้านนี้ ก็จะได้ประโยชน์ค่ะ

บทบาททีมช่วยเหลือเด็กและครอบครัวในภาวะสงคราม
รศ.นพ.เทอดพงศ์ ทองศรีราช
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

บทนำ: เรื่องเล่าจากแนวชายแดน
แม้สักวันหนึ่งเสียงปืนจากเหตุปะทะไทย-กัมพูชาจะเริ่มเบาลง สิ่งที่ยังไม่เงียบเลยคือเสียงในใจที่เจือความกลัว ความสับสน จากเหตุการณ์และการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับเด็กและครอบครัวในพื้นที่ ผมได้รับทราบข่าวจากเครือข่ายที่ทำงานด้านเด็กในพื้นที่ว่า ผลกระทบทางอารมณ์และพฤติกรรม ของเด็กและครอบครัวนั้นลึกซึ้งกว่าที่ภาพข่าวสะท้อนออกมา และอาจกลายเป็นบาดแผลยาวนานในอนาคต หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

#สงครามไม่ว่าจบเร็วแค่ไหนผลต่อเด็กยาวเสมอ คือคำพูดของศาสตราจารย์ด้านการเลี้ยงดูเด็กที่พูดกับผมเมื่อหลายปีก่อน ตอนท่านชวนผมทำวิจัยเรื่อง Parenting in Times of War ซึ่งแม้ผมจะปฏิเสธในตอนนั้นเพราะไม่สะดวกและกังวลหากต้องไปเก็บวิจัยที่ซีเรียในช่วงนั้น แต่คำพูดนี้ก็ยังฝังอยู่ในใจ

ในวันนี้ เมื่อสถานการณ์ขัดแย้งเกิดขึ้นในประเทศของเราเอง และเด็กไทยกำลังเผชิญกับ การปะทะ ที่ไม่มีใครอยากเรียกว่าสงคราม แต่จากงานวิจัยเป็นที่แน่นอนว่าที่สิ่งกำลังเกิดขึ้นส่งผลกระทบแบบเดียวกับสงครามแน่นอน เป็นโอกาสดีที่ทางพี่กอบกาญจน์จากสหทัยมูลนิธิ และพี่เจ สุดใจ จากแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่านได้ขอให้ช่วยเหลือทางวิชาการในการเตรียมข้อมูลให้กับอาสาสมัครที่เตรียมลงพื้นที่ช่วยเหลือทำให้ต้องกลับมาทบทวนว่า เราควรช่วยเหลือเด็กและครอบครัวในสถานการณ์นี้อย่างไร

ความเปราะบางของพ่อแม่ = ความเสี่ยงของเด็ก

งานวิจัยวิเคราะห์อภิมานของ Eltanamly et al. (2021) ได้สรุปบทเรียนจากสงครามในหลายประเทศว่า การที่พ่อแม่และลูก "อยู่ร่วมกันในพื้นที่สงคราม" (co-exposure) ส่งผลให้พฤติกรรมการเลี้ยงดูเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน เช่น

🔶พ่อแม่อบอุ่นน้อยลง
🔶ใช้ความรุนแรงในการเลี้ยงดูมากขึ้น
🔶ขาดความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมลูกอย่างเหมาะสม

สิ่งเหล่านี้นำไปสู่ปัญหาทางสุขภาพจิตของเด็ก เช่น ความวิตกกังวล, ภาวะซึมเศร้า, ปัญหาพฤติกรรม, และ คุณภาพชีวิตที่ถดถอยแม้สถานการณ์ในอีสานใต้จะไม่ใช่ สงครามเต็มรูปแบบ แต่มีลักษณะของ การอยู่ในพื้นที่เสี่ยง (living under threat) และ การย้ายถิ่นแบบเร่งด่วน (displacement) ซึ่งตามงานวิจัยพบว่าให้ผลคล้ายกันในการเปลี่ยนพฤติกรรมของครอบครัว (Eltanamly et al., 2021; Slone & Mann, 2016)....
หลักฐานเชิงวิชาการ: #เด็กคือผู้ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงในภาวะสงคราม

บทความของ Bhutta et al. (2016) ที่ตีพิมพ์ใน The Lancet รายงานว่า“ครึ่งหนึ่งของผู้ลี้ภัยทั่วโลกคือเด็ก และเด็กที่อยู่ในพื้นที่สงครามหรือถูกอพยพจากพื้นที่เสี่ยง ล้วนเผชิญภาวะเครียดเรื้อรัง ซึมเศร้า ความรุนแรงทางกายและใจ และสูญเสียความรู้สึกปลอดภัย” บทความนี้ยังชี้ให้เห็นอีกว่า การให้ความช่วยเหลือด้านอาหารและที่พักเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอต่อการป้องกัน
ผลกระทบทางสุขภาพจิตระยะยาวของเด็ก

4 ระดับของการช่วยเหลือจิตสังคม: แนวทางจาก Jordans et al. (2016)
Jordans และคณะ ได้สังเคราะห์รูปแบบการช่วยเหลือเด็กในภาวะสงครามไว้ใน 4 ระดับ ซึ่งเรียงลำดับจากพื้นฐานที่สุดไปสู่ระดับเฉพาะทาง ซึ่งผมจะขอสื่อง่ายๆเป็นการช่วยเหลือเด็ก 4 ป. ดังนี้

ระดับที่ 1: Social considerations in basic services and security หรือสร้างความ “ปลอดภัย” ให้ครอบครัว เน้นการจัดหา ความปลอดภัย น้ำ อาหาร ที่พัก เป็นสิ่งที่ ต้องทำทันที แต่ไม่ควรหยุดอยู่แค่นั้น

ระดับที่ 2: Strengthening community and family supports หรือการ “ปลอบขวัญ” เด็กและครอบครัว เสริมพลังของชุมชน ครอบครัว ในพื้นที่ความขัดแย้งเพื่อทำให้เขาสามารถอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดนั้นได้อย่างมีสุขภาวะทางจิตที่ดีขึ้นระดับหนึ่ง ตัวอย่างเช่น สร้างพื้นที่เล่น พื้นที่อ่านนิทาน กิจกรรมสื่อสารในครอบครัว ตั้งกลุ่มให้พ่อแม่ได้มีโอกาสพูดคุยและช่วยเหลือกันและกัน

ระดับที่ 3: Focused non-specialised supports หรือการ “ป้องกัน” การเกิดปัญหาทางจิตใจในระยะยาว” ให้การช่วยเหลือสุขภาพจิตขั้นพื้นฐานโดยเจ้าหน้าที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญโดยตรงแต่ใกล้ชิด เช่น ครู อสม. โดยอาจมีการอบรมให้ความรู้พื้นฐานก่อนหากไม่มั่นใจ กิจกรรมเช่น การให้คำปรึกษาแบบกลุ่ม การอบรมพ่อแม่แบบ psychoeducation การปรับพฤติกรรมในห้องเรียน

ระดับที่ 4: Specialised services หรือการ “เปิดบริการ” ให้ผู้มีปัญหาทางจิตที่ต้องการการปรึกษาได้เข้าถึงได้ง่าย บริการสุขภาพจิตโดยผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยาสำหรับเด็ก หรือผู้เลี้ยงดูที่มีภาวะ PTSD หรือ ภาวะป่วยทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรง

บทความนี้จะเน้นการช่วยเหลือ ระดับที่ 2 และ 3 “ปลอบขวัญ” และ “ป้องกัน” ปัญาหาทางจิตใจของเด็กและครอบครัว ที่แม้ไม่ใช่การรักษา แต่กลับเป็น หัวใจของการป้องกันความเสียหายระยะยาวให้กับเด็กและครอบครัวได้

#ช่วยให้พ้นภัยต้องทำมากกว่าแค่ปลอดภัย
การให้เต็นท์ ที่นอน และอาหารแม้เป็นสิ่งที่จำเป็นในช่วงแรกแต่ไม่เพียงพอเพราะสิ่งที่เด็กต้องการมากกว่า “ที่อยู่” คือ “ที่พักพิงทางใจ” ซื่งพ่อแม่เป็นได้ในภาวะปกติแต่อาจหายไปในภาวะสงคราม ในฐานะนักวิชาการด้านการเลี้ยงดูเด็ก ผมจึงมีข้อเสนอในการทำงานช่วยเหลือในพื้นที่ชายแดนที่มีการปะทะในปัจจุบัน หรือพื้นที่ใดก็ตามที่เด็กถูกกระทบจากความไม่มั่นคง สั้นๆดังต่อใปนี้ สิ่งที่อย่างเน้นย้ำคือควรให้ความช่วยเหลือทำระดับที่ 1 ปลอดภัย และ 2 ปลอบขวัญ ควบคู่กันตั้งแต่ช่วงแรก

แนวทางปฏิบัติในภาคสนามสำหรับการช่วยเหลือเด็กและครอบครัวในช่วงแรก

ระดับ 1 สิ่งที่ควรทำ
จัดพื้นที่ปลอดภัย ตัวอย่าง ศูนย์พักพิง จุดแจกอาหาร

ระดับ 2 สิ่งที่ควรทำ
พื้นที่เล่านิทาน พื้นที่เล่น มุมหนังสือ มุมนิทาน
กลุ่มพ่อแม่พูดคุยกัน แชร์ประสบการณ์ และแบ่งปันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

ระดับ 2–3 สิ่งที่ควรทำ
สื่อสารอย่างปลอดภัย เช่น การอบรบพ่อแม่ผู้ปกครอง, การสื่อสาร การเล่น และปรับตัวกับลูกในภาวะสงคราม

ระดับ 3 สิ่งที่ควรทำ
อบรมจิตอาสาในพื้นที่ Mental health literacy....
10 ข้อควรรู้และและควรทำสำหรับทีม NGO เพื่อช่วยเหลือเด็กและครอบครัวในภาวะสงคราม

1. เข้าใจว่าพฤติกรรมการเลี้ยงดูเปลี่ยนไปในสงคราม และส่งผลต่อเด็กโดยตรง
พ่อแม่ที่เผชิญสงครามมักแสดงความรุนแรงมากขึ้นและอบอุ่นน้อยลง ซึ่งเป็นตัวกลางสำคัญที่เชื่อมโยงระหว่างสงครามกับปัญหาทางจิตใจในเด็ก เช่น PTSD ซึมเศร้า และพฤติกรรมเกเร

แนวทาง: ทีมดูแลเด็กสามารถอบรมผู้เลี้ยงดูให้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเอง และแนวทางจัดการได้

2. ประเภทของภัยสงครามส่งผลต่อรูปแบบการเลี้ยงดูต่างกัน
การอยู่ในพื้นที่เสี่ยง (เช่น อยู่ในเมืองที่อาจถูกยิงหรือ ระเบิดตกใส่) มักนำไปสู่การเลี้ยงดูแบบ overprotective ส่วนการพลัดถิ่นหรือขาดรัฐคุ้มครอง มักพบความรุนแรงและไม่เอาใจใส่เด็กเพิ่มขึ้น

แนวทาง: ทีมดูแลเด็กควรประเมินบริบทภัยสงครามของครอบครัว และออกแบบกิจกรรมให้เหมาะสมตามบริบท

3. เสริมสร้างความเชื่อมั่นในบทบาทพ่อแม่ (Parental Self-Efficacy)
พ่อแม่ที่รู้สึกไร้พลังหรือหมดหวังมักมีแนวโน้มใช้วิธีเลี้ยงดูที่รุนแรงหรือเพิกเฉยการต่อเด็ก

แนวทาง: จัดกิจกรรมกลุ่มหรือให้คำปรึกษาเพื่อฟื้นฟูความมั่นใจของพ่อแม่

4. ส่งเสริมความอบอุ่นในครอบครัว (Parental Warmth)
ความอบอุ่นจากพ่อแม่เป็นปัจจัยปกป้องเด็กจากภาวะเครียด วิตก ซึมเศร้า แม้ในภาวะสงคราม

แนวทาง: สร้างกิจกรรมให้พ่อแม่ได้ใช้เวลากับลูก เช่น เล่น อ่านหนังสือ ร่วมกัน

5. ลดความรุนแรงทางวาจาและร่างกายในบ้าน
การลงโทษรุนแรงส่งผลให้เด็กเรียนรู้พฤติกรรมก้าวร้าว และลดความรู้สึกปลอดภัยในบ้าน

แนวทาง: สอนเทคนิค positive discipline และ emotion regulation แก่พ่อแม่แบบสั้นๆ เหมาะกับบริบท

6. ฟื้นฟูบทบาทของบ้านให้เป็น 'พื้นที่ปลอดภัย'
เด็กที่รู้สึกปลอดภัยทางจิตใจจากครอบครัวมีแนวโน้มฟื้นตัวจากสงครามได้ดีขึ้น

แนวทาง: ช่วยเหลือสนับสนุนพ่อแม่ให้เป็นแหล่งพึ่งพิงทางใจของเด็กโดยการพูดคุยเรื่องการสื่อสาร และการทำความเข้าใจเด็กตามพัฒนาการแต่ละช่วงวัย

7. ป้องกันการตัดขาดจากการศึกษาและพัฒนา
เด็กที่ขาดโอกาสเรียนหรือเล่นจะมีพัฒนาการถดถอยและรู้สึกหมดคุณค่า

แนวทาง: สร้างศูนย์เรียนรู้ชั่วคราว พื้นที่เล่นปลอดภัย หรือกิจกรรมเสริมทักษะในศูนย์พักพิง

8. ให้ความช่วยเหลือเชิงจิตสังคมแก่พ่อแม่และเด็ก
การมีปัญหาสุขภาพจิตของพ่อแม่สัมพันธ์กับการเลี้ยงดูที่ไม่ตอบสนอง ซึ่งส่งผลต่อเด็ก

แนวทาง: คัดกรองภาวะเครียดหรือ PTSD และเชื่อมโยงกับหน่วยงานสนับสนุนทางสุขภาพจิต

9. สร้างระบบสนับสนุนจากชุมชน
พ่อแม่ที่มีเครือข่ายหรือกลุ่มสนับสนุนจะมีสุขภาพจิตและความสามารถในการดูแลลูกดีขึ้น

แนวทาง: ตั้ง peer group หรือกลุ่มพ่อแม่แบ่งปันประสบการณ์และการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

10. อย่าลืมมองเด็กในฐานะ "ผู้รอดชีวิต" ไม่ใช่ "เหยื่อ"
การส่งเสริมความยืดหยุ่น (resilience) และความสามารถในการฟื้นตัวจะช่วยให้เด็กไม่ติดอยู่กับความทรงจำที่เลวร้าย

แนวทาง: ออกแบบกิจกรรมที่สร้างพลังบวก เช่น กลุ่มนิทานเล่าประสบการณ์ผ่านวีรบุรุษในชีวิตจริง แต่ควรระวังในรายที่อาจมีภาวะ PTSD

สรุป
การเยียวยาเด็กในภาวะสงคราม ไม่ใช่แค่เรื่องของข้าว น้ำ และยารักษาโรค แต่คือการรักษาหัวใจของมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่ยังไม่ทันได้เข้าใจโลก แต่กลับถูกทำให้เจ็บปวดจากสิ่งที่เขาไม่ได้ก่อ อย่ารอให้เด็กมี “อาการ” จงเริ่ม “ดูแล ฟื้นฟู” สร้างความสัมพันธ์ที่ปลอดภัยและอ่อนโยน ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของเหตุการณ์ได้ดีที่สุดครับ

เอกสารอ้างอิง
1. Bhutta, Z. A., Keenan, W. J., & Bennett, S. (2016). Children of war: Urgent action is needed to save a generation. The Lancet, 388(10051), 1275–1276. https://doi.org/10.1016/S0140-6736(16)31577-X
2. Eltanamly, H., Leijten, P., Jak, S., & Overbeek, G. (2021). Parenting in times of war: A meta-analysis and qualitative synthesis of war exposure, parenting, and child adjustment. Trauma, Violence, & Abuse, 22(1), 147–160. https://doi.org/10.1177/1524838019833001
3. Jordans, M. J., Pigott, H., & Tol, W. A. (2016). Interventions for children affected by armed conflict: A systematic review of mental health and psychosocial support in low and middle-income countries. Current Psychiatry Reports, 18(1), 9. https://doi.org/10.1007/s11920-015-0648-z
4. Jones, T. L., & Prinz, R. J. (2005). Potential roles of parental self-efficacy in parent and child adjustment: A review. Clinical Psychology Review, 25(3), 341–363. https://doi.org/10.1016/j.cpr.2004.12.004
5. Samuelson, K. W., Wilson, C., Padrón, E., Lee, S., & Gavron, L. (2016). Maternal PTSD and children’s adjustment: Parenting stress and emotional availability as proposed mediators. Journal of Clinical Psychology, 73(6), 693–706. https://doi.org/10.1002/jclp.22369
6. Silove, D., Sinnerbrink, I., Field, A., Manicavasagar, V., & Steel, Z. (1997). Anxiety, depression and PTSD in asylum-seekers: Associations with pre-migration trauma and post-migration stressors. British Journal of Psychiatry, 170(4), 351–357. https://doi.org/10.1192/bjp.170.4.351
7. Slone, M., & Mann, S. (2016). Effects of war, terrorism and armed conflict on young children: A systematic review. Child Psychiatry & Human Development, 47(6), 950–965. https://doi.org/10.1007/s10578-016-0626-7

เป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้
#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

หมอขอบคุณทุกท่านที่เข้าร่วมสัมมนาวันอาทิตย์ที่ผ่านมานะคะ คิดว่าผู้ปกครองทุกท่านคงได้ทั้งความรู้แน่นๆพร้อมกับความสนุกสนาน...
23/07/2025

หมอขอบคุณทุกท่านที่เข้าร่วมสัมมนาวันอาทิตย์ที่ผ่านมานะคะ คิดว่าผู้ปกครองทุกท่านคงได้ทั้งความรู้แน่นๆพร้อมกับความสนุกสนาน (หลายท่าน ตีบทแตกมากกก 🤣 🤣 ...

วันนี้ขอสรุปเป็น Key Summary อีกที ดังนี้นะคะ (แฟนเพจก็สามารถรียนรู้จากบทสรุปนี้ได้ค่า)

เป้าหมายการสื่อสารกับลูกในสัมมนาครั้งนี้คือ: ให้ได้ใจลูก (เก็บแต้มบ่อยๆ ไม่ต้องรอมีปัญหา) และเด็ดขาดโดยไม่คุกคามให้เป็น

1. 🫶 ช้อนรับลูกให้เป็น ด้วย 3 รูปแบบ

A. Appreciate – ชื่นชมอย่างมีคุณภาพ

ชื่นชมทั้ง “ความสามารถ” และ “คุณลักษณะที่ดี” และ 3 องค์ประกอบที่ต้องมี

🔹บอก “ความรู้สึกของเรา”
🔹 บรรยาย “สิ่งที่ลูกทำ”
🔹 ระบุ “คุณลักษณะที่ดี”

B. Validate – ยืนยันว่า "สิ่งที่ลูกคิด รู้สึก กระทำทำ" เป็นจริงในบริบทของลูก

สื่อสารให้ลูกรู้ว่า “พ่อแม่เข้าใจ ไม่ตัดสิน มี 3 ระดับ

1. ภาษากาย (พยักหน้า สบตา เสียง “อืม โอ้”ฯ)
2. สะท้อนคำพูดลูก, พูดทวน, พูดตาม
3. ตีความสิ่งที่ลูกไม่ได้พูดออกมา (แต่เราสังเกตได้)

C. Feeling Talk – เชื่อมใจลูกผ่านอารมณ์

🔹 สะท้อน “อารมณ์ + เหตุผลของอารมณ์นั้น”
🔹 ใช้คำว่า “แม่เห็นว่า...”, “ลูกคงรู้สึก... เพราะ...”
🔹 อย่าถามความรู้สึกอย่างเดียว ต้องอ่านและเข้าใจลูกด้วย
---

2. 💬 สูตรการสื่อสาร: เล่า (อธิบาย) → ถาม → ช้อนรับ

🔹 อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นหรือกติกา → ถามความเข้าใจ → ใช้ช้อนรับลูก (ชม/validate/feeling talk)
---

3. 🧭 วางกติกาและสื่อสารกันก่อน (หลีกเลี่ยงคุยหน้างาน) เมื่อต้องเด็ดขาดก็ต้องเด็ดขาดแบบไม่คุกคาม

🔹 ย้ำกติกาชัดเจน → ให้ลูกทวนกลับ → รับปากกันไว้ล่วงหน้า
เช่น “ลูกใช้มือถือได้ 6 โมง – 1 ทุ่ม ถ้าปิดตรงเวลา พรุ่งนี้ดูได้ต่อ ถ้าเลย พรุ่งนี้อด”
และให้ลูกเสนอความคิดเห็น รับฟัง ช้อนรับ และหาข้อตกลงร่วม

🔹 เมื่อลูกทำผิดกติกา → ให้ผลลัพธ์ตามข้อตกลง ไม่ใช้อารมณ์

แยกให้ออกว่า เราตั้งกติกาหรือตั้งตัวล่อ/ตัวขู่ ให้ถามใจตัวเอง....
กติกาที่แท้จริง ต้องมีที่ลูกทำไม่ได้ ไม่ใช่ทำได้ทุกครั้ง
---

4. 🧘‍♀️ก่อนจะพูดกับลูก จงกลับมาที่ “ใจของเรา”

“การสื่อสารที่มีพลัง เริ่มจากใจที่นิ่ง เข้าใจ และไม่ตัดสิน”

🔹 ถ้าเราสื่อสารด้วยใจที่ว้าวุ่น/ไม่ฟังจริง ลูกจะ “รับแค่คำพูด” แต่ “ไม่รับรู้ถึงใจ”
🔹 อย่าลืมว่า การสื่อสารที่เปลี่ยนลูกได้ เริ่มที่ใจเรา ไม่ใช่คำพูดสวยหรู
---

ฝาก Check-list ที่ผู้เรียนควรทบทวนเอง ตอนอยู่บ้าน:

ฉันชื่นชมลูกอย่างมีคุณภาพหรือยัง (3 องค์ประกอบครบไหม?)
วันนี้ฉัน Validate ลูกอย่างน้อย 1 ครั้งหรือยัง?
ฉันสื่อสารกับลูกโดยเริ่มจากใจที่สงบหรือเปล่า?
ฉันมีจังหวะที่ได้ฟังความรู้สึกลูกจริงๆ หรือยัง?
ฉันวางกติกาชัดเจน ที่ไม่ใช่ขู่/ล่อ หรือเปล่า?
ฉันสามารถเด็ดขาด ไม่ใจอ่อนและไม่ใช้อารมณ์ ใช่มั๊ย?
หวังว่า ยังไม่ลืมนะคะ😅...
คลาสต่อไปวันที่14 กันยานี้ : คลาส 102 “เป็นพื้นที่ปลอดภัย ให้ลูกคุยได้ทุกเรื่อง” ฝึกพ่อแม่สร้างสะพานเชื่อมต่อไปยังความรู้สึกลูก เมื่อลูกสัมผัสได้ถึงความเข้าใจและความมั่นคงทางใจของพ่อแม่ ลูกจะตัดสินใจข้ามสะพานเส้นนี้มาหาคุณพ่อคุณแม่เอง จริงๆค่ะ

“เมื่อใดที่คุณเปลี่ยน ลูกจะเปลี่ยนตาม” quoteจากหนังสือ “ปราบลูกดื้อฯ ด้วยเทคนิคเชิงบวก” หมอเสาวภา

สนใจลงเรียน แอดไลน์ https://lin.ee/V2QiLd8B

#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

“เด็กดื้อ”ทันทั่นวัย 5 ปีไม่ตั้งใจฟังคุณครู เล่นเสียงดังในห้องเรียนทำให้เพื่อนๆไม่ได้ยินนิทานที่ครูเล่า...เมื่อกลับมาอยู...
13/07/2025

“เด็กดื้อ”

ทันทั่นวัย 5 ปีไม่ตั้งใจฟังคุณครู เล่นเสียงดังในห้องเรียนทำให้เพื่อนๆไม่ได้ยินนิทานที่ครูเล่า...เมื่อกลับมาอยู่บ้าน ทันทั่นมักซน เล่น จนข้าวของเสียหาย พูดไม่ฟัง ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ก็เริ่มทนไม่ไหวกับความดื้อของทันทั่น

ไม่ว่าอยู่ที่โรงเรียนหรืออยู่บ้าน ทันทั่นมักโดนดุว่าเป็น “เด็กดื้อ”

หลายๆครั้งที่ทันทั่นโกรธจนตัวสั่นเมื่อได้ยินคำนี้ แม้แต่เพื่อนๆก็เคยโดนเตะ เพราะไปพูดใส่หน้าว่า “ทันทั่นเด็กดื้อ”

“เด็กดื้อ” เป็นคำที่มีผลกระทบต่อตัวตน ความรู้สึกมีคุณค่า (self esteem) ของเด็กมาก ทำให้เด็กไม่รู้สึกถึงศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง แต่กลับรู้สึกกว่า “ถูกตีตรา” เปลี่ยนแปลงไม่ได้

หากเราอยากให้เด็กเปลี่ยนแปลง แก้ไขตนเอง ก็ควร #ตำหนิเฉพาะพฤติกรรมที่เป็นปัญหา เพื่อความชัดเจนในการแก้ไข เช่น “ป้อมส่งเสียงดัง รบกวนคนอื่นแบบนี้ เพื่อนๆจะไม่ได้ยินเสียงคุณครู”

เมื่อตำหนิพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมให้ป้อมรู้แล้ว ก็ #ต้องสอนวิธีแก้ปัญหาด้วย เช่น “ทันทั่นอยากเล่นรถบรื๋นๆ ต้องเล่นตอนเวลาพักนะครับ” หรือ กระตุ้นให้เด็กคิดแก้ปัญหาเองก็ได้ เช่น “ทันทั่นคิดว่าเล่นรถดังๆแบบนี้ ควรเล่นที่ไหน? และตอนไหน?"

การระบุพฤติกรรมที่เป็นปัญหาพร้อมสอนการแก้ไข ทำให้เด็กเห็นภาพชัดเจนว่าตนเองต้องเปลี่ยนแปลงอะไร ดีกว่าคำ “เด็กดื้อ” ซึ่งเป็นคำเหมารวมนิสัยที่ไม่ดี ไม่ชัดเจนว่า “ฉันต้องเปลี่ยนแปลงอะไร”

หมอมักถามเด็กทุกคนที่บอกว่าตนเองเป็นเด็กดื้อว่า “ดื้อคืออะไรคะ” หรือ “หนูทำอะไร ถึงมีคนพูดคำนี้กับหนู” เด็กประมาณครึ่งหนึ่ง เงียบ ดูงง เหมือนหาคำตอบชัดเจนในสมองไม่ได้

เด็กอีกครึ่งพยายามคิด และใช้เวลานานกว่าจะนึกออกและตอบว่า “ไม่เชื่อฟังพ่อแม่” หรือ “ไม่เชื่อฟังครู”

ครั้นหมอถามต่อว่า “แล้วต้องเชื่อฟังเรื่องอะไรล่ะ” หรือ “ครู/พ่อแม่อยากให้เราทำอะไรหรือ?” พอเจอคำถามลงรายละเอียดที่เขาควรปรับปรุง... ส่วนใหญ่ตอบไม่ได้!!!

ทั้งๆที่ นี่คือสิ่งที่เราต้องการให้เด็กเปลี่ยนแปลง แต่เด็กกลับไม่รู้ชัด!😢

หากสมองเด็กจับภาพของความไม่ดี ความเป็นเด็กดื้อชัดเจน แต่ไม่ชัดเจนว่าต้องทำอะไรแทน โอกาสที่เด็กจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตนเองก็คงยาก....

หมอหวังว่า ผู้ใหญ่ที่ปรารถนาให้เด็กมีพฤติกรรมที่ดี ลอง #งดใช้คำตีตราเด็ก แล้วหันมา #ใช้คำพูดที่ระบุเฉพาะพฤติกรรมที่เป็นปัญหาพร้อมสอนสิ่งที่ควรทำแทน นะคะ 😊

สมองเด็กจะได้จดจำสิ่งที่ควรทำ แทนคำพูดตีตราที่มีแต่ลดคุณค่าในตัวเองลง....

ระลึกไว้ว่า “เมื่อใดที่คุณเปลี่ยน ลูกจะเปลี่ยนตาม” (quote จากหนังสือปราบลูกดื้อฯ รวมเทคนิคเชิงบวก)

เหลือ 2 ที่นั่ง คลาส “สื่อสารให้เป็น หนักแน่นให้ได้” เรียน 20 กรกฎาคมนี้ที่โรงแรมจัสมิน ราคา 9,500 บาทต่อท่าน มา 2ท่าน ลด 5% , มา 4 ท่าน ลด 10 % ลงทะเบียนเรียนแอดไลน์ https://lin.ee/IT43gvK (หมอเสาวภา-คลาสเรียนพ่อแม่)

ใครติดเรื่องทุนทรัพย์ไลน์เข้ามา และตอบคำถามนี้ "คุณจะนำสิ่งที่เรียนไป นอกจากเพื่อครอบครัวแล้ว คุณจะนำไปช่วยชุมชนหรือสังคมอย่างไร" มีผู้ได้รับทุนหลายท่านแล้ว 🙂 เชิญชวนค่ะ

#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

งานวิจัยใน10 ปีหลัง พบว่า “ไม่ว่าคนเราจะอายุเท่าไรก็ตาม สมองสามารถเปลี่ยนแปลงได้” ยิ่งเราใช้งานบ่อย ก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงดี ...
11/07/2025

งานวิจัยใน10 ปีหลัง พบว่า “ไม่ว่าคนเราจะอายุเท่าไรก็ตาม สมองสามารถเปลี่ยนแปลงได้” ยิ่งเราใช้งานบ่อย ก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงดี ไม่ใช่เปลี่ยนแค่ระดับสารเคมี แต่เปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างเลยค่ะ 😍

นั่นก็หมายความว่า อะไรที่เราทำไม่เป็น ถ้าเราฝึกฝนบ่อยๆๆๆๆ สุดท้ายเราจะทำเป็น และกลายเป็นนิสัยประจำตัว!!

ทักษะสมอง EF เป็นตัวอย่างหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนฝึกฝนได้ แต่ความยากของผู้ใหญ่ก็คือ การไม่ฝึกสม่ำเสมอและสมองก็มีความเคยชินในรูปแบบเดิมอยู่

ซึ่งแตกต่างจากเด็กๆ ที่สมองยังไม่เคยชินกับนิสัยต่างๆ พ่อแม่สามารถฝึกฝนโดยใส่ของดีเข้าไปในสมองลูก ยิ่งลูกฝึกบ่อย สมองก็จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ทักษะสมอง EF ก็จะกลายเป็นนิสัยประจำตัวลูกได้เลย 😃

งานวิจัยขนม Marshmallow ของ Walter Mischel เป็นงานวิจัยที่มีมานานแล้ว ถือเป็นงานวิจัยคลาสสิกที่คนรุ่นใหม่มักนำไปทำซ้ำ ตอนนั้นเขามีเป้าหมายในการดูทักษะ EF ของเด็ก

แต่สมัยนั้นยังไม่มีการพูดถึง EF เขาใช้คำว่า delay gratification แทน แปลว่าความสามารถในการหน่วงเวลาพึงพอใจของเด็ก (ซึ่งก็คือสมอง EFแหละค่ะ)

เขาอยากรู้ว่า เด็กที่รอกินขนมได้ กับเด็กที่รอไม่ได้ ในอนาคตจะเป็นอย่างไร งานวิจัยสรุปผลออกมาแบบนี้ เด็กที่สามารถอดทนรอคอยได้ จะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าเด็กที่ไม่อดทนรอ

ในภาพ เป็นงานวิจัยของนักวิจัยรุ่นใหม่ที่ทำคล้ายๆแบบเดิม เขาตั้งกติกากับเด็กว่า “ถ้าหนูอดทน นั่งรอจนกว่าผู้วิจัยกลับมา หนูจะได้ขนม 2 ชิ้น แต่ถ้าหนูไม่อยากรอ ให้กดกระดิ่งแล้วนักวิจัยจะกลับเข้ามา แต่จะได้กินแค่ 1 ชิ้น” (ครั้งนี้เขาบันทึกพฤติกรรมเด็กระหว่างรอเอาไว้ด้วย)

แน่นอนค่ะ... มีทั้งเด็กที่รอไม่ได้ และเด็กที่รอได้ เด็กที่รอได้ สมอง EF ทำงานอย่างไร?
ทักษะสมองEF เกี่ยวกับความสามารถ 3 สิ่งนี้

1 Inhibitory control
🔹เด็กต้อง “ยับยั้งตนเอง” (Inhibitory control) ไม่หยิบขนมที่อยู่ตรงหน้าให้ได้ แม้ว่าผู้ดูแลจะไม่นั่งอยู่ด้วย

ในการควบคุมนี้ เด็กต้องต่อสู้กับความอยากของตนเอง ทั้งอยากกินขนมและอยากกดกระดิ่ง บางทีเราเรียกว่า response inhibition คือเหยียบเบรค ความอยากเอาไว้ให้อยู่

2 Working memory
🔹เด็กจะต้องจดจำกติกาที่ผู้วิจัยบอก และดึงออกมาเตือนตนเองเป็นระยะๆระหว่างที่อดทนรอ เราเรียกว่า “ความจำใช้งาน” (Working memory)

เด็กที่รอไม่ได้ หยิบกินขนมไปก่อน ในระบบความจำนั้นเด็กจำได้ค่ะว่ากติกาคืออะไร เพราะเมื่อจบการวิจัย เด็กก็ตอบได้ว่ากติกาคืออะไร แต่ปัญหาที่แท้จริง คือ #ความจำใช้งานไม่ดี เด็กจำกติกาได้ แต่จำมาใช้งานไม่ได้ แต่นั่นก็เพราะ #ตัวเบรคไม่ดี

ตรงนี้ก็เหมือนลูกๆเราที่เมื่อถามย้อนกลับ เด็กก็ตอบได้ว่า ไม่ควรทำอะไร แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ เด็กก็ทำผิดซ้ำ 😟

ดังนั้น การสอนซ้ำๆ อาจไม่ช่วยให้ลูกดีขึ้น สิ่งที่ควรทำมากกว่าคือ #ฝึกตัวเบรคลูกให้รู้จักทำงาน วิธีการก็คือ #พ่อแม่พูดจริงทำจริง ตัวอย่าง หลังจากตกลงเวลากับลูกแล้วว่าดูการ์ตูนกี่นาที เมื่อครบเวลา (เราอาจยืดหยุ่นให้) แต่เมื่อครบเวลาจากการยืดหยุ่นแล้ว ก็ต้องถึงจุดสิ้นสุดที่ลูกต้องปิดการ์ตูน พ่อแม่ควรออก #กติกาโฟกัสตัวเบรค (ปิดการ์ตูน) ..."ตอนนี้ต้องปิดการ์ตูนแล้วค่ะ ลูกจะปิดเอง หรือ ให้แม่ปิด" (ท่องไว้ในใจ กติกาโฟกัสตัวเบรค ที่เราทำได้จริง ไม่ใช่ ถ้าไม่ปิดตอนนี้ ลูกจะไม่ได้ดูอีกเลย อันนี้ เราทำไม่ได้เนอะ😅 ภาษาหมอเรียกว่า ขู่ 😂 ลูกไม่ได้ฝึกสมอง EF แต่ไปใช้สมองกลัวทำงานแทน มันไม่ใช่วินัยเชิงบวก😅มีผลเสียต่อสุขภาพจิต จะกลายเป็นเด็กขี้กังวล)

ต่อค่ะ... หากลูกไม่สนใจกติกาตัวเลือก เราก็ ต้อง ปิด เลย (พ่อแม่พูดจริงทำ) ... ทำด้วยความหนักแน่นแบบไม่โกรธ (Kind but firm) ..... การปิดแทนลูก คือภาพที่กระทุ้งตัวเบรคในสมองลูก ครั้งหน้า กติกาโฟกัสตัวเบรค “ลูกจะปิดเอง หรือ ให้แม่ปิด” ตัวเบรคลูกจะทำงาน ลูกจะเลือกปิดเอง แน่นอนค่ะ 😊
….

มาต่อที่งานวิจัย.... ผู้วิจัยสังเกตพฤติกรรมของเด็กๆที่รอได้ พบว่า เด็กส่วนใหญ่ใช้วิธีเบี่ยงเบนตนเองออกไปจากการจ้องมองขนม บางคนร้องเพลง บางคนเอากติกามาร้องเป็นเพลงดังๆ “กินตอนนี้ได้แค่ 1 อดทนรอได้ถึง 2” บางคนเล่นสมมติว่ากำลังกินขนมอยู่

พฤติกรรมเหล่านี้คือ ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กๆ ไม่ให้หมกหมุ่นกับขนม... สุดยอดเลยนะคะ! (พวกเราไม่ควรสงสารลูกมากไป นอกจากลูกไม่ได้ใช้สมองแล้ว เรายังอดเห็นความคิดสร้างสรรค์ของลูกด้วย)

3 Cognitive flexibility
🔹ยืดหยุ่นในวิธีแก้ปัญหา หมายถึง เด็กสามารถจัดลำดับความสำคัญได้ว่า อะไรควรทำก่อนหลัง เด็กไม่ยึดติดว่า ต้องทำแบบนี้เสมอไปโดยไม่ดูว่าอะไควรทำก่อน เช่น เด็กไม่ควรเล่นเกมก่อน แล้วทำการบ้านตอน2ทุ่ม, หรือไม่ควรกินขนมก่อนกินข้าว

ขออธิบายแบบนี้ค่ะ ในงานวิจัยนี้เด็กได้เรียนรู้ไปแล้วว่า อะไรสำคัญอันดับหนึ่ง นั่นก็คือ "ความอดทนรอ" ดีกว่า ความอดทนน้อยหรือไม่อดทน (เพราะได้ขนมเพิ่มมา 2 ชิ้น)

ก็เหมือนกับบ้านที่ออกกติกา "กินข้าวหมดก่อน ถึงจะกินขนมนะคะ" และพ่อแม่ก็ทำให้เกิดขึ้นจริงๆได้ ตรงนี้ พ่อแม่ได้ฝึกทักษะสมองEFลูกแล้ว และลูกยังรับรู้ว่า กินข้าวหมด คือ สำคัญอันดับหนึ่ง ส่วนขนม สำคัญอันดับสอง

แล้วเกี่ยวยังไงกับ ยืดหยุ่นในวิธีแก้ปัญหา Cognitive flexibility อธิบายแบบนี้ค่ะ หากวันไหน เราทำไม่ได้ เช่น อากงให้ขนมมากินก่อนกินข้าว แล้วเราบอกลูกว่า กินขนมแค่ครึ่งหนึ่งนะคะ หนูจะได้กินข้าวลง... ด้วยสมองของลูกที่เคยถูกโปรแกรมมาแล้วว่า ข้าวสำคัญอันดับหนึ่ง ขนมอันดับสอง ลูกก็จะยืดหยุ่นได้ คือ กินขนมก่อน แต่กินนิดนึง เพื่อจะกินข้าวให้หมด...ไม่ใช่ว่า ไม่ยอมเด็ดขาด... หรือใช้เหตุการณ์กินขนมก่อน มาอ้างตอนอยู่กับพ่อแม่... แบบนี้ เป็นเพราะสมองลูกไม่เคยเรียงลำดับว่าอะไรสำคัญก่อน หลัง

แต่จะเป็นแบบนี้ได้ สมองลูกต้องถูกโปรแกรมมาแล้วเท่านั้น ไม่ใช่ ถูกล่อให้กิน กินไปเล่นไป กินไปเดินไป พ่อแม่ไม่ได้ฝึกทักษะสมองEFลูก เข้าใจผิดว่า ทำยังไงก็ได้ให้อาหารลงท้องลูก... หากคิดเท่านี้ ยิ่งโต ยิ่งเลี้ยงยากค่ะ... สู้คิดให้ลึก คิดถึงการฝึกสมองลูกให้ทำงานเป็น ลูกจะได้เบรคเป็น จัดลำดับความสำคัญเป็น ... เหนื่อยช่วงแรก ระยะยาวสบาย ถึงโตก็เลี้ยงไม่ยากค่ะ

อ้อ..ลืมบอกว่า งานวิจัย Marshmallow Test ของ Walter Mischel เขาตามยาวไปจนโตเป็นผู้ใหญ่ พบว่า เด็กกลุ่มที่รอคอยได้ ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและการศึกษามากกว่า, มีทักษะด้านอารมณ์และการควบคุมตนเองดีกว่า, ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลดีกว่า → มีเพื่อน มีความมั่นใจ

ส่วนเด็กที่รอไม่ได้ มีแนวโน้ม หุนหันพลันแล่น (impulsive), มีปัญหา ควบคุมอารมณ์ และพฤติกรรม, คะแนนสอบต่ำกว่า มีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตและพฤติกรรมเสี่ยงในวัยรุ่น 😭

ในเมื่อทุกๆวันก็ต้องสร้างวินัยให้ลูกอยู่แล้ว ทำเพิ่มอีกนิด ฝึกทักษะสมองEF ไปเลย คุ้มค่าต่อชีวิตลูกในระยะยาวค่ะ

#วินัยเชิงบวกคือเรื่องของทักษะสมองEF ไม่ใช่แค่อาบน้ำเสร็จ การบ้านเสร็จ ข้าวลงท้องเท่านั้น

เหลือ 4 ที่นั่ง คลาส “สื่อสารให้เป็น หนักแน่นให้ได้” เรียน 20 กรกฎาคมนี้ที่โรงแรมจัสมิน ราคา 9,500 บาทต่อท่าน มา 2ท่าน ลด 5% , มา 4 ท่าน ลด 10 % ลงทะเบียนเรียนแอดไลน์ https://lin.ee/IT43gvK (หมอเสาวภา-คลาสเรียนพ่อแม่)

ใครติดเรื่องทุนทรัพย์ไลน์เข้ามา และตอบคำถามนี้ "คุณจะนำสิ่งที่เรียนไป นอกจากเพื่อครอบครัวแล้ว คุณจะนำไปช่วยชุมชนหรือสังคมอย่างไร" มีผู้ได้รับทุนหลายท่านแล้ว 🙂 เชิญชวนค่ะ

#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

“แม่ก็ให้เขาทุกอย่าง ทำไมเป็นแบบนี้”คุณแม่มีลูกสาวคนเดียว ตอนนี้เป็นวัยรุ่นอยู่มัธยม 3 แล้ว เลี้ยงลูกมาไม่เคยมีปัญหาอะไร...
08/07/2025

“แม่ก็ให้เขาทุกอย่าง ทำไมเป็นแบบนี้”

คุณแม่มีลูกสาวคนเดียว ตอนนี้เป็นวัยรุ่นอยู่มัธยม 3 แล้ว เลี้ยงลูกมาไม่เคยมีปัญหาอะไรหนักใจ ลูกก็เชื่อฟังดี อยู่โรงเรียนก็ไม่มีอะไร แม่กับพ่อก็รับมือเรื่องดื้อของลูกมาได้จนปัจจุบัน....

จนวันหนึ่ง....แม่พบว่าลูกแอบมีแฟน...แม่เคยลงโทษยึดโทรศัพท์เพราะลูกนอนดึกมาก แม่เคยสั่งสอนลูกว่า ยังไม่ใช่วัยที่จะมีแฟน....แต่ตอนนี้....สถานการณ์ไปไกล แม่ไม่แน่ใจว่า เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรและไกลแค่ไหน...เห็นข้อความในโทรศัพท์ของลูก พูดถึงเรื่องจูบ...และการจับหน้าอก 😨

แม่เริ่มตระหนักว่า ลูกไม่ฟังคำสอนแม่เลย 😭.... ที่น่าเจ็บปวดใจที่สุด ในข้อความพูดถึงความน่าเบื่อของพ่อแม่ที่บ้าน...คำบ่น คำสอน คำห้าม และลูกบอกว่า.....ไม่อยากกลับบ้าน อยากไปหาแฟน...

หัวใจของคนเป็นพ่อแม่ คงร้าวรานไม่เป็นชิ้นดี 😭

สิ่งที่วนเวียนอยู่ในสมองของเราก็คือ ให้ลูกทุกอย่าง ทำไมลูกถึงเป็นแบบนี้.....

บางทีทุกอย่างที่เราให้ อาจไม่ตอบสนอง “ความรู้สึกมีคุณค่า” ที่ลูกควรได้, ต้องได้ตั้งแต่เล็กจนถึงปัจจุบัน ...ที่เราให้อาจเพียงตอบสนองความต้องการพื้นฐาน กับความอยากมี,อยากได้ของลูก ซึ่งลูกต้องการมากขึ้นตามกระแสสังคม ก็เป็นได้...

อันที่จริง ตัวลูกเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่า หนูต้องการอะไรจากพ่อแม่ ลูกให้คำตอบนี้ไม่ได้...

พ่อแม่ต่างหาก จะต้องตระหนักรู้ความจริงข้อนี้เอง

เด็กเติบโตและเปลี่ยนแปลงตามวัย วิธีเลี้ยงที่มีแต่ สั่ง และ สอน ทั้งการห้าม, ขู่, บ่น, ด่า, ประชด และใช้อารมณ์ เพื่อให้ลูกเชื่อฟังนั้น เอาพฤติกรรมลูกอยู่แค่เพียงวัยเด็ก แต่สำหรับวัยรุ่น ไม่มีทางเวิร์ค !! ..ซ้ำร้าย วิธีการเหล่านี้ยังทำลายความรู้สึกมีคุณค่าของลูกยาวนาน ตลอดระยะเวลาการเติบโตด้วย 😨

เมื่อลูกเข้าวัยรุ่น สมองจะสั่งให้ค้นหาเอกลักษณ์ตนเอง ไม่ว่าเพื่อน, ดารา, นักร้องฯ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการค้นหาตนเอง และวัยรุ่นจะอิงกับพ่อแม่ลดลง....

หากคุณยังเลี้ยงลูกวัยรุ่นด้วยวิธีเดิม หากเขาไม่ชนตรงๆให้ระเบิดไปเลย ก็จะก้มหน้านิ่งเงียบ เหมือนไม่อยู่ตรงนั้น และเจ้าความรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า, ไม่มีความสามารถ, ไม่ดีพอ ก็จะปรากฎชัดขึ้น ๆ ...แล้วลูกจะอยากอยู่บ้านนี้เพื่ออะไร .... เพื่อย้ำว่า ฉันไม่มีค่า คิดไม่เป็นและไม่ดีพอ ????? ...

ด้วยความรักลูก พ่อแม่ทำงานหนักก็เพื่อส่งเสียลูกเรียนดีๆ พ่อแม่สั่งสอนก็เพราะอยากให้เป็นคนดี พ่อแม่ห้ามก็เพราะไม่อยากให้เสียคน... ลูกอยากได้นั่น-นี่ พ่อแม่ก็หามาให้

เป็นความจริง ที่เจ็บปวดของพ่อแม่ เพราะสมองเด็กไม่เท่าสมองผู้ใหญ่... เด็กๆรับรู้ว่าพ่อแม่ “รัก” ค่ะ แต่เขาไม่รับรู้ว่า “ตนเองมีคุณค่า” และเด็กไม่สามารถเชื่อมโยงว่า ตนมีคุณค่าพ่อแม่จึงเสียสละแบบนี้ ... จนกว่า ลูกจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ตอนนี้สมองพร้อมแล้วที่จะคิดย้อนกลับและทำความเข้าใจพ่อแม่ (และไม่ใช่ทุกคนที่จะคิดได้ แม้สมองพร้อม)......

วิธีเลี้ยงที่มีแต่ สั่ง และ สอน ทั้งการห้าม, ขู่, บ่น, ด่า, ประชด และใช้อารมณ์ เพื่อให้ลูกเชื่อฟังนั้น ทำลายความรู้สึกมีคุณค่าในตัวลูก แถมยังเป็นวิธีเลี้ยงที่ลูกเอาตัวเองไม่รอด! พ่อแม่คิดเอง ตัดสินใจเอง แล้วก็ออกคำสั่ง ออกคำห้าม!!

หากย้อนเวลากลับได้... พ่อแม่คงอยากเลี้ยงลูกใหม่ ... ใครที่ผ่านมาอ่าน เริ่มเลี้ยงลูกด้วยวิธีเชิงบวกตั้งแต่เล็กเลยค่ะ เริ่มได้ตั้งแต่แรกเกิดเลย.....

การเลี้ยงลูกเชิงบวก คือ การสร้างเวลาคุณภาพ + การสร้างวินัยเชิงบวก

🔹 เวลาคุณภาพ คือ เวลาที่พ่อแม่วางงานทุกอย่างลง รวมทั้งมือถือ... นั่งลง เล่นกับลูก, ทำกิจกรรมกับลูก หรือตั้งใจรับฟังเรื่องราวของลูกอย่างไม่ตัดสิน หากจะสอน ต้องใจเย็นๆ เน้นสอนให้คิด สอนให้ตัดสินใจ และเปิดโอกาสให้ทำผิดและเรียนรู้จากตรงนั้น อย่าห้ามและปกป้องจนลูกไม่เคยผิดพลาด ไม่เคยล้มแรงๆ ไม่เคยทำการบ้านผิดแล้วโดนตัวแดง.....

อยู่กับลูกด้วยสติและสมาธิ ค่อยๆทำความเข้าใจทั้งความคิดและความรู้สึกลูก มองให้ลึกว่า ลูกอยากให้พ่อแม่ชื่นชม อยากให้พ่อแม่เข้าใจ และบางครั้งก็อยากได้กำลังใจมากกว่าแก้ปัญหาให้...

🔹 วินัยเชิงบวกที่แท้แล้ว คือ กระบวนการฝึกทักษะสมอง EF ค่ะ... ผลลัพธ์ที่ได้คือ ลูกรับผิดชอบเป็น, สามารถจัดลำดับความสำคัญว่าอะไรควรทำก่อน-หลัง ทำการบ้านก่อนเล่น, ปิดมือถือตามเวลา, ลูกหักห้ามใจได้, ไม่ใช่ยอมไปเพราะจะไปสนุกอีกที่ ลูกคิดเป็น, ตัดสินใจเป็นและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดได้

ลูกจะมีวินัยเชิงบวกได้ พ่อแม่ก็ต้องเรียนรู้วิธีเลี้ยงลูกแบบนี้... พ่อแม่ควรสื่อสารให้เป็น เพื่อให้ลูกเปิดใจ พ่อแม่ควรตั้งคำถามชวนลูกคิดให้เป็นเหมือนกัน และพ่อแม่ก็ควรแสดงพฤติกรรมเด็ดขาดแบบไม่ใช้อารมณ์ให้เป็นด้วย ไม่งั้น ลูกจะเอาแต่ใจ..

ท่องเอาไว้ งานเลี้ยงลูกคืองานสร้างคน อย่าโฟกัสกับการจัดการพฤติกรรมไม่ดี และสร้างพฤติกรรมที่ดีจนหลงทาง... งานสร้างคนมีความลึกกว่านั้น พฤติกรรมดีหรือไม่ดี มาจากการสั่งงานของ “สมอง” งานเลี้ยงลูก คือ การสร้างสมองลูกต่างหาก... จากสมองก้อนเล็กๆไปสู่สมองก้อนใหญ่ที่คิดเป็น, คิดได้, รับผิดชอบได้, จัดการอารมณ์ได้...

และที่สำคัญ “รู้คุณค่าของตนเอง” ไม่ต้องคอยหาคนอื่นๆมาเติมเต็ม จนไม่สนใจอนาคตเลย

เนื้อเรื่องดัดแปลงจากเคสจริงหลายๆเคสรวมกัน เพื่อไม่ให้กระทบกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ... ..

ใกล้เต็มแล้ว คลาส “สื่อสารให้เป็น หนักแน่นให้ได้” เรียน 20 กรกฎาคมนี้ที่โรงแรมจัสมิน ราคา 9,500 บาทต่อท่าน มา 2ท่าน ลด 5% , มา 4 ท่าน ลด 10 % ลงทะเบียนเรียนแอดไลน์ https://lin.ee/IT43gvK (หมอเสาวภา-คลาสเรียนพ่อแม่)

ใครติดเรื่องทุนทรัพย์ไลน์เข้ามา และตอบคำถามนี้ "คุณจะนำสิ่งที่เรียนไป นอกจากเพื่อครอบครัวแล้ว คุณจะนำไปช่วยชุมชนหรือสังคมอย่างไร" มีผู้ได้รับทุนหลายท่านแล้วนะคะ 🙂 เชิญชวนค่ะ

#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

นิทานเจ้าหญิง–เจ้าชายสร้างค่านิยม, ความเชื่ออะไรให้เด็ก ควรอ่านให้ลูกฟังมั๊ย?เสาร์ที่ผ่านมา หมอมีโอกาสสอนคุณครูอนุบาลโรง...
07/07/2025

นิทานเจ้าหญิง–เจ้าชายสร้างค่านิยม, ความเชื่ออะไรให้เด็ก ควรอ่านให้ลูกฟังมั๊ย?

เสาร์ที่ผ่านมา หมอมีโอกาสสอนคุณครูอนุบาลโรงเรียนขจรเกียรติศึกษาที่ภูเก็ตทั้ง 9 สาขา ในหัวข้อ “การนำนิทานไปใช้ให้ได้ประโยชน์สูงสุด”..... ซึ่งมีประเด็นหนึ่ง ที่หมอไม่มีโอกาสคุย.. ขอคุยทางนี้เลยนะคะ😊

อย่างแรกต้องบอกก่อนว่า ขึ้นชื่อว่านิทาน ไม่ใช่ว่าจะดีทุกเล่มน้าาาา ....

ที่แน่ๆ นิทานที่มีลักษณะขู่เด็กให้กลัว ให้กังวล กลัวจนต้องยอมไปทำ ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่พ่อแม่ขู่เด็กเลย สมองส่วนความกลัวทำงาน ไม่ใช่สมองส่วน EF เลย... (วินัยเชิงบวก คือ การพัฒนาทักษะสมอง EF ซึ่งช่วยให้เด็กรับผิดชอบได้ โดยไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต) แต่ความกลัว ทั้งระยะสั้นและระยะยาวมีผลต่อสุขภาพจิตแน่ๆค่ะ... หมอพบจำนวนเด็กไทยที่ขี้กังวลเยอะมาก หมอเชื่อว่า อาจเกิดจากพ่อแม่เองขู่เด็ก หรือ ใช้นิทานมาขู่เด็ก บอกว่าจะเป็นเหมือนตัวละครในนิทาน😢...

ลองหยุดขู่เด็กและหยุดใช้นิทานทำนองนี้ หรือ หากจะใช้ ควรชวนลูกคิดวิเคราะห์แทนค่ะ เช่น ทำไมเด็กคนนี้ถึงกลัว, เราจะทำอะไรที่ต่างจากเด็กคนนี้ดี, คุณพ่อคุณแม่ในเรื่องนี้ควรเปลี่ยนวิธีเลี้ยงลูกใหม่ยังไง... และที่สำคัญ ตัวคุณพ่อคุณแม่เองก็ต้องให้ความมั่นใจกับลูกด้วยว่า เราสามารถเลือกได้ เราตัดสินใจทำสิ่งที่ดีได้ โดยไม่ต้องให้ตัวกลัวมาครอบงำเรา... นิทานเขาแต่งมาให้กลัวเท่านั้น อย่าไปเชื่อ และอย่าไปกลัวแบบเด็กคนนี้นะ🙂💪.. ...

ส่วนนิทานเจ้าชาย-เจ้าหญิงล่ะ โอเคมั๊ย....
สมัยหมอเด็กๆก็ชอบมาก เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่คงชอบอารมณ์ชวนฝัน, รอคอยเจ้าชายขี่ม้าขาว แล้วก็แต่งงานกัน ชีวิตจะมีความสุขตลอดไป 555...

หันมาดูชีวิตตอนนี้ก่อน! 555 😂

นิทานเจ้าชาย-เจ้าหญิงรุ่นก่อน อาจปลูกฝังความเชื่อและค่านิยมที่ไม่ได้พัฒนาอะไรในชีวิตเท่าไรเลย อันที่จริงข้อดีก็มี แต่ข้อเสียดูจะมากกว่า ..ขอสรุปแบบนี้ค่ะ

ประโยชน์ของนิทานเจ้าหญิง–เจ้าชาย (ถ้าเลือกใช้ดี)
🎨 ด้านจินตนาการ
กระตุ้นโลกแฟนตาซี ความฝัน ความหวัง

❤️ ด้านอารมณ์
สื่อสารความรัก ความเมตตา การให้อภัย

✨ ด้านคุณธรรม
ตัวละครบางเรื่องแสดงความกล้าหาญ ความเมตตา

📚 ด้านโครงสร้างเรื่อง
นิทานเหล่านี้มักมี plot ชัดเจน → ฝึก narrative coherence ได้ดี

(narrative coherence หมายถึง “ความสามารถในการเล่าเรื่องอย่างมีลำดับ เชื่อมโยง และสื่อความได้ชัดเจน” ซึ่งงานวิจัยบอกว่า หากเด็กเล่านิทานแบบ narrative coherence ได้ จะช่วยพัฒนาสมองส่วนหน้า หรือทักษะสมอง EF)

แต่หากเราใช้เจ้าหญิง-เจ้าชาย “เวอร์ชันดั้งเดิม” โดยไม่ชวนคิด อาจเกิดข้อเสีย ตามนี้....

❌ แบบแผน “เจ้าหญิงต้องสวย-นิ่ง-ถูกรัก”
เด็กผู้หญิงบางคนอาจตีความว่าคุณค่าคือหน้าตา–ความเรียบร้อย

❌ เจ้าชายคือ “ผู้มาช่วย”
ทำให้เด็กไม่เห็นบทบาทของการแก้ปัญหา/กล้าตัดสินใจด้วยตนเอง

❌ ตัวร้ายหญิง = แม่เลี้ยง / แม่มด
สร้างภาพ stereotype ทางเพศ–อำนาจ
|
❌ มีจุดจบแบบเดียว: แต่งงาน → มีความสุข
เด็กเข้าใจว่า “ความสุข” คือการมีคู่ / จบที่คนอื่นมาเติมเต็ม

หมอขอแนะนำวิธีใช้นิทานเจ้าหญิง–เจ้าชายให้เกิด “พัฒนาการ”

1. ✅ เลือก “เวอร์ชันใหม่” หรือ “นิทานเจ้าหญิงที่เปลี่ยนภาพเดิม”

เช่น The Paper Bag Princess (เจ้าหญิงที่สู้มังกรเอง) อันนี้เป็นนิทาน ไม่ใช่หนังการ์ตูนค่ะ หรือเวอร์ชันเจ้าหญิงดิสนีย์รุ่นใหม่ เช่น Moana, Merida (Brave), Elsa ที่ไม่จบด้วยการแต่งงาน

2.✅ ถามคำถามแบบวิพากษ์เบา ๆ กระตุ้นความคิด

เจ้าหญิงรอเจ้าชายช่วย
คำถามแนะนำ
“หนูคิดว่าถ้าเจ้าหญิงลุกขึ้นมาช่วยตัวเองได้ จะทำอะไรได้บ้าง?”

แม่มดใจร้าย
คำถามแนะนำ “แม่มดอาจรู้สึกยังไงนะ? เขาเคยโดนอะไรบางอย่างมาก่อนรึเปล่า?” เขาควรแก้ปัญหาต่างจากนี้ยังไง?

จบด้วยแต่งงาน
คำถามแนะนำ “ถ้าไม่มีเจ้าชายเลย เจ้าหญิงจะมีความสุขได้มั้ยนะ?”

3. ✅ สะท้อนทางเลือกอื่นให้เด็กเห็น
“เจ้าหญิงคนนี้ไม่ต้องสวยมาก แต่เขากล้าหาญมากเลยเนอะ”

“ถ้าเราเป็นเจ้าหญิง/เจ้าชาย เราจะดูแลคนอื่นยังไงดี?”

“ความเก่งของเขาคืออะไร นอกจากชุดสวย?”

สรุปก็คือ นิทานเจ้าหญิง–เจ้าชายใช้ได้อยู่นะคะ แต่คุณพ่อคุณแม่และคุณครูต้องเล่าแบบเปิดมุม ชวนให้คิดด้วยคำถาม ไม่เปิดแค่โลกแฟนตาซี เพื่อให้เด็กได้ทั้งความฝัน + ความเข้าใจโลกจริง + คุณค่าในตัวเองโดยไม่ยึดกับรูปลักษณ์หรือการพึ่งคนอื่นค่ะ

ส่วนนิทานทำนองขู่เด็ก จะไปกระตุ้นสมองส่วนอะมิกดาล่า ไม่แนะนำให้ใช้....

ลองดูนะคะ...
ใกล้เต็มแล้ว คลาส “สื่อสารให้เป็น หนักแน่นให้ได้” เรียน 20 กรกฎาคมนี้ที่โรงแรมจัสมิน ราคา 9,500 บาทต่อท่าน มา 2ท่าน ลด 5% , มา 4 ท่าน ลด 10 % ลงทะเบียนเรียนแอดไลน์ https://lin.ee/IT43gvK (หมอเสาวภา-คลาสเรียนพ่อแม่)

ใครติดเรื่องทุนทรัพย์ไลน์เข้ามา และตอบคำถามนี้ "คุณจะนำสิ่งที่เรียนไป นอกจากเพื่อครอบครัวแล้ว คุณจะนำไปช่วยชุมชนหรือสังคมอย่างไร" มีผู้ได้รับทุนไปแล้วนะคะ 🙂 เชิญชวนค่ะ

#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

ที่อยู่

โรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์
Bangkok
10250

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ หมอเสาวภา เลี้ยงลูกเชิงบวกผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง หมอเสาวภา เลี้ยงลูกเชิงบวก:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ตำแหน่งใกล้เคียง คลินิก


Bangkok คลินิกอื่นๆ

แสดงผลทั้งหมด