02/07/2025
มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ห่างไกล HIV ต้องรู้วิธีป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วยยา PrEP และยา PEP 💊
ยา PrEP และยา PEP เหมือนหรือต่างกันอย่างไร❓
วัตถุประสงค์ของยา คือ การต้านเชื้อ HIV เหมือนกัน แต่หลักการทำงานของยาต่างกัน
● ยา PrEP (ยาต้านก่อนเสี่ยง-ทานก่อนเสี่ยง)
ป้องกันความเสี่ยงก่อนการติดเชื้อ HIV โดยต้องทานต่อเนื่องเพื่อสร้างระดับยาในเลือดและเนื้อเยื่อให้เพียงพอในการสกัดกั้นเชื้อ HIV ที่อาจเข้าสู่ร่างกาย
● ยา PEP (ยาต้านฉุกเฉิน-ทานหลังเสี่ยง)
ลดความเสี่ยง กรณีที่อาจได้รับเชื้อ HIV โดยยาจะเข้าไปยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อ หลังจากที่อาจได้รับเชื้อแล้ว ก่อนที่เชื้อ HIV จะเข้าสู่เซลล์และขยายตัวต่อไป
ควรใช้ยาตัวไหน พิจารณาจากอะไร❓
● จะใช้ยา PrEP ได้ต้องวางแผนล่วงหน้าว่าจะมีเพศสัมพันธ์ เช่น ผู้ที่มีคู่นอนติดเชื้อ HIV หรือไม่ทราบผลเลือดของคู่นอน, ผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย, ผู้ให้บริการทางเพศ กลุ่มชายรักชายหรือบุคคลข้ามเพศ
***ยา PrEP ทานได้ 2 รูปแบบ คือ
1) ทานเป็นประจำทุกวัน (Daily PrEP) วันละ 1 เม็ด 1 ครั้ง อย่างน้อย 7 วัน หรือจนกว่าจะหมดความเสี่ยง
2) ทานเฉพาะช่วงที่มีความเสี่ยง (On-demand) กรณีที่วางแผนหรือรู้ล่วงหน้าว่าจะมีความเสี่ยง โดยใช้สูตรหน้า 2 หลัง 2 คือ ทาน 2 เม็ด ภายใน 2-24 ชั่วโมง ก่อนมีความเสี่ยง โดยทานต่อเนื่องวันละเม็ดตลอดช่วงที่มีความเสี่ยง และปิดท้ายหลังความเสี่ยงต่ออีก 2 วัน
● จะใช้ยา PEP ได้ต้องอยู่ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น เช่น ผู้ที่โดนล่วงละเมิดทางเพศ (ใช้ยาทันทีโดยไม่ต้องรอผลตรวจของอีกฝ่าย), ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน, ผู้ที่สัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อ HIV, ถุงยางรั่ว ฉีกขาดหรือหลุดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับอุบัติเหตุ มีดบาด เข็มตำจากการทำหัตถการให้คนไข้
***รีบทานยา PEP ให้ไวที่สุด ภายในไม่เกิน 72 ชั่วโมง หากเกินกว่านั้น ไม่จำเป็นต้องรับยา เพราะ ไม่เกิดประโยชน์ในการป้องกันการติดเชื้อ แต่ควรมาตรวจเลือดหลังจากวันที่ได้รับความเสี่ยงอย่างน้อย 14-21 วัน และการทานยา PEP จะต้องทานจนครบ 28 วัน
🚩 ข้อควรรู้
● ทั้งยา PrEP และยา PEP ถือเป็นยาควบคุมพิเศษ ไม่สามารถซื้อทานได้เองโดยเด็ดขาด ต้องได้รับการตรวจประเมินจากแพทย์และติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
● ก่อนทานยา PrEP จะต้องมีการตรวจเลือด โดยผลเลือดต้องเป็นลบ, ตรวจการทำงานของตับ-ไต เพื่อป้องกันผลข้างเคียงจากยา, ตรวจไวรัสตับอักเสบ B และ C รวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ร่วมด้วย
● ยา PEP ถูกใช้ในกรณีเร่งด่วน ดังนั้น มักเริ่มยาได้ทันทีหลังประเมินความเสี่ยงจากแพทย์และผลตรวจเลือดเป็นลบ จากนั้นค่อยนัดตรวจเพิ่ม ได้แก่ ตรวจหาเชื้อ HIV, ตรวจการทำงานของตับ-ไต, ตรวจไวรัสตับอักเสบ B และ C รวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ
● ระยะเวลาในการใช้ยาและหยุดยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ ห้ามหยุดยาเอง โดยจะต้องมีการตรวจเลือดและติดตามประสิทธิภาพของยา และตรวจหาเชื้อ HIV และตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์นัดหมาย
● ทั้งยา PrEP และยา PEP ช่วยลดความเสี่ยงจาก HIV เท่านั้น! ไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ และการตั้งครรภ์ ดังนั้น ควรสวมใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
⚠ มีเพศสัมพันธ์อย่างสนุก แต่ชีวิตต้องสงบ เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายรับเชื้อ HIV แล้ว จำเป็นต้องทานยาต้านไวรัสไปตลอดและไม่สามารถกำจัดเชื้อให้หมดไปจากร่างกายได้ และเมื่อใดก็ตามที่ละเลย ไม่รับการรักษาอย่างต่อเนื่องก็สามารถกลายเป็นโรคเอดส์ได้ ซึ่งจะทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายค่อย ๆ ถูกทำลายลงจนไม่สามารถต้านทานโรคต่าง ๆ ได้ในที่สุด
สถานการณ์การแพร่ระบาดของ HIV ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ HIV ป้องกันได้ ด้วยความห่วงใยจาก GPO
#องค์การเภสัชกรรม