
07/08/2024
กลไกเบาหวาน
ยาเบาหวานทำลายไต ❌
เบาหวานทำลายไต ✅
❓คำถาม: อยากให้อธิบายเบาหวานชนิดที่ 1 กับชนิดที่ 2 แบบง่ายๆ ได้มั้ยคะ มันต่างกันยังไง ทำไมต้องแยกชนิด และขอภาวะแทรกซ้อนทั้งหมดได้มั้ย
📜 คำตอบ: เบาหวานคือโรคที่เกิดจากปัญหาการหลั่ง หรือการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนอินซูลิน ส่งผลให้น้ำตาลกลูโคสในเลือดสูงแบบเรื้อรัง นำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนมากมาย
ดังนั้นมันจึงมีหลายกลไกที่จะทำให้อินซูลินมีปัญหาซักจุดหนึ่ง แต่ให้ผลสุดท้ายเหมือนกันคือขาดฤทธิ์ของอินซูลินมาควบคุมน้ำตาลกลูโคสในเลือดค่ะ ซึ่งกลไกที่ไม่เหมือนกันนี่แหละค่ะ ที่แยกชนิดเบาหวานจากกัน เป็นชนิดที่ 1, ชนิดที่ 2, ชนิดตอนตั้งครรภ์, ฯลฯ
_____________________________
💟 เบาหวานชนิดที่ 1 (DM type 1) 💟
🛠️ เกิดจากมีภูมิคุ้มกันเข้าโจมตีส่วนที่หลั่งอินซูลิน (เบต้าเซลล์) ที่ตับอ่อน จนเสียหาย ทำให้หลั่งอินซูลินออกไปได้น้อยกว่าปกติมาก
ทำไมภูมิคุ้มกันจู่ๆ ไปทำลาย? คนที่จะเป็นเบาหวานชนิดนี้ มักจะมีความผิดปกติของยีนที่ทำให้เกิดความเสี่ยงค่ะ ยีนนั้นคือยีนที่เอาไว้ใช้สร้าง “ก้านชูตัวอย่างเชื้อโรค” (HLA) ปกติเวลาติดเชื้อเม็ดเลือดขาวที่จับกินเชื้อโรค จะนำตัวอย่างเชื้อโรคนี้ ไปฟ้องภูมิคุ้มกันส่วนกลาง เพื่อให้สร้างภูมิจำเพาะมาเล่นงาน
คนที่มียีนที่ผิดปกติ ก้านนี้จะมีโครงสร้างที่สามารถชู “โปรตีนในร่างกายเราเอง” แล้วเวลาผ่านระหว่างใช้ชีวิต ถ้าเราซวย ไปติดเชื้อโรคบางชนิดที่ดันมีโครงสร้างคล้ายกับโปรตีนตัวนั้น หรือไม่ก็โปรตีนที่ของเราเอง ดันเนียนไปสวมบนก้านนั่นระหว่างที่ภูมิคุ้มกันกำลังทำงาน สุดท้ายเกิดการฟ้องที่ส่วนกลาง ส่วนกลางเลยผลิตภูมิที่จำเพาะต่อตับอ่อน แล้วเข้าทำลายตับอ่อนเองเพราะคิดว่าเป็นเชื้อโรค
👤 อาการมักจะเริ่มตั้งแต่เด็กเลยค่ะ ไม่ก็ช่วงวัยรุ่น ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์แล้วพบว่ามีเด็กน้อยตัวผอมที่ต้องฉีดอินซูลินตลอด นั่นแหละค่ะ เบาหวานชนิดที่ 1 เพราะว่าพอเริ่มเป็นแล้ว ภาวะที่ขาดอินซูลินรุนแรง จะทำให้การสลายไขมันเด่น เพราะเดิมทีอินซูลินทำหน้าที่ลดน้ำตาลกลูโคสในเลือด โดยดึงเข้าเซลล์มาเปลี่ยนเป็นสารเก็บสำรอง เช่น ไขมัน
ดังนั้นในเบาหวานชนิดที่ 1 ผู้ป่วยจะมีรูปร่างผอม เพราะไขมันถูกสลายตลอดเวลา แล้วเมื่อใดก็ตามมีภาวะเครียด (Stress) เกิดขึ้น เช่น มีการติดเชื้อ ร่างกายจะปรับเข้าสู่ภาวะเครียดโดยการหลั่งฮอร์โมนที่เพิ่มการสร้างน้ำตาลกลูโคสขึ้น
แต่คนไข้ซวยหนักกว่าคนปกติคือ ไม่มีฮอร์โมนอินซูลินคอยมาต้านฤทธิ์นี้ไว้ ทำให้ช่วง stress ร่างกายจะแห่สลายไขมันรุนแรงมาก แล้วไขมันเหล่านี้ จะเปลี่ยนเป็นกรดคีโตนที่ตับ จนทำให้เด็กน้อย มักมีอาการกำเริบเป็นภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโตน (Diabetic ketoacidosis) ได้บ่อย
_____________________________
💟 เบาหวานชนิดที่ 2 (DM type 2) 💟
🛠️ เกิดจากร่างกายมีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะโรคอ้วน (Obesity), การใช้ชีวิตแบบนั่งๆ นอนๆ ออกกำลังกายน้อย (Sedentary lifestyle), ฯลฯ นำไปสู่การดื้อของอินซูลิน
เวลาเซลล์ไขมันเก็บไขมันจนขยายตัวจนถึงระดับหนึ่ง จนขยายไม่ไหวแล้ว มันจะเริ่มเบียดกันเอง จนกระทั่งเกิดความเครียด เซลล์ไขมันจะเปลี่ยนสถานะตัวเองจากสถานะพัก กลายเป็นสถานะ stress ซึ่งในสถานะนี้มันจะพยายามหลั่งสารก่ออักเสบเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายลุกเป็นไฟ คืออยู่ในภาวะที่พร้อมสู้รบตลอด ภูมิคุ้มกันทำงานมากกว่าปกติตลอด
ซึ่งสภาพนี้อวัยวะต่างๆ จะถูกสั่งให้ดื้อต่ออินซูลิน เพราะว่าร่างกายอยากให้น้ำตาลกลูโคสสูงอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ร่างกายในภาวะเครียดได้ใช้ (ซึ่งจริงๆ ตอนนั้นตัวที่เครียดมีแค่เซลล์ไขมันแหละค่ะ มันโดนหลอก)
คำว่าดื้ออินซูลินหมายถึง ตับอ่อนสามารถหลั่งอินซูลินได้ไม่มีปัญหา แต่อวัยวะต่างๆ “ไม่ยอมฟังคำสั่งของอินซูลิน” หรือ “ทำตามคำสั่งของอินซูลินน้อยลง” เช่น ปกติอินซูลินจะมาสั่งให้กล้ามเนื้อ ช่วยเพิ่มประตูนำเข้าน้ำตาลกลูโคสหน่อย เพราะพวกเรากำลังจะลดน้ำตาลในเลือดนะ เจ้ากล้ามเนื้อมันก็ไม่ฟังค่ะ อ๋อเหรอ แล้วไง? อะไรแบบนี้ค่ะ
👤 คนที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 นี้ มักจะต้องสะสมการเปลี่ยนแปลงมานานระดับหนึ่ง เริ่มมีโรคอ้วน หรือมีวิถีชีวิตที่เป็นไปในทางลดน้ำหนักได้น้อย ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายๆ จนดื้ออินซูลิน ดังนั้นโดยเฉลี่ยแล้ว กว่าจะเป็นก็อายุ 35 ปีขึ้นไป ซึ่งเบาหวานชนิดนี้นี่แหละค่ะ คือเบาหวานที่เจอกันทั่วบ้านทั่วเมือง คืออายุผู้ใหญ่ตอนปลาย รูปร่างอ้วนๆ
ในช่วงแรกที่เป็นไม่เยอะ ตับอ่อนจะแก้ไขได้บ้างโดยการหลั่งอินซูลินมากกว่าปกติ เพื่อมาช่วยกันสั่งอวัยวะที่ดื้อ ช่วงนี้น้ำตาลจะค่อยๆ สูงขึ้นกว่าปกติแล้ว แต่ยังไม่ถึงเกณฑ์เบาหวาน ถ้ายังไม่รักษาตัวอีก การดื้อจะรุนแรงขึ้นแล้วนำไปสู่เบาหวานในที่สุด ทำให้น้ำตาลสูงเรื้อรังเลย และถ้ายังไม่แก้ปัญหาอีก น้ำตาลที่สูงเรื้อรังจะค่อยๆ ทำลายตับอ่อน คราวนี้แหละค่ะ อินซูลินจะเริ่มหลั่งน้อยลงจริงๆ ด้วย (Beta cell failure) ทำให้ในระยะท้ายๆ ไม่ค่อยต่างกับชนิดที่ 1
ภาวะแทรกซ้อนที่มักจะเจอในเบาหวานชนิดที่ 2 คือ น้ำตาลกลูโคสค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกระทั่งสูงเกินไปมากๆ ส่วนใหญ่ตัดที่สูงกว่า 600 ขึ้นไป ที่จุดนี้ จะทำให้เลือดเข้มข้นมากจนดึงน้ำออกมาจากเซลล์สมอง จนสมองเบลอ ทำงานผิดปกติ เรียกภาวะนี้ว่า ภาวะน้ำตาลสูงมากจนสมองผิดปกติ (Hyperglycemic hyperosmolar state - HHS) แต่ในช่วงระยะท้ายๆ ถ้าอินซูลินเริ่มหลั่งน้อยจริง อาจเกิดภาวะเลือดเป็นกรดคีโตน แบบชนิดที่ 1 ได้ค่ะ
_____________________________
💟 ผลกระทบโดยรวม 💟
แต่ไม่ว่าจะเป็นเบาหวานชนิดไหน สิ่งที่เหมือนกันคือ เราจะขาดหน้าที่ของอินซูลินที่คอยลดระดับน้ำตาลในเลือด น้ำตาลที่สูงเกินไป จะทำให้ปัสสาวะมีน้ำตาล แล้วดึงสารน้ำตามออกมาได้ ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะบ่อย บางคนบ่อยๆ จนร่างกายขาดน้ำ ต้องไปซดน้ำรัวๆ บางคนก็หิวกว่าปกติ
ในระยะยาว ไม่ว่าจะชนิดไหน น้ำตาลกลูโคสที่สูงขึ้นอย่างเรื้อรัง จะทำให้โครงสร้างของหลอดเลือดเล็กๆ เช่น ระดับหลอดเลือดฝอย รับน้ำตาลมากไปจนสร้างสารอันตราย (สารอนุมูลอิสระ) ทำลายตัวเอง นำไปสู่
▪️เบาหวานขึ้นตา (Diabetic retinopathy) - เกิดการทำลายจอประสาทตา การมองเห็นแย่ลง จอประสาทตาขาดเลือด พยายามสร้างหลอดเลือดใหม่ขึ้นมา (Neovascularization) แต่หลอดเลือดนั้นกากมาก เปราะบาง จนฉีกขาดเลือดออกในตา จนตาบอด
▪️เบาหวานลงเส้นประสาท (Diabetic neuropathy) – เส้นประสาทจะเริ่มขาดเลือดมาเลี้ยง ทำให้การทำงานของประสาทรับรู้เสียไป เริ่มชาปลายมือปลายเท้า เหมือนใส่ถุงเท้าถุงมือตลอดเวลา เดินชนอะไรก็ไม่ค่อยรู้สึก จนเป็นแผลง่าย หลอดเลือดที่ไม่ดี ก็นำเม็ดเลือดขาวมากำจัดเชื้อโรค มาฟื้นฟูแผลยาก นำไปสู่แผลติดเชื้อง่าย หนักเข้าจะเริ่มเป็นที่ประสาทสั่งการ
▪️ เบาหวานลงไต (Diabetic nephropathy) – ไส้กรองจะโดนระบบหลอดเลือดที่สั่งการผิดปกติ นำเลือดทะลักเข้ามาทำลายตลอด จนไตค่อยๆ พังทีละนิด จนเกิดภาวะไตเสื่อมเรื้อรัง (Chronic kidney disease)
▪️นอกจากนี้น้ำตาลกลูโคสที่สูงลอยตลอด จะเร่งภาวะที่มีสารอนุมูลอิสระมาก (Oxidative stress) ทำให้ตัวขนส่งไขมันชนิด LDL สามารถเข้าสู่ผนังหลอดเลือดได้ดีขึ้น แล้วไปพอกหนาขึ้น จนหลอดเลือดนั้นอุดตัน (Atherosclerosis) นำไปสู่ภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary artery disease), หลอดเลือดสมองตีบ (Ischemic stroke), หลอดเลือดที่เลี้ยงขาตีบ (Peripheral arterial disease)
🔔 ไม่ว่าจะเป็นเบาหวานชนิดไหน จุดจบคล้ายกัน คือระบบอวัยวะทั้งร่างพังกระจุย ดังนั้นอย่าลืมดูแลรักษาสุขภาพ ให้ห่างไกลจากเบาหวาน คุมน้ำหนักให้ดี หาเวลาออกกำลังกายเสมอ วันละ 30 นาทีก็ยังดี และเมื่อถึงเวลาต้องกินยา กินเถอะค่ะ ยิ่งนำน้ำตาลกลูโคสกลับมาสู่ปกติเร็วเท่าไหร่ ยิ่งปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อน มีคนไข้เราหลายคนที่น้ำตาลกลับมาปกติแล้วเป็นคนปกติเลยก็มีค่ะ