28/07/2025
จากคุณหมอเทอด หมอพัฒนาการเด็ก อ่านแล้วอยากส่งต่อให้ทุกๆท่าน เราจะเข้าใจเด็กๆและครอบครัวลึกซึ้งขึ้น ส่วนผู้ที่ทำงานด้านนี้ ก็จะได้ประโยชน์ค่ะ
บทบาททีมช่วยเหลือเด็กและครอบครัวในภาวะสงคราม
รศ.นพ.เทอดพงศ์ ทองศรีราช
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
บทนำ: เรื่องเล่าจากแนวชายแดน
แม้สักวันหนึ่งเสียงปืนจากเหตุปะทะไทย-กัมพูชาจะเริ่มเบาลง สิ่งที่ยังไม่เงียบเลยคือเสียงในใจที่เจือความกลัว ความสับสน จากเหตุการณ์และการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับเด็กและครอบครัวในพื้นที่ ผมได้รับทราบข่าวจากเครือข่ายที่ทำงานด้านเด็กในพื้นที่ว่า ผลกระทบทางอารมณ์และพฤติกรรม ของเด็กและครอบครัวนั้นลึกซึ้งกว่าที่ภาพข่าวสะท้อนออกมา และอาจกลายเป็นบาดแผลยาวนานในอนาคต หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
#สงครามไม่ว่าจบเร็วแค่ไหนผลต่อเด็กยาวเสมอ คือคำพูดของศาสตราจารย์ด้านการเลี้ยงดูเด็กที่พูดกับผมเมื่อหลายปีก่อน ตอนท่านชวนผมทำวิจัยเรื่อง Parenting in Times of War ซึ่งแม้ผมจะปฏิเสธในตอนนั้นเพราะไม่สะดวกและกังวลหากต้องไปเก็บวิจัยที่ซีเรียในช่วงนั้น แต่คำพูดนี้ก็ยังฝังอยู่ในใจ
ในวันนี้ เมื่อสถานการณ์ขัดแย้งเกิดขึ้นในประเทศของเราเอง และเด็กไทยกำลังเผชิญกับ การปะทะ ที่ไม่มีใครอยากเรียกว่าสงคราม แต่จากงานวิจัยเป็นที่แน่นอนว่าที่สิ่งกำลังเกิดขึ้นส่งผลกระทบแบบเดียวกับสงครามแน่นอน เป็นโอกาสดีที่ทางพี่กอบกาญจน์จากสหทัยมูลนิธิ และพี่เจ สุดใจ จากแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่านได้ขอให้ช่วยเหลือทางวิชาการในการเตรียมข้อมูลให้กับอาสาสมัครที่เตรียมลงพื้นที่ช่วยเหลือทำให้ต้องกลับมาทบทวนว่า เราควรช่วยเหลือเด็กและครอบครัวในสถานการณ์นี้อย่างไร
ความเปราะบางของพ่อแม่ = ความเสี่ยงของเด็ก
งานวิจัยวิเคราะห์อภิมานของ Eltanamly et al. (2021) ได้สรุปบทเรียนจากสงครามในหลายประเทศว่า การที่พ่อแม่และลูก "อยู่ร่วมกันในพื้นที่สงคราม" (co-exposure) ส่งผลให้พฤติกรรมการเลี้ยงดูเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน เช่น
🔶พ่อแม่อบอุ่นน้อยลง
🔶ใช้ความรุนแรงในการเลี้ยงดูมากขึ้น
🔶ขาดความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมลูกอย่างเหมาะสม
สิ่งเหล่านี้นำไปสู่ปัญหาทางสุขภาพจิตของเด็ก เช่น ความวิตกกังวล, ภาวะซึมเศร้า, ปัญหาพฤติกรรม, และ คุณภาพชีวิตที่ถดถอยแม้สถานการณ์ในอีสานใต้จะไม่ใช่ สงครามเต็มรูปแบบ แต่มีลักษณะของ การอยู่ในพื้นที่เสี่ยง (living under threat) และ การย้ายถิ่นแบบเร่งด่วน (displacement) ซึ่งตามงานวิจัยพบว่าให้ผลคล้ายกันในการเปลี่ยนพฤติกรรมของครอบครัว (Eltanamly et al., 2021; Slone & Mann, 2016)....
หลักฐานเชิงวิชาการ: #เด็กคือผู้ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงในภาวะสงคราม
บทความของ Bhutta et al. (2016) ที่ตีพิมพ์ใน The Lancet รายงานว่า“ครึ่งหนึ่งของผู้ลี้ภัยทั่วโลกคือเด็ก และเด็กที่อยู่ในพื้นที่สงครามหรือถูกอพยพจากพื้นที่เสี่ยง ล้วนเผชิญภาวะเครียดเรื้อรัง ซึมเศร้า ความรุนแรงทางกายและใจ และสูญเสียความรู้สึกปลอดภัย” บทความนี้ยังชี้ให้เห็นอีกว่า การให้ความช่วยเหลือด้านอาหารและที่พักเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอต่อการป้องกัน
ผลกระทบทางสุขภาพจิตระยะยาวของเด็ก
4 ระดับของการช่วยเหลือจิตสังคม: แนวทางจาก Jordans et al. (2016)
Jordans และคณะ ได้สังเคราะห์รูปแบบการช่วยเหลือเด็กในภาวะสงครามไว้ใน 4 ระดับ ซึ่งเรียงลำดับจากพื้นฐานที่สุดไปสู่ระดับเฉพาะทาง ซึ่งผมจะขอสื่อง่ายๆเป็นการช่วยเหลือเด็ก 4 ป. ดังนี้
ระดับที่ 1: Social considerations in basic services and security หรือสร้างความ “ปลอดภัย” ให้ครอบครัว เน้นการจัดหา ความปลอดภัย น้ำ อาหาร ที่พัก เป็นสิ่งที่ ต้องทำทันที แต่ไม่ควรหยุดอยู่แค่นั้น
ระดับที่ 2: Strengthening community and family supports หรือการ “ปลอบขวัญ” เด็กและครอบครัว เสริมพลังของชุมชน ครอบครัว ในพื้นที่ความขัดแย้งเพื่อทำให้เขาสามารถอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดนั้นได้อย่างมีสุขภาวะทางจิตที่ดีขึ้นระดับหนึ่ง ตัวอย่างเช่น สร้างพื้นที่เล่น พื้นที่อ่านนิทาน กิจกรรมสื่อสารในครอบครัว ตั้งกลุ่มให้พ่อแม่ได้มีโอกาสพูดคุยและช่วยเหลือกันและกัน
ระดับที่ 3: Focused non-specialised supports หรือการ “ป้องกัน” การเกิดปัญหาทางจิตใจในระยะยาว” ให้การช่วยเหลือสุขภาพจิตขั้นพื้นฐานโดยเจ้าหน้าที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญโดยตรงแต่ใกล้ชิด เช่น ครู อสม. โดยอาจมีการอบรมให้ความรู้พื้นฐานก่อนหากไม่มั่นใจ กิจกรรมเช่น การให้คำปรึกษาแบบกลุ่ม การอบรมพ่อแม่แบบ psychoeducation การปรับพฤติกรรมในห้องเรียน
ระดับที่ 4: Specialised services หรือการ “เปิดบริการ” ให้ผู้มีปัญหาทางจิตที่ต้องการการปรึกษาได้เข้าถึงได้ง่าย บริการสุขภาพจิตโดยผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยาสำหรับเด็ก หรือผู้เลี้ยงดูที่มีภาวะ PTSD หรือ ภาวะป่วยทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรง
บทความนี้จะเน้นการช่วยเหลือ ระดับที่ 2 และ 3 “ปลอบขวัญ” และ “ป้องกัน” ปัญาหาทางจิตใจของเด็กและครอบครัว ที่แม้ไม่ใช่การรักษา แต่กลับเป็น หัวใจของการป้องกันความเสียหายระยะยาวให้กับเด็กและครอบครัวได้
#ช่วยให้พ้นภัยต้องทำมากกว่าแค่ปลอดภัย
การให้เต็นท์ ที่นอน และอาหารแม้เป็นสิ่งที่จำเป็นในช่วงแรกแต่ไม่เพียงพอเพราะสิ่งที่เด็กต้องการมากกว่า “ที่อยู่” คือ “ที่พักพิงทางใจ” ซื่งพ่อแม่เป็นได้ในภาวะปกติแต่อาจหายไปในภาวะสงคราม ในฐานะนักวิชาการด้านการเลี้ยงดูเด็ก ผมจึงมีข้อเสนอในการทำงานช่วยเหลือในพื้นที่ชายแดนที่มีการปะทะในปัจจุบัน หรือพื้นที่ใดก็ตามที่เด็กถูกกระทบจากความไม่มั่นคง สั้นๆดังต่อใปนี้ สิ่งที่อย่างเน้นย้ำคือควรให้ความช่วยเหลือทำระดับที่ 1 ปลอดภัย และ 2 ปลอบขวัญ ควบคู่กันตั้งแต่ช่วงแรก
แนวทางปฏิบัติในภาคสนามสำหรับการช่วยเหลือเด็กและครอบครัวในช่วงแรก
ระดับ 1 สิ่งที่ควรทำ
จัดพื้นที่ปลอดภัย ตัวอย่าง ศูนย์พักพิง จุดแจกอาหาร
ระดับ 2 สิ่งที่ควรทำ
พื้นที่เล่านิทาน พื้นที่เล่น มุมหนังสือ มุมนิทาน
กลุ่มพ่อแม่พูดคุยกัน แชร์ประสบการณ์ และแบ่งปันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ระดับ 2–3 สิ่งที่ควรทำ
สื่อสารอย่างปลอดภัย เช่น การอบรบพ่อแม่ผู้ปกครอง, การสื่อสาร การเล่น และปรับตัวกับลูกในภาวะสงคราม
ระดับ 3 สิ่งที่ควรทำ
อบรมจิตอาสาในพื้นที่ Mental health literacy....
10 ข้อควรรู้และและควรทำสำหรับทีม NGO เพื่อช่วยเหลือเด็กและครอบครัวในภาวะสงคราม
1. เข้าใจว่าพฤติกรรมการเลี้ยงดูเปลี่ยนไปในสงคราม และส่งผลต่อเด็กโดยตรง
พ่อแม่ที่เผชิญสงครามมักแสดงความรุนแรงมากขึ้นและอบอุ่นน้อยลง ซึ่งเป็นตัวกลางสำคัญที่เชื่อมโยงระหว่างสงครามกับปัญหาทางจิตใจในเด็ก เช่น PTSD ซึมเศร้า และพฤติกรรมเกเร
แนวทาง: ทีมดูแลเด็กสามารถอบรมผู้เลี้ยงดูให้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเอง และแนวทางจัดการได้
2. ประเภทของภัยสงครามส่งผลต่อรูปแบบการเลี้ยงดูต่างกัน
การอยู่ในพื้นที่เสี่ยง (เช่น อยู่ในเมืองที่อาจถูกยิงหรือ ระเบิดตกใส่) มักนำไปสู่การเลี้ยงดูแบบ overprotective ส่วนการพลัดถิ่นหรือขาดรัฐคุ้มครอง มักพบความรุนแรงและไม่เอาใจใส่เด็กเพิ่มขึ้น
แนวทาง: ทีมดูแลเด็กควรประเมินบริบทภัยสงครามของครอบครัว และออกแบบกิจกรรมให้เหมาะสมตามบริบท
3. เสริมสร้างความเชื่อมั่นในบทบาทพ่อแม่ (Parental Self-Efficacy)
พ่อแม่ที่รู้สึกไร้พลังหรือหมดหวังมักมีแนวโน้มใช้วิธีเลี้ยงดูที่รุนแรงหรือเพิกเฉยการต่อเด็ก
แนวทาง: จัดกิจกรรมกลุ่มหรือให้คำปรึกษาเพื่อฟื้นฟูความมั่นใจของพ่อแม่
4. ส่งเสริมความอบอุ่นในครอบครัว (Parental Warmth)
ความอบอุ่นจากพ่อแม่เป็นปัจจัยปกป้องเด็กจากภาวะเครียด วิตก ซึมเศร้า แม้ในภาวะสงคราม
แนวทาง: สร้างกิจกรรมให้พ่อแม่ได้ใช้เวลากับลูก เช่น เล่น อ่านหนังสือ ร่วมกัน
5. ลดความรุนแรงทางวาจาและร่างกายในบ้าน
การลงโทษรุนแรงส่งผลให้เด็กเรียนรู้พฤติกรรมก้าวร้าว และลดความรู้สึกปลอดภัยในบ้าน
แนวทาง: สอนเทคนิค positive discipline และ emotion regulation แก่พ่อแม่แบบสั้นๆ เหมาะกับบริบท
6. ฟื้นฟูบทบาทของบ้านให้เป็น 'พื้นที่ปลอดภัย'
เด็กที่รู้สึกปลอดภัยทางจิตใจจากครอบครัวมีแนวโน้มฟื้นตัวจากสงครามได้ดีขึ้น
แนวทาง: ช่วยเหลือสนับสนุนพ่อแม่ให้เป็นแหล่งพึ่งพิงทางใจของเด็กโดยการพูดคุยเรื่องการสื่อสาร และการทำความเข้าใจเด็กตามพัฒนาการแต่ละช่วงวัย
7. ป้องกันการตัดขาดจากการศึกษาและพัฒนา
เด็กที่ขาดโอกาสเรียนหรือเล่นจะมีพัฒนาการถดถอยและรู้สึกหมดคุณค่า
แนวทาง: สร้างศูนย์เรียนรู้ชั่วคราว พื้นที่เล่นปลอดภัย หรือกิจกรรมเสริมทักษะในศูนย์พักพิง
8. ให้ความช่วยเหลือเชิงจิตสังคมแก่พ่อแม่และเด็ก
การมีปัญหาสุขภาพจิตของพ่อแม่สัมพันธ์กับการเลี้ยงดูที่ไม่ตอบสนอง ซึ่งส่งผลต่อเด็ก
แนวทาง: คัดกรองภาวะเครียดหรือ PTSD และเชื่อมโยงกับหน่วยงานสนับสนุนทางสุขภาพจิต
9. สร้างระบบสนับสนุนจากชุมชน
พ่อแม่ที่มีเครือข่ายหรือกลุ่มสนับสนุนจะมีสุขภาพจิตและความสามารถในการดูแลลูกดีขึ้น
แนวทาง: ตั้ง peer group หรือกลุ่มพ่อแม่แบ่งปันประสบการณ์และการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
10. อย่าลืมมองเด็กในฐานะ "ผู้รอดชีวิต" ไม่ใช่ "เหยื่อ"
การส่งเสริมความยืดหยุ่น (resilience) และความสามารถในการฟื้นตัวจะช่วยให้เด็กไม่ติดอยู่กับความทรงจำที่เลวร้าย
แนวทาง: ออกแบบกิจกรรมที่สร้างพลังบวก เช่น กลุ่มนิทานเล่าประสบการณ์ผ่านวีรบุรุษในชีวิตจริง แต่ควรระวังในรายที่อาจมีภาวะ PTSD
สรุป
การเยียวยาเด็กในภาวะสงคราม ไม่ใช่แค่เรื่องของข้าว น้ำ และยารักษาโรค แต่คือการรักษาหัวใจของมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่ยังไม่ทันได้เข้าใจโลก แต่กลับถูกทำให้เจ็บปวดจากสิ่งที่เขาไม่ได้ก่อ อย่ารอให้เด็กมี “อาการ” จงเริ่ม “ดูแล ฟื้นฟู” สร้างความสัมพันธ์ที่ปลอดภัยและอ่อนโยน ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของเหตุการณ์ได้ดีที่สุดครับ
เอกสารอ้างอิง
1. Bhutta, Z. A., Keenan, W. J., & Bennett, S. (2016). Children of war: Urgent action is needed to save a generation. The Lancet, 388(10051), 1275–1276. https://doi.org/10.1016/S0140-6736(16)31577-X
2. Eltanamly, H., Leijten, P., Jak, S., & Overbeek, G. (2021). Parenting in times of war: A meta-analysis and qualitative synthesis of war exposure, parenting, and child adjustment. Trauma, Violence, & Abuse, 22(1), 147–160. https://doi.org/10.1177/1524838019833001
3. Jordans, M. J., Pigott, H., & Tol, W. A. (2016). Interventions for children affected by armed conflict: A systematic review of mental health and psychosocial support in low and middle-income countries. Current Psychiatry Reports, 18(1), 9. https://doi.org/10.1007/s11920-015-0648-z
4. Jones, T. L., & Prinz, R. J. (2005). Potential roles of parental self-efficacy in parent and child adjustment: A review. Clinical Psychology Review, 25(3), 341–363. https://doi.org/10.1016/j.cpr.2004.12.004
5. Samuelson, K. W., Wilson, C., Padrón, E., Lee, S., & Gavron, L. (2016). Maternal PTSD and children’s adjustment: Parenting stress and emotional availability as proposed mediators. Journal of Clinical Psychology, 73(6), 693–706. https://doi.org/10.1002/jclp.22369
6. Silove, D., Sinnerbrink, I., Field, A., Manicavasagar, V., & Steel, Z. (1997). Anxiety, depression and PTSD in asylum-seekers: Associations with pre-migration trauma and post-migration stressors. British Journal of Psychiatry, 170(4), 351–357. https://doi.org/10.1192/bjp.170.4.351
7. Slone, M., & Mann, S. (2016). Effects of war, terrorism and armed conflict on young children: A systematic review. Child Psychiatry & Human Development, 47(6), 950–965. https://doi.org/10.1007/s10578-016-0626-7
เป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้
#หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก