BPHLR ดูแล ใส่ใจ ห่วงใย ดุจญาติ

20/09/2025

การตั้งครรภ์กับภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ: ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม

การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในหญิงตั้งครรภ์ ทั้งแบบมีอาการ (cystitis) หรือไม่มีอาการ (asymptomatic bacteriuria) ก็ตาม ล้วนมีอันตราย

หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา เชื้อสามารถลุกลามไปที่กรวยไต ก่อให้เกิดไตอักเสบเฉียบพลัน
หญิงตั้งครรภ์ที่มีไตอักเสบจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

การติดเชื้อยังสัมพันธ์กับภาวะแทรกซ้อนสำคัญ เช่น การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
รวมถึงทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย และเพิ่มความเสี่ยงการเจริญเติบโตช้าในครรภ์

แม้หญิงตั้งครรภ์ไม่มีอาการ แต่หากตรวจปัสสาวะพบเชื้อ ก็ต้องได้รับการรักษาทุกครั้ง
ยาปฏิชีวนะที่เลือกใช้ต้องปลอดภัยต่อครรภ์ และให้ครบตามคำแนะนำแพทย์

นี่คือยาและขนาดยารวมถึงระยะเวลาการรักษาที่น่าสนใจ

🫙💧 Acute Cystitis (กระเพาะปัสสาวะอักเสบเฉียบพลัน)
• Nitrofurantoin 100 mg PO วันละ 2 ครั้ง × 5–7 วัน
• Cephalexin 500 mg PO วันละ 4 ครั้ง × 5–7 วัน
• Amoxicillin–clavulanate 500/125 mg PO วันละ 3 ครั้ง × 5–7 วัน
• Fosfomycin 3 g PO ครั้งเดียว (single dose; เฉพาะ lower UTI)

🧪 Asymptomatic Bacteriuria (เชื้อแบคทีเรียในปัสสาวะโดยไม่แสดงอาการ)
• Cephalexin 500 mg PO วันละ 4 ครั้ง × 5–7 วัน
• Nitrofurantoin 100 mg PO วันละ 2 ครั้ง × 5–7 วัน
• Amoxicillin–clavulanate 500/125 mg PO วันละ 3 ครั้ง × 5–7 วัน
• Fosfomycin 3 g PO ครั้งเดียว

🔄 Recurrent Bacteriuria / Cystitis (การติดเชื้อซ้ำ)
• Nitrofurantoin 50–100 mg PO ก่อนนอน หรือ หลังมีเพศสัมพันธ์
• Cephalexin 250–500 mg PO ก่อนนอน หรือ หลังมีเพศสัมพันธ์

🔥🩸 Pyelonephritis (กรวยไตอักเสบ – เริ่ม IV)
• Ceftriaxone 1 g IV วันละครั้ง
• Cefazolin 1 g IV ทุก 8 ชั่วโมง
• Ampicillin 2 g IV ทุก 6 ชั่วโมง + Gentamicin 5 mg/kg IV วันละครั้ง
• Piperacillin–tazobactam (ตามเชื้อ/ภาวะรุนแรง)
👉 รวมการรักษาทั้ง IV + oral ให้ครบ 14 วัน

⚠️ ข้อควรระวัง
• หลีกเลี่ยง Tetracyclines ทุกไตรมาส
• หลีกเลี่ยง Sulphonamides (TMP-SMX) ใน ไตรมาสที่ 3
• หลีกเลี่ยง Nitrofurantoin ใกล้ term/ระหว่างคลอด และในผู้ที่มี G6PD deficiency
• ใช้ Aminoglycosides (เช่น Gentamicin) เฉพาะเมื่อยาชนิดอื่นไม่เหมาะสม

หญิงตั้งครรภ์ควรตรวจฟัน และรับการรักษาเมื่อพยอาการผิดปกติ นะคะ 😁
18/09/2025

หญิงตั้งครรภ์ควรตรวจฟัน และรับการรักษาเมื่อพยอาการผิดปกติ นะคะ 😁

🦷 การดูแลสุขภาพช่องปากและการใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร

💡 ภาวะผิดปกติทางทันตกรรม เช่น เหงือกอักเสบ ฟันผุ หรือปวดฟัน เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในช่วงตั้งครรภ์ จากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและภูมิคุ้มกันที่อ่อนลง 📉
• มีรายงานว่าหญิงตั้งครรภ์กว่า 60–75% อาจมีปัญหาเหงือกอักเสบ
• หากไม่ได้รับการดูแล อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อ ภาวะคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกเกิดต่ำ และการติดเชื้อในมารดา ได้

ดังนั้น หากคุณแม่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรจำเป็นต้องทำฟัน 🪥 เช่น ถอนฟัน อุดฟัน หรือรักษารากฟัน การใช้ยาต่าง ๆ ต้องเลือกอย่างระมัดระวังที่สุด

🫄 การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ (Pregnant)

✅ ยาที่ปลอดภัย (Safe)
• ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics): Penicillin (Amoxicillin, Amoxi/Clav), Clindamycin, Macrolide (เลือก Azithromycin)
• ยาแก้ปวด (Analgesics): Paracetamol
• ยาชาเฉพาะที่ (Local anesthesia): ใช้ได้ทุกตัว แต่แนะนำให้ใช้ Lidocaine

❌ ยาที่ควรหลีกเลี่ยง (Unsafe)
• Antibiotics: Tetracycline, Doxycycline
• Analgesics: NSAIDs (เช่น Ibuprofen, Celecoxib) → ห้ามใช้ในไตรมาส 1 และ 3
• Opioid: Tramadol, Codeine

⚠️ ยาที่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง (Questionable)
• Metronidazole → หลีกเลี่ยงในไตรมาส 1
• NSAIDs → อาจใช้ได้เฉพาะไตรมาส 2

🤱 การใช้ยาในหญิงให้นมบุตร (Breastfeeding)

✅ ยาที่ปลอดภัย (Safe)
• ยาปฏิชีวนะ: Penicillin (Amoxicillin, Amoxi/Clav), Macrolide (Azithromycin)
• ยาแก้ปวด: Paracetamol, NSAIDs (Ibuprofen, Celecoxib)
• ยาชาเฉพาะที่: ใช้ได้ทุกตัว

❌ ยาที่ไม่ควรใช้ (Unsafe)
• Opioid: Tramadol, Codeine

⚠️ ยาที่ควรระวัง (Questionable)
• Antibiotics: Metronidazole, Clindamycin

✨ ข้อควรจำ
• เลือกใช้ยาที่มีข้อมูลความปลอดภัยชัดเจนที่สุด
• ใช้ในขนาดต่ำที่สุด และในช่วงเวลาสั้นที่สุด
• ปรึกษาทันตแพทย์หรือแพทย์ทุกครั้งก่อนใช้ยา

📌 สรุปสั้น ๆ:
ภาวะช่องปากผิดปกติในหญิงตั้งครรภ์พบได้บ่อย และอาจส่งผลต่อแม่และลูกได้ หากต้องทำฟัน สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัยเมื่อเลือกชนิดและขนาดที่เหมาะสม ❤️

03/09/2025

หลาย ๆ คุณแม่คงเคยรู้สึกถึงจังหวะกึก ๆ ตุ๊บ ๆ เบา ๆ ในท้องแบบสม่ำเสมอ
ไม่ต้องตกใจนะครับ ✨ นั่นคือ ลูกกำลัง “สะอึก” อยู่ในท้องจริง ๆ

🤔 แล้วลูกสะอึกเพราะอะไร?
• ไม่ใช่การ สำลักน้ำคร่ำ อย่างที่หลายคนกังวล ❌
• แต่เป็นเพราะลูกน้อยกำลัง ฝึกหายใจในน้ำคร่ำ 🌊
• การซ้อมแบบนี้ทำให้กะบังลมขยับขึ้นลง → เกิดเป็นจังหวะ “สะอึก” เหมือนผู้ใหญ่นั่นเอง

💡 ทำไมถึงเป็นสัญญาณดี?

เพราะการสะอึกเป็นหนึ่งในขั้นตอนของการพัฒนาร่างกาย
• แสดงว่าระบบประสาทและกล้ามเนื้อของลูกทำงานได้ดี
• เป็นการ ซ้อมหายใจ เตรียมพร้อมสำหรับชีวิตนอกครรภ์
• คุณแม่จึงสบายใจได้เลยว่า ลูกกำลัง เติบโตแข็งแรง อยู่ในท้อง

🤱 สะอึก = ความน่ารักเล็ก ๆ

การที่ลูกสะอึกบ่อย ๆ เป็นเรื่องปกติค่ะ ไม่ได้อันตรายอะไร
บางคุณแม่บอกเลยว่า “สะอึกของลูกเหมือนเสียงทักทายเล็ก ๆ” 💕

✨ ดังนั้น…คราวหน้าถ้าคุณแม่รู้สึกถึง “จังหวะกึก ๆ” ลองยิ้มแล้วพูดกับลูกว่า
“แม่ได้ยินแล้วนะ ลูกกำลังฝึกหายใจอยู่ใช่ไหม

01/09/2025

ไหมที่ใช้เย็บแผลฝีเย็บหลังคลอด ส่วนใหญ่จะเป็นไหมละลาย (absorbable suture) เช่น Vicryl®, Vicryl Rapide®, Chromic catgut

⏱️ ระยะเวลาละลายโดยทั่วไป
• Vicryl Rapide: เริ่มอ่อนตัว/ละลายประมาณ 7–10 วัน และหายไปภายใน 42 วัน
• Vicryl (ธรรมดา): อยู่ได้ประมาณ 2–3 สัปดาห์ และละลายหมดภายใน 56–70 วัน
• Chromic catgut: จะคงความแข็งแรงประมาณ 10–14 วัน และละลายหมดใน 90 วัน

✅ ดังนั้น ส่วนมากไหมจะเริ่มนิ่ม/ละลายภายใน 1–2 สัปดาห์ และค่อย ๆ สลายหมดประมาณ 1–2 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดไหมและการสมานแผลของแต่ละคน

💡 หากคุณยังรู้สึกเจ็บตึง หรือเห็นไหมหลงเหลืออยู่นานเกิน 6–8 สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์/พยาบาลให้ตรวจดู เพราะบางครั้งไหมบางเส้นอาจโผล่หรือไม่ละลายหมด ต้องช่วยตัดออกให้

••••••••

ไหมละลาย (absorbable suture) เช่น Vicryl, Vicryl Rapide, Catgut จะละลายได้ดี เมื่ออยู่ในเนื้อเยื่อที่มีความชุ่มชื้นและเอนไซม์ แต่ถ้าไหมบางส่วน โผล่ออกมานอกแผลหรือพ้นออกมาที่ผิวหนัง มักจะไม่ละลายต่อ หรือใช้เวลานานมาก ทำให้เรามองเห็นเป็นเส้นไหมโผล่หรือปลายแข็ง ๆ อยู่ด้านนอก

22/08/2025

“ครบกำหนด” ไม่ได้แปลว่าปลอดภัยที่สุดเสมอไป

ทำไมตั้งแต่ 37 สัปดาห์ที่เรียกว่า “อายุครรภ์ครบกำหนด” แต่อาจไม่ใช่เวลาที่ปลอดภัยที่จะให้คลอดได้ทุกราย

• องค์กรระดับโลก เช่น American College of Obstetricians and Gynecologists (ACOG) และ Society for Maternal-Fetal Medicine (SMFM) ได้แบ่งช่วงอายุครรภ์ดังนี้

• Early term (ครบกำหนดตอนต้น): 37+0 ถึง 38+6 สัปดาห์
• Full term (ครบกำหนดสมบูรณ์): 39+0 ถึง 40+6 สัปดาห์
• Late term: 41+0 ถึง 41+6 สัปดาห์
• Post term (เลยกำหนด): ≥42 สัปดาห์

ดังนั้น อายุครรภ์ 37 สัปดาห์ ถึงแม้ว่าจะ ไม่ใช่ก่อนกำหนด (preterm) แต่ก็ยังไม่ใช่ช่วงที่ดีที่สุดสำหรับการคลอดหากการอยู่ต่อในท้องไม่ใช้ข้อห้ามนะ

••••••••

พัฒนาการของทารกในช่วง 37–40 สัปดาห์ ก็ยังมีการพัฒนาต่อครับ

แม้ว่าอวัยวะส่วนใหญ่ของทารกจะทำงานได้ดีระดับนึงแล้วตั้งแต่อายุครรภ์ 37 สัปดาห์ แต่ในช่วง 2–3 สัปดาห์ถัดมา สมอง ปอด และระบบภูมิคุ้มกันยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องครับ เช่น

• สมอง: น้ำหนักสมองจะเพิ่มขึ้นเกือบ 30% ระหว่างสัปดาห์ที่ 35–39
• ปอด: การผลิตสาร surfactant (ช่วยให้ถุงลมไม่แฟบ) ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และนี่คืออวัยวะสำคัญมากๆต่อการมีชีวิตอยู่หลังคลอด
• ระบบย่อยอาหารและภูมิคุ้มกัน: ยังปรับตัวเพื่อรองรับการใช้ชีวิตนอกครรภ์ที่ดีขึ้น

••••••••

ความเสี่ยงของการคลอดที่ 37 สัปดาห์

งานวิจัยพบว่า เด็กที่คลอดในช่วง early term (37–38 สัปดาห์) มีความเสี่ยงสูงกว่าเด็กที่คลอดช่วง full term (39–40 สัปดาห์) ได้แก่
• หายใจลำบาก ต้องเข้าหอผู้ป่วยทารกแรกเกิด (NICU) มากกว่าจากภาวะแทรกซ้อนของทางเดินหายใจ
• ภาวะน้ำตาลต่ำในเลือด
• การกินนมลำบาก หรือดูดนมไม่ดี
• ตัวเหลือง จนต้องรักษาด้วยการส่องไฟ

••••••••

• ไม่ควรนัดผ่าตัดคลอดหรือตั้งใจชักนำคลอดก่อน full term เว้นแต่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ เช่น
• ความดันโลหิตสูงรุนแรง
• เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
• การเจริญเติบโตของทารกผิดปกติ รกเกาะต่ำ
• น้ำคร่ำน้อย หรือมีปัญหาอื่น ๆเช่นมีโรคประจำตัวสำคัญ

สรุป
• อายุครรภ์ 37 สัปดาห์ = Early term ไม่ใช่ก่อนกำหนดแล้ว แต่ยังไม่ใช่ช่วงที่ดีที่สุด
• การคลอดในช่วงนี้ early term ทำได้หากจำเป็น แต่หากไม่มีเหตุผลทางการแพทย์ ควรรอจนถึง full term

👩‍⚕️🧑‍⚕️ : การคลอดลูกไม่ใช่เรื่องของ “ความสะดวก” เพียงอย่างเดียว แต่คือการให้เวลาทารกได้พัฒนาอย่างเต็มที่ในครรภ์ เพื่อสุขภาพที่ดีที่สุดของลูกน้อยในระยะยาว

20/08/2025

🧠 ความฉลาดของลูก…ได้มาจากแม่มากกว่าพ่อจริงหรือ?

เคยได้ยินกันไหมครับว่า “ลูกฉลาดได้เพราะแม่” ส่วนพ่อ…อาจจะส่งต่อ “ความฮา” มากกว่า? 😂

ความเชื่อนี้มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อไม่มีบทบาทเลยนะครับ มาดูกันว่าใครมีส่วน “ปั้นสมองลูก” กันบ้างนะครับ

••••••••

🔬 ปัจจัยทางพันธุกรรม (Genetic factors)

1. X chromosome
• ยีนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองจำนวนมากอยู่บนโครโมโซม X
• แม่ส่ง X ให้ลูกทุกคน (ทั้งลูกชายและลูกสาว) แต่พ่อส่ง X แค่ให้ลูกสาวเท่านั้น
• เพราะฉะนั้นลูกชายมักได้ “สมอง” จากแม่แบบเต็ม ๆ ส่วนลูกสาวก็ได้จากทั้งพ่อและแม่สองคน

2. Mitochondrial DNA
• ไมโตคอนเดรีย = “โรงไฟฟ้าของเซลล์” ที่ผลิตพลังงานให้สมองทำงาน ดีเอ็นเอตรงนี้ ถ่ายทอดจากแม่เท่านั้น …เพราะสเปิร์มของพ่อส่งมาแต่หัวใจรัก ไม่ส่งไมโตคอนเดรียมาด้วยครับ 😅

3. Imprinted genes
• ยีนบางชนิดจะแสดงออกเฉพาะที่ได้รับจากแม่ เช่น ยีนที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการสมองและการเรียนรู้ เรียกว่า “แม่สั่งเปิดสวิตช์สมองให้ลูก” โดยตรง

••••••••

👩‍🍼 ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมและแม่ (Maternal & Environmental factors)

• ในครรภ์ : สุขภาพ อาหาร ความเครียด และสิ่งที่แม่ได้รับ ล้วนส่งผลต่อพัฒนาการของสมองทารก

• หลังคลอดช่วงแรก : แม่มักเป็นผู้ดูแลใกล้ชิด ทำให้ “การเชื่อมต่อวงจรสมอง” ของลูกเกิดขึ้นอย่างมั่นคง

• Epigenetics : การแสดงออกของยีน (gene expression) สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพแวดล้อมในครรภ์ เช่น ถ้าแม่มีโภชนาการดี ลูกก็มีแนวโน้มแสดงยีนที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ได้ดีขึ้น

••••••••

👨 บทบาทของพ่อก็ไม่เล็กนะครับ

• พ่อส่ง autosomal genes (โครโมโซมที่ไม่ใช่เพศ) ซึ่งเป็น “กองทัพยีนหลัก” ของร่างกายและสมอง

• อายุของพ่อและคุณภาพสเปิร์มมีผลต่อสุขภาพสมองลูกเช่นกัน

• หลังคลอด พ่อที่มีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูลูก ตั้งแต่เล่านิทานก่อนนอนจนถึงสอนการบ้าน ก็ช่วยพัฒนาทั้ง IQ (Intelligence Quotient) และ EQ (Emotional Quotient) ของลูกได้มาก

••••••••

✅ สรุป

• “แม่” อาจมีบทบาทมากกว่าเล็กน้อย เพราะมีทั้ง X chromosome, Mitochondrial DNA, และบทบาทสำคัญใน การดูแลช่วงตั้งครรภ์และหลังคลอด

• แต่ พ่อ ก็มีส่วนสำคัญไม่แพ้กัน ทั้งทางพันธุกรรมและการสร้างสภาพแวดล้อมให้ลูกเติบโตและเรียนรู้

••••••••

ดังนั้นถ้าจะชมใครว่า…. “ฉลาดได้แม่” ดูเหมือนว่าก็มีส่วนจริงนะครับ 🎈🎀🎉🎏

20/08/2025

สรุปเวลาที่ดีที่สุดในการกินยาบำรุงเลือด (ธาตุเหล็ก) สำหรับคนท้อง⸻1. เวลาที่ควรกิน • ตอนท้องว่าง (เช่น ก่อนอาหาร 1 ชั่วโม...
13/08/2025

สรุปเวลาที่ดีที่สุดในการกินยาบำรุงเลือด (ธาตุเหล็ก) สำหรับคนท้อง



1. เวลาที่ควรกิน
• ตอนท้องว่าง (เช่น ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง หรือหลังอาหารอย่างน้อย 2 ชั่วโมง) จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีที่สุด
• หากกินตอนท้องว่างแล้วมีอาการคลื่นไส้ อาจปรับเป็น หลังกินอาหารเบาๆ เพื่อช่วยลดอาการข้างเคียง



2. สิ่งที่ช่วยเพิ่มการดูดซึม
• กินร่วมกับ วิตามินซี เช่น น้ำส้ม น้ำฝรั่ง หรือผลไม้รสเปรี้ยว
• ดื่มน้ำตามมากพอ เพื่อป้องกันอาการท้องผูก



3. สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงใกล้เวลากินยา
• นมและผลิตภัณฑ์นม (แคลเซียมขัดขวางการดูดซึม)
• ชา กาแฟ น้ำอัดลม (แทนนินและคาเฟอีนลดการดูดซึม)
• อาหารที่มีไฟเบอร์สูงในปริมาณมากทันทีหลังทานยา



4. เคล็ดลับปฏิบัติจริงสำหรับคนท้อง
• ตัวเลือกที่ 1 (เหมาะกับคนไม่แพ้ท้องมาก): กินทันทีหลังตื่นนอน กับน้ำส้ม หรือน้ำเปล่า + วิตามินซี แล้วรอ 1 ชั่วโมงค่อยกินมื้อเช้า
• ตัวเลือกที่ 2 (เหมาะกับคนแพ้ท้อง): กินก่อนนอน หลังอาหารเย็นอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพื่อให้ท้องว่างและลดโอกาสคลื่นไส้

ครบ 32 เป็นแบบนี้นี่เอง ❤️
10/08/2025

ครบ 32 เป็นแบบนี้นี่เอง ❤️

08/08/2025

✅ ผลไม้ที่แนะนำ (กินได้และมีประโยชน์)
• 🍌 กล้วย – เป็นแหล่งโพแทสเซียมช่วยรักษาความดันโลหิตและลดความเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ แถมยังย่อยง่าย ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้
• 🍊 ส้มและส้มโอ – อุดมด้วยวิตามิน C และโฟเลต ช่วยป้องกันความผิดปกติของท่อประสาท และมีน้ำมากช่วยรักษาระดับน้ำในร่างกาย
• 🥭 มะม่วงสุก – มีวิตามิน A, C, โฟเลต, บี 6, ใยอาหารและทองแดง งานวิจัยพบว่าคนที่กินมะม่วงจะได้รับสารอาหารและใยอาหารมากขึ้นพร้อมลดการบริโภคน้ำตาลเพิ่ม
• 🍐 สาลี่ (แพร์) – แม้จะเป็นผลไม้ที่นำเข้า แต่หาได้ง่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตไทย ให้ไฟเบอร์ โพแทสเซียมและโฟเลต ช่วยบรรเทาอาการท้องผูกซึ่งพบได้บ่อยในคนท้อง
• 🥑 อะโวคาโด – ผลไม้จากภาคเหนือของไทย มีวิตามิน C, E, K, ไขมันไม่อิ่มตัว, ใยอาหาร และโพแทสเซียม ไขมันดีช่วยสร้างเซลล์สมองและผิวหนังของทารก ส่วนโพแทสเซียมช่วยลดตะคริวขา
• 🍇 องุ่น – ให้วิตามิน C และ K, โฟเลต, สารต้านอนุมูลอิสระและใยอาหาร สารฟลาโวนอลและแอนโทไซยานินในองุ่นช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและป้องกันการติดเชื้อ
• 🍏 แอปเปิล – ผลไม้ต่างประเทศที่มีขายทั่วไป ให้วิตามิน A, C, ใยอาหารและโพแทสเซียม เพิ่มพลังและช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดี
• 🍉 แตงโม – มีน้ำสูงมาก ช่วยป้องกันการขาดน้ำ และให้วิตามิน A, C และแมกนีเซียม เหมาะสำหรับแม่ตั้งครรภ์ที่มีอาการคลื่นไส้ในไตรมาสแรก แต่แตงโมก็ต้องระวังเพราะมีค่า GI สูงมากชนิดนึงครับ ค่าน้ำตาลจะขึ้นสูงเร็วนั่นเองครับ

••••••••

ผลไม้ที่ค่า GI ต่ำ ซึ่งดีคือระดับน้ำตาลไม่พุ่งและอิ่มนานก็คือ “อะโวคาโด” และ “ฝรั่ง” ครับ

นมคัด นมตัน นมตึง นมไม่ไหล นมเยอะเกิน มาหาเรานะคะ เพราะเรามีแม่นมมมมม  #โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา  #คลอดพัทยา  #คลอดชลบุรี
15/07/2025

นมคัด นมตัน นมตึง นมไม่ไหล นมเยอะเกิน มาหาเรานะคะ เพราะเรามีแม่นมมมมม #โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา #คลอดพัทยา #คลอดชลบุรี

Healing Heroes Spotlight 🏅 พนักงานคนเก่งของเรา
โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา ขอแสดงความชื่นชม 🩵
⭐️ พว.สุธีรา ภารสวัสดิ์ พยาบาลวิชาชีพ
ได้รับคำชื่นชมจากผู้รับบริการที่ คลินิกนมแม่ ศูนย์กุมารเวช
“พี่เก๋ดูแลดีมากๆ ค่ะ ทุ่มเทเพื่อคนไข้ แก้ไขอาการ
ที่เป็นอยู่ได้ทุกอาการเลย เก่งมากๆ มืออาชีพ ใส่ใจ
และให้กำลังใจคุณแม่ผู้ให้นมบุตร”
ขอชื่นชม และขอขอบคุณท่าน
ในการดูแลผู้รับบริการอย่างใส่ใจ
❤️

#เติมเต็มทุกมิติสุขภาพ #โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา

BMI  ก่อนท้องที่ดี ลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้อยู่น๊า 😁
14/07/2025

BMI ก่อนท้องที่ดี ลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้อยู่น๊า 😁

ผลการตั้งท้องจะดี เริ่มได้ตั้งแต่ #น้ำหนักตัวกำลังดีตั้งแต่มีสามี นะครับ

การเตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์ไม่ใช่แค่เรื่องจิตใจหรือการฝากครรภ์เร็ว แต่ “น้ำหนักตัว” ก่อนตั้งครรภ์ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อสุขภาพของแม่และลูกอย่างมาก หากคุณมีส่วนสูงระหว่าง 155 ถึง 165 เซนติเมตร น้ำหนักที่เหมาะสมก่อนตั้งครรภ์ควรอยู่ในช่วงที่เรียกว่า “น้ำหนักปกติ” ตามค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ครับ โดยผมได้คิดมาให้เรียบร้อยแล้วว่า…

หากคุณสูง 155 เซนติเมตร น้ำหนักที่เหมาะสมควรอยู่ที่ประมาณ 45-60 กิโลกรัม

ถ้าคุณสูง 160 เซนติเมตร ควรมีน้ำหนักประมาณ 47-64 กิโลกรัม

และหากสูง 165 เซนติเมตร น้ำหนักที่เหมาะสมอยู่ที่ 50-68 กิโลกรัม

••••••••

การมีน้ำหนักในช่วงนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ เช่น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ความดันโลหิตสูง การคลอดก่อนกำหนด และลดโอกาสที่ลูกจะมีน้ำหนักน้อยหรือมากเกินไปด้วยนะครับ

ดังนั้น หากคุณกำลังวางแผนจะมีลูก #ลองชั่งน้ำหนักตัวเองและดูว่าสมดุลกับส่วนสูงหรือไม่ การเริ่มต้นด้วยสุขภาพที่ดีทั้งของแม่และลูก เริ่มได้ตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ครับ

ที่อยู่

Amphoe Bang Lamung
20150

เบอร์โทรศัพท์

038909174

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ BPHLRผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram