หมอเสาวภา เลี้ยงลูกเชิงบวก

หมอเสาวภา เลี้ยงลูกเชิงบวก กุมารแพทย์พัฒนาการและพฤติกรรม โรงพ เพจที่สอนการเลี้ยงลูกเชิงบวก และการเป็นพ่อแม่ที่มีความรู้คู่ความสุข เพจนี้เชื่อถือได้ และมั่นใจได้ว่า นี่คือ ของจริงค่ะ
(501)

AI จะช่วยคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงลูกเชิงบวกยังไง??หากคุณพ่อคุณแม่กำลังหาคำตอบนี้ อาจจะต้องเริ่มจากการให้ข้อมูลกับทีมคุณหมอก่อน...
25/10/2025

AI จะช่วยคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงลูกเชิงบวกยังไง??

หากคุณพ่อคุณแม่กำลังหาคำตอบนี้ อาจจะต้องเริ่มจากการให้ข้อมูลกับทีมคุณหมอก่อนค่ะ 😊

ขอเชิญชวนช่วยกันทำแบบสำรวจนี้นะคะ

ซึ่งการสำรวจนี้จัดทำขึ้น เพื่อรวบรวมความต้องการและความคาดหวังของผู้ปกครอง ในการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) มาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มทักษะการเลี้ยงดูบุตรหลานอย่างมีประสิทธิภาพ

โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้าง #ครอบครัวที่เข้มแข็ง อันเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนา “ทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ” สำหรับสังคมที่ยั่งยืนในอนาคต

การสำรวจนี้ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนานวัตกรรมจาก สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) และดำเนินการโดย บริษัท ป๊าม้าพลัส จำกัด ผู้ดำเนินโครงการ เน็ตป๊าม้า (Net PAMA) หลักสูตรออนไลน์อบรมทักษะการเลี้ยงลูกเชิงบวก เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนสังคมไทยให้เป็นพื้นที่แห่งการเติบโตของทั้งเด็กและครอบครัวอย่างมั่นคง

รบกวนเวลาผู้ปกครองนะคะ

ขอบคุณค่ะ 😊

#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

เพราะการเลี้ยงลูกในยุคนี้ไม่ง่ายเลย...
และบางครั้งพ่อแม่ก็ต้องการ “เพื่อนคู่คิด” ที่เข้าใจ 💬

ทีมงาน Net PAMA จึงอยากชวนคุณพ่อคุณแม่ทุกท่าน
ร่วมตอบแบบสำรวจความต้องการในการใช้ AI เพื่อช่วยเสริมทักษะการเลี้ยงดูลูกเชิงบวกให้สอดคล้องกับชีวิตจริงของครอบครัว 🌱

ข้อมูลของคุณจะมีส่วนในการพัฒนา “เทคโนโลยีเพื่อครอบครัว” ที่เข้าใจพ่อแม่อย่างแท้จริง และช่วยสร้างสังคมที่เด็กและครอบครัวเติบโตอย่างมั่นคง 💛

📍 การสำรวจนี้ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA)
และดำเนินการโดย บริษัท ป๊าม้าพลัส จำกัด ผู้ดำเนินโครงการ เน็ตป๊าม้า (Net PAMA) หลักสูตรออนไลน์อบรมทักษะการเลี้ยงลูกเชิงบวก

👉 ร่วมแบ่งปันมุมมองของคุณที่นี่: https://forms.gle/m8FKie8zF7MVoyqc7

#การเลี้ยงดูเชิงบวก #เน็ตป๊าม้า #แบบสํารวจ

ความมั่นคงทางจิตใจของลูกไม่ได้สร้างจากคำปลอบใจ หรือคำบอกให้เข้มแข็งเดี๋ยวนี้ แต่มาจาก “แม่ที่ไม่ทอดทิ้งลูก”ในวันที่ลูกโก...
19/10/2025

ความมั่นคงทางจิตใจของลูก
ไม่ได้สร้างจากคำปลอบใจ
หรือคำบอกให้เข้มแข็งเดี๋ยวนี้

แต่มาจาก “แม่ที่ไม่ทอดทิ้งลูก”
ในวันที่ลูกโกรธ เสียใจ หรือกลัว
โดยเฉพาะ คุณเป็น คู่กรณี

แม่ที่มั่นคง…
คือแม่ที่ยัง “อยู่ตรงนั้น” แม้ลูกไม่น่ารัก
คือแม่ที่ไม่ผลัก ไม่หนี ไม่ตอกกลับ
แม้ในใจจะเหนื่อย จะรำคาญ
หรืออยากระเบิดใส่ก็ตาม

เพราะช่วงเวลาที่ลูกต้องการแม่ที่สุด
คือช่วงที่ลูกเอง...กำลังอ่อนแอที่สุด

และเมื่อคุณยังอยู่ตรงนั้นอย่างมั่นคง
ลูกจะค่อย ๆ ซึมซับว่า
“แม่ไม่โกรธหนู เพราะหนูโกรธ”
“แม่ยังรัก แม้หนูจะกำลังงอแงหรือโมโห”

นั่นแหละค่ะ...
คือรากของ “ความมั่นคงทางจิตใจ”
ที่เด็กจะเติบโตไปพร้อมกับสิ่งล้ำค่านี้
ตลอดชีวิต 🥰

แต่ถ้าวันไหน คุณรู้สึกเหนื่อยมาก 😩
อยากให้จำไว้นะคะ ว่า
แม่ไม่ต้องเก่งทุกวัน, แม่อ่อนแอได้
ขอแค่ “ไม่ทิ้งลูกในวันที่เขาไม่มั่นคง”
ก็เพียงพอแล้ว ❤️

เป็นกำลังใจให้ค่ะ

#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

การกระตุ้นให้ลูกกล้า กับ การบังคับให้ลูกกล้านั้นแตกต่างกัน การบังคับจะมีแรงกดดันเชิงลบผสมอยู่ เด็กถูกคาดหวังให้ทำหรือทำใ...
28/09/2025

การกระตุ้นให้ลูกกล้า กับ การบังคับให้ลูกกล้านั้นแตกต่างกัน การบังคับจะมีแรงกดดันเชิงลบผสมอยู่ เด็กถูกคาดหวังให้ทำหรือทำให้ได้ในเวลานั้น!

แต่การกระตุ้นเป็นพลังเชิงบวกที่เปิดกว้าง มีความคาดหวังพร้อมผิดหวังอยู่ในตัว พ่อแม่ผลักดันลูกพร้อมกับให้อิสระในการตัดสินใจ หากลูกตัดสินใจทำ พ่อแม่ก็ดีใจและภูมิใจ แต่หากลูกตัดสินใจไม่ทำ พ่อแม่ก็เข้าใจ และจะหาโอกาสในครั้งต่อไป

ผลลัพธ์ของ “การกระตุ้นให้ลูกกล้า” กับ “การบังคับให้ลูกกล้า” แตกต่างกันค่อนข้างชัดในเชิงพัฒนาการและจิตวิทยาเด็กค่ะ

1. การกระตุ้นให้กล้า (Encouragement)

🔹 ผลเชิงอารมณ์: เด็กจะรู้สึกว่าได้รับการสนับสนุน มีความปลอดภัยทางใจ (psychological safety) และเชื่อมั่นว่าความรู้สึกของตนเองถูกยอมรับ

🔹 ผลต่อสมอง: สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับ การเรียนรู้จากการลองผิดลองถูก และ *การสร้างแรงจูงใจภายใน* (intrinsic motivation) จะทำงาน เช่น dopamine circuits ทำให้เด็กอยากลองอีก แม้จะผิดพลาด

🔹 ผลระยะยาว: เด็กจะพัฒนาความกล้าแบบ “เลือกเอง” → เพิ่ม self-efficacy (ความเชื่อว่าตนเองทำได้) และ resilience (ล้มแล้วยังกลับมาลุกใหม่)

🔹 ทัศนคติต่อความล้มเหลว: เห็นความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ไม่กลัวผิดพลาดจนหยุดทำ

2. การบังคับให้กล้า (Forcing)

🔹 ผลเชิงอารมณ์: เด็กจะรู้สึกกดดัน เครียด และตีความว่า “ความกล้า = ต้องทำตามที่สั่ง” มากกว่าเป็นการเลือกด้วยใจ

🔹 ผลต่อสมอง: ภาวะกดดันทำให้ *amygdala* (สมองอารมณ์ที่เกี่ยวกับความกลัว) ถูกกระตุ้น เด็กอาจเชื่อมโยงการลองสิ่งใหม่เข้ากับความเครียด → ทำให้กลายเป็น “avoidance learning” คือเรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้ถูกบังคับ

🔹 ผลระยะยาว: เด็กอาจพัฒนาเป็น perfectionism (ต้องทำสำเร็จเท่านั้น), หรือหลีกเลี่ยงไม่กล้าลองเพราะกลัวถูกตำหนิ → เสี่ยงต่อความวิตกกังวลและ self-esteem ต่ำ

🔹 ทัศนคติต่อความล้มเหลว: เห็นความล้มเหลวเป็น “ความผิด” หรือ “การทำให้พ่อแม่ผิดหวัง” → ยิ่งกลัว ยิ่งไม่กล้า

สรุปสั้น ๆนะคะ

การกระตุ้น = เด็ก “กล้าเพราะเลือกเอง” → สร้างความมั่นใจและพลังใจยั่งยืน

การบังคับ = เด็ก “กล้าเพราะถูกบังคับ” → อาจกลายเป็นกลัว ไม่อยากทำในอนาคต หรือ ทำแต่ต้องสมบูณณ์แบบ เครียดลึกๆและเรื้อรัง

คลาสต่อไป “วิธีออกกฎกติกาและบทลงโทษ โดยไม่ทิ้งบาดแผลในใจ” รุ่น 2 วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลานี้ ที่โรงแรมจัสมิน สุขุมวิท23ราคา 9,500 บาทต่อท่าน 2ท่าน ลด 5% , 4 ท่าน ลด 10 % ลงทะเบียนเรียนแอดไลน์ https://lin.ee/IT43gvK (หมอเสาวภา-คลาสเรียนพ่อแม่)

ใครติดเรื่องทุนทรัพย์ไลน์เข้ามา และตอบคำถามนี้ "คุณจะนำสิ่งที่เรียนไป นอกจากเพื่อครอบครัวแล้ว จะนำไปช่วยชุมชนอย่างไร" 🙂 ไม่ต้องยิ่งใหญ่ก็ได้ เชิญชวนค่ะ

#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

 #เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ลูกคุยได้ทุกเรื่องขอบคุณทุกท่านที่เข้าร่วมสัมมนาวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หวังว่าจะได้นำความรู้พร้อมประ...
20/09/2025

#เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ลูกคุยได้ทุกเรื่อง

ขอบคุณทุกท่านที่เข้าร่วมสัมมนาวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หวังว่าจะได้นำความรู้พร้อมประสบการณ์ไปใช้กับลูกๆแล้วนะคะ

วันนี้ขอสรุป Key Summary ดังนี้ (แฟนเพจก็สามารถรียนรู้จากบทสรุปนี้ได้ค่า)

บ้านที่เป็นพื้นที่ปลอดภัย ไม่ใช่บ้านที่พ่อแม่ไม่โมโห ไม่ใช่บ้านที่พ่อแม่เพอร์เฟค แต่คือบ้านที่ พ่อแม่เป็นคนธรรมดาที่โมโห เศร้า เสียใจฯได้ แต่เป็นคนธรรมดาที่พยายามเข้าใจโลกภายในตัวเอง มองลึกลงไปใต้ภูเขาน้ำแข็งของตัวเอง จนนำไปสู่การจัดการอารมณ์ที่ยั่งยืน ไม่ใช่เก็บกด.... ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงได้เริ่ม.... แล้วจะพบว่า เราดีขึ้นเรื่อยๆ ทีละนิด ๆ จนลูกรับรู้ความเปลี่ยนแปลง รับรู้ความปรารถนาดีของพ่อแม่ นำไปสู่การเปิดใจได้ค่ะ

เด็กจะกล้าเปิดใจ ก็เมื่อพ่อแม่ “จัดการอารมณ์ตัวเองได้” และเมื่อพ่อแม่จัดการอารมณ์ตัวเองได้ เขาจะมี "ช่วงเวลาเล็กๆ" ก่อนตอบสนองอะไรออกไป ช่วงเสี้ยวนาทีสั้นๆนี้ ทำให้พ่อแม่มี “ทางเลือก” วิธีตอบสนองลูก” เราจะไม่โทษลูกว่า เพราะดื้อแม่จึงโมโห, ลูกไม่รักษาคำพูด แม่จึงลงโทษฯ แต่เราจะ “เลือกใช้คำพูดที่มีสติ” ที่ทำให้ลูกหันกลับมาจัดการอารมณ์ตนเอง เราจะไม่ตอบสนองกลับด้วยอารมณ์โกรธ, เบื่อฯ ที่ทำให้ลูกรู้สึกผิด, รู้สึกกลัว มองเห็นตัวเองเป็นภาระ จนไม่อยากเล่าเรื่องให้พ่อแม่ฟัง หรือ ไม่อยากเล่าเพราะกลัวถูกดุ....

เมื่อพ่อแม่เข้าใจภูเขาน้ำแข็งของตนเองแล้ว เราก็ควรเข้าใจภูเขาน้ำแข็งของลูก พฤติกรรมที่ลูกไม่เชื่อฟัง, ต่อรอง, ก้าวร้าว, ไม่รับผิดชอบ, ไม่พูดความจริงฯ มาจากชั้นใดในภูเขาน้ำแข็ง และเราจะช่วยลูกอย่างไร

---
ในช่วงเช้า พ่อแม่เรียนรู้เรื่องภูเขาน้ำแข็งและวิธีจัดการอารมณ์

1. หลายครั้งที่พ่อแม่โกรธลูก พฤติกรรมภายนอกคือ เสียงดัง สายตาดุ คำพูดไม่ดีฯ ซึ่งจริงๆแล้ว บางทีที่เราโมโหขนาดนั้นก็ไม่ได้เกิดจากสิ่งที่ลูกทำตรงหน้าอย่างเดียว แต่มันเชื่อมโยงมายังโลกภายในของเรา (เปรียบเหมือนชั้นของ “ภูเขาน้ำแข็ง” ที่อยู่ใต้น้ำทะเลที่ไม่มีใครเห็น) ความโกรธนั้นอาจเชื่อมโยงกับความกลัวว่าลูกจะรับผิดชอบตัวเองไม่ได้, หรืออาจเชื่อมโยงกับความกลัวปู่ย่าตายายที่คาดหวังให้เราเลี้ยงลูกให้ดี หรือแม้แต่ความโกรธที่ตัวเองเป็นพ่อแม่ที่ไม่ดี...

พฤติกรรมโกรธลูก 1 ฉาก จริงๆแล้ว ไม่ใช่แค่เพราะลูกดื้อ แต่มันยังรวมเอาความรู้สึกกลัว,โกรธฯความคาดหวังฯ มาผสมแล้วผลักให้ความโกรธนั้นพุ่งออกไป 😢

เมื่อเราสามารถมองลึกเข้าไป และเห็นรากของพฤติกรรมต่างๆ พร้อมทั้งสามารถยอมรับสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้วด้วยหัวใจ ใจของเราก็จะสงบ เกิดมุมมองใหม่ต่อตนเอง รวมทั้งคาดหวังต่างๆ

อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ก็ต้องมีทักษะการจัดการอารมณ์ เพื่อนำมาใช้ประกอบร่วมกัน

🔹 หายใจเข้า-ออกลึก ๆ หรือจะใช้วิธี Box Breathing ก็ได้ เป็นการฝึกให้ระบบ parasympathetic ให้ทำงานบ่อยๆ เมื่อถึงเวลาคับขัน เราจะเรียกใช้ได้เร็ว

🔹 เบี่ยงเบนสมองด้วยเทคนิค 5-4-3-2-1 (บอกสิ่งที่เห็น 5 อย่าง ได้ยิน 4 อย่าง สัมผัส 3 อย่าง กลิ่น 2 อย่าง และรส 1 อย่าง)

สิ่งเหล่านี้เป็นทักษะ ควรซ้อมล่วงหน้า ไม่ใช่รอให้เหตุการณ์จริงเกิดแล้วค่อยทำ มันจะไม่มา

2. กรณีของลูก เมื่อลูกแสดงอารมณ์ออกมา พ่อแม่จะต้องช่วยลูกสงบ ด้วยวิธี Co-regulation คือ พ่อแม่สงบ แล้วนำทางให้ลูกหาวิธีสงบของตนเอง เพราะเขาต้องการพ่อแม่เป็น “ฐานมั่นทางอารมณ์”

พ่อแม่อย่าคาดหวังให้เด็กสงบเอง หรือ ให้สงบเร็วๆ เพราะสมองเด็กยังไม่เติบโตเท่าผู้ใหญ่ แม้แต่เด็กวัยรุ่นที่พูดคุยเหมือนผู้ใหญ่ สมองส่วนหน้าก็ยังไม่พัฒนาเต็มที่ (เต็มที่ประมาณ 25 ปี) ถ้าบ้านไหน เด็กสงบเร็ว บอกให้เงียบก็เงียบ หรือ ไม่เคยโมโห อาจต้องดูว่า เด็กกดอารมณ์ตัวเองหรือเก็บกดหรือไม่ แบบนี้ เขาจะไม่มองเราเป็นพื้นที่ปลอดภัย

วิธีการ..
🔹 เริ่มจาก I FEEL: ช่วยลูกนึกชื่ออารมณ์ เช่น “หนูกำลังโกรธอยู่ใช่มั๊ย”
🔹 ต่อด้วย I CHOOSE: ชวนคิดถึงทางเลือก เช่น “ตอนนี้ หนูจะคุยกับแม่ หรือไปสวนหลังบ้าน หรือฟังเพลงดี”
🔹 จนถึง I CALM: ลูกสงบแล้ว ชวนคุยใช้สมองส่วนคิด ทบทวนและแก้ไข

---
ในช่วงบ่าย พ่อแม่เรียนรู้ทักษะการสื่อสารที่ทำให้ลูกรู้สึกว่าพ่อแม่เป็นพื้นที่ปลอดภัย

หลายครั้ง เด็กๆบอกว่า พ่อแม่ไม่ดุ แต่เล่าไปพ่อแม่ก็ไม่เข้าใจหรอก หรือ พ่อแม่ไม่ดุแต่ชอบสอน ก็เลยไม่อยากเล่า ดังนั้น นอกจากการจัดการอารมณ์ตัวเองได้แล้ว พ่อแม่ก็ควรรู้วิธีสื่อสารด้วย

🔹 Validate ความรู้สึก, ความคิด, พฤติกรรม: “ฟังแล้วเหมือนหนูกำลังเสียใจใช่มั๊ย” โดยพ่อแม่ต้องใช้ใจในการเข้าถึงลูก เปรียบเหมือนพ่อแม่ใช้เลนส์ตาของลูก ในการสัมผัสเหตุการณ์และความรู้สึกเหล่านั้น

🔹 Reflect feeling (สะท้อนความรู้สึก) “แม่เข้าใจว่าหนูผิดหวังมาก แม่เข้าใจถูกมั๊ย” โดยพ่อแม่ควรฝึกนึกชื่อความรู้สึกในสถานการณ์ต่างๆของลูก (งานวิจัย ชี้ว่า หากเราพูดชื่อความรู้สึก สมองส่วนจัดการอารมณ์จะทำงาน)

ที่บอกมา ไม่ใช่เห็นด้วยกับพฤติกรรม แต่คือการยอมรับว่าความรู้สึกของลูกสำคัญ ไม่ว่ามันจะแย่แค่ไหน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้ลูกกล้าเล่าเรื่องต่างๆ รวมทั้งเรื่องที่ไม่ดีของตนเอง

🔹 ใช้ I-message ในการสอน, อธิบาย, สั่ง

“หนูไม่ทำการบ้านแบบนี้ เปลืองตังค์พ่อแม่ เสียเวลาพ่อแม่ด้วย ไม่ต้องเรียนเลยดีมั๊ย!” (เป็น you message) → เปลี่ยนเป็น “แม่เป็นห่วงว่า ถ้าการบ้านเสร็จช้า เวลาดูมือถือจะน้อยลง ไม่ได้ 1 ชั่วโมงตามที่ตกลงนะลูก”

อย่างไรก็ตาม เมื่อเราใช้ I-message กับลูก ไม่ได้แปลว่า ลูกจะทำการบ้านนะคะ ลูกจะทำการบ้านเร็ว ช้า หรือรับผิดชอบตนเองหรือไม่ อยู่ที่การออกกติกาและการบังคับใช้กฎของที่บ้านค่ะ (คลาสต่อไป 19 ตุลา)

I-message มีหน้าที่ลดการตำหนิ เคารพความรู้สึกของลูกและสร้างความน่านับถือให้กับพ่อแม่ (การสอนลูกไม่จำเป็นต้องแลกกับสัมพันธภาพนะคะ) และยังทำให้ลูกรับรู้ว่าเราเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ลูกโดยอัตโนมัติ

🔹พยายามไม่จบบทสนทนา โดยไม่ตั้ง “คำถาม” ขอให้ลูกได้มีส่วนร่วมในการคิด, ตัดสินใจ, แสดงความรู้สึก, แสดงความเห็นต่าง (มีตัวตน)

แนะนำให้ใช้คำถามปลายเปิด เช่น “หนูฟังที่แม่บอกไปแล้ว คิดยังไง เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย” หรือ “ครั้งหน้า ถ้าเป็นแบบนี้ หนูอยากจะแก้ปัญหาแบบอื่นยังไงดี”

พ่อแม่ควรเปิดโอกาสให้ลูกเสนอแนวทาง โดยเฉพาะปัญหาของเขาเอง ให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่ยอมรับตัวตนเขา แล้วเราก็ค่อยๆสะท้อนและเสริมมุมมองให้ลูกค่ะ

---
หวังว่า จะเป็นประโยชน์ทั้งผู้เข้าอบรมและแฟนเพจด้วยนะคะ

คลาสต่อไป “ #วิธีออกกฎกติกาและบทลงโทษ_โดยไม่ทิ้งบาดแผลในใจ” รุ่น 2 วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลานี้ ที่โรงแรมจัสมิน สุขุมวิท23ราคา 9,500 บาทต่อท่าน 2ท่าน ลด 5% , 4 ท่าน ลด 10 % ลงทะเบียนเรียนแอดไลน์ https://lin.ee/IT43gvK (หมอเสาวภา-คลาสเรียนพ่อแม่)

๒หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

คุณหมอเอื้องผู้แสนน่ารักและใจดี จิตแพทย์เด็กที่สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ เชียงใหม่ ฝากให้ประชาสัมพันธ์โครงการวิจัยดี...
18/09/2025

คุณหมอเอื้องผู้แสนน่ารักและใจดี จิตแพทย์เด็กที่สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ เชียงใหม่ ฝากให้ประชาสัมพันธ์โครงการวิจัยดีๆค่ะ

ผู้ปกครองที่ลูกอายุไม่เกิน 3 ขวบ คือเด็กแรกเกิด- 2ปี11เดือน29วัน ลองเข้าไปดูคลิปที่ทางสถาบันฯทำไว้ เนื้อหาเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกเชิงบวกที่ตรงกับช่วงอายุ ทั้งร้องไห้ง่าย ร้องไห้หาพ่อแม่ ไม่เชื่อฟัง ไม่มีวินัย จะต้องฝึกยังไงฯ

เมือดูคลิปแล้วก็ต้องขอรบกวนตอบคำถามค่ะ...เพื่อให้พวกเรามีข้อมูลในการพัฒนาสื่อดีๆต่อไป

แต่หากใครจะดูอย่างเดียวก็ได้ เพราะคลิปมีประโยชน์มาก ทำมาแล้ว 30+ คลิป หมอดูแล้วชอบมาก ความรู้ถูกต้อง เชื่อถือได้ ได้ทั้งความรู้และความรู้สึกในเชิงบวก ไม่ใช่ดูแล้วเครียดไปอีก! ว่าจะขอนำมาใช้เป็นสื่อการสอนด้วยเลยค่ะ

ขอรบกวนคุณพ่อคุณแม่ที่พอมีเวลา ดูคลิปแล้วตอบแบบสอบถามให้ด้วยนะคะ

ทำได้ทั้งประเทศไทย ไม่ใช่ผู้ปกครองที่เชียงใหม่เท่านั้นนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ

#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

📢 ประชาสัมพันธ์

เรียนเชิญ พ่อแม่ผู้ปกครองเด็กปฐมวัย(แรกเกิด-2ปี) ร่วมเป็นอาสาสมัครงานวิจัย

"โครงการวิจัยประสิทธิภาพของสื่อออนไลน์ในการส่งเสริมความรอบรู้พ่อแม่เกี่ยวกับพัฒนาการอารมณ์และสังคมในเด็กแรกเกิด-2ปี(2ปี11เดือน29วัน)"

📍 วัตถุประสงค์
เพื่อพัฒนาสื่อออนไลน์เกี่ยวกับพัฒนาการอารมณ์และสังคมในเด็กแรกเกิด-2ปี(2ปี11เดือน29วัน) และประเมินประสิทธิภาพสื่อออนไลน์ โดยเปรียบเทียบคะแนนความรอบรู้ด้านการเป็นพ่อแม่เพื่อสนับสนุนการเลี้ยงดูเด็กของพ่อแม่ในบริบทของประเทศไทย

🙂 คุณสมบัติของอาสาสมัคร
1. เป็นพ่อ แม่ หรือผู้ดูแลของเด็กที่มีอายุเด็กแรกเกิดถึง 2 ปี 11 เดือน
2. สามารถสื่อสาร ฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาไทยได้
3. สมัครใจเข้าร่วมการวิจัย

✏️ กิจกรรมที่ทำในงานวิจัย
1. ประเมินแบบสอบถามความรอบรู้ด้านการเป็นพ่อแม่ 1 ครั้งก่อนเริ่มดูคลิป
2. ดูคลิปทั้งหมด 40 คลิป ๆ ละ 2-5 นาที สัปดาห์ละ 3-4 คลิป เป็นเวลาประมาณ 3 เดือน ผ่านช่องทาง TikTok หรือ Facebook หรือ Youtube
3. ประเมินแบบสอบถามความรอบรู้ด้านการเป็นพ่อแม่ 1 ครั้ง หลังดูคลิปที่ 40 จบ

📒เอกสารชี้แจงผู้เข้าร่วมวิจัย >>> https://drive.google.com/file/d/1xigwI1X77jnwM5_A-E9fqtSCSVS7EVuq/view?usp=drive_link

📱ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานวิจัยหรือติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Line Official Account ของเพจพ่อแม่เลี้ยงบวก ตามลิ้งค์นี้ได้เลยค่ะ >>> https://lin.ee/z4xeJ01
หรือ สแกน QR Code ในโปสเตอร์

ผศ.ดร.แสงเดือน ยอดอัญมณีวงศ์
saengduean.y@cmu.ac.th
053-943232

เคยมั๊ยคะ อยากให้ลูกเล่าเรื่องไม่สบายใจให้ฟัง แต่ลูกไม่ค่อยเล่า, อยากให้ลูกระบายความรู้สึกออกมาแล้วจัดการความรู้สึกได้ โ...
11/09/2025

เคยมั๊ยคะ อยากให้ลูกเล่าเรื่องไม่สบายใจให้ฟัง แต่ลูกไม่ค่อยเล่า, อยากให้ลูกระบายความรู้สึกออกมาแล้วจัดการความรู้สึกได้ โดยไม่เก็บกดหรือระเบิดอารมณ์ออกมา แต่ตัวเราเองก็ยังทำไม่ค่อยได้... เคยมั๊ยคะ อยากเป็นพื้นที่ปลอดภัยของลูก อยากรับฟังแบบไม่ตัดสิน อยากให้ลูกคุยทุกเรื่อง แต่ไม่รู้จะทำยังไง?...

ขอชวนคุณพ่อคุณแม่ที่มีความรู้สึกเหล่านี้ ลองเข้ามาเรียน เวิร์คช็อป “เป็นพื้นที่ปลอดภัย ให้ลูกคุยได้ทุกเรื่อง”... มาพัฒนาความรู้พร้อมกับฝีมือ ด้วยการฝึกวิเคราะห์เคส และแสดงบทบาทสมมติ ใช้เรื่องราวชีวิตจริงซึ่งหมอประยุกต์จากเคสในห้องตรวจ โดยเลือกเหตุการณ์ที่คุณพ่อคุณแม่ยุคนี้ได้เจอแน่ๆ...

“เป็นพื้นที่ปลอดภัย ให้ลูกคุยได้ทุกเรื่อง” เป็นคลาสที่เน้นให้พ่อแม่สร้างสะพานเชื่อมโยงความรู้สึกเชิงบวกไปหาลูก หากลูกรับรู้ได้ว่าพ่อแม่มั่นคงและพร้อมช่วยเหลืออย่างไม่ตัดสิน ลูกจะตัดสินใจข้ามสะพานเส้นนี้มาหาคุณพ่อคุณแม่เอง จริงๆค่ะ

#เข้าใจไม่ใช่ตามใจ และ #เข้าใจต้องใช้ใจมากกว่าสมอง

หลุดจอง 2 ที่นั่ง วันที่ 14 กันยานี้ ที่โรงแรมจัสมิน ราคา 9,500 บาทต่อท่าน มา 2ท่าน ลด 5% , มา 4 ท่าน ลด 10 % สนใจลงเรียนแอดไลน์ https://lin.ee/IT43gvK (หมอเสาวภา-คลาสเรียนพ่อแม่)

หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

อะไรควร / ไม่ควรใช้เป็นรางวัลเวลาพ่อแม่อยากสร้างวินัยให้ลูก “รางวัล” มักถูกนำมาใช้เพื่อกระตุ้นพฤติกรรม เช่น การบ้าน งานบ...
07/09/2025

อะไรควร / ไม่ควรใช้เป็นรางวัล

เวลาพ่อแม่อยากสร้างวินัยให้ลูก “รางวัล” มักถูกนำมาใช้เพื่อกระตุ้นพฤติกรรม เช่น การบ้าน งานบ้าน หรือกติกาต่าง ๆ

แต่คำถามสำคัญคือ… รางวัลแบบไหนใช้ได้ และแบบไหนไม่ควรใช้เด็ดขาด?

✅ สิ่งที่ “ใช้ได้” เป็นรางวัล

สิ่งเหล่านี้เป็น **ปัจจัยภายนอก** ที่ไม่ได้กระทบกับความมั่นคงทางใจของลูก ใช้เพื่อกระตุ้นพฤติกรรมเบื้องต้นได้ และสามารถค่อย ๆ ลดลงเมื่อเด็กซึมซับวินัย

🔹 ของเล็ก ๆ → สติ๊กเกอร์, ดินสอสี, ของเล่นชิ้นเล็ก
🔹 สิทธิ์พิเศษเล็ก ๆ → เลือกเมนูอาหาร, เลือกหนัง/การ์ตูนที่ครอบครัวจะดู
🔹 กิจกรรมสนุก → ไปสวนสาธารณะ, เล่นบอร์ดเกม, ปั่นจักรยาน
🔹 เวลาพิเศษเพิ่มเติม → เช่น “วันนี้หนูช่วยจัดห้องได้เร็ว เรามีเวลาเพิ่มสำหรับดูการ์ตูนด้วยกัน”

👉 จุดสำคัญคือ สิ่งเหล่านี้เป็น “โบนัส” เพิ่มเติม ไม่ได้ทำให้ลูกสงสัยว่า “พ่อแม่ยังรักฉันอยู่ไหม”

❌ สิ่งที่ “ไม่ควร” ใช้เป็นรางวัล

เพราะสิ่งเหล่านี้เป็น #ฐานความรักและความมั่นคง ที่เด็กควรได้รับโดยไม่มีเงื่อนไข

🔹 ความรัก ความกอด การพูดดี ๆ
🔹 การรับฟังอย่างตั้งใจ
🔹 เวลาครอบครัวขั้นพื้นฐาน เช่น กินข้าวด้วยกัน, อ่านนิทานก่อนนอน, การคุยกันประจำวัน

👉 ถ้าใช้สิ่งเหล่านี้เป็นรางวัล เด็กจะเรียนรู้ว่า “ความรักของพ่อแม่มีเงื่อนไข” → เสี่ยงให้เกิด insecure attachment และความไม่มั่นใจในคุณค่าของตัวเอง

---
❤️เวลาครอบครัว: สิ่งที่ต้องให้ฟรีเสมอ

เวลาครอบครัวไม่ใช่รางวัล แต่เป็น **สิทธิ์ขั้นพื้นฐานของลูก** ที่ทำให้เขารู้ว่า

“หนูเป็นที่รักเสมอ ไม่ว่าหนูจะทำผิดหรือไม่”
“ครอบครัวคือที่ปลอดภัย”

สิ่งที่ทำได้คือ เพิ่ม “เวลาพิเศษ” เป็นรางวัล → เช่น

* ปกติอ่านนิทาน 1 เล่ม แต่วันนี้เพราะลูกช่วยงานเสร็จเร็ว เลยมีเวลาอ่านเพิ่มอีก 1 เล่ม

* ปกติกินข้าวด้วยกัน แต่วันนี้เพิ่มกิจกรรมพิเศษ เช่น เล่นบอร์ดเกมหลังมื้อเย็น

👉 แบบนี้เด็กมั่นใจว่า **เวลาและความรักพื้นฐานมีเสมอ** แต่ก็เห็นคุณค่าของความรับผิดชอบที่ช่วยเพิ่มกิจกรรมดี ๆ ร่วมกัน

ที่สำคัญสุดๆคือ เมื่อลูกทำได้ พ่อแม่ต้องชื่นชมพฤติกรรมนั้นด้วยใจจริง ลูกจะภาคภูมิใจและเห็นคุณค่าในตนเองมากกว่าคุณค่าของของรางวัลนะคะ

---
✌️หลักคิดสั้น ๆ สำหรับพ่อแม่

1. รางวัล = ใช้ได้ แต่ควรเป็นสิ่งภายนอก หรือ กิจกรรมพิเศษ
2. ความรัก/เวลาครอบครัวพื้นฐาน = ต้องมีเสมอ ไม่มีเงื่อนไข
3. วินัยแท้จริง = ไม่ใช่แค่ทำเพื่อรางวัล แต่คือการซึมซับว่าหน้าที่ต้องทำอยู่แล้ว (ตกลงกันก่อน และอย่าพูดทำนองล่อให้ทำ)
4. คำชม + การอธิบายความหมาย = สำคัญกว่ารางวัล เพราะช่วยให้เด็กภาคภูมิใจและเห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำ
---
คลาสเรียนหมอเสาวภา
คลาส101 “สื่อสารให้เป็น หนักแน่นให้ได้” เรียนปีหน้า (66)
คลาส102 “ #เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ลูกคุยได้ทุกเรื่อง_เรียน14กันยายนนี้
คลาส103 “วิธีออกกฎกติกาและร้างบทลงโทษ โดยไม่ทิ้งบาดแผลในใจ” เรียน 19 ตุลาคมนี้
คลาส104 “วิธีให้รางวัล โดยลูกไม่ติดสิ่งของ และคงความดีได้ตลอด เรียน 9 พฤศจิกายนนี้
ทุกคลาส เรียนที่โรงแรมจัสมิน ราคา 9,500 บาทต่อท่าน มา 2ท่าน ลด 5% , มา 4 ท่าน ลด 10 % ลงทะเบียนเรียนแอดไลน์ https://lin.ee/IT43gvK (หมอเสาวภา-คลาสเรียนพ่อแม่)

หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

เบื้องหลังความเอาแต่ใจ คือความไม่มั่นใจว่าเป็นที่รักเวลาเห็นลูก เอาแต่ใจ เรียกร้องเกินเหตุ หรือกวนใจไม่หยุด หลายครั้งพ่อ...
04/09/2025

เบื้องหลังความเอาแต่ใจ คือความไม่มั่นใจว่าเป็นที่รัก

เวลาเห็นลูก เอาแต่ใจ เรียกร้องเกินเหตุ หรือกวนใจไม่หยุด หลายครั้งพ่อแม่ตีความว่า “ลูกอยากควบคุม” หรือ “ลูกดื้อรั้น” แต่หากเรามองลึกลงไป จะพบว่าเบื้องหลังพฤติกรรมเหล่านี้คือ #ความกลัวที่จะสูญเสียความรักหรือความใส่ใจจากพ่อแม่

---
🔹 ความรักที่มั่นคง = พื้นฐานใจที่แข็งแรง

ถ้าเด็กมั่นใจว่า “ถึงหนูทำผิดพลาด พ่อแม่ก็ยังรักหนูอยู่” เขาจะค่อย ๆ ยืดหยุ่นมากขึ้น ยอมฟังเหตุผล และพร้อมเรียนรู้การแก้ไข

แต่ถ้าเด็กสัมผัสได้ว่า ความรักมีเงื่อนไข เช่น “ห้ามทำผิด” หรือ “ทำผิดแล้วโดนโกรธ” เด็กจะยิ่งพยายามเรียกร้องหรือเอาแต่ใจ เพื่อทดสอบว่า “พ่อแม่ยังรักฉันอยู่ไหม?”

---
🔹 เชื่อมโยงกับจิตวิทยาพัฒนาการ

Attachment theory:
เด็กที่มี “secure attachment” (ความผูกพันที่มั่นคง) จะเชื่อว่าตัวเองมีคุณค่าและเป็นที่รักโดยไม่ต้องพิสูจน์ตลอดเวลา → พฤติกรรมเรียกร้องลดลง

Satir model:
พฤติกรรมที่เราเห็นคือ “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ใต้ผิวน้ำคือความรู้สึกและความต้องการที่แท้จริง ลูกต้องการถูกสนใจ, ลูกต้องการความมั่นใจว่าตนเองยังมีค่า

---
ตัวอย่างที่พ่อแม่มักเผลอใช้อารมณ์

1. ลูกไม่ไปอาบน้ำ

ที่มักเกิดขึ้น: “ทำไมต้องให้โมโห ถึงยอมไป!!!” → ลูกสะดุ้ง กลัว และรู้สึกว่า “แม่อาจไม่รักเวลาเราทำผิด”

แต่หากเราใจเย็นและหนักแน่น: “ที่ตกลงกันไว้ ลูกจะโดนงดอะไรนะ ลูกโอเค ใช่มั๊ย” → ลูกเรียนรู้การทำตามข้อตกลง ไม่โดนโกรธ จึงมั่นใจว่าความรักยังอยู่

2. การบ้านผิดเยอะ

แบบที่มักเกิดขึ้น: “การบ้านง่าย ๆ ยังทำผิดอีก กี่ครั้งแล้วเนี่ย!” → ลูกอาจรับรู้ว่า แม่จะชอบหรือรักเขา ก็เมื่อทำได้ถูกต้องเท่านั้น

แต่หากเราใจเย็น: “ตรงนี้ผิดใช่มั๊ย ผิดหลายที่แบบนี้ เครียดหรือเปล่าลูก มาแม่ช่วย ลองแก้ใหม่ดูสิ ค่อยๆทำกัน” → ลูกเห็นว่าความผิดพลาดคือส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ แม่เข้าใจ ยอมรับและพร้อมช่วยเหลือ

---
บทเรียนสำคัญสำหรับพ่อแม่

❤️อารมณ์พ่อแม่กำหนดบรรยากาศในบ้าน ถ้าพ่อแม่ตอบสนองด้วยความโมโหหรือเสียงดุ เด็กจะยิ่งรู้สึกไม่มั่นใจในความรัก → พฤติกรรมเอาแต่ใจและการเรียกร้องจะเพิ่มขึ้น

❤️ใจเย็น เด็ดขาด แต่ไม่โกรธ การเลี้ยงลูกเชิงบวกคือการควบคุมอารมณ์ พูดชัดเจนตามกติกา แต่ยังคงน้ำเสียงที่มั่นคงและไม่รุนแรง → เด็กเรียนรู้ขอบเขตโดยไม่ต้องทดสอบความรักซ้ำ ๆ

❤️แยกพฤติกรรมออกจากตัวตนลูก
พฤติกรรมผิด → ต้องแก้ไข
ตัวตนของลูก → ยังคงเป็นที่รักเสมอ

❤️ความผิดพลาดคือโอกาสเรียนรู้ ไม่ใช่การสูญเสียความรัก เมื่อพ่อแม่ยอมรับความผิดพลาดของลูก พร้อมช่วยให้เขาแก้ไข → เด็กจะมั่นใจว่าความรักยังคงอยู่แม้ทำผิดพลาด และค่อย ๆ ลดความจำเป็นต้อง “เอาแต่ใจ” เพื่อทดสอบพ่อแม่

---
เบื้องหลังความเอาแต่ใจของลูก คือความไม่มั่นใจว่าตัวเองยังเป็นที่รัก → ถ้าพ่อแม่ใจเย็น เด็ดขาด และคุมอารมณ์ได้ ลูกจะมั่นใจในความรัก และพฤติกรรมเรียกร้องเกินเหตุก็จะค่อย ๆ ลดลง

เป็นกำลังใจให้นะคะ 🙂

---
ด่วน! เหลือ 2 ที่ คลาส “ #เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ลูกคุยได้ทุกเรื่อง” เรียน 14 กันยานี้ที่โรงแรมจัสมิน ราคา 9,500 บาทต่อท่าน มา 2ท่าน ลด 5% , มา 4 ท่าน ลด 10 % ลงทะเบียนเรียนแอดไลน์ https://lin.ee/IT43gvK (หมอเสาวภา-คลาสเรียนพ่อแม่)

หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

ถ้าลูกด่าคุณด้วยคำหยาบ เพราะความโกรธ...คุณอาจโมโหลูก แล้วสั่งให้ขอโทษเดี๋ยวนี้ หรืออาจลงโทษด้วยการตบปาก!... หมอรู้ว่า เด...
31/08/2025

ถ้าลูกด่าคุณด้วยคำหยาบ เพราะความโกรธ...
คุณอาจโมโหลูก แล้วสั่งให้ขอโทษเดี๋ยวนี้ หรืออาจลงโทษด้วยการตบปาก!...

หมอรู้ว่า เด็กทำผิดแน่ๆ แต่ความโกรธของคุณ อาจทำให้คุณโฟกัสการสอนที่ผิดทิศทาง!!

หากคุณโฟกัสที่คำหยาบ แล้วมุ่งลงโทษประเด็นนี้ มันอาจเท่ากับ คุณไม่ซีเรียสเรื่องลูกโมโหรุนแรงหรือ?

ตกลง คุณซีเรียสเรื่องอะไร.. เรื่องโมโหแล้วไม่จัดการอารมณ์ หรือ พูดหยาบ หรือ ทั้งสอง?

หากโฟกัสทั้งสองอย่าง ค่อย ๆ นึก ช้าๆ นะคะ #คำด่าคำหยาบจะมาตอนโมโห ใช่มั๊ย?

ถ้าอย่างนั้น
1. หากลูก "ไม่ต้องโมโหบ่อยๆ" (ไม่ถูกแหย่) คำหยาบก็จะไม่มี
และ
2. หากลูก “จัดการอารมณ์โกรธเป็น” คำหยาบก็ไม่น่าจะตามมา

โกรธแล้ว กรี๊ดออกมาดังๆ สักก้อนใหญ่ๆ ก็ยังดีกว่าพูดด่ามั๊ย
โกรธแล้ว ระบายเป็นคำพูดต่อว่าหรือบ่น ๆ ๆ ก็ยังดีกว่าพูดด่ามั๊ย
โกรธแล้วออกไปเตะหิน เตะดินให้กระจุย ก็ยังดีกว่าพูดด่ามั๊ย
โกรธแล้ว เดินออกไป ก็ยังดีกว่าพูดด่ามั๊ย
โกรธแล้ว เข้าห้องปิดประตู ก็ยังดีกว่าพูดด่ามั๊ย


คุณอนุญาตให้ลูกแสดงอารมณ์โกรธออกมาแบบไหน???
หรือ ให้เงียบ ให้กลืนก้อนความโกรธกลับเข้าไปข้างใน!!

หมอคิดว่า คุณคงไม่อยากให้ลูกเก็บกด ใช่มั๊ยคะ ถ้า ใช่ คุณต้องมีทางออกให้ลูก และทางออกที่ดีที่สุดคือ การได้ระบายออกมาในบรรยากาศที่ปลอดภัย ซึ่งคุณควรจะเป็นคนที่สร้างพื้นที่ปลอดภัยนี้....

คุณควรมีท่าทียอมรับลูกที่ไม่น่ารัก สามารถอยู่ใกล้ๆพร้อมรับฟังปัญหาของลูก ลองมองข้ามคำด่า แล้วสัมผัสความเจ็บปวดของลูกดู หมอรู้ว่ามันไม่ง่าย.. แต่ขอให้เราไม่หลงลืมที่จะเป็นต้นแบบของความสงบ นึกให้ทัน ลูกโกรธแล้วด่าเรา มันไม่ถูกต้องก็จริง แต่เราควรใจเย็น ไม่ทิ้งให้ลูกเจ็บปวดและโดดเดี่ยวทางใจ... ใจเย็น ๆ เอาน้ำเย็บเข้าลูบ ไม่ได้ให้ตามใจนะ... แต่ให้เข้าใจความเจ็บปวดของลูก อยู่ใกล้ๆ ไม่ซ้ำลูกด้วยอารมณ์โกรธของเรา และสอนลูกว่า “แม่รู้ลูกโมโห โมโหอะไรพูดออกมา แต่อย่าด่าแม่ คำด่าไม่ช่วยให้แม่เข้าใจลูกเลย”

เมื่อใดที่คุณ จัดการอารมณ์โกรธเป็น ช่วยลูกจัดการอารมณ์ด้วยใจที่สงบนิ่งพอ.. คุณจะได้เห็นลูกเลิกพูดหยาบใส่คุณ ไปเอง จริงๆค่ะ เพราะ... คำหยาบมาพร้อมความโกรธ เมื่อใดที่ลูกไม่ต้องรองรับพลังโกรธจากคุณ ความรุนแรงในจิตใจของเขาจะลดลง และเมื่อคุณคุมอารมณ์โกรธได้ ลูกก็จะเรียนรู้การคุมอารมณ์จากคุณ คำหยาบที่เตรียมพุ่งใส่คุณก็จะหายไป....

#ความโกรธคือความเจ็บปวด ลูกไม่ได้อยากเป็นเด็กไม่ดี............
ด่วน! คลาส “เป็นพื้นที่ปลอดภัย ให้ลูกคุยได้ทุกเรื่อง” เรียน 14 กันยานี้ที่โรงแรมจัสมิน ราคา 9,500 บาทต่อท่าน มา 2ท่าน ลด 5% , มา 4 ท่าน ลด 10 % ลงทะเบียนเรียนแอดไลน์ https://lin.ee/IT43gvK (หมอเสาวภา-คลาสเรียนพ่อแม่)

#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

ซ่อมแซมความสัมพันธ์กับลูก ด้วยการใช้เวลากับลูกมากขึ้น รับฟังลูกมากขึ้น เปิดใจมากขึ้น และยอมรับในตัวลูกให้มากขึ้น 🥰.....ป...
24/08/2025

ซ่อมแซมความสัมพันธ์กับลูก ด้วยการใช้เวลากับลูกมากขึ้น รับฟังลูกมากขึ้น เปิดใจมากขึ้น และยอมรับในตัวลูกให้มากขึ้น 🥰.....
ประกาศ! คลาส “เป็นพื้นที่ปลอดภัย ให้ลูกคุยได้ทุกเรื่อง” เรียน 14 กันยานี้ที่โรงแรมจัสมิน ราคา 9,500 บาทต่อท่าน มา 2ท่าน ลด 5% , มา 4 ท่าน ลด 10 % ลงทะเบียนเรียนแอดไลน์ https://lin.ee/IT43gvK (หมอเสาวภา-คลาสเรียนพ่อแม่)

#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

เสียงซุบซิบ…เรื่องเล็กที่ไม่เล็กเลย“แม่ หนูว่าพวกเขาซุบซิบเรื่องหนู”คำพูดที่ดูเหมือนเล็กน้อย แต่ในใจเด็กกลับเต็มไปด้วยคว...
19/08/2025

เสียงซุบซิบ…เรื่องเล็กที่ไม่เล็กเลย

“แม่ หนูว่าพวกเขาซุบซิบเรื่องหนู”
คำพูดที่ดูเหมือนเล็กน้อย แต่ในใจเด็กกลับเต็มไปด้วยความไม่สบายใจและความหวาดระแวง ความกังวลต่อเสียงซุบซิบอาจไม่ใช่อารมณ์ชั่วคราว ในเด็กบางคน หากปล่อยไว้นาน อาจบั่นทอนพัฒนาการด้านอารมณ์ สังคม และความมั่นใจในตัวเองของลูกได้....
กังวลต่อเสียงซุบซิบ ไม่ดียังไง?

1. บั่นทอนความมั่นใจในตนเอง
เด็กๆเป็นวัยที่ต้องการการยอมรับจากเพื่อน ๆ หากหมกมุ่นกับความคิดว่า “คนอื่นกำลังจับผิดหรือพูดถึงตน” จะลดการกล้าแสดงออก และไม่กล้าลองสิ่งใหม่ ๆ เพราะกลัวว่าจะผิดพลาด

2. ความเครียดสะสมเรื้อรัง
หากสมองลูกอยู่ในภาวะกังวลตลอดเวลา ก็แปลว่า มีการกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติที่สูงเกินไป ฮอร์โมนความเครียดก็หลั่งบ่อยขึ้น → บางคน นำไปสู่อาการทางกายได้ เช่น นอนไม่หลับ หงุดหงิดง่าย หรือไม่ค่อยมีสมาธิ ซึ่งหากพ่อแม่ไม่ทราบก็อาจคิดว่า ลูกเหลวไหล ไม่ตั้งใจเรียนเอง

3. ภาพลักษณ์ตนเองบิดเบี้ยว
เมื่อเด็กเชื่อว่า “เสียงซุบซิบ = การวิจารณ์เรา” จะเกิดการตีความเชิงลบต่อตัวเอง ทำให้ self-esteem ลดต่ำลง และอาจค่อย ๆ หลีกเลี่ยงสังคม ซึ่งความเป็นจริง เพื่อนอาจไม่ได้พูดถึงเราก็ได้ เด็กหลายคนไม่ได้มองมุมนี้ ก็อาจแยกตัวจากกลุ่มเพื่อน อยู่คนเดียวมากขึ้น เข้าห้องสมุดบ่อยขึ้น คุณพ่อคุณแม่ก็อาจคิดว่า ไม่มีปัญหาแล้ว แต่จริงๆปัญหาถูกกลบไว้ต่างหาก ....
สาเหตุที่ทำให้เด็กไวต่อเสียงซุบซิบ (และสิ่งที่พ่อแม่ทำได้)

🔹 รูปแบบการเลี้ยงดูที่มีการเปรียบเทียบบ่อย ๆ
เด็กที่ได้ยินว่า “ดูสิทำไมไม่เก่งเหมือนพี่” หรือ “เพื่อนยังทำได้เลย” จะโตมาไวต่อการถูกตัดสิน
👉 สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ: เปลี่ยนจากการเปรียบเทียบเป็นการ “เห็นคุณค่าเฉพาะตัว” เช่น “แม่ดีใจที่หนูตั้งใจทำเลข แม้ยังไม่เสร็จ แต่ความพยายามของหนูชัดเจนมาก” ซึ่งเด็กแต่ะละคนไม่เหมือนกัน ลูกอาจเก่งด้านอื่น ที่ไม่ใช่วิชาการก็ได้ หาให้เจอแล้วช่วยให้ลูกรู้ความเจ๋งของตนเองในด้านนั้น ให้ได้.. เสียงซุบซิบจะมีผลกับลูกลดลง

🔹 บรรยากาศในบ้านเข้มงวดหรือมีการวิจารณ์,ตำหนิมากไป
บ้านที่เต็มไปด้วยเสียงตัดสิน จะหล่อหลอมให้เด็กคิดว่า #ทุกเสียงคือการจับผิด
👉 สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ: ลดโทนการวิจารณ์เชิงตำหนิ หันมาใช้ “คำแนะนำเชิงสร้างสรรค์” เช่น “ถ้าเราลองเขียนช้าลงอีกนิด อาจอ่านง่ายขึ้น” แทนคำว่า “ลายมือไม่สวยเลย” ให้ท่องไว้ว่า ลูกพัฒนาได้ โดยไม่ต้องเจ็บปวด

🔹 บุคลิกภาพและพื้นอารมณ์ของเด็ก ( temperament )
เด็กบางคนอ่อนไหวโดยธรรมชาติ รับความรู้สึกจากรอบข้างแรงกว่าคนอื่น ตรงนี้เป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด พ่อแม่จึงควรเข้าใจลูก
👉 สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ: ไวต่อความรู้สึกของลูก รับฟัง ให้เวลา ไม่ควรเพิกเฉยหรือตัดบทบ่อยๆ จนลูกรู้สึกว่า อารมณ์เป็นสิ่งผิดปกติ รวมทั้งฝึกทักษะการจัดการอารมณ์ตั้งแต่เล็ก ๆ เช่น ฝึกให้ลูกได้ระบายออก โดยพ่อแม่อยู่ข้างๆ (co-regulation) ฝึกหายใจเพื่อผ่อนคลาย (ในยูทูปมีเยอะแยะเลย), ฝึกเขียนบันทึกความรู้สึก เพื่อให้ลูกได้ “ปล่อยออก” แทนที่จะกดทับไว้ ข้อนี้ บ้านเราไม่ค่อยทำกัน แต่จริงๆมันดีมากนะคะ อยากให้ลองทำดู

🔹 ประสบการณ์ตรงจากโรงเรียนหรือเพื่อน
เช่น เคยถูกหัวเราะ ถูกล้อ หรือถูกเมินเฉย สิ่งเหล่านี้ทิ้งร่องรอยทางใจ
👉 สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ: ไม่ควรมองเป็นเรื่องเล็กว่าเด็กแค่เล่นกัน (ยกเว้นเราแน่ใจว่าลูกไม่เป็นไรจริงๆ) โดยพ่อแม่อาจจะพูดคุยเพื่อ validate ความรู้สึก “แม่เข้าใจว่าตอนนั้นหนูคงเสียใจมาก” รับฟังลูกแล้วค่อยๆหาวิธีแก้ปัญหา ถ้าเหตุการณ์เกิดซ้ำ ๆ จนเป็น pattern ควรประสานครูหรือโรงเรียน เพื่อให้การดูแลจากระบบร่วมกัน ไม่ใช่ให้ลูกเผชิญคนเดียว
....
หากลูกกังวลไปแล้ว พ่อแม่ควรทำอย่างไร

1. ฟังโดยไม่รีบแก้ ข้อนี้สำคัญมากๆ
เวลาลูกบอกว่ากังวล อย่าเพิ่งพูดว่า “อย่าคิดมาก” แต่ให้ฟังจนจบ เพราะสิ่งที่ลูกต้องการที่สุดคือการได้รับการยอมรับความรู้สึก

2. สะท้อนอารมณ์ให้ลูกเห็นว่าถูกเข้าใจ
เช่น “หนูคงไม่สบายใจเลย เวลาคิดว่าเพื่อนพูดถึงหนู” การสะท้อนนี้ช่วยให้เด็กรู้ว่าเขาไม่ได้โดดเดี่ยว

3. ช่วยฝึกแยกข้อเท็จจริงกับความคิด
เวลาลูกเล่าว่า “เพื่อนซุบซิบหนู” พ่อแม่อาจใช้วิธีถาม-ตอบง่าย ๆ เพื่อให้เขาฝึกแยก

ตัวอย่างเช่น
ลูก: “เพื่อนต้องกำลังพูดถึงหนูแน่เลย”
พ่อแม่: “หนูได้ยินเขาพูดชื่อหนูหรือเปล่า?”
ลูก: “ไม่ แต่หนูเห็นเขามองแล้วหัวเราะ”
พ่อแม่: “งั้นสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงคือ หนูเห็นเพื่อนมองแล้วหัวเราะ แต่สิ่งที่เป็นความคิดของหนูคือ เขากำลังพูดถึงเรา ถูกไหม?”

พอเด็กเริ่มเห็นว่า “ข้อเท็จจริง” กับ “การตีความ” ไม่เหมือนกัน เขาจะเริ่มรู้ทันความคิดตัวเองมากขึ้น

🔸 กรณีที่ “ลูกตีความเอง” ไม่ใช่ข้อเท็จจริง
บางครั้ง ลูกอาจตีความจากสายตา ท่าทาง หรือเสียงหัวเราะของคนอื่น เช่น

“เขามองแล้วต้องหัวเราะเยาะหนูแน่ ๆ”
“เพื่อนกระซิบกัน ต้องกำลังพูดถึงหนู”

สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือ #ไม่รีบปฏิเสธ แต่ค่อย ๆ ชวนลูกตรวจสอบความคิดของตัวเอง เช่น

-ถามว่า “หนูมั่นใจแค่ไหนว่าเขาพูดถึงเรา?”
หรือ
-สอนให้คิดมุมอื่น “เป็นไปได้ไหมว่าเขาหัวเราะเรื่องอื่น?”
หรือ
-ฝึกให้ลูกบอกตัวเองว่า *“นี่อาจเป็นแค่ความคิด ไม่ใช่ความจริง”* แล้วหันไปสนใจสิ่งที่สำคัญกว่าตรงหน้า

🔸 กรณีสิ่งที่ซุบซิบ “เป็นเรื่องจริง”
บางครั้งเสียงซุบซิบก็เป็นเรื่องจริง เช่น เพื่อนพูดว่า “เขาเรียนไม่เก่ง” หรือ “เขาตัวเตี้ย”

สิ่งที่พ่อแม่ควรสอนคือ #อย่าเอาความจริงนั้นมาทำร้ายใจ แต่ใช้มันเป็นแรงเรียนรู้แทน

ถ้าเพื่อนพูดว่า “เขาเขียนช้า” → พ่อแม่อาจชวนลูกคิดว่า “ใช่ เราเขียนช้ากว่าคนอื่นจริง แต่เรากำลังฝึกให้ดีขึ้นทุกวัน และ “ความพยายาม” ในทุกๆวัน คือสิ่งที่พ่อแม่ภูมิใจในตัวหนูมากๆ”

ถ้าเพื่อนพูดว่า “เขาตัวเตี้ย” → พ่อแม่ควรช่วยลูกเข้าใจว่า “จริงอยู่ ที่เราตัวเล็กกว่าบางคน แต่นั่นไม่ได้ทำให้หนูมีคุณค่าน้อยลงเลย”

ลูกจะเรียนรู้ว่า แม้บางเรื่องจะเป็นข้อเท็จจริง แต่เขามีสิทธิเลือกว่าจะ “มองความจริงนั้นอย่างไร” (และพ่อแม่ก็ต้องมองในแบบนั้นด้วย ไม่ใช่เอาปมด้อยลูกมาแซวหรือดุด่า)

4. เสริม self-esteem จากคุณค่าภายใน
#ชมลูกในสิ่งที่เป็น ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ เพื่อให้เขารู้ว่ามีคุณค่าโดยไม่ขึ้นกับคำพูดรอบข้าง เช่น ลูกมีเด็กมีน้ำใจ ลูกเป็นเด็กที่มีความพยายาม เป็นต้น (อย่ารอชมเฉพาะสิ่งที่ลูกทำได้ เพราะนั่นจะทำให้ลูก ตีคุณค่าตัวเองได้น้อย)

5. ฝึกทักษะการรับมือที่ใช้ได้จริง
เช่น เทคนิคการหายใจเข้า - ออกช้า ๆ เพื่อสงบใจ หรือการพูด assertive แบบสุภาพว่า “ถ้ามีอะไรอยากบอก บอกเราตรง ๆ กับเราได้เลยนะ” ตรงนี้ ลูกต้องมีความมั่นใจระดับหนึ่ง พ่อแม่จึงควรอ่านและนำไปใช้ทั้งหมด อย่าเลือกข้อนี้ข้อเดียว )

สรุปค่ะ
เสียงซุบซิบเป็นสิ่งที่เราห้ามไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือ “สอนให้ลูกไม่ยกอำนาจให้กับเสียงเหล่านั้น” เด็กที่เรียนรู้ว่าเสียงรอบข้างมีจริง แต่เสียงในใจตนเองสำคัญกว่า จะเติบโตขึ้นเป็นคนที่มั่นคงและเชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเอง 😊

และทั้งหมดนี้เริ่มจากพ่อแม่ที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ลูกก่อนเสมอ🥰....
ด่วน! เหลือ 4 ที่นั่ง คลาส “เป็นพื้นที่ปลอดภัย ให้ลูกคุยได้ทุกเรื่อง” เรียน 14 กันยานี้ที่โรงแรมจัสมิน ราคา 9,500 บาทต่อท่าน มา 2ท่าน ลด 5% , มา 4 ท่าน ลด 10 % ลงทะเบียนเรียนแอดไลน์ https://lin.ee/IT43gvK (หมอเสาวภา-คลาสเรียนพ่อแม่)

#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

ที่อยู่

โรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์
Bangkok
10250

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ หมอเสาวภา เลี้ยงลูกเชิงบวกผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง หมอเสาวภา เลี้ยงลูกเชิงบวก:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram