Atopalm Thai Atopalm: Best Skincare for Sensitive Skin All formulations are dermatologically tested, pH balanced, gentle and highly effective for people of all ages.

ATOPALM MLE is a moisturizing, paraben-free skin care line designed for those who suffer from dry, sensitive and sun-damaged skin. Their star ingredient is the patented MLE (Multi Lamellar Emulsion), which contains plant-derived ingredients that closely mimic our skin's own natural lipid function, to restore depletion of our natural moisture and prevent future moisture loss. Developed by Dr. Byeon

g-Deog Park, who was inspired after his own children had atopic dermatitis, each ATOPALM MLE formula is designed to moisturize, soothe and calm skin that's prone to allergies, rosacea, eczema and other dry and sensitive skin conditions. After receiving praise from around the world, and patents in Korean and the U.S., ATOPALM MLE has become well-known for their advanced, exceptional, high efficacy products. They promote soothing repair and healing moisture in the epidermis, resulting in skin that's comfortable, healthy and younger-looking.

🧳ชาวออฟฟิศพุ่งด่วน! 5.5นี้ลดจัดเต็มมาก กระเป๋าเป้ AMERICAN TOURISTER ใบใหญ่ใส่ได้จุใจ​ เหลือแค่พันนิดๆเท่านั้น สายบุนุ่ม...
05/05/2025

🧳ชาวออฟฟิศพุ่งด่วน! 5.5นี้ลดจัดเต็มมาก กระเป๋าเป้ AMERICAN TOURISTER ใบใหญ่ใส่ได้จุใจ​ เหลือแค่พันนิดๆเท่านั้น สายบุนุ่มซัพพอร์ตหลังดีเว่อร์ สายแบกกดลงตะกร้าเลย อย่าลืมเก็บโค้ดก่อนช้อป!😍

🗓️4(2ทุ่ม)-7 พ.ค. 68

ชื่อสินค้า: AMERICAN TOURISTER กระเป๋าเป้สะพายหลังใส่โน้ตบุ๊ค 17 นิ้ว รุ่น BRETT BACKPACK ASR

https://s.lazada.co.th/s.wWOeL?cc

#รู้เรื่องลดสดเรื่องดีล

ว่าด้วยเรื่องของ Guideline DLP ของไทยปี 2024 เนี่ย....ผมว่าเป็น Guideline ที่ทำออกมาอ่านง่ายแล้วก็ข้อมูลกระชับดีมากครับเ...
02/02/2025

ว่าด้วยเรื่องของ Guideline DLP ของไทยปี 2024 เนี่ย....

ผมว่าเป็น Guideline ที่ทำออกมาอ่านง่ายแล้วก็ข้อมูลกระชับดีมากครับ
เลยอยากทำเป็นสรุปแบบ one-page เก็บไว้เปิดดูตอนออก OPD เพราะผมก็จำไม่ค่อยได้ว่าแต่กลุ่มต้อง Target เท่าไหร่, หรือควรร่วมด้วย statin intensity ไหนเลยดี https://www.thaidietetics.org/?p=10090
ขอแปะลิ้ง Guideline เพื่ออยากอ่านตัวเต็มนะครับ
https://web.facebook.com/share/p/1CxsC6S7sF/
หรืออยากลองอ่านแบบสรุปจากเพจอ.ครรชิตก็สรุปดีมากๆครับ เป็นอีกเพจที่น่าติดตาม
อันนี้ไม่เกี่ยวกับความรู้แต่เป็นบ่นแบบเบาบาง 55 เนื่องจากรพ.ผมตอนนี้เรียกได้ว่าอยู่ในวิกฤตการเงิน (1.จริงๆก็อยู่มานานแล้ว 2.มีรพช.ไหนในไทยบอกที่การเงินไม่ติดลบ) ก็เลยมีการคุยกันเรื่องการลดค่าใช้จ่าย
และการจ่าย statin ก็เป็น 1 ในประเด็น โดย Atorvas จะมีราคาที่แพงกว่า simvas เค้าก็เสนอกันว่าในคนไข้กลุ่ม Primary prevention ที่มี LDL ไม่ได้เป้า (กลุ่มที่ควร step ไปใช้ high intensity statin) ขอให้ใช้ simvas + LSM ไปก่อน หรือกลุ่ม Established ASCVD อาจจะขอให้ยึดตามไกด์ไลน์เก่า keep LDL 70 ไปก่อน อะไรประมาณนี้ครับ
ซึ่งผมก็คิดว่า โอ้วอะไรมันจะขนาดนั้นเลยหรอ...ก็อาจจะขนาดนั้นจริงๆก็ได้ครับเพราะตอนนี้ค่าเงินพิเศษต่างๆก็เริ่มค้างกันแล้ว 55555
แต่ถึงอย่างนั้นในคนไข้ที่มันไม่ achieve goal จริงๆผมก็ step up atorvas อยู่ดี เพราะคิดว่าถ้าเกิดดวงซวยเป็น ACS ขึ้นมาน่าจะเสียค่าใช้จ่ายกว่าเดิม
รพ ของเพื่อนๆมีอะไรแนวนี้มั้ยครับลองแชร์กันมาได้ครับ

For PDF https://drive.google.com/file/d/11IPPtmoujcUgSOL1NK_f1Z0e7Vl-h5A6/view?usp=drive_link

[infectious medicine, ambulatory medicine, general medicine, general practitioner] ขอ repost อีกรอบนะครับ มีคนตามหาตาราง...
04/05/2024

[infectious medicine, ambulatory medicine, general medicine, general practitioner]
ขอ repost อีกรอบนะครับ มีคนตามหา
ตารางปรับ dose atb ที่สำคัญนะครับ

ของรพธ. ครับผม

ของเล่นเด็กมีเยอะแยะมากมายแต่จะซื้ออะไร เล่นอะไรดีถึงจะคุ้มค่า กระตุ้นพัฒนาการได้เต็มที่หมอรวบรวมมาไว้ในโพสนี้อย่าลืมติด...
11/04/2024

ของเล่นเด็กมีเยอะแยะมากมาย
แต่จะซื้ออะไร เล่นอะไรดีถึงจะคุ้มค่า กระตุ้นพัฒนาการได้เต็มที่

หมอรวบรวมมาไว้ในโพสนี้
อย่าลืมติดตาม และช่วยแชร์กันด้วยนะคะ
ใครอยากพบเจอพูดคุยกัน รอ คลินิกเด็กDr.Nada เร็วๆนี้ค่า

หลานม่า ผู้กำกับเหมือนเอาเรามาฆ่าให้ตาย เชื่อว่าหลายท่านคงได้เห็นตัวอย่างของภาพยนตร์ไทยเรื่องหลานม่า ผลงานล่าสุดของ GDH ...
02/04/2024

หลานม่า ผู้กำกับเหมือนเอาเรามาฆ่าให้ตาย

เชื่อว่าหลายท่านคงได้เห็นตัวอย่างของภาพยนตร์ไทยเรื่องหลานม่า ผลงานล่าสุดของ GDH กันแล้ว แน่นอนขอรับเชื่อว่าหลายคนคงพอรู้แนวทางของภาพยนตร์ ข้าพเจ้าเองก็เช่นกัน

ส่วนตัวของข้าพเจ้านั้นความน่าสนใจของหลานม่าในความรู้สึกแรกเลยคือ สถานีรถไฟตลาดพลู เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นคนสมุทรสาครบ้านอยู่ในตลาดมหาชัย ดังนั้นการเดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าจึงต้องใช้รถไฟสายกรุงเทพฯวงเวียนใหญ่เพื่อเดินทาง จนกระทั่งช่วงที่เข้ามาเรียนชั้นมัธยม จวบจนมหาวิทยาลัยก็ยังคงใช้รถไฟเส้นนี้ประจำ เนื่องเพราะว่าถนนพระรามสองนั้นยังสร้างไม่เสร็จ (แน่นอนขอรับ จนถึงตอนนี้ คือไม่เคยสร้างให้เสร็จตลอดทั้งสายเลย สร้างถนนเสร็จสะพานไม่เสร็จ สะพานเสร็จถนนซ่อมใหม่ ถนนนซ่อมเสร็จ ขยายถนนต่อ ขยายถนนเสร็จ ขยายสะพาน ถนนกับสะพานเสร็จ ซ่อมต่อ ซ่อมเสร็จ ทำทางต่างระดับ)

ข้ามเรื่องถนนพระรามสองไปนะขอรับ เดี๋ยวจะกลายเป็นเพจสุขชาวบ้าน ดังนั้นการเดินทางด้วยรถไฟ จึงเป็นการเดินทางที่ใช้ประจำและสถานีที่สวยและดูดีที่สุดของรถไฟเส้นนี้ก็คือสถานตลาดพลูที่อุดมไปด้วยร้านรวงของกินที่น่าอร่อยมากมาย

ดังนั้นข้าพเจ้ากับสถานที่ถ่ายทำหลัก(บ้านอาม่า) จึงนับว่ามีความใกล้ชิดและชินตากันมาแต่เยาว์วัย ทำให้ข้าพเจ้าสนใจภายนตร์เรื่องนี้เป็นพิเศษ

ส่วนอีกประเด็นก็คือ การเติบโตขึ้นมาในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนแน่นอนขอรับว่าข้าพเจ้าก็เติบโตมาในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน วันที่หนังเรื่องจะออกฉาย (๔ เมษายน) ก็เป็นวันเช้งเม้งของที่บ้าน ที่ลูกหลานจะเดินทางไปรวมกันทำบุญให้กับบรรพบุรุษ ซึ่งตัวภาพยนตร์หลานม่าก็เปิดเรื่องที่งานเช้งเม้งเช่นกัน

หลานม่านับว่าเป็นภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดค่านิยม ความคิดอ่านของคนไทยเชื้อสายจีนออกมาได้อย่างดี ทุกความรู้สึกที่คนรุ่นพ่อหรือคนรุ่นเรามีนั้นล้วนมีครบครันในภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้งวันรวมญาติ การแสดงออกซึ่งความรักของคนในครอบครัว ความรู้สึกของการเป็นพี่ชายคนโต ลูกสาวคนกลาง และลูกคนเล็ก

ซึ่งความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในการแสดงออกถึงความรักที่พ่อแม่คนจีนมีต่อลูก ละความรู้สึกของลูกหลานที่มีต่อญาติผู้ใหญ่นั้นมีความใกล้เคียงกันเกือบหมดทุกครอบครัว

“ถ้าผมเป็นลูกที่ใช้การไม่ได้มากกว่านี้ป๊าม้าจะรักและดูแลผมมากกว่านี้ไหม?”
“ถ้าหนูไม่ได้เกิดมาเป็นลูกสาว หนูคงได้ความสำคัญมากกว่านี้หรือเปล่า?”
“สำหรับป๊ากะม้าคนที่สำคัญที่สุดก็เฮียคนโตนั่นแหละไม่ใช่ผม”

หรือแม้กระทั่งคนที่เป็นแม่เองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าสำหรับลูกๆแล้ว แม่รักลูกคนไหนมากที่สุด

ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้มักจะถูกอธิบายด้วยกาลเวลา รอจนลูกๆเติบโตขึ้นมาเป็นพ่อแล้วถึงค่อยเข้าใจ แต่แน่นอนขอรับ

ความเข้าใจไม่ใช่ความรู้สึก

ลูกๆทุกคนก็ยังอยากให้พ่อแม่รักตัวของเขาเป็นที่หนึ่งอยู่ดี บางครอบครัวที่แตกร้าวกันในตอนที่แบ่งสมบัตินั้นอาจจะไม่ใช่เพราะว่าตัวสมบัติที่ได้รับ แต่เป็นความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ที่มีต่อตัวบุพการี

หลานม่านั้นมีองค์ประกอบมากมายที่สามารถทำให้คนลูกหลานไทยเชื้อสายจีนเชื่อมโยงกับมันได้อย่างง่ายดาย หนังไม่ได้ประดิษฐ์คำพูดหรือฉากที่ทำให้ผู้ชมซาบซึ้ง เพียงแต่มันสามารถทำให้เราล้มหงายท้องได้ด้วยประโยคง่ายๆอย่าง

“กินอะไรมาหรือยังล่ะ?” ประโยคธรรมดาๆที่อยู่สถานการณ์ที่........ ย่อมทำให้ผู้ชมหลั่งน้ำตาได้ง่ายดาย

สำหรับเรื่องการแสดงไม่รู้รู้จะสรรเสริญอย่างไรเพราะนักแสดงทั้งทีมแสดงได้ส่งเสริมกันเหลือเกิน พวกเขาแสดงเพื่อขับเคลื่อนเรื่องราวออกมาได้อย่างธรรมชาติราวกับเรานั่งดูชีวิตของคนข้างบ้านอย่างไรอย่างนั้น

หลานม่าเป็นภาพยนตร์ที่ข้าพเจ้าเชื่อเหลือนเกินว่าหากชีวิตท่านมีประสบการณ์ร่วมแม้เพียงสักหน่อย ท่านจะถูกผู้กำกับนำพาท่านไปย่ำยี หากท่านอดทนไม่อ่อนไหวได้ในฉากแรก ก็ยังจะมีฉากที่สองและสามรอเล่นงานท่านอยู่ และแม้ข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะรอดแล้ว หนังยังมีท่าไม้ตาย แบบไม่ต่อยก็ต้องตายอีกอยู่ดี

ดูจบก็ต้องให้”หลานม่า” เป็นที่หนึ่งจริงๆแหละขอรับ

หลานม่า ผู้กำกับเหมือนเอาเรามาฆ่าให้ตาย

เชื่อว่าหลายท่านคงได้เห็นตัวอย่างของภาพยนตร์ไทยเรื่องหลานม่า ผลงานล่าสุดของ GDH กันแล้ว แน่นอนขอรับเชื่อว่าหลายคนคงพอรู้แนวทางของภาพยนตร์ ข้าพเจ้าเองก็เช่นกัน

ส่วนตัวของข้าพเจ้านั้นความน่าสนใจของหลานม่าในความรู้สึกแรกเลยคือ สถานีรถไฟตลาดพลู เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นคนสมุทรสาครบ้านอยู่ในตลาดมหาชัย ดังนั้นการเดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าจึงต้องใช้รถไฟสายกรุงเทพฯวงเวียนใหญ่เพื่อเดินทาง จนกระทั่งช่วงที่เข้ามาเรียนชั้นมัธยม จวบจนมหาวิทยาลัยก็ยังคงใช้รถไฟเส้นนี้ประจำ เนื่องเพราะว่าถนนพระรามสองนั้นยังสร้างไม่เสร็จ (แน่นอนขอรับ จนถึงตอนนี้ คือไม่เคยสร้างให้เสร็จตลอดทั้งสายเลย สร้างถนนเสร็จสะพานไม่เสร็จ สะพานเสร็จถนนซ่อมใหม่ ถนนซ่อมเสร็จ ขยายถนนต่อ ขยายถนนเสร็จ ขยายสะพาน ถนนกับสะพานเสร็จ ซ่อมต่อ ซ่อมเสร็จ ทำทางต่างระดับ)

ข้ามเรื่องถนนพระรามสองไปนะขอรับ เดี๋ยวจะกลายเป็นเพจสุขชาวบ้าน ดังนั้นการเดินทางด้วยรถไฟ จึงเป็นการเดินทางที่ใช้ประจำและสถานีที่สวยและดูดีที่สุดของรถไฟเส้นนี้ก็คือสถานตลาดพลูที่อุดมไปด้วยร้านรวงของกินที่น่าอร่อยมากมาย

ดังนั้นข้าพเจ้ากับสถานที่ถ่ายทำหลัก(บ้านอาม่า) จึงนับว่ามีความใกล้ชิดและชินตากันมาแต่เยาว์วัย ทำให้ข้าพเจ้าสนใจภายนตร์เรื่องนี้เป็นพิเศษ

ส่วนอีกประเด็นก็คือ การเติบโตขึ้นมาในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนแน่นอนขอรับว่าข้าพเจ้าก็เติบโตมาในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน วันที่หนังเรื่องจะออกฉาย (๔ เมษายน) ก็เป็นวันเช้งเม้งของที่บ้าน ที่ลูกหลานจะเดินทางไปรวมกันทำบุญให้กับบรรพบุรุษ ซึ่งตัวภาพยนตร์หลานม่าก็เปิดเรื่องที่งานเช้งเม้งเช่นกัน

หลานม่านับว่าเป็นภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดค่านิยม ความคิดอ่านของคนไทยเชื้อสายจีนออกมาได้อย่างดี ทุกความรู้สึกที่คนรุ่นพ่อหรือคนรุ่นเรามีนั้นล้วนมีครบครันในภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้งวันรวมญาติ การแสดงออกซึ่งความรักของคนในครอบครัว ความรู้สึกของการเป็นพี่ชายคนโต ลูกสาวคนกลาง และลูกคนเล็ก

ซึ่งความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในการแสดงออกถึงความรักที่พ่อแม่คนจีนมีต่อลูก และความรู้สึกของลูกหลานที่มีต่อญาติผู้ใหญ่นั้นมีความใกล้เคียงกันเกือบหมดทุกครอบครัว

“ถ้าผมเป็นลูกที่ใช้การไม่ได้มากกว่านี้ป๊าม้าจะรักและดูแลผมมากกว่านี้ไหม?”
“ถ้าหนูไม่ได้เกิดมาเป็นลูกสาว หนูคงได้ความสำคัญมากกว่านี้หรือเปล่า?”
“สำหรับป๊ากะม้าคนที่สำคัญที่สุดก็เฮียคนโตนั่นแหละไม่ใช่ผม”

หรือแม้กระทั่งคนที่เป็นแม่เองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าสำหรับลูกๆแล้ว แม่รักลูกคนไหนมากที่สุด

ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้มักจะถูกอธิบายด้วยกาลเวลา รอจนลูกๆเติบโตขึ้นมาเป็นพ่อแม่แล้วถึงค่อยเข้าใจ แต่แน่นอนขอรับ

ความเข้าใจไม่ใช่ความรู้สึก

ลูกๆทุกคนก็ยังอยากให้พ่อแม่รักตัวของเขาเป็นที่หนึ่งอยู่ดี บางครอบครัวที่แตกร้าวกันในตอนที่แบ่งสมบัตินั้นอาจจะไม่ใช่เพราะว่าตัวสมบัติที่ได้รับ แต่เป็นความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ที่มีต่อตัวบุพการี

หลานม่านั้นมีองค์ประกอบมากมายที่สามารถทำให้คนลูกหลานไทยเชื้อสายจีนเชื่อมโยงกับมันได้อย่างง่ายดาย หนังไม่ได้ประดิษฐ์คำพูดหรือฉากที่ทำให้ผู้ชมซาบซึ้ง เพียงแต่มันสามารถทำให้เราล้มหงายท้องได้ด้วยประโยคง่ายๆอย่าง

“กินอะไรมาหรือยังล่ะ?” ประโยคธรรมดาๆที่อยู่สถานการณ์ที่........ ย่อมทำให้ผู้ชมหลั่งน้ำตาได้ง่ายดาย

สำหรับเรื่องการแสดงไม่รู้จะสรรเสริญอย่างไรเพราะนักแสดงทั้งทีมแสดงได้ส่งเสริมกันเหลือเกิน พวกเขาแสดงเพื่อขับเคลื่อนเรื่องราวออกมาได้อย่างธรรมชาติราวกับเรานั่งดูชีวิตของคนข้างบ้านอย่างไรอย่างนั้น

หลานม่าเป็นภาพยนตร์ที่ข้าพเจ้าเชื่อเหลือเกินว่าหากชีวิตท่านมีประสบการณ์ร่วมแม้เพียงสักหน่อย ท่านจะถูกผู้กำกับนำพาท่านไปย่ำยี หากท่านอดทนไม่อ่อนไหวได้ในฉากแรก ก็ยังจะมีฉากที่สองและสามรอเล่นงานท่านอยู่ และแม้ข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะรอดแล้ว หนังยังมีท่าไม้ตาย แบบไม่ต่อยก็ต้องตายอีกอยู่ดี

ดูจบก็ต้องให้” #หลานม่า” เป็นที่หนึ่งจริงๆแหละขอรับ

เด็กดื้อ2024 ตอนที่ 50 จบองค์ประกอบ 10 ข้อที่ควรพิจารณาเมื่อพบว่าลูกเริ่มไม่ฟังข้อ 10 ทำงาน ทำงาน ทำงานการทำงานไม่เหมือน...
29/03/2024

เด็กดื้อ2024 ตอนที่ 50 จบ

องค์ประกอบ 10 ข้อที่ควรพิจารณาเมื่อพบว่าลูกเริ่มไม่ฟัง

ข้อ 10 ทำงาน ทำงาน ทำงาน

การทำงานไม่เหมือนการอ่านหรือการเล่นตรงที่ไม่สนุก

ความไม่สนุกคือ EF

เพราะ EF คือความสามารถของสมองในการควบคุมตนเองผ่านเรื่องยาก น่าเบื่อ นาน จนกว่าจะถึงเป้าหมาย

การทำงานมิเพียงสร้างนิสัยดีแต่สร้างวงจรประสาทอดเปรี้ยวไว้กินหวานด้วย และหากทำดีๆวงจรประสาทนี้ทำตัวคล้ายๆกับวงจรเสพติดทั้งหลายนั่นคือมีอาการถอนได้ด้วยถ้าวันไหนไม่ทำงาน

คล้ายๆการออกกำลังกายทุกวัน ทำจนติดเมื่อไรวันไหนไม่ได้ออกกำลังกายก็จะรู้สึกถอน

การทำงานและการออกกำลังกายมีอาการถอนไม่มากนักเหตุเพราะความสุขที่ได้จากการทำงานหรือการออกกำลังกายมิใช่ความสุขรวดเร็วฉาบฉวยเหมือนติดยาติดพนัน ต้องการเวลาฝึก

อย่าลืม เรามีเวลา

#เด็กดื้อ2024

ข้อเขียน เด็กดื้อ2024 จบตรงนี้

“อย่าลืม เรามีเวลา”

เราเองที่ทำเวลาหายไปไหนหมด?

โจผีสืบอำนาจ : สร้างภาพแสร้งทำดี สร้างบารมีวิถีใหม่โจผีเป็นบุตรคนรองของโจโฉถือเป็นปฐมกษัตริย์แห่งวุยก๊กเขาใช้ภาพลักษณ์ที...
21/03/2024

โจผีสืบอำนาจ : สร้างภาพแสร้งทำดี สร้างบารมีวิถีใหม่
โจผีเป็นบุตรคนรองของโจโฉ
ถือเป็นปฐมกษัตริย์แห่งวุยก๊ก
เขาใช้ภาพลักษณ์ที่ดีในการเอาชนะใจบิดา
จนได้ครองตำแหน่งผู้สืบทอด
และเป็นผู้พลิกโฉมหน้าแผ่นดินจีน
ล้มล้างราชวงศ์ฮั่นที่มีรากฐานสี่ร้อยกว่าปีลง
และสถาปนาราชวงศ์วุยขึ้นแทน
ทำให้เกิดสถานภาพสามก๊กอย่างเป็นทางการ
โจผีเป็นบุตรของโจโฉอันเกิดแต่นางเปียนซี
เดิมทีนั้นบุตรคนโตของโจโฉคือโจงั่ง
ซึ่งเกิดจากนางเล่าซีซึ่งตายไปก่อน
ติงฮูหยินภรรยาเอกจึงเลี้ยงดูโจงั่งมาเช่นบุตรในอุทร
ต่อมาโจงั่งถูกสังหารในสงครามปราบเตียวสิ้ว
อันเป็นผลเนื่องมาจากความหน้ามืดของโจโฉ
ที่หลงนางเจ๋าซืออาสะใภ้เตียวสิ้ว
ประมาทจนเป็นเหตุให้โจอันบิ๋นหลานชาย
เตียนอุย องครักษ์ประจำตัว
และโจงั่งบุตรชายคนโตต้องเสียชีวิตในการรบ
ติงฮูหยินโกรธมากจนแยกกันอยู่กับโจโฉ
โจโฉจึงยกนางเปียนซีเป็นภรรยาเอกแทน
นางเปียนซีมีบุตรชายอยู่สี่คน
ได้แก่ โจผี โจเจียง โจสิด และโจหิม
โจผีจึงกลายสถานะเป็นบุตรคนโตของภรรยาเอก
ผู้มีโอกาสสืบทอดตำแหน่งจากโจโฉมากที่สุด
แต่เมื่อนานวันเข้า
กลับกลายเป็นว่าโจโฉนั้นประทับใจโจสิดมากกว่าโจผีเสียอีก
เนื่องจากโจสิดมีความสามารถเชิงกวีที่โดดเด่น
และมีปฏิภาณไหวพริบที่ดี
โจโฉจึงลังเลใจไม่รู้จะตั้งใครเป็นผู้สืบทอด
โจผีเองในใจนั้นแสนกระสันอยากได้ตำแหน่ง
เพราะเป็นสิทธิ์ที่ตัวเองพึงได้มาแต่เดิม
ส่วนโจสิดนั้นเมื่อเห็นว่าตัวเองมีโอกาส
ก็มีความคาดหวังลึก ๆ เช่นกัน
ท่ามกลางสงครามเย็นของคุณชายทั้งสอง
เหล่าขุนนางของโจโฉหลายคนก็แบ่งฝักฝ่ายชัดเจน
ฝ่ายหนึ่งก็ผลักดันโจผี อีกฝ่ายก็ถือหางโจสิด
โจสิดนั้นถือได้ว่ามีความสามารถทางด้านกวีขั้นเอกอุ
เรียกได้ว่าถึงขั้นปฏิภาณกวี
คือสามารถแต่งได้ทุกที่ทุกเวลาที่ต้องการ
นอกจากนี้ยังคบหาเหล่าบัณฑิต
ทำให้เขาเป็นคนมีความรู้มากถือเป็นบัณฑิตคนหนึ่ง
โจโฉชื่นชมบุตรชายคนนี้มาก
เสียแต่ว่าโจสิดนั้นออกจะติดนิสัยเจ้าสำราญ
ชอบงานสังสรรค์และสุรายาเมา
ส่วนโจผีเองนั้นแม้ในเชิงกวีอาจไม่เท่าโจสิด
แต่ก็มีความสามารถในอักษรศาสตร์พอตัว
ทั้งยังติดตามโจโฉออกทำศึกตั้งแต่ยังเด็ก
และพอมีความสามารถในการบริหารบ้าง
ความลังเลใจของโจโฉนั้น
ถูกจับจ้องโดยเหล่าบุตรชายทั้งหลาย
ว่าบิดาจะมีท่าทางอย่างไร
และความระมัดระวังตัวเหล่านี้
ก็ส่งผลต่อพฤติกรรมที่ลูกแต่ละคนแสดงออกมา
โจสิดเลือกที่จะแสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที
เขาพยายามหาคำตอบล่วงหน้า
เพื่อมาแก้ปริศนาที่โจโฉบิดาได้ตั้งไว้
โจผีไม่ได้ทำแบบน้องชาย
เขาวางตัวสงบเสงี่ยม
อาจจะชำเลืองดูท่าทีบิดาและน้องชายบ้าง
แต่เขาไม่ได้แสดงตัวว่าอยากเป็นผู้สืบทอดจนออกนอกหน้า
รอจนถึงจังหวะที่โจสิดพลาดเอง
โจผีแม้เป็นบุตรที่มีอาวุโสสูงสุด
ทว่าเขาเองก็ไม่ได้มีความสามารถเฉพาะทางโดดเด่นเหมือนน้อง ๆ
อย่างโจเจียงน้องชายคนรองที่เก่งด้านการรบ ขี่ม้า ยิงธนู
หรือเหมือนอย่างโจสิดที่เก่งกาพย์กลอน
แต่โจผีก็เป็นบุตรที่มีความสามารถรอบด้านมากที่สุด
นอกจากความผิดพลาดของโจสิดแล้ว
ส่วนหนึ่งที่โจโฉเลือกโจผีเป็นผู้สืบทอด
เพราะโจผีวางตัวเป็นบุตรกตัญญูต่อบิดามารดา
เคารพนบน้อมแต่เหล่าแม่ทัพขุนนางอาวุโส
รวมถึงคำเตือนของกาเซี่ยงที่มีต่อโจโฉ
เรื่องการล่มสลายของตระกูลอ้วนเสี้ยวและเล่าเปียว
ที่ต้องพังลงเพราะปลดบุตรคนโตตั้งบุตรคนรอง
ทำให้พี่น้องต้องห้ำหั่นกันเอง
ส่งผลให้โจโฉตัดสินใจตั้งโจผีเป็นผู้สืบทอดในที่สุด
เมื่อโจโฉตาย
โจผีได้ขึ้นครองตำแหน่งวุยอ๋องแทนบิดา
เขาก็จัดการกำราบน้อง ๆ ทันที
โจเจียงเมื่อรู้ข่าวว่าพ่อตาย
ก็ยกกองกำลังมาจากเมืองเอียนเหลงมายังนครหลวง
โจผีจึงเข้าไปเจรจาจนโจเจียงยกทัพกลับเมืองเอียนเหลง
สำหรับโจสิด
โจผีเรียกความชำระความ
เนื่องจากหมั่นไส้ที่คอยแย่งชิงตำแหน่งกันมานาน
ยังดีที่ว่านางเปียนซีมารดาขอร้องชีวิตโจสิดไว้
แต่โจผีก็ไม่วายหาเหตุจะสังหารน้องชาย
เขาตั้งโจทย์ให้โจสิดแต่งกวีภายใน 7 ก้าว
ให้แต่งหัวข้อ “พี่น้อง” แต่ห้ามมีคำว่า “พี่น้อง”ในบทกลอน
จึงเป็นที่มาของบทกวีเจ็ดก้าวอันลือลั่นของโจสิด ความว่า
“เขาต้มถั่วด้วยถั่วเป็นต้นต้น
มันร้อนรนร้องลั่นจากอวยใหญ่
โอ้เกิดหน่อเดียวกันใช่ห่างไกล
เหตุไฉนเข่นฆ่าไม่ปราณี”
บทกวีนี้สะเทือนใจโจผีมาก
เพราะเขาเองเป็นกวีเหมือนกัน
โจผีตัดสินใจไม่ประหารน้องชาย
แต่ให้ลงโทษเนรเทศแทน
หลังจากจัดการเรื่องระหว่างพี่น้องแล้ว
โจผีก็มีดำริจะล้มล้างราชวงศ์ฮั่นตะวันออก
ซึ่งขณะนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ครองราชย์อยู่
สำหรับโจผีแล้ว
การล้มราชวงศ์ฮั่นมีความหมายกับสถานะของเขามาก
แตกต่างจากโจโฉผู้พ่อ
ที่แม้มีอำนาจล้นฟ้ามากกว่าองค์ฮ่องเต้
แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะล้มล้างราชวงศ์
ความแตกต่างระหว่างโจโฉกับโจผี
อยู่ที่เส้นทางการเติบโตของอำนาจ
หรืออาจจะเรียกได้ว่าสร้างเนื้อสร้างตัวมาคนละแบบกัน
สำหรับโจโฉนั้น
เขาลงทุนลงแรงบุกเบิกอำนาจของตัวเองมาตั้งแต่เริ่มต้น
และการเชิดชูฮ่องเต้บัญชาเหล่าขุนนาง
ก็เป็นนโยบายสำคัญ
ที่โจโฉใช้เป็นเครื่องมือในการกำจัดเหล่าขุนศึกต่าง ๆ ทั้งแผ่นดิน
อีกทั้งสถานะของโจโฉในทางพฤตินัยแล้ว
ยังเหนือกว่าฮ่องเต้ด้วยซ้ำ
จึงไม่จำเป็นที่เขาจะต้องสถาปนาราชวงศ์ใหม่แทนราชวงศ์ฮั่น
แต่สำหรับโจผี
เขารับตำแหน่งและทุกสิ่งอย่างสืบต่อจากบิดา
แม้จะติดตามบิดาออกศึกบ้าง
แต่ไม่อาจสร้างสมบารมีได้มากพอ
เพราะภายใต้ร่มเงาของโจโฉนั้น
โจผีไม่มีพื้นที่ให้สร้างตัวตนที่ชัดเจนได้เลย
การปลดเหี้ยนเต้ ล้มล้างราชวงศ์ฮั่น
จึงเป็นวิถีทางที่เขาต้องทำ
เพื่อเป็นการประกาศแสนยานุภาพบารมี
ให้ทั้งคนภายในและคนภายนอกได้เห็น
การก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ของโจผี
เป็นไปตามประเพณีที่ควรจะเป็น
เขาให้บรรดาขุนนางลิ่วล้อ
อ้างทุกอย่างที่เป็นสาเหตุให้เหี้ยนแต้สละราชสมบัติ
ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม
แม้กระทั้งโหราศาสตร์!
เมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ประกาศมอบราชบัลลังก์ให้
ก็ต้องแกล้งปฏิเสธสามครั้งก่อนตามธรรมเนียม
แล้วจึงตกลงรับราชสมบัติ
ปราบดาภิเษกเป็นพระเจ้าวุยบุ๋นเต้
และถวายพระยศย้อนหลังให้โจโฉเป็นเพราะเจ้าวุยบู๊เต้
สถาปนาราชวงศ์วุย
ในการสืบทอดกิจการใด ๆ ก็ตามจากรุ่นก่อนหน้าที่เก่งกาจกว่าเรามาก ๆ
บางครั้งเราไม่อาจสร้างบารมีได้ด้วยวิถีเดิมกับที่คนรุ่นก่อนทำมา
เนื่องจากคนในองค์กรเติบโตและร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมายาวนาน
ความคุ้นชินทำให้เกิดความคาดหวังว่า
ผู้ที่รับสืบทอดจะทำได้ดีกว่าเดิมหรือไม่
หากใช้วิถีทางแบบเดิม ๆ
แม้ว่าเราอาจจะสร้างผลลัพธ์เท่ากับเดิมหรือดีกว่า
แต่การรับรู้ของผู้คนอาจเกิดการเปรียบเทียบ
และความผูกพันอาจก่อให้เกิดอคติในการเปรียบเทียบนั้นได้
ผู้สืบทอดจึงพึงหาหนทาง
ที่จะสร้างบารมีของตนเองให้เกิดการยอมรับ
บางคนอาจจะเชี่ยวชาญในการสร้างบารมี
ด้วยวิธีเดียวกับคนรุ่นก่อน
แต่บางครั้งหากเราไม่สามารถทำได้เช่นคนรุ่นก่อน
ก็จำเป็นต้องสร้างการยอมรับขึ้นมาใหม่..ในรูปแบบของเราเอง
Cr.ภาพ ซีรีย์ The Advisors Alliance
เผยแพร่ครั้งแรก : https://premchaiword.wordpress.com/2016/11/23/สืบทอดอย่างโจผี-สร้างภา/

🔥   : บรูโน่ เฟอร์นานเดส ให้สัมภาษณ์เชิงลึกกับ A Bola หลายประเด็นด้วยกันเกี่ยวกับ 'ฟุตบอล' ที่รายล้อมกัปตันของแมนฯ ยูไนเ...
21/03/2024

🔥 : บรูโน่ เฟอร์นานเดส ให้สัมภาษณ์เชิงลึกกับ A Bola หลายประเด็นด้วยกันเกี่ยวกับ 'ฟุตบอล' ที่รายล้อมกัปตันของแมนฯ ยูไนเต็ด (ยาว แต่อยากให้อ่านจนจบนะครับ บางเรื่อง บรูโน่ไม่เคยพูดที่ไหนเลย)

ในบทสัมภาษณ์ตัวเต็ม ดูบอลกับแนทขออนุญาตข้ามบางคำถามจากต้นฉบับ เน้นไปที่วิธีคิดด้านแท็กติก , บุคลิกของเขาในสนาม , แนวทางการวางตัว รวมถึงอนาคตของเขากับทีม 'ปีศาจแดง' ด้วย

● ล่าสุดโรแบร์โต้ มาร์ติเนซเพิ่งเรียกคุณติดทีมชาติไป เขากำหนดให้บทบาทของคุณเป็นมิดฟิลด์ตัวกลาง (เบอร์ 8 ) รึเปล่า?

บรูโน่ : ไม่เลย ตอนแรกที่เราเล่นร่วมกัน เราใช้ระบบกองหลัง 3 คน , มิดฟิลด์ตัวกลาง 2 คน , มิดฟิลด์ตัวรุกที่เล่นด้านใน 2 คน หรือคุณอาจจะพูดว่า เบอร์ 10 สองคนก็ได้ , ปีก 2 คน และศูนย์หน้าตัวเป้า (จริงๆ มันคือ 3-4-3 แต่กลาง 4 คน จะยืนคนละไลน์กัน)

ตำแหน่งที่ผมถนัดคือ ไม่มิดฟิลด์ตัวกลาง 2 คน ก็คือมิดฟิลด์ตัวรุกที่เล่นด้านใน (Wide Playmakers) แต่พอเกมดำเนินไป ผมจะเห็นแบร์นาร์โด้ ซิลวา อยู่ด้านในผม และผมรู้สึกว่านั่นคือพลังงานในแบบที่มาร์ติเนซต้องการ การสลับตำแหน่งกันระหว่างผมกับแบร์นาร์โด้ ผมรู้ว่าเราทำมันได้ และเรารู้ว่าแต่ละคนต้องเล่นแบบไหน บางทีเราสลับตำแหน่งกัน เราไม่ได้คิดกันมาก่อนนะ แต่เวลาซ้อมแล้วมันเวิร์ค โค้ชเองก็รู้ว่าเราทำมันได้ เราเข้าใจกัน และเข้าขากันดี

ตอนแรก ผมแค่ต้องการลงเล่น ไม่ว่าจะตำแหน่งไหน เราแค่ต้องการลงเล่นให้ได้นานที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ การจะยืนตำแหน่งไหน มันไม่ได้แตกต่างกัน

● บางคนบอกว่าคุณอาจจะชอบที่จะจ่ายบอลจังหวะสุดท้าย (Key Pass) , ชอบยิงประตู ชอบจบสกอร์ ไม่ชอบถอยลงต่ำ มันจะทำให้การเล่นสนุกน้อยลง?

บรูโน่ : ไม่นะ คือ ถ้าเรามาดูนะ ผมเองคือคนที่ทำแอสซิสต์ได้มากที่สุด และทำประตูได้มากอยู่ 5-6 ประตู ผมจำไม่ได้นะ (บรูโน่ยิงได้ 6 ลูกในรอบคัดเลือกยูโร เป็นรอง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ 10 ประตู)

● ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องสถิติ จำนวนประตู เพราะเรื่องนั้นบรูโน่โดดเด่นอยู่แล้ว แต่เราพูดถึงบทบาทในสนาม และบางทีเขาอาจจะไม่โอเคกับการถอยไปเล่นไกลประตู

บรูโน่ : ไม่ๆ เพราะผู้จัดการทีม (มาร์ติเนซ) ให้ผมมีอิสระในการรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง และผมชอบที่จะเล่นกับบอล ตอนที่ผมเริ่มอาชีพค้าแข้ง ผมคือกองกลางเบอร์ 8 นะ (CM) ไม่ใช่เบอร์ 10 (CAM) แต่พอผมไปที่อิตาลี ผมกลายเป็นเบอร์ 10 มากกว่า แม้ว่าบางครั้งผมจะเล่นเป็นเบอร์ 8 ด้วย โดยเฉพาะตอนเล่นในโปรตุเกส U-21 โค้ชตอนนั้นคือรุย ฮอร์เก้ เขาเล่นแผนไดมอนด์ และผมคือเบอร์ 8 แทบจะน้อยมากที่จะได้ขึ้นไปเป็นเบอร์ 10 ซึ่งผมรู้สึกดีนะ ผมได้บอลมากขึ้น ผมเปลี่ยนจังหวะการเล่นของเกมได้ เร่งสปีดเกม , ดึงช้า และผมก็พาบอลเข้าไปในพื้นที่สุดท้ายได้เหมือนกัน

โค้ชให้ผมมีอิสระในการเคลื่อนที่เยอะมาก และอย่างที่ผมบอกไป การสลับตำแหน่งกับแบร์นาร์โด้ ทำให้ผมมีอิสระในการทำเกมรุก เพราะผมรู้ว่าบางที แบร์นาร์โด้ก็ชอบดร็อปต่ำลงเพื่อไปเก็บบอล ฉะนั้นมันคือการพยายามทำความเข้าใจระหว่างผู้เล่น 2 คน เพื่อดึงศักยภาพของแต่ละคนออกมาให้ได้มากที่สุด

ผมรู้ว่าผมสามารถให้บอลกับเขา เพื่อให้เขาไปกับบอล และทำลายสมาธิและโซนของผู้เล่นฝั่งตรงข้าม จากนั้นผมก็จะขยับขึ้นหน้าไปทีหลัง

พลังงานในทีม (โปรตุเกส) ก็ทำให้ผมขยับขึ้นสูงและเข้าพื้นที่สุดท้ายได้หลายครั้ง ที่เราคุยกันเรื่องการจ่ายบอลสุดท้าย (Key Pass) ผมชอบที่จะลงต่ำมากกว่านะ การที่มีปีกเร็วๆ หาพื้นที่ด้านบนทำให้ผมจ่ายบอลยาวได้ง่ายขึ้น นั่นคือสิ่งที่ผมชอบ

หลังจากผมวางบอลยาว ผมมักจะได้ยินเสียงเล็กๆ ที่บอกว่า 'เดี๋ยวนายได้ร้องแน่' เพราะพวกเขารู้ว่าการจ่ายบอลยาวคืออาวุธของผม เกมรอบคัดเลือกยูโรทำให้ผมได้เป็นตัวเองที่สุด แม้ว่าจะเริ่มต้นเกมด้วยการต้องยึดตำแหน่ง (แต่พอเล่นไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีตำแหน่งที่ตายตัว)

● ตำแหน่งเบอร์ 8 ของบรูโน่ ในโปรตุเกส ไม่ได้เหมือนกับที่แมนฯ ยูไนเต็ด แม้ว่าจะมีกระแสวิจารณ์เกี่ยวกับยูไนเต็ด ในการสร้างเกมในแผงมิดฟิลด์ มีการพูดว่าพวกเขาควรดึงเฟรงกี้ เดอ ยอง มาแก้สถานการณ์นี้ แต่กับการเล่นเป็นเบอร์ 8 ให้กับโปรตุเกส คุณได้คุยกับโค้ชบ้างไหมว่าอยากจะเล่นในแบบเดียวกัน ในเกมหลังๆ คุณยืนสูงคู่กับสก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ ตอนนี้บางจังหวะคุณยืนค้ำด้านหน้า

บรูโน่ : ตอนนี้ ผมเป็นหัวหอกเลยแหละ

● False-9 หรือ?

บรูโน่ : ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่ False-9 ผมจะไม่เคลื่อนที่แบบนั้น (เคลื่อนที่ตัวเปล่า ; Off The Ball ; เพื่อเปิดพื้นที่ให้เพื่อน) สิ่งที่ผมเล่น ไม่ใช่ False-9 ผมไม่คุ้นกับมันเลย ผมแค่พยายามที่จะเคลื่อนที่ในแบบที่โค้ช (เอริค เทน ฮาก) ต้องการ

เขาบอกให้ผมขยับลงไปหน่อย เพราะคุณภาพของผมไม่ได้อยู่ที่การยืนด้านบนสุดและต่อสู้กับเซนเตอร์แบ็กคู่ต่อสู้ แม้ว่าผมจะทำได้นะ และผมจะทำเต็มที่เมื่อจำเป็น เมื่อทีต้องการ

ผมเคยเล่นในฤดูกาลที่แล้วกับเทน ฮาก ในเกมกับเอฟเวอร์ตัน เล่นเป็นเบอร์ 6 (มิดฟิลด์ตัวต่ำ) ผมคิดว่านั่นคือหนึ่งในเกมที่ผมได้เล่นหลากหลายและสมบูรณ์แบบที่สุดในหลายบทบาท ในการจ่ายบอล , จัดระเบียบเกม , เล่นเกมรับ , ในด้านแท็กติก

บางครั้งผมคิดว่าช่วงท้ายอาชีพค้าแข้งผมอยากจะขยับลงไปอีก เพราะหลายคนที่เริ่มเล่นเป็นกลางรุก สุดท้ายจะถอยต่ำลงไปเล่นด้านหลังมากขึ้น นั่นคือบทบาทที่ผมชอบ ขยับต่ำลงไป ได้เห็นเกมมากขึ้น

กับตอนมีบอล มันทำให้ผมเล่นง่ายขึ้นมาก เพราะผมเห็นสนามกว้าง และนั่นคือแก่นที่ผมบอก เกี่ยวกับการจ่ายบอลสุดท้าย (Last Pass , Key Pass) ซึ่งหลายครั้งผมทำมันจากด้านหลัง ในเกมกับเอฟเวอร์ตัน เป็นเกมที่ผมสร้างโอกาสได้เยอะมาก แม้ว่าผมจะเล่นเป็นตัวต่ำ และไม่ได้เล่นเป็นกลางรุก

● เรากำลังพูดถึงการ 'Build Up' หรือสร้างเกมที่ยากลำบาก ของแมนฯ ยูไนเต็ด

บรูโน่ : การสร้างเกมไม่ได้มาจากแค่แผงเกมรับ , มิดฟิลด์ หรือตัวรุก หลายครั้งมันทำได้เพราะการเคลื่อนที่ จากองค์ประกอบต่างๆ ที่จำเป็นในทีม เพื่อให้เพื่อนๆ มีทางเลือกในการเล่นช็อตต่อไปให้มากที่สุด

ถ้าเรามีนักเตะที่เก่งบอล Transition (เล่นกับจังหวะเปลี่ยนการครองบอล) มันยากมากที่พวกเขาจะกลายเป็นนักเตะที่เล่นครองบอล (Possession) ได้เก่ง เราต้องเข้าใจว่าที่ยูไนเต็ด ปีกและกองหน้าของเรา (ไม่นับ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ที่ชอบดร็อปต่ำลงมาสร้างเกม พาบอลขึ้นหน้า เก็บบอลไว้กับตัว) เป็นนักเตะที่เล่นกับบอลโต้กลับได้เก่ง , เปลี่ยนจากรับเป็นรุก (Offensive Transition) ได้เก่ง พวกเขาต้องการบอลจากแนวลึก มากกว่าการให้บอลที่เท้าของพวกเขา การเล่นบอลกับเท้าของพวกเขาจะเกิดขึ้นเฉพาะในแดนสุดท้าย พวกเขาจะได้ดวล 1 ต่อ 1 กับเกมรับฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมที่สุดของพวกเขา

● มันต่างกันมากนะกับแมนฯ ซิตี้

บรูโน่ : อัตลักษณ์ของแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่เคยเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลแบบนั้น (บรูโน่ใช้คำว่า Supported Football น่าจะหมายถึง การเคลื่อนที่ของเพื่อนร่วมทีมแต่ละคน ใกล้ๆ กัน เพื่อสนับสนุนซึ่งกันและกัน ค่อยๆ พาบอลขึ้นหน้าด้วยบอลสั้น ขยับไปด้วยกัน) แต่นี่คือทีมที่เล่นด้วยความเข้มข้น และเล่นฟุตบอลเกมรุก นั่นคือแนวคิดของสโมสรแห่งนี้

บางครั้งเราเข้าใจผิดว่า ทุกทีมต้องเล่นแบบเน้นครองบอล ผมเองก็ชอบครองบอล ผมต้องการบอลเอาไว้กับตัวให้ได้มากที่สุด มันเห็นได้ชัดเลย เพราะผู้เล่นที่ต้องการเล่นกับบอล พวกเขาต้องการเก็บลูกเอาไว้ให้ได้มากที่สุด แต่มันไม่ใช่สไตล์ หรือแนวทางที่เรากำลังอยู่

มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเราที่จะเล่นแบบแมนฯ ซิตี้ เพราะที่ซิตี้ พวกเขามีปีกสายซัพพอร์ตเพื่อน (ขยับมาทำเกมด้านใน) และดวล 1 ต่อ 1 กับคู่ต่อสู้ได้ดี ผู้เล่นที่ชอบเล่นแบบซัพพอร์ต , ขยับมาทำเกมร่วมกับเพื่อนด้านใน ก็จะเล่นอีกแบบนึง ผมไม่สามารถขอให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด กับ อเลฮานโดร การ์นาโช่ ซึ่งเป็นปีกแท้ๆ (ในมุมของบรูโน่) ไปเล่นแบบเดียวกันกับผู้เล่นที่ตลอดชีวิตค้าแข้งเล่นเป็นเบอร์ 8 (CM) หรือเบอร์ 10 (กลางรุกได้) นั่นเป็นไอเดียที่ผิดพลาด

อย่าง แบร์นาร์โด้ เขาชอบอยู่ระหว่างไลน์ ชอบเล่นตรงกลางสนาม ซึ่งผมจะบอกว่า การสร้างเกม (Build-Up) จากด้านหลัง มันไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่คิด หลายคนคิดว่า ผู้เล่นทุกคนต้องเล่นในแบบที่คนอื่นเล่น ไม่นะ เพราะเราต่างก็มีคาแรกเตอร์ที่กำหนดอัตลักษณ์ของเราเอง และเราก็มักจะทำในสิ่งที่เราถนัดและทำอยู่เป็นประจำ ทุกคนชอบบอกว่า บรูโน่ ควรเก็บบอลให้มากกว่านี้ แต่ถ้าผมเล่นเป็นกลางรุก และบอลอยู่ระหว่างไลน์ และผมพยายามพลิกหลบ ถ้าบอลอยู่ระหว่างไลน์ ความกดดันมันจะสูงมากนะ (กองกลางฝั่งตรงข้ามจะรุมเข้ามา) ถ้าผมพลิกบอล ผมจะกดดันทันที ผมจะถอยกลับก็ไม่ได้ เพราะถ้าผมถอย ผมก็จะเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้

ฉะนั้นเมื่อบอลมาถึง ผมอาจจะเป็นแค่เป็นตัวสนับสนุน ให้บอลต่อกับเพื่อน และวางบอลให้ตัวริมเส้นไปเล่นต่อ

แต่ถ้าผมสลับตำแหน่งไปเล่นริมเส้น และปีกของผมมีพื้นที่ด้านหลังไลน์เกมรับในแนวลึก ตัวเลือกของผมคือ ไม่เก็บบอลไว้ ทำชิ่งกับกองหน้า ก็อาจจะเป็นการมองไปข้างหน้า ดูว่าปีกของผมมีพื้นที่ในแนวลึกไหม ถ้ามันเสี่ยงได้ พื้นที่เปิด พวกเขาจะต้องการอะไรล่ะ ผมต้องให้บอลไปที่เขา ที่มีพื้นที่ว่าง หรือพื้นที่ที่จะดวล 1 ต่อ 1 กับคู่ต่อสู้ได้ (หรือให้บอลยาวทะลุไปที่ตัวริมเส้น ในที่นี้คือกลุ่มผู้เล่นแบบแรชฟอร์ดหรือการ์นาโช่)

ผมต้องเล่นในแบบที่เข้าใจคุณภาพและคาแรกเตอร์ที่ทีมของผมมี

ตอนที่ผมไปเล่นที่โปรตุเกส ผมจะไม่ให้บอลแนวลึก (จ่ายไปยังพื้นที่ว่าง) ให้กับแบร์นาร์โด้ ผมรู้ว่าแบร์นาร์โด้จะไม่เล่นแบบนั้น มันไม่ใช่คาแรกเตอร์ที่จะขับเน้นศักยภาพของทีม แต่ถ้าผมได้บอล และผมเห็น ราฟาเอล เลเอา กำลังชิงจังหวะหลังไลน์ และกำลังวิ่งทำทาง ผมจะให้บอลแนวลึกเลย เพราะผมรู้ว่าเขามีความเร็ว หรือผมอาจจะรอสักนิดนึง รอให้กองหลังฝั่งตรงข้ามถอยลึกลงไป พอเขามีพื้นที่ที่หน้าไลน์เกมรับมากพอ ผมจะให้บอลกับเขา ให้เขาทำในสิ่งที่เขาถนัดที่สุดก็คือดวล 1 ต่อ 1 กับคู่ต่อสู้

ถ้าเป็น ชูเอา เฟลิกซ์ ผมจะให้บอลแทงไประหว่างไลน์ (เฟลิกซ์ไปกับบอลและพลิกบอลได้ดี) , ถ้าเป็น ดิโอโก้ โจต้า ผมจะให้บอลแนวลึกไปในพื้นที่ Half-Space (ระหว่างเซนเตอร์แบ็กและฟูลแบ็กของฝั่งตรงข้าม) ถ้าเล่นกับเปโดร เนโต้ ผมอาจจะให้บอลกับเท้าของเขา เพราะเขาก็ดวล 1 ต่อ 1 กับคู่ต่อสู้ได้ดี หรือให้บอลแนวลึกก็ได้ เพราะเขาก็มีความเร็ว

ถ้าผมเล่นกับคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ผมอาจจะทำชิ่ว 1-2 กับเขา หรือเล่นในรูปแบบที่เขาต้องการนักเตะสักคนที่อยู่าด้านหลังกองหน้า

ถ้าเล่นกับกอนซาโล่ รามอส ผมอาจจะต้องเข้าไปใกล้พื้นที่สุดท้าย เขาชอบวิ่งหลอกเซนเตอร์แบ็ก และต้องการลูกครอส หรือไม่ก็ต้องการบอลครอสและเข้าชาร์จที่เสาแรก ผมต้องรู้ว่าใครกันที่จะเล่นร่วมกับผม ผมทำการบ้านในเรื่องนี้มาตลอด

แต่ผมก็เข้าใจไงว่า ในมุมมองของคนนอก พวกเขาต้องการให้เราเล่นในรูปแบบเดียว และไม่เข้าใจว่าเราต้องอ่านเกม หรือเรียนรู้เพื่อนที่เราจะต้องเล่นร่วมด้วย

ผมชอบอ่านการเล่น ชอบอ่านเกม เพราะผมต้องการคนที่รีดศักยภาพของผมให้ไปสู่ในระดับสูงสุด

ผมยกตัวอย่างเช่น ถ้าปีกอยู่ในสถานการณ์ 1 ต่อ 1 และโจมตีพื้นที่สุดท้าย และผมอยู่นอกกรอบเขตโทษ ทุกคนจะรู้ว่าผมต้องการบอลที่ไหลมาช้าๆ และให้ผมส่องประตูจากนอกกรอบ หรือตอนที่แบร์นาร์โด้ ดึงฟูลแบ็กออกจากพื้นที่ และหยุดเคลื่อนที่ เขาจะรู้ว่าผมจะอยู่ริมกรอบเขตโทษ ผมจะไปอยู่ใกล้ๆ เขา คอยรองอยู่ด้านหลังของเขาเพื่อเล่นลูกครอส มันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ถ้าเรารู้จักเพื่อนร่วมทีม เราจะรีดศักยภาพของพวกเขาออกมาได้มากขึ้น

● เกี่ยวกับเรื่องของความเป็นผู้นำบ้าง เรารู้ว่าในห้องแต่งตัว มันมีผู้นำในหลากหลายรูปแบบ แต่เราจะเห็นคุณพยายามใช้สัญญาณมือ ชี้ หรือทำท่าทางต่างๆ แสดงให้เห็นว่าคุณเป็นผู้นำในสนาม ในเชิงนักวางแผนน่ะนะ โดยที่บางครั้งก็ไม่มีปลอกแขนกัปตันด้วย

บรูโน่ : มันเป็นเรื่องธรรมชาตินะ ผมไม่ได้คิดมากกับเรื่องนี้ บางครั้งมันก็ออกมาดี บางครั้งมันก็แย่ มีบางคนที่ชอบ และบางคนที่ไม่ชอบ

มีหลายคนที่มองว่าการชี้นิ้ว ชี้มือชี้ไม้ มันดูเป็นการโอ้อวด แต่สำหรับเรา มันคือวิธีการให้สัญญาณหรือส่งสัญญาณหากัน เพราะในสนามมันยากที่เราจะพูดและฟังกันรู้เรื่อง มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เราเลยต้องใช้สัญญาณมือมากขึ้น อย่างที่ผมพูด มันคือธรรมชาติที่ผมทำ ไม่ใช่เพราะผมชอบจะเป็นผู้นำมากกว่าหรอก แต่มันคือเกมการเล่นของเกม ผมไม่เคยเปลี่ยนนะ ไม่ว่าผมจะเล่นกับดาวรุ่งหรือนักเตะประสบการณ์สูง ถ้าผมต้องการส่งสัญญาณด้วยมือ ผมจะทำมันเพื่อประโยชน์ของทีม และเพื่อผู้เล่นที่จะรับข้อความนั้นจากผม

● ทำไมผู้นำทุกคนต้อง 'ดูเหมือน' จะเป็นคนโมโหร้ายล่ะ?

บรูโน่ : เราต้องดูบริบทของมันด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าเราอยู่กับโค้ชที่เข้มงวด และต้องการกระตุ้นนักเตะ ส่งเสียงดัง บางคนอาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องที่แย่ สำหรับผม ผมเข้ากันกับโค้ชที่เรียกร้องอะไรจากเรา กระตุ้นเรา ผมเข้ากันได้ดีกับฮอร์เก้ เฮซุส (บรูโน่ เคยร่วมงานที่สปอร์ติ้ง ลิสบอน) เขาเป็นโค้ชที่ร่วมงานด้วยไม่ง่ายเลย แต่ผมเข้ากับเขาได้ เพราะผมชอบคนที่เรียกร้องอะไรจากเรา หรือกระตุ้นเรา เพราะถ้าเราเจอคนแบบนั้น เราจะไม่รู้สึกผ่อนหรือหย่อนยาน เราจะไม่เคยพอใจกับตัวเอง

ผมชอบเพื่อนร่วมทีมที่คอยกระตุ้น คอยผลักดันผม คอยทำให้ผมเล่นได้ดีขึ้น หรือพยายามเรียกร้องให้ผมผิดพลาดน้อยลง สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนกลายเป็นว่า นักเตะเหล่านั้น โค้ชเหล่านั้น เป็นคนโมโหร้าย แต่้จริงๆ มันมาจากประสบการณ์การทำงานกับฟุตบอลของพวกเราที่เข้มข้นมากๆ

ผมเข้าใจว่ามีบางคน อาจจะจำนวนมากด้วย ที่ไม่ชอบในสิ่งที่ผมทำ แต่ทุกครั้ง ในทุกห้องแต่งตัวที่ผมเข้าไป ผมจะบอกพวกเขาว่า ถ้ามีใครไม่สบายใจกับวิธีการสื่อสารของผม ผมเปิดกว้างนะ บอกผมได้เลยว่า ไม่ชอบที่ผมทำแบบนั้น หรืออยากให้ผมทำแบบอื่น

ตอนที่เกมหยุดนะ พวกเขาสามารถเดินมาบอกผมว่า 'เฮ้ย บรูโน่ ผมต้องการแบบนี้นะ' คุณเดินมาบอกผมได้เลย

ยกตัวอย่างเช่น พวกเขาจ่ายบอลพลาด แล้วคุณตะโกนบอกเขาว่า 'อย่าจ่ายช็อตนั้น ให้รอจังหวะอื่น'

จากมุมคนนอกนะ ถ้าพวกเขาเห็นผมส่งสัญญาณมือ พวกเขาจะคิดว่ายังไงล่ะ? เขาอาจจะคิดว่าผมบ่น เพราะเพื่อนของเขาจ่ายบอลไม่ได้

บ่อยครั้งที่คนข้างนอกมักจะพูดว่า 'ใช่ บรูโน่พูดถูก เพื่อนของเขาไม่ควรจ่ายบอลพลาด' แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาอาจจะบอกว่า 'เฮ้ย น่ารำคาญว่ะ เขาชอบบ่นคนที่จ่ายบอลเสียตลอดเลย'

มีนักเตะที่ผมสนิทกับเขานะ ตอนจบเกม ผมจะบอกเขาว่า 'ให้ดูการเคลื่อนที่จังหวะแรกของเพื่อน พอคนรับบอลเคลื่อนที่ เขาจะดึงตัวประกบออกไป พอพื้นที่เปิด ค่อยจ่ายในจังหวะที่สอง' ผมยกตัวอย่างให้เขาฟังแบบนี้ มีผู้เล่นหลายคนที่ต้องรับสารแบบนี้ (รอให้เกมจบก่อน) เพราะพวกเขาไม่ชอบได้ยินอะไรทันทีที่พวกเขาทำผิดพลาด

● แล้วถ้ามีคนส่งข้อความเหล่านั้นให้คุณล่ะ?

บรูโน่ : ผมคือผู้เล่นที่มักจะโมโหตอนที่ได้ยินเพื่อนบ่นเมื่อผมทำพลาด แต่ผมจะโมโหตัวเองนะ เพราะผมรู้ว่าผมทำพลาด ผมเข้าใจว่าผมอาจจะทำตัวเองให้ลำบากโดยไม่จำเป็น เพราะผมควรจะทำในสิ่งที่แตกต่างออกไป ตัดสินใจให้ดีกว่านี้ คิดให้ดีกว่านี้ เรานักฟุตบอลต่างแตกต่างกัน ก็เหมือนแฟนบอลที่คิดต่างกัน

บางคนก็อาจจะมองบรูโน่แบบนึง บางคนก็มองอีกแบบ ซึ่งผมต้องยอมรับทั้งสองแบบนั่นแหละ ผมเข้าใจมันดี

ผมไม่มีปัญหากับคนที่มองว่าผมเป็นคนโมโหร้าย (ขี้ยั้วะ) นะ เพราะผมก็เจอแฟนบอลมากมาย แฟนบอลทีมตรงข้ามด้วย ที่พูดว่า 'เฮ้ย เจ๋งว่ะ แล้วยังไง ถ้าทำแบบนี้ มันจะกลายเป็นว่าเขาไม่ใช่คนดีเหรอ มันไม่เกี่ยวเลยที่จะเอาเรื่องนั้นมารวมกับในสนาม'

เพราะในสนาม มันต้องอาศัยประสบการณ์ มันต่างมีช่วงเวลา ณ ตอนนั้นที่คุณย่อมต้องมีอารมณ์ ในสถานการณ์ที่เราต้องตัดสินใจอะไรตอนนั้นทันทีทันใด และทำอะไรในทางที่ดีที่สุดที่จะเก็บผลการแข่งขันให้ได้

● มีนักเตะคนไหนในทีมบ้างไหมที่เดินมาบอกคุณตรงๆ ว่า 'อย่าพูดกับผมแบบนั้น' ?

บรูโน่ : ไม่เคยมีใครพูดกับผมแบบนั้นนะ ผมมีเพื่อนร่วมทีมที่จะรู้สึกจิตตกมากถ้าใครมาพูดกับเขา หรือต่อให้ผมไปพูดกับเขาก็ตาม ผมเองต้องรู้ตัวว่า ถ้าผมไปพูด ผมจะไปทำร้ายเขา หรือจะไปช่วยเขา ผมจะต้องรู้ว่าบางทีสิ่งที่ผมพูด ผมจะได้อะไรกลับมาแค่ไหน (คือคู่สนทนาเข้าใจไหม)

ถ้ามันเป็นไปในทางตรงกันข้าม ผมจะเดินไปหาเขาตรงๆ และถามเขาว่า 'นายรู้สึกดีไหมกับวิธีการพูดของฉัน' นายต้องการให้ฉันพูดแบบอื่นไหม หรือนายอยากรอให้เกมจบ หรือรอให้ถึงช่วงพักครึ่งก่อน หรือนายต้องการให้ใครมาบอกนายแทนฉันรึเปล่า บางทีผมต้องหาวิธีแก้ปัญหา

ผมจะต้องแทนตัวเองเป็นคนอื่น ถ้าบางคนบอกว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา ที่ทำลายเกมของพวกเขา ทำให้พวกเขารู้สึกแย่ระหว่างเกม ผมเองก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน เพราะบางทีเราก็คิดเยอะคิดมาก โดยเฉพาะตอนเราเป็นเด็ก ผมค่อยๆ เรียนรู้เรื่องนี้เมื่อโตขึ้น

ตอนที่ผมเริ่มไปเล่นที่อิตาลี ผู้เล่นที่อิตาลีมีบุคลิกที่โหดและแข็งกร้าวนะ และทุกอย่างขึ้นอยู่กับความอาวุโส เราต้องเคารพรุ่นพี่ นี่คือโค้ช นี่คือเพื่อนร่วมทีมที่อายุมากกว่า นี่คือผู้เล่นจอมเก๋า นี่คือดาวรุ่ง และผมก็เข้าไปที่นั่น เพิ่งไปเล่นชุดใหญ่กับพวกเขาครั้งแรก ซึ่งเด็กๆ ในทีมตอนนั้น ติดผมมาก

ผมเรียนรู้แนวทางของอิตาเลียนเยอะ ส่วนมากจะเป็นสิ่งแวดล้อมที่โหด เฮี้ยบ และเข้ม คุณต้องรู้ว่าจะจัดการกับห้องแต่งตัวนั้นอย่างไร เพราะผมโชคดี ที่มีเพื่อนร่วมทีมประสบการณ์สูงอยู่ในนั้น พวกเขาพยายามมาพูดกับผม และพยายามจะเข้าใจผมมากขึ้น ทั้งในสนาม และในการใช้ชีวิต ผมได้เรียนรู้มัน นั่นคือสิ่งที่ผมพยายามจะทำกับคนอื่นเหมือนกัน ผมอาจจะมีอะไรหลายอย่างที่ต้องปรับปรุง แต่ผมจะพยายามทำเพื่อรีดศักยภาพออกมาจากเพื่อนร่วมทีมของผม

● แมนฯ ยูไนเต็ด ณ เวลานี้อยู่ห่างไกลจากความยิ่งใหญ่ที่เคยมี แต่พวกเขามีหนึ่งในเจ้าของร่วมคนใหม่เข้ามา เซอร์ จิม แรทคลิฟฟ์ อย่างไรก็ตาม พวกเขาคือสโมสรยักษ์ใหญ่ มันมีความกดดันมากน้อยแค่ไหน?

บรูโน่ : ผมไม่รู้สึกว่ามันกดดันนะ ผมมักจะทำในสิ่งที่ผมชอบ ผมมีสมาธิ และรู้ตัวเองว่าทุกวัน ผมต้องซ้อมให้ดีที่สุด เล่นให้ดีที่สุด คุณชี้นิ้วตำหนิผมได้เลยเมื่อผมเล่นแย่ หรือเล่นไม่ดี ถ้าผมเล่นในคุณภาพที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ถ้าผมจ่ายพลาด ถ้าผมยิงพลาด แต่ทุกอย่าง สุดท้ายมันอยู่ที่การรู้ว่า เราต้องทำอะไร รู้ให้ชัดในเรื่องนั้น

อย่างน้อย สิ่งที่เราต้องมีก็คือ เมื่อเราลงไปในสนาม เราจะต้องทำทุกอย่างในสิ่งที่เราทำได้ ด้วยการทุ่มเทที่สุด นั่นคือส่วนหนึ่งในเกมการเล่นของผม

แน่นอน มันมีความกดดันอยู่แล้ว เราอยู่ใน 2-3 สโมสรที่ถูกพูดถึงและให้ความสนใจมากที่สุดในโลก เรารู้เรื่องนี้ดี ดีมากเลยล่ะ ผมจะไม่หลอกทุกคนว่าผมไม่รู้อะไรเลย หรือไม่รู้ว่าคนทั่วไปพูดอะไรกับผม เพราะผมรู้ว่าผมอยู่ที่ยูไนเต็ด สิ่งเหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นได้ เพราะถ้าผมลงเล่นให้กับทีมอื่นในพรีเมียร์ลีก หรือเล่นในลีกโปรตุเกสระดับล่าง คนคงจะไม่สนใจเท่านี้ แต่เราก็ไม่สามารถพูดได้ว่า เราไม่ชอบเรื่องลบๆ ที่เขาเขียน และชอบเฉพาะสิ่งดีๆ ฉะนั้นเราต้องพยายามหาสมดุล และหาจุดตรงกลางที่เหมาะสม ฉะนั้นถ้าพวกเขาพูดในสิ่งที่ดี เราจะรักมัน แต่ถ้าพวกเขาพูดในสิ่งที่ไม่ดี ผมก็ต้องเรียนรู้มัน

● บางที มันเหมือนกับว่าถ้าทีมคุณเล่นแย่ , แพ้ หรือได้ผลการแข่งขันที่ไม่ดี พวกเขาจะมองมาที่คุณก่อน คุณเห็นด้วยกับเรื่องนี้ไหม หรือมันเป็นแค่มุมมองของคนภายนอก?

บรูโน่ : ผมรู้ครับ แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ต้องเรียนรู้ ไม่ใช่แค่เพราะผมเป็นกัปตันของแมนฯ ยูไนเต็ด แต่มันอยู่ที่มาตรฐานที่ผมสร้างไว้ตั้งแต่มาที่นี่ นั่นอาจจะเป็นข้อเสียในเรื่องที่ดี เพราะผมเคยทำสิ่งที่ดีมาก่อนหน้านี้ ผมมีศักยภาพที่จะทำมันให้ดีขึ้น และพวกเขาก็วิจารณ์ผมในเรื่องนั้น

ผมมองมันในเชิงบวกนะ เพราะถ้าพวกเขาวิจารณ์ผม แปลว่าพวกเขารู้ว่าผมมีศักยภาพพอที่จะทำมันให้ดีขึ้น มีหลายครั้งที่ผู้คนวิจารณ์เรื่องทัศนคติของคุณ แต่เมื่อสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น ผมจะนิ่ง พวกเขาชอบสถิติ และพยายามจะหาว่าใครวิ่งเยอะที่สุด ใครทุ่มเทที่สุด ใครสปรินท์เยอะที่สุด ชื่อผมไม่ได้อยู่ในลำดับแรกๆ หรอก (สปรินท์) แต่นั่นก็ทำให้ผมสงบนะ เพราะการเล่นดีไม่ได้แปลว่าแค่วิ่งเยอะ แต่ตำแหน่งของผมทำให้ผมต้องวิ่งเยอะกว่าตำแหน่งอื่นๆ และผมจำเป็นต้องทำให้ดีที่สุดในตำแหน่งของผม

ไม่ว่าเราจะเล่นดีหรือแย่ ทุกอย่างมันอยู่ที่บ่าของผม นับตั้งแต่คริสเตียโน่ (โรนัลโด้) จากไป นั่นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะชื่อของเขาดึงความสนใจของผู้คนมากกว่าผม ที่โปรตุเกสมันต่างออกไปนะ กับที่นี่ มันคล้ายกับที่อิตาลี พวกเขาปกป้องคนที่มาจากบ้านเดียวกัน มาจากประเทศเดียวกัน ผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ผิด ในขณะเดียวกัน ผมรู้สึกดีกับคำวิจารณ์ เพราะมันหมายถึงการผลักดันให้เราแกร่งขึ้น ให้เราทำได้ดีขึ้นอีก ผมไม่ค่อยชอบเห็นหน้าของผมหรือชื่อของผมในพาดหัวเชิงลบเท่าไหร่ แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของอาชีพนี้

● คุณเหมือนปีศาจที่มีหัวใจสิงห์รึเปล่า?

บรูโน่ : ก็อาจจะเป็นแบบนั้นอย่างเห็นได้ชัดนะ ผมคิดว่าทุกคนรู้

● แต่แม้แต่ในสนาม มันก็เป็นแบบนั้น มันไม่ใช่การเปรียบเปรยสิ่งนั้นกับภาพลักษณ์ของคุณที่แมนฯ ยูไนเต็ด หรือ สปอร์ติ้ง?

บรูโน่ : ใช่ๆ ทุกคนรู้ เพราะพวกเขาจะเห็นบรูโน่คล้ายกับปีศาจ ในแนวทาง ที่ผมอินกับเกมมาก (อาจจะหมายถึงมีอารมณ์ฉุนเฉียวบ้าง) แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็อาจจะเห็นผมเป็นสิงโต เพราะผมคือคนที่มีความมุ่งมั่น นั่นไม่เคยจางหายไป ผมจะสู้จนกว่าผมจะได้ในสิ่งที่ต้องการ ผมจะไม่หยุด ผมอาจจะไม่ได้ทุกเป้าหมายที่ต้องการในอาชีพของผม แต่ตลอดทั้งอาชีพของผม ผมได้อะไรมากมาย ในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงเหมือนกัน

● บรูโน่คือคนที่รักความสมบูรณ์แบบ เขาว่ามาแบบนั้น คุณย้อนกลับไปดูเกมของคุณทั้งหมด หรือดูเฉพาะเกมที่คุณรู้สึกดี หรือ ไม่ดี?

บรูโน่ : ในอดีต ผมมักจะดูเกมของผมทั้งหมด เพราะเมื่อเราสัมผัสแค่ตอนเราลงเล่น เรามักจะไม่เห็นอะไรที่อยู่รอบๆ เรา เมื่อเรากลับไปดูเกมใหม่ ไม่ว่าจะเป็นดูความผิดพลาด หรือช็อตที่เราทำดี อะ เช่น ช็อตที่ดีนะ เป็นบอลจ่ายที่ดี แต่ผมก็อาจจะคิดว่า บางทีถ้าผมรอเพื่อนก่อน แล้วค่อยจ่ายจังหวะสองน่าจะดีกว่า การได้เห็นเกมในมุมกว้าง มันดีกว่าแค่ดูไฮไลท์ ซึ่งมันสำคัญมากกับการพัฒนาเกมของเรา

เมื่อเราเห็นข้อผิดพลาด ผมจะดูทั้งหมดและพยายามเข้าใจว่าผมผิดพลาดตรงไหน เมื่อมันดูเหมือนว่า หรือรู้สึกไปเองว่าเรามีเกมที่ดี ผมจะพยายามโฟกัสกับรายละเอียดที่ผมทำผิดพลาด และจำมัน เพราะถ้าเราดูทั้งเกมโดยไม่โฟกัส บางทีเราอาจจะลืมสิ่งที่เราอาจจะทำพลาดไป หรือถ้าเราไม่เปิดใจกับสิ่งที่เราอาจพลาด เราอาจจะรู้สึกว่า 'เฮ้ย ช็อตนั้นเราไม่ได้พาบอลขึ้นหน้า เราพาบอลกลับหลังเพราะเราอาจจะรู้สึกล้ามั้ง' เราพยายามหาข้ออ้างโดยไม่จำเป็น โอเค ความล้ามีส่วน แต่เราต้องรู้วิธีที่จะจัดการมัน

ถ้าเรารู้ว่า บางทางเลือกมันไม่ดีพอ เราต้องเลือกอีกทางนึง เช่น ถ้าผมเหนื่อย ผมจะไม่พยายามวิ่งไปกับบอล แต่จะพยายยามจ่ายบอลให้ง่ายที่สุด เพื่อให้ทีมดึงจังหวะให้ช้าลง ครองบอลเอาไว้ ผมจะได้พักให้หายเหนื่อย และกลับไปที่ตำแหน่งของผม

หรือต่อให้ทีมเรานำ เราก็จะได้รับคำสั่งจากโค้ชเมื่อเราสัมผัสบอล หรือเราต้องเคลื่อนที่ในแบบที่โค้ชต้องการ ฉะนั้นผมจะโฟกัสไปที่รายละเอียดเชิงลึกในช็อตๆ นั้นมากกว่า

● ปีที่แล้ว หรืออาจจะแถวๆ นั้น คุณให้สัมภาษณ์กับสโมสรว่า คุณจำเป็นต้องรู้ทิศทางของสโมสรก่อนที่จะต่อสัญญาออกไป สัญญาของคุณจะหมดลงในปี 2026 คุณต้องใช้เวลาในเรื่องนี้อีก 2 ปีหรือไม่?

บรูโน่ : ผมพยายามจะบอกกับสโมสรว่า ผมไม่ต้องการให้พวกเขาให้สัญญากับผมว่าพวกเขาจะเป็นแชมป์ เพราะสำหรับทุกสโมสรที่ผมไป ผมไม่ได้คาดหวังว่าพวกเขาจะให้สัญญากับผมในสิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้

สิ่งที่ผมขอจากสโมสรคือ คุณจำเป็นต้องพัฒนาตัวเองเพื่อแข่งขันกับทีมอื่นเสมอ ซึ่งปีนี้เราทำไม่ได้ และเราต้องเผชิญหน้ากับมัน

ฤดูกาลนี้ เราเล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐาน เรารู้ดี และต่ำกว่าความคาดหวังของผมด้วย รวมถึงกับสโมสร เราไม่คุ้นเคยกับจุดที่เราอยู่

ผมต้องการพัฒนาตัวเอง ผมต้องการการแข่งขัน ผมต้องการชนะ ผมได้พูดคุยกับเจ้าของใหม่ พวกเขาต้องการพบกับผู้เล่นทุกคน และผมได้พูดคุยกับพวกเขาแล้ว และนั่นคือข้อความที่ผมส่งไป (ต้องการให้ทีมพัฒนาและแข่งขันในระดับสูง)

ผมต้องการอยู่ที่นี่ ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็กต์ ในทุกส่วนของมัน สู้โดยใช้ทั้งส่วนเท้า , ขา , ลำตัว และศีรษะ ทุกส่วนของร่างกายที่จะทำให้เราแข่งขันกับแมนฯ ซิตี้ , อาร์เซน่อล และ ลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นทีมที่อยู่ในสถานะและระดับฟุตบอลที่สูงมากในเวลานี้

ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล อยู่เหนือสุด และอาร์เซน่อล ทำได้ดีมากตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา

ฤดูกาลที่แล้ว เรามีซีซั่นที่ดี เป็นไปตามความคาดหวังของผม แต่ผมก็รู้ว่ามันยังไม่เท่ากับระดับของลิเวอร์พูลและซิตี้ ผมรู้ดี

และผมก็รู้ว่าเราเข้าไปใกล้กับพวกเขาได้อีก เราเข้าชิง 2 รายการเมื่อฤดูกาลที่แล้ว คว้าแชมป์ 1 ถ้วย , พลาด 1 ถ้วย , เราเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศยูโรป้า ลีก แต่จากฤดูกาลที่แล้ว มาจนถึงฤดูกาลนี้ ผมไม่เห็นพัฒนาการที่มันต่อเนื่องเท่าที่มันควรจะเป็น เพื่อให้เราเป็นทีมที่แกร่งมากขึ้น และพร้อมที่จะเป็นทีมระดับท็อปในอนาคต

● เคยมีโค้ชพูดว่า 'เมื่อบรูโน่ได้บอล จะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น คุณรู้ไหมว่าใครพูดถึงมัน'

บรูโน่ : ให้ผมเดานะ น่าจะเป็น โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ

● ผิด ไม่ใช่ครับ เขาคือเป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือทีมคู่ปรับของคุณ

บรูโน่ : ใช่ๆ จริงๆ ผมจำได้ แต่ผมคิดว่ามาร์ติเนซเองก็พูดแบบนี้คล้ายๆ กันนะ ผมจะไม่โกหกคุณแล้วตอบแค่ว่า 'ครับ มันดีจังเลย' แต่ผมต้องตอบคุณว่า 'มันเยี่ยมมาก!' เรากำลังพูดถึงโค้ชที่ดีที่สุดในโลก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เป๊ปคือคนนั้น เขาคือโค้ชที่เปลี่ยนโลกของเกมฟุตบอลไปเลย ตอนนี้ทุกคนต้องการเป็นกวาร์ดิโอล่า ทุกทีมไม่ว่าจะในดิวิชั่นไหน ต้องการเล่นแบบซิตี้ และทุกคนก็พยายามหาจังหวะในแบบที่ซิตี้เป็น เพราะพวกเขาประสบความสำเร็จ สำหรับผมการได้รับคำชมจากกวาร์ดิโอล่า เป็นเรื่องที่วิเศษมาก เพราะอย่างที่ผมพูด เรากำลังพูดถึงโค้ชที่เราชื่นชม และวันนี้ เขาคือโค้ชที่ดีที่สุดในโลก

● ไม่ใช่แค่กวาร์ดิโอล่านะ แต่เยอร์เก้น คล็อปป์ก็เคยชื่นชมคุณด้วย เอาจริงๆ คุณได้รับคำชมจากกุนซือคู่แข่งเยอะมากนะ

บรูโน่ : เรากำลังพูดถึงหนึ่งในโค้ชที่ผมชื่นชมมากเช่นกัน ความเข้มข้นที่เขานำลงไปสู่เกม แพสชั่นที่เขามีต่อโลกฟุตบอล ผมคิดว่าสิ่งที่เขาเคยทำ มันแสดงให้เห็นเลยว่าเขารักฟุตบอลแค่ไหน เขารู้สึกว่า ถ้าเขาไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุด เขาจะไม่สามารถทำให้ลูกทีมเล่นด้วยเกมที่ดีที่สุดได้ ซึ่งบางที ผมก็คิดแบบเดียวกับเขา

เขาคือโค้ชที่เปลี่ยนแปลงพลังงานของลิเวอร์พูล มอบความหวังให้กับลิเวอร์พูล ถ้าเราลองมองดูนะ คล็อปป์คือโค้ชที่คว้าแชมป์มามากมาย และมอบแพสชั่นมากมายให้กับโลกฟุตบอล แพสชั่นสู่แฟนบอล , การพลิกโฉมทีม สิ่งที่เขานำมาให้กับสโมสรนั้น

เขาคว้าแชมป์รายการใหญ่ พรีเมียร์ลีก , ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก , ฟุตบอลถ้วยหลายรายการ แต่สิ่งที่เราได้เห็นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คือการจุดประกาย คือแพสชั่น คือพลังงานใหม่ที่เขามอบให้กับลิเวอร์พูล ทำให้พวกเขาเป็นแชมป์อีกครั้ง และมีศักยภาพมากพอที่จะสู้เพื่อแชมป์ลีกได้ สู้เพื่ออยู่ในกลุ่มของทีมที่ดีที่สุด นั่นคือสิ่งที่ไม่มีใครจะเอาไปจากคล็อปป์ได้ เรากำลังพูดถึงโค้ชอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจและสร้างแพสชั่นของผมในเกมฟุตบอล

#ดูบอลกับแนท

-------------------

[AD] พักจากช่วงเวลาที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน มาเพลินกับเมล็ดฟักทองตรามือ
คัดเน้นๆ เฟ้นแต่เมล็ดมันๆ ได้ลองแล้วจะไลค์
เมล็ดฟักทองตรามือ แค่แกะเปลือก อารมณ์ก็เปลี่ยน
เมล็ดฟักทองตรามือ จำหน่ายแล้ววันนี้ที่ช่องทางออนไลน์ Instagram , Facebook , Line , Tiktok Shop , Shopee , Lazada , 7-11 และห้างสรรพสินค้าทั่วไป

ที่อยู่

กรุงเทพ

เบอร์โทรศัพท์

+66863581663

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Atopalm Thaiผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์