Remind Clinic รีมายด์ ให้บริการปรึกษา บำบัด ทางด้านจิตใจ และทำแบบทดสอบ การตรวจวินิจฉัยโดยนักจิตวิทยาคลินิก

"หลายครั้งที่เราต้องเข้มแข็งจนลืมว่า… ใจของเราก็อ่อนล้าได้เหมือนกัน 🌧️แต่สุขภาพใจคือสิ่งที่สำคัญไม่แพ้สุขภาพกายเลยนะคะกา...
08/09/2025

"หลายครั้งที่เราต้องเข้มแข็งจนลืมว่า… ใจของเราก็อ่อนล้าได้เหมือนกัน 🌧️
แต่สุขภาพใจคือสิ่งที่สำคัญไม่แพ้สุขภาพกายเลยนะคะ
การได้พูดคุย ปรึกษา และรับฟังจากผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ไม่ได้หมายความว่าคุณอ่อนแอ แต่หมายถึง…คุณใส่ใจและเลือกที่จะดูแลตัวเองอย่างแท้จริง 💙

และ 9.9 นี้ เราอยากชวนคุณมาลองเริ่มต้นดูแลใจ เพราะนี่คือโอกาสพิเศษที่จะทำให้คุณ ‘กลับมามีรอยยิ้ม’ อีกครั้ง
ด้วยโปรโมชั่นสุดคุ้ม เฉพาะวันที่ 9–16 กันยายนเท่านั้น 🗓️

✔️ Online 60 นาที เพียง 1,599.-
✔️ Online 30 นาที เพียง 999.-

สุขภาพใจไม่ควรถูกเลื่อนออกไปเรื่อย ๆ เพราะคุณสมควรที่จะยิ้มได้ตั้งแต่วันนี้ 🌈
ให้โปร 9.9 เป็นก้าวแรกเล็ก ๆ ที่พาใจคุณกลับมาเข้มแข็งและสดใสอีกครั้ง"
⛅️ รีมายด์พร้อมรับฟัง ด้วยความเข้าใจ
📲 ทักไลน์เลย:
Tel : 086-441-5254


#รักตัวเอง #สุขภาพจิตดี
#นักจิตวิทยา #ปรึกษาปัญหาชีวิต

08/09/2025

#โพสต์เรียกร้องความสนใจหรือต้องการความช่วยเหลือ

บทความโดย นายแพทย์ วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น

|::‘|::’|::’|::‘|::’|::’|::‘|::’|::’|::‘|::’|::’|::‘|::’|::’|

"หมอครับ ...เราจะแยกยังไงระหว่างคนที่เรียกร้องความสนใจกับคนที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆบนโลกโซเชียล?"
.. นี่เป็นคำถามที่ผมมักถูกถามบ่อยครั้ง ไม่ใช่แค่เพียงเมื่อวานนี้ที่เกิดเหตุน่าสลดจากการที่เด็กสาวคนหนึ่งส่งสัญญานขอความช่วยเหลือผ่านทางเฟสบุ๊คของเธอ และเรื่องจบลงตรงที่ สัญญาน S.O.S ที่ถูกส่งออกไปนั้น ไม่สามารถส่งความช่วยเหลือกลับมาหาเธอได้ทันเวลา
" #ไม่ต้องแยกครับ " ...ผมตอบแบบนี้เสมอ
ไม่ต้องแยกจริงๆ เพราะสุดท้ายคนเหล่านี้ คือ คนที่ต้องการความช่วยเหลือทั้งหมดนั่นแหละ !!
กลุ่มที่ถูกตราหน้าว่าชอบเรียกร้องความสนใจ (Attention-seeker) มักจะถูกมองด้วยความเหยียดหยามจากคนรอบข้าง มักถูกสั่งสอนด้วยคำต่อว่าที่รุนแรงจากคนใกล้ตัว สุดท้ายมักจบลงด้วยคำพูดที่ว่า...
"อย่าเรียกร้องความสนใจ"

จบ...จบแค่ตรงนี้เสมอ...จบแบบเจ็บๆ
..น่าแปลก กลับไม่ค่อยมีคนตั้งคำถามต่อไปว่า
"บุคลิกภาพแบบนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาได้อย่างไร?"
"มีปมอะไรถูกซ่อนอยู่?"
"หรือนี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของอาการที่รุนแรงในอนาคต?"

เราไม่มีทางรู้หรอก ว่าเด็กวัยรุ่นที่เอาลิปสติกขีดแขนเป็นปื้นแล้วเขียนสเตตัสว่าอยากตาย ท้ายที่สุดจะไม่พัฒนาเป็นเด็กที่หยิบคัตเตอร์มากรีดข้อมืออย่างเงียบๆจนต้องเข้าไอซียู
.. ปัญหาทางสุขภาพจิตระยะแรกๆ มักเป็นแบบนี้แหละครับ ถูกแสดงออกอย่างไม่ตรงไปตรงมาและมักถูกมองข้าม สุดท้ายถูกปัดไว้ไปใต้พรมหรือฝังกลบไว้อยู่ใต้ดิน
รอสะสมพลังจนกลายเป็นระเบิดลูกใหญ่!
และจะแยกไปทำไม ในเมื่อ....
คนที่ต้องการความช่วยเหลือ คือคนที่ "สังคม" ตัดสินว่า "เค้าน่าจะทำจริงๆ"
ส่วนคนที่เรียกร้องความสนใจ ก็คือคนที่ "สังคม" ตัดสินว่า "เค้าไม่ทำจริงๆหรอก"
.. เส้นบางๆตรงกลางที่ถูกขีดขึ้นมาโดย "คนอื่นในสังคม"

เราชอบตัดสินเรื่องของคนอื่น บนพื้นฐานชีวิตของตัวเอง ประสบการณ์ของตัวเอง และความเชื่อของตัวเอง
.... ทั้งที่เป็นคนนอกแท้ๆ ไม่ได้อยู่กับเขา 24 ชั่วโมง ไม่ได้อยู่กับเขามาตั้งแต่เกิดซักหน่อยเลย

จะทำจริง หรือ ไม่ทำจริง ... เจ้าตัวต่างหากที่รู้ดีที่สุด
โลกเราเปลี่ยนไป...

ผู้ใหญ่จากยุคสมัยก่อนอาจมองว่าการเขียนหรือโพสท์อะไรไปในเฟสบุ๊คของเด็กสมัยนี้ คือ การโชว์ออฟ การเรียกร้องความสนใจ การเรียกไลค์ การระบายอารมณ์ หรือแม้กระทั่งการอยากเป็นคนโด่งดังแบบเน็ทไอดอล

นั่นเพราะคนเหล่านั้นขาดความเข้าใจในความสัมพันธ์ของสังคมโซเชียลกับชีวิตเด็กยุคดิจิตอลในปัจจุบัน

เด็กรุ่น Generation Me เป็นต้นมา ได้หลอมรวมการสื่อสารในชีวิตประจำวันของตัวเอง ทั้งการรับสื่อมาและการสื่อสารออกไป เข้ากับโลกโซเชียลมีเดียไปหมดแล้ว

โซเชียลมีเดียจึงไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือสื่อสารอีกต่อไป แต่มันผนวกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันเราไปโดยปริยาย
เพราะฉะนั้น การแสดงออกถึงเจตจำนงแห่งความตายผ่านทางโลกโซเชียลในยุคปัจจุบันนี้ จึงมักจะสะท้อนบางอย่างภายใต้จิตใจของคนๆหนึ่งได้เสมอ ไม่ว่าจะตั้งใจทำจริงๆหรือไม่ก็ตาม
เอาเป็นว่า ถ้าเรื่องแบบนี้ผ่านตาเรามา...เข้าไปช่วยเหลือเขาเถอะครับ

ตั้งสติให้ดี ลดอคติที่อยู่ในใจ สุดท้ายจะให้ความช่วยเหลืออย่างจริงจัง
หรือ ถ้าไม่มีโอกาส ไม่สามารถช่วยได้โดยตรง
พิมพ์แค่ "สู้ๆ" "เอาใจช่วยนะ" ก็ดีมากแล้ว

ถ้าเป็นแบบพวกนักเลงคีย์บอร์ด
รุมกันแกล้ง…รุมกันสับ…รุมกันยุ

นี่ผมขอเลยครับ...นี่มัน "ร่วมด้วย ช่วยกันฆ่า" ชัดๆ

|::‘|::’|::’|::‘|::’|::’|::‘|::’|::’|::‘|::’|::’|::‘|::’|::’|

เครดิตภาพ : https://share.google/images/Yih9gsOm7m92zTUoX

คุณเคยรู้สึกแบบนี้บ้างมั้ย?-คิดไม่ออก สมาธิสั้น จดจำอะไรไม่ค่อยได้-พูดอะไรไปเมื่อกี้ก็ลืม-อ่านหนังสือหรือเอกสารวนไปหลายร...
26/08/2025

คุณเคยรู้สึกแบบนี้บ้างมั้ย?
-คิดไม่ออก สมาธิสั้น จดจำอะไรไม่ค่อยได้
-พูดอะไรไปเมื่อกี้ก็ลืม
-อ่านหนังสือหรือเอกสารวนไปหลายรอบ แต่ก็ยังไม่เข้าใจ
-รู้สึกมึน เบลอ ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

ถ้าใช่…ไม่แน่ว่าคุณอาจกำลังเจอกับภาวะที่เรียกว่า Brain Fog หรือที่หลายคนเรียกกันว่า “หมอกในสมอง” ☁🧠

ภาวะนี้อาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งร่างกายและจิตใจ เช่น
-ความเครียดสะสม
-การพักผ่อนไม่เพียงพอ
-การใช้สายตาหรือสมองหนักเกินไป
-การขาดสารอาหารบางชนิด
สิ่งเหล่านี้ค่อย ๆ บั่นทอน จนทำให้สมองไม่สดใสเหมือนเดิม

💡 ข่าวดีคือ… Brain Fog สามารถฟื้นฟูได้!
เริ่มจากดูแลตัวเองให้เพียงพอทั้งการนอน พักสายตา รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และที่สำคัญคือ การจัดการความเครียด

อย่าปล่อยให้ "หมอก" ปกคลุมสมองของคุณนานเกินไป
เพราะสมองสดใส = ชีวิตสดใส 💙✨
⛅️ รีมายด์พร้อมรับฟัง ด้วยความเข้าใจ
📲 ทักไลน์เลย:
Tel : 086-441-5254


#รักตัวเอง #สุขภาพจิตดี
#นักจิตวิทยา #ปรึกษาปัญหาชีวิต
#หมอกในสมอง

🫧 ถ้าฝนตกแล้วเหงา เรามาคุยกันเถอะ 🌧️Remind Clinic ขอชวนคุณดูแลใจตัวเอง กับ บริการให้คำปรึกษานักจิตวิทยา ราคาพิเศษ 8.8 ✨💬...
07/08/2025

🫧 ถ้าฝนตกแล้วเหงา เรามาคุยกันเถอะ 🌧️
Remind Clinic ขอชวนคุณดูแลใจตัวเอง กับ บริการให้คำปรึกษานักจิตวิทยา ราคาพิเศษ 8.8 ✨

💬 โปรโมชันพิเศษ
• บำบัดแบบ Online 30 นาที เหลือเพียง 988 บาท
(จากปกติ 1,300 บาท)
• บำบัดแบบ Online / Onsite 60 นาที เหลือเพียง 1,588 บาท (จากปกติ 1,800 / 2,000 บาท)

📆 โปรโมชันเฉพาะวันที่ 8–15 สิงหาคม 2568
🔹 จำกัดสิทธิ์ 1 ท่าน / ครั้ง

🌂 ฝนนี้ อย่าปล่อยให้ใจเปียก
Remind Clinic อยู่ตรงนี้เสมอ พร้อมรับฟังอย่างเข้าใจ

⛅️ รีมายด์พร้อมรับฟัง ด้วยความเข้าใจ
📲 ทักไลน์เลย:
Tel : 086-441-5254

#นักจิตวิทยาคลินิก
#รักตัวเอง #สุขภาพจิตดี
#ดูแลใจ #นักจิตวิทยา #ปรึกษาปัญหาชีวิต

29/07/2025

#อยู่อย่างไรกับไบโพลาร์

*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+

บทสัมภาษณ์ ผศ.นพ.พิชัย อิฎฐสกุล ( จิตแพทย์และอาจารย์ประจำภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี )
และ คุณเพียรชนันท์ ลีอุดมวงษ์ ผู้ที่ประสบความท้าทายจากโรคไบโพลาร์ และ ประธานชมรมเพื่อนไบโพลาร์ หรือที่รู้จักกันในนาม “ไบโพลาร์บอส”

เป็นเรื่องราวที่เข้าใจง่าย เหมาะกับการดูแลตัวเองของผู้ที่มีโรคไบโพลาร์
จึงอยากคัดลอกจาก http://www.thaifamilylink.net/web/node/129 มาบางส่วนดังนี้ค่ะ

=====================================

> ผู้ป่วยไบโพลาร์ที่คืนสู่สุขภาวะแล้วในทัศนะของคุณหมอ?

นพ.พิชัย : คนที่กลับคืนสู่สุขภาวะแล้ว คือเริ่มดีแล้ว ประเด็นสำคัญคือการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง ทำอย่างไรไม่ให้อาการกลับมากำเริบอีก
คนไข้ส่วนใหญ่ที่เคยอาการกำเริบแล้ว รู้อยู่แล้วว่าช่วงที่อาการกำเริบรุนแรงเป็นอย่างไร ไม่ดีอย่างไร บางคนต้องนอนโรงพยาบาล
ในขณะที่ช่วงอาการดีแล้ว ยาก็น้อยลง กลับไปทำงานได้

เพราะฉะนั้นการรักษาอย่างต่อเนื่อง การดูแลตัวเองให้มีสุขภาพกายสุขภาพใจดี การมีกลุ่มสนับสนุนที่เราพูดคุยปัญหาได้ สำคัญมาก
การดูแลกิจวัตรประจำวัน การเลี่ยงสารเสพติด เหล้า เบียร์ อะไรทั้งหลายที่รบกวนเรื่องการนอน ก็สำคัญพอๆ กับความสม่ำเสมอในเรื่องการกินยาครับ
ในการรักษาต้องช่วยกันรับผิดชอบ สิ่งที่ต้องตระหนักก็คือไม่ใช่งานที่หมอต้องทำคนเดียว ไม่ใช่งานที่คนไข้ต้องทำคนเดียว
แต่เป็นงานที่เราต้องทำร่วมกัน หมอเหมือนเป็นผู้ช่วย คนที่ต้องทำงานหนักไม่แพ้กันก็คือตัวคนไข้กับญาติ เช่นหมอแนะนำอะไรก็ทำตาม คนที่ทำคือคนไข้ครับ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

> คุณหมอมีแนวทางอย่างไร ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยไบโพลาร์สามารถคืนสู่สุขภาวะได้?

นพ.พิชัย : บอกได้เลยว่าคนไข้ไบโพลาร์ที่ได้รับการรักษาที่ดี สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติไม่แตกต่างจากคนทั่ว ๆ ไป ตรงกันข้าม มีการศึกษาหลายชิ้นพบว่าคนที่เป็นไบโพลาร์จะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนทั่ว ๆ ไปด้วยซ้ำ
แนวทางที่จะทำให้คนไข้คืนกลับมาสู่สุขภาวะ อันดับแรกคือ การตระหนักรู้เรื่องของโรค สำคัญมาก
สิ่งหนึ่งที่จะเป็นอุปสรรคอย่างมากในการรักษาคือ การที่ตัวคนไข้เองไม่ยอมรับว่าป่วยด้วยโรคไบโพลาร์
คนไข้หลายรายมีความรู้สึกว่า ทำไมฉันจึงเป็นโรคนี้ โรคนี้เป็นโรคทางจิตที่ไม่ดี หรือเป็นความผิดปกติทางจิต
ในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันแล้วว่าโรคไบโพลาร์เกิดจากความผิดปกติของสมองส่วนที่ทำงานควบคุมอารมณ์ เพราะฉะนั้นไม่ได้หมายความว่าบ้า ทำงานไม่ได้ เสียสติ
... คนไข้จะต้องเข้าใจและยอมรับ ....

บางคนอาจจะรู้สึกว่าทำไมโชคร้ายจังที่เราเป็น ซึ่งคำถามเหล่านี้ไม่ค่อยจะเกิดประโยชน์ ก็เหมือนกับเราเป็นเบาหวานเรา เป็นความดัน ก็ต้องกินยาเหมือนกัน แต่บังเอิญที่เป็นโรคทางจิตเวช ทัศนคติที่มีต่อโรคจึงทำให้การยอมรับนั้นยาก

เมื่อเรายอมรับได้ คำถามต่อมาก็คือ เราจะเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตกับความเจ็บป่วยนั้นอย่างไร ถ้าความเจ็บป่วยนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา
แน่นอน การรักษาก็เป็นคำตอบหนึ่ง ซึ่งการรักษาก็จะประกอบด้วย 2 ส่วนหลักๆ

ส่วนแรก ก็คือการใช้ยา เป้าหมายของการใช้ยาคือไปปรับการทำงานของสมองที่ควบคุมอารมณ์เพื่อให้ทำงานเข้าที่ จะไปปรับสารสื่อประสาทหรือปรับอะไรก็ว่ากันไป
การรักษาส่วนที่สอง การดูแลทางด้านจิตใจ ความเครียดสามารถเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการซึมเศร้าหรือแมเนียได้ เพราะฉะนั้นการดูแลสุขภาพจิตตัวเอง การมีครอบครัวที่เข้าใจ การมีกลุ่มสนับสนุนอย่างที่สมาคมสายใยครอบครัวทำอยู่ ก็เป็นส่วนที่สำคัญส่วนหนึ่ง มีคนพูดคุย มีคนเข้าใจ มีคนที่ป่วยเหมือนเรา ทำงานได้เหมือนเรา เป็นเหมือนเรา ก็ทำให้รู้สึกไม่แย่มาก
ในแง่ของการรักษา หากเรามีปัญหาเรื่องความเครียดหรือมีอะไร การปรึกษาแพทย์ก็คงต้องมีอยู่ เพราะบางครั้งก็อาจจะได้รับคำแนะนำในการจัดการกับปัญหา

สำหรับคนไข้ไบโพลาร์ การนอนที่เพียงพอสำคัญมาก
การอดนอนสามารถกระตุ้นอาการแมเนียได้ง่ายๆ กิจกรรมใดที่จะรบกวนการนอน เช่น การดื่มกาแฟ ดื่มเหล้า ที่จะทำให้การนอนไม่ดี ก็ควรจะหลีกเลี่ยง สารกระตุ้นต่างๆ ยาเสพติด อะไรที่จะกระตุ้นให้เกิดอาการแมเนียได้ ต้องระวัง

อีกประเด็นก็คือ ความสม่ำเสมอในรักษาและมาพบแพทย์ก็สำคัญ ความสม่ำเสมอในการกินยาก็สำคัญ
ซึ่งคนไข้ส่วนใหญ่จะบอกว่า เบื่อ ไม่อยากกินยา เพราะต้องกินนาน นี่ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้
แต่ถ้าสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในการดูแล บางครั้งถ้ามีญาติคอยช่วยดูว่ากินยาสม่ำเสมอหรือไม่ คุยกับหมอว่ามีผลข้างเคียงอะไรที่เราทนได้ ทนไม่ได้ เลือกยาที่เหมาะสม ส่วนใหญ่สิ่งเหล่านี้ก็จะไปช่วยเพิ่มความร่วมมือในการกินยา ไม่ทำให้คนไข้ขาดยา ทั้งหมดนี้ก็จะทำให้คนไข้กลับคืนสู่สุขภาวะได้
การออกกำลังกายก็เป็นการดูแลตัวเองอย่างง่ายๆ ครับ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

> ยาเป็นปัจจัยหลักในการหายป่วย?

นพ.พิชัย : แน่นอน อย่างไรก็ต้องใช้ยาครับ ยังไม่เคยเห็นคนไข้ไบโพลาร์คนไหนที่ดีขึ้นได้โดยไม่ใช้ยาครับ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

> ยาที่ใช้รักษาโรคไบโพลาร์มีอยู่ในบัญชียาหลักหรือไม่?

นพ.พิชัย : ไม่ใช่ทุกตัวอยู่ในบัญชียาหลัก ยาที่ใช้รักษาโรคไบโพลาร์ปัจจุบันมีหลายขนาน การเลือกใช้ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะอาการของคนไข้

การใช้ยาในการรักษาไบโพลาร์จะแบ่งง่ายๆ ตามอาการ เป็นสองช่วง

ช่วงแรกคือช่วงที่คนไข้มีอาการรุนแรง ไม่ว่าจะมีอาการซึมเศร้ามากหรือแมเนียมาก ถ้าเป็นช่วงที่อาการรุนแรง หมอก็จะให้ยาเพื่อสงบอาการให้ลงเร็วที่สุด อาจจะต้องใช้ยามากหน่อย
หลังจากที่คนไข้ดีขึ้นแล้ว สิ่งที่สำคัญคือป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
เนื่องจากโรคไบโพลาร์มีโอกาสที่จะกลับเป็นซ้ำสูงมาก มากกว่า 90% ของคนไข้มีอาการกลับเป็นซ้ำ เพราะฉะนั้น แพทย์กับผู้ป่วยต้องคุยกันว่าเมื่อรักษาจนอาการดีขึ้นแล้ว ความจำเป็นที่จะต้องกินยาเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำมากน้อยแค่ไหน ... ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะให้กินยาเพื่อป้องกันเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ....การกินยาเพื่อป้องกันก็จะต่างกับช่วงที่มีอาการมาก หมอก็จะลดยาให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

ยารักษาไบโพลาร์ที่อยู่ในบัญชียาหลักก็มีหลายตัว อย่างเช่น ลิเธียม เดพากิน ลาโมทริจีน ริสเพอรีโดน ยังมีอีกหลายตัว
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

> ยาในบัญชียาหลักที่คุณหมอกล่าวถึงจะครอบคลุมในการรักษาหรือไม่?

นพ.พิชัย : ยาในบัญชียาหลักเพียงพอที่จะใช้ในการควบคุมหรือรักษาอาการในแต่ละช่วงครับ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

> ในกรณีที่ผู้ป่วยจะต้องทำงานกะกลางคืน จะมีผลกระทบอย่างไรบ้าง?

นพ.พิชัย : ส่วนใหญ่หมอจะบอกกับคนไข้ว่าให้คุยกับที่ทำงาน ถ้าเลี่ยงไม่ได้ต้องทำกะกลางคืนก็ทำให้สม่ำเสมอ คือไม่ให้กลับไปกลับมา
เพราะสมองของเรามีส่วนที่ควบคุมการหลับการตื่นอยู่ ซึ่งก็จะทำงานเป็นวงจร อย่างเช่น เวลากลางคืนปิดไฟนอน เราก็เริ่มง่วงแสดงว่าสมองส่วนนี้เริ่มทำงาน แต่ถ้าต้องทำงานกะเช้าบ้าง กะกลางคืนบ้าง สมองส่วนนี้ก็จะงงๆ แล้วก็จะควบคุมได้ไม่ดี เพราะฉะนั้นถ้าไม่จำเป็นก็ควรจะเลือกงานที่เป็นกะเดียว
หมอมีคนไข้คนหนึ่งที่เป็นพยาบาล ก็จะลำบากหน่อย เพราะบางทีก็ทำงานกะเช้า บางทีกะกลางคืน บางทีก็กะบ่าย ทำให้เวลานอนควบคุมไม่ได้ แล้วอาการก็จะไม่ค่อยนิ่งครับ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

> ในฐานะจิตแพทย์ จะพูดอะไรกับผู้ป่วยไบโพลาร์?

นพ.พิชัย : สิ่งแรกคือไบโพลาร์ก็คือโรค คนส่วนใหญ่มักจะรู้สึกแย่เวลาที่ตัวเองป่วยด้วยโรคนี้ เพราะการใช้คำว่า “ฉันเป็นโรคไบโพลาร์”
แต่ภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า “ฉันมีโรคไบโพลาร์” (I have Bipolar Disorder.) .... ฉันมี กับ ฉันเป็น ไม่เหมือนกันนะครับ “ฉันมี” คือไม่ใช่ฉัน , “ฉันเป็น” แสดงว่าฉันแย่

การมีไม่ได้แย่ ตัวเรายังเป็นตัวเรา ที่ทำหน้าที่ มีคนรัก เป็นลูกของพ่อแม่ เป็นพี่ของน้อง เป็นเพื่อน เป็นแฟน เป็นอะไรต่างๆ เราก็ยังเป็นอยู่
ไม่อยากให้เอาโรคไบโพลาร์มาตีค่าตัวเองว่าตัวเองไม่มีความหมาย ไม่มีคุณค่า หรือว่าตัวเองโชคร้ายที่เป็นโรคนี้ ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นอุปสรรคอย่างมากเลยในการใช้ชีวิตของคนไข้ เป็นอุปสรรคต่อการรักษา

ในแง่ของการรักษา ถ้ามีปัญหาอะไรต้องคุยกับหมอเจ้าของไข้ เนื่องจากว่าการรักษาโรคไบโพลาร์ไม่เหมือนไข้หวัด แต่เป็นการรักษาระยะยาว เป็นปีๆ หรือรักษากันมาเกือบตลอดชีวิตก็มี เพราะฉะนั้นมีอะไรก็ให้คุยกับหมอเจ้าของไข้ที่ดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลข้างเคียงของยา ปัญหาในชีวิต ก็อาจจะช่วยให้หมอดูแลและช่วยให้กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ง่ายขึ้นครับ


=== เราได้ทราบแนวทางการบำบัดรักษาจาก นพ.พิชัย อิฏฐสกุล กันแล้ว
เรามาต่อกันด้วยทัศนะจากมุมมองของคุณเพียรชนันท์ ลีอุดมวงษ์ ผู้มีประสบการณ์ตรงกันบ้างค่ะ ===

+ การยอมรับว่าตัวเองป่วยนั้นยากหรือไม่?

ไบโพลาร์บอส : พี่รู้ว่าตัวเองป่วยอายุ 27 ปี ก็ 15 ปีแล้ว .... พี่ไม่มีความรู้สึกลำบากใจที่จะยอมรับว่าตัวเองป่วยและมีความจำเป็นที่ต้องรับการรักษา อาการซึมเศร้าเป็นจุดที่จะทำให้ดิ้นรนมากกว่าที่จะแสวงหาการเยียวยารักษา ก็เลยไม่ยาก แต่ความยากของพี่เป็นเรื่องของการรักษามากกว่า ระหว่างเส้นทางมีท้อบ้าง แต่ไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับการยอมรับว่าตัวเองป่วยเลย
+ การมีทัศนคติเชิงบวกสำหรับบางคนก็เป็นเรื่องยาก คุณบอสมีคำแนะนำมั้ยคะ?

ไบโพลาร์บอส : ถ้าเราเองเอาชีวิตของเราไปผูกไว้กับคนอื่น ๆ มาก เราก็จะทำให้คนอื่นมีอิทธิพลในชีวิตของเรา เราก็จะคอยกังวลว่าเขาจะคิดยังไง ถ้ารู้ว่าเราป่วย
พี่ไม่มีตรงนี้ พี่เพียงแต่ดูว่าชีวิตเราจำเป็นต้องทำอย่างไร เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิด ทัศนคติของคนอื่นได้ ยิ่งคนที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจ เป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้เขายอมรับเรา
เพราะฉะนั้นขั้นแรกของการที่เราจะหายหรือเราจะรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ เราต้องยอมรับตัวเองจริงๆ ว่าเราต้องการการรักษา นี่จะเป็นประตูที่ทำให้เราเดินหน้าอยู่ในเส้นทางของการหายป่วย ยอมรับตัวเองโดยไม่ไปฟังคนอื่นมาก
ช่วงแรกในขณะที่ตัวเองยอมรับหรือเปิดเผย ทุกคนมั้ยที่ตอบรับในเชิงบวกกับเรา - ไม่ แต่นั่นก็เป็นแรงผลักดันเช่นกัน ทำให้พี่รู้สึกว่าพี่ต้องหายแล้ว พี่ต้องกลับเป็นปกติ เพราะว่าศักยภาพของเราที่ลดลงไปเป็นเพราะความเจ็บป่วย ซึ่งในอดีตเรามีศักยภาพมากมาย
สังคมมีอิทธิพลสูงมาก แต่ถ้าเราไม่ให้พวกเขาเหล่านั้นมามีอิทธิพลกับชีวิตเรา ก็จะไม่มีผลอะไรกับเรา
+ การบำบัดรักษาในปัจจุบันตอบสนองกับอาการป่วยของคุณบอสอย่างไร?

ไบโพลาร์บอส : พี่ก็ปรับยามา 7-8 ปี โดยที่ยังไม่นิ่ง มานิ่งได้ประมาณ 6-7 ปีที่ผ่านมา ยาที่กินอยู่ต่อเนื่องพยุงอาการไว้ไม่ให้กำเริบ แล้วเราก็ดูแลเรื่องการกินการนอน บริหารจัดการเรื่องงาน ความเครียด ถ้าเรารู้ตรงนี้แล้วก็กินยาสม่ำเสมอ การตอบสนองต่อการรักษาของพี่ก็สมบูรณ์แบบมาก ถือว่าไม่มีปัญหาอะไร
ก็เหมือนคนทั่วไปที่โกรธได้ ร่าเริงได้ หัวเราะดัง ซึ่งก็ไม่ได้เป็นอาการของการเจ็บป่วย เป็นตัวตนหรือบุคลิกจริงของเรามากกว่า
เพราะฉะนั้นพี่โชคดีมากได้รับยาที่เข้ากัน ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย 6-7 ปีมาแล้วที่พี่นิ่งกับยารักษาสูตรนี้มาก
+ คุณบอสคิดว่าขณะนี้ตัวเองคืนสู่สุขภาวะแล้วหรือไม่อย่างไร?

ไบโพลาร์บอส : นิยามของการกลับคืนสู่สุขภาวะของแต่ละคนก็คงแตกต่างกันนะ สำหรับพี่ก็คือการกลับมามีชีวิตปกติอีกได้
ส่วนตัวพี่สามารถเรียนหนังสือได้ ทำงานได้มีประสิทธิภาพ มีความคิด มีวิจารณญาน ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ ควบคุมพฤติกรรมตัวเองได้ ไม่มีอะไรที่ผิดปกติ
ไม่ใช่ในลักษณะที่ว่ากินยามั้ย เลิกกินยาหรือยัง - ไม่ใช่การหายป่วยในความคิดของพี่
สำหรับพี่การกินยาก็คือเหมือนการเรียนรู้ที่จะอยู่กับไบโพลาร์อย่างเข้าใจ เรารู้ว่าเราต้องอยู่กับเขาไปตลอดชีวิตนะ เราก็ไม่ปฏิเสธที่จะกินยาหรือฝืน
ในเมื่อไบโพลาร์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เราก็ยอมอยู่กับเขาอย่างกลมกลืน และก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตของเราบกพร่องอะไรเลย เพียงแต่มีชื่อนำหน้าหรือพ่วงท้ายนิดหน่อย เช่น ไบโพลาร์บอส อย่างนี้เป็นชื่อในวงการ (หัวเราะ) ซึ่งก็สามารถนำประสบการณ์ของเราไปแบ่งปันกับผู้อื่นได้
พี่เชื่อว่าคนที่ไม่ได้คืนสู่สุขภาวะที่สมบูรณ์ เขาก็ไม่สามารถที่จะแบ่งปันประสบการณ์ เพราะจะมีความรู้สึกไม่มั่นคงภายใน .... แต่พี่มีความรู้สึกว่าพร้อมมากที่จะแบ่งปันเรื่องราว เพราะ 15 ปี ในการเรียนรู้กับโรค เราก็เหนื่อย คนดูแลก็เหนื่อย พอเราผ่านจุดนั้นมาได้แล้ว เราไปเจอคนที่กำลังเหมือนกับเราในอดีต เราก็บอกเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องมาจมอยู่ในจุดที่เราเคยจม เหมือนกับขึ้นทางด่วน ก้าวข้ามไปได้
ถ้าเขามีแนวความคิดเดียวกับเรานะ คือมีวินัยในการรักษา กินยา หาหมอ จริงใจในการปรึกษาแพทย์ ไม่ได้ก้าวร้าว หรือรู้มาก หรือกลัวจนตัวเราเองเสียสิทธิในการรักษา พี่ก็ใช้วิธีแบบนี้ ก็รู้สึกมีความสุขดีนะ
+ ปัจจัยหลักของคุณบอสคือการกินยาใช่ไหมคะ แล้วปัจจัยเสริมที่มาช่วยในการคืนสู่สุขภาวะคืออะไร?

ไบโพลาร์บอส : เป็นคำถามที่ดีนะ เมื่อก่อนหน้านี้พี่อาการนิ่งมาพอสมควรนะ ก่อนที่จะกลับมาทำงานต่างๆ ได้ อารมณ์นิ่ง ทุกอย่างนิ่ง ไม่มีปัญหาเรื่องอาการทางกายภาพ
แต่สิ่งที่ต้องฟื้นฟูคือความมั่นใจ สิ่งที่เราเคยทำได้ แล้วพอเราเจ็บป่วย สิ่งเหล่านั้นหายไป ความมั่นใจก็ดี เราต้องเรียกคืนมา วางใจว่าศักยภาพเรามี เราเคยเป็นยังไง เราก็สามารถกลับมาได้
ก้าวแรกยากที่สุด คือก้าวที่จะกลับคืนสู่สังคม ยากมาก ดูเหมือนมืด กลัวทุกอย่าง ถ้าพี่ไม่มีกำลังใจจากคนรอบข้างแรงสนับสนุนผลักดันด้วยความอดทน พี่ก็ไม่กล้าก้าวออกมาเหมือนกันนะ
ปัจจัยที่จะหายไม่ได้อยู่ที่ยาอย่างเดียวหรอก ทั้งกำลังใจ ทั้งโอกาส สำหรับพี่ขณะนั้นมาในเวลาที่เหมาะสมพร้อมเพรียงกัน พี่ก็คิดว่าอยู่ในจุดที่โชคดี
+ เพราะเหตุใดจึงต้องมีชมรมเพื่อนไบโพลาร์?

ไบโพลาร์บอส : วัตถุประสงค์หลักของการตั้งชมรมเพื่อนไบโพลาร์ก็คือ ต้องการจะให้ความรู้ความเข้าใจแก่สาธารณชนเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ และเข้าใจคนที่เจ็บป่วย
เพราะเราเชื่อว่าปัจจุบันคนในสังคมเป็นกันเยอะ และอาการป่วยจะคล้ายกับนิสัยตัวตน
ประการที่สอง คือพี่รู้ว่าแม้กระทั่งคนที่เจ็บป่วยเองก็ยังไม่เข้าใจ
พอไม่เข้าใจการยอมรับการรักษาก็ยาก หรือผู้ดูแลเองที่จะยอมรับในตัวผู้ป่วยก็ยังยากเลย
เพราะฉะนั้นการจัดตั้งชมรมเพื่อนไบโพลาร์ขึ้นมาก็เป็นประโยชน์กับผู้ป่วยโดยตรง ที่เขาจะมีเพื่อนร่วมทางซึ่งมีประสบการณ์มาก่อนแล้วสามารถที่จะแบ่งปันทั้งความเจ็บป่วย ความสำเร็จ ความล้มเหลวในการดูแลรักษาตนเอง
สำหรับพี่นะ ถ้ามีชมรมนี้ในขณะที่พี่ป่วย ชีวิตอาจจะไม่เจ็บมาก (หัวเราะ) ขณะนั้นไม่มี ก็ต้องเริ่มจากศูนย์ ชมรมเพื่อนไบโพลาร์เปรียบเสมือนโรงเรียน ถ้ามาที่ชมรมก็จะมีแหล่งข้อมูล อย่างน้อยที่สุดก็มีตัวเป็นๆ ผู้มีประสบการณ์ตรง ซึ่งมีอะไรมากกว่าในหนังสือหรือในอินเตอร์เน็ตที่ก็สามารถหาข้อมูลได้แต่ประสบการณ์ การแบ่งปันกำลังใจไม่มี ชมรมนี้จึงมีไว้สำหรับช่วยเหลือผู้มีประสบการณ์ร่วมกัน
+ โรคไบโพลาร์ป่วยแล้วหายได้มั้ย?

ไบโพลาร์บอส : คุณว่าบอสหายหรือเปล่า

+ คุณบอสก็ใช้ชีวิตได้เหมือนคนทั่วไป ดูมีความสุขมากกว่าหลายคนเสียอีก!

ไบโพลาร์บอส : นี่คุณตอบเองนะ (หัวเราะ) ตัวเองก็ยังยืนยันว่าหาย แต่หายของตัวเองอาจจะไม่เหมือนกับการหายป่วยของคนที่มีทัศนคติว่าการหายป่วยต้องเลิกกินยา
บอกแล้วไง ใช้ชีวิตให้มีความสุข เราก็มีความสุข ไม่อย่างนั้นคนที่ต้องกินยาเพราะเป็นโรคหัวใจ โรคความดัน โรคเบาหวาน ก็คงเป็นทุกข์มาก
คนเรามีปัญหาสุขภาพแตกต่างกัน เพียงแต่บอสมีปัญหาเรื่องไบโพลาร์ มีวีรกรรมมากเหลือเกิน ก็คิดว่าชีวิตล้มเหลว
แต่เมื่อเราได้กลับมาแล้ว สิ่งเก่า ๆ ก็ล่วงเลยไป ทุกวันนี้ก็เป็นสิ่งใหม่ เราก็ดำเนินชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันสำคัญกว่า
น้อยคนที่จะยอมรับและรับการรักษา บางคนหายดีแล้วนะ ก็อยากจะลองของ หยุดกินยา ก็ไม่ได้มีสถิติว่าจะไม่กลับมาป่วย แต่ตัวเองต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บป่วยมานานหลายปี
และสิ่งที่ตัวเองไม่ยอมที่จะกลับไปป่วยซ้ำเลยก็คือ เราเห็นคนรอบข้างคนที่ดูแลทุกข์มากกว่าเราด้วย ตรงนี้จึงเป็นแรงผลักดันให้เราต้องรักษาสุขภาพตัวเองให้ดี
ถามว่าหายมั้ย - หาย แต่กินยาสม่ำเสมอ ดูแลสุขภาพตัวเองในเรื่องการกิน การนอน การทำงาน อย่าทำลายสุขภาพ เช่น พักผ่อนไม่พอ
ถ้ามีภาวะความเครียด อาจจะหาเพื่อนพูดคุย แบ่งปัน หนุนใจรับฟังเรา แค่นี้ก็ช่วยได้มากแล้ว อยากร้องไห้ก็ร้อง เหนื่อย เครียด โมโห เสียใจก็ร้องไห้ได้ เป็นธรรมชาติของคนใช้ชีวิตแบบธรรมชาติๆ หายได้
ถ้าไม่กินยาคงไม่หาย ตัวเองเน้นมากเรื่องยา
+ สุดท้าย อยากให้คุณบอสพูดฝากกับผู้ป่วยไบโพลาร์ในสังคม

ไบโพลาร์บอส: (หัวเราะ) People with Bipolar นะ ... อยู่กับความเป็นจริง เรียนรู้ที่จะอยู่กับความเป็นจริง ใช้ชีวิตที่เป็นไบโพลาร์อย่างภูมิใจ แค่นี้จริงๆ
People with Bipolar คุณไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าคุณไม่ได้เป็น ถ้าตราบใดที่คุณเดินออกไปแล้วยังกลัวถูกตราหน้าว่าเป็นไบโพลาร์ คุณไม่มีความสุขหรอก ยังไงก็เป็นตัวคุณ
เพราะฉะนั้นยอมรับเลย ฉันเป็นไบโพลาร์ที่มีความสุข ที่เข้าใจโรคนี้ ที่ดูแลรักษาชีวิตได้ ไม่เดือดร้อนใคร ที่ช่วยเหลือสังคมได้ ให้มีความสุขกับชีวิต แค่นี้พอ เคล็ดลับการหายป่วย
แล้วก็อย่าลืมกินยานะคะ (หัวเราะ)
+
+
+
คุณบอสยังทิ้งทายด้วย

“ความหวังอาจเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่จำเป็นต้องมี
อุปสรรคคือสิ่งกีดขวางที่ต้องเรียนรู้เพื่อก้าวข้าม ไม่ใช่ทางตัน
ความล้มเหลวเป็นสถานการณ์ ไม่ใช่ตัวบุคคล
การยอมรับ รัก และให้เกียรติตนเอง คือยารักษาผลข้างเคียงของการอยู่ในโลกความเป็นจริง”

*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+*+

ที่มา : เพื่อนรักษ์สุขภาพจิต ปีที่ 15 ฉบับที่ 58 (มกราคม-มีนาคม 2558)
เครดิตภาพ : https://images.app.goo.gl/AdfaX8NM9uNBYUG87

✨การกอดแม่✨ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการของลูกน้อยในช่วงแรกเกิดและช่วงวัยทารก เพราะการสัมผัสและการกอดช่วยสร้างความรู้...
14/07/2025

✨การกอดแม่✨ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการของลูกน้อยในช่วงแรกเกิดและช่วงวัยทารก เพราะการสัมผัสและการกอดช่วยสร้างความรู้สึกปลอดภัย มั่นคง และกระตุ้นพัฒนาการด้านต่างๆ ทั้งร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา

ดังนั้น✨ การกอดและการสัมผัสลูกน้อยอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมพัฒนาการรอบด้านของลูกน้อยในช่วงวัยแรกเกิดและช่วงวัยทารก

⛅️ รีมายด์พร้อมรับฟัง ด้วยความเข้าใจ
Line Official :
Tel : 086-441-5254

#นักจิตวิทยาคลินิก
#รักตัวเอง #สุขภาพจิตดี

คุณไม่จำเป็นต้องรอให้ถึง "จุดพัง"ถึงจะเริ่มดูแลใจตัวเอง 🧠ไม่ว่าจะโดนเท โดนทิ้ง หรือแค่ไม่รู้จะคุยกับใคร...เราพร้อม "ฟัง"...
07/07/2025

คุณไม่จำเป็นต้องรอให้ถึง "จุดพัง"
ถึงจะเริ่มดูแลใจตัวเอง 🧠

ไม่ว่าจะโดนเท โดนทิ้ง หรือแค่ไม่รู้จะคุยกับใคร...
เราพร้อม "ฟัง" และอยู่ข้างคุณเสมอ

✨ 7.7 นี้ Remind จัดโปรพิเศษให้คุณ
✔️ ปรึกษานักจิตวิทยาในราคาพิเศษ
📆 เฉพาะวันที่ 7-9 ก.ค. นี้เท่านั้น

⛅️ รีมายด์พร้อมรับฟัง ด้วยความเข้าใจ
📲 ทักไลน์เลย:
Tel : 086-441-5254

#นักจิตวิทยาคลินิก
#รักตัวเอง #สุขภาพจิตดี

01/07/2025

#อาการแพนิค (panic attack) กับ #โรคแพนิค (panic disorder) ต่างกันอย่างไร

\|•\|•\|•\|•\|•\|•\|•\|•\|•\|•\|•\|•\|•\|•\|•

โรคแพนิค เป็นภาวะทางจิตเวชอย่างหนึ่งที่พบได้บ่อย โดยพบได้ 2-5% ของประชากร

อย่างไรก็ตาม #การมีอาการแพนิคหนึ่งครั้ง (panic attack) #ไม่ได้แปลว่ามีโรคแพนิค (panic disorder)

ความแตกต่างคืออะไร?

เรามาเริ่มทำความรู้จัก #อาการแพนิค ( #ทางการแพทย์) กันก่อนค่ะ
(หลายคนใช้คำว่า แพนิค แต่จริง ๆ เป็นภาษาอังกฤษว่า Panic ที่จะสื่อว่า ตื่นตระหนก ตกใจ /กลัว เท่านั้น)

ผู้ป่วยจะมี ❤️‍🔥 อาการทางร่างกายหลาย ๆ อย่าง (อย่างน้อย 4 อาการ) ขึ้นมา พร้อม ๆ กัน ❤️‍🔥 ได้แก่
ใจสั่น , หัวใจเต้นแรงหรือเร็วมาก / หายใจไม่อิ่ม หายไม่ออก (บางคนจะบอกว่า หายใจไม่เข้า) / รู้สึกอึดอัด /
แน่นหน้าอก / รู้สึกมึนหัว , โคลงเคลง , เหมือนจะเป็นลม / เหงื่อแตก / ตัวสั่น / คลื่นไส้ ท้องไส้ปั่นป่วน / มือไม้ชาๆ ซ่าๆ หรือรู้สึกอ่อนแรง / รู้สึกเย็บวาบ หรือ ร้อนวูบ

ด้วยความที่อยู่ๆ อาการหลาย ๆ อย่างดังกล่าว ก็เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลัน ทำให้ผู้ป่วยมักกลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้ กลัวจะเป็นบ้า หรือกลัวว่าจะตาย (ส่วนใหญ่คิดว่าเป็นโรคหัวใจ)

อาการมักจะขึ้นถึงจุดสูงสุดใน 10-15 นาที จากนั้นก็จะค่อยๆ เบาลง และมักจะหายไปในเวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมง

บางคนมีความเครียด อยู่ในสถานการณ์ที่กดดัน
แต่บางรายก็มีอาการขึ้นมาเองได้ จากระบบประสาทออโตโนมิค ที่ทำงานผิดปกติ
ดังนั้น #ไม่ใช่เรื่องแปลกหากผู้ป่วยไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในช่วงที่มีเครียดหรือกังวลอะไร


หากมีอาการแพนิค (panic attack) เพียงครั้งเดียว
เช่น ตอนลงทะเลครั้งแรกในการเรียนดำน้ำ , ตอนต้องพูดต่อหน้าที่ประชุมใหญ่
แล้วไม่ได้มีอาการอีกซ้ำๆ ไม่มีผลอะไรต่อการใช้ชีวิต
ก็ไม่นับว่าเป็นโรคแพนิค (panic disorder) ค่ะ

⭕️ จะบอกว่าเป็น "โรคแพนิค" ต่อเมื่อ มีอาการแพนิค ซ้ำๆ โดยที่อาการ
***** #ไม่ได้เกิดจากยา_สารต่างๆ ือสาเหตุทางกายอื่นๆ *****
เพราะหากเป็นจากเหตุอื่น อาจเป็นอันตรายได้
(กาดอกจัน 10 ดวง)

ดังนั้น การที่ผู้ป่วยที่มีอาการครั้งแรก รีบไปห้องฉุกเฉิน จึงเป็นการกระทำที่ถูกต้อง เนื่องจาก

#มีหลายภาวะที่ทำให้เกิดอาการคล้ายแพนิคได้ เช่น โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคปอด โรคธัยรอยด์ อาการนำของโรคลมชัก เป็นต้น

🩻 จำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติมก่อนว่า ไม่ใช่อาการของโรคใดโรคหนึ่ง

#สารบางตัวกระตุ้นให้เกิดอาการแพนิคได้ เช่น คาเฟอีนที่มากเกินไป พิษกัญชา อาการถอนจากสารเสพติดหลายชนิด เป็นต้น

สรุป คือ Panic attack อาจเป็น จากภาวะทางจิตใจ เช่น ความกลัว สถานการณ์บางอย่าง / กลัวอะไรบางอย่าง และ อาจเป็นอาการเริ่มต้น ของโรค แพนิค

หรือ เกิดจากโรคทางกาย บางชนิด ( มีทั้งที่เป็นโรคร้ายแรง และ โรคทั่วไปก็ได้ )

ภาวะ Panic attack จึงต้องหาสาเหตุและรักษา ไป ตาม โรค / ภาวะนั้น ๆ
อาการก็จะหายไป

ส่วน โรคแพนิค เป็นโรคทางจิตเวช ที่ต้องรักษา ในระยะยาว เมื่อคุมอาการได้แล้ว เรียกว่า อาการสงบ
อาจเป็นซ้ำ แต่อาการ จะไม่มากเท่ากับที่เป็นครั้งแรก

#ผลกระทบของโรคแพนิค

ในครั้งแรกๆ อาการจะเกิดขึ้นแบบคาดเดาไม่ได้ (unexpected)
แต่เมื่ออาการเกิดขึ้นแล้ว ผู้ป่วยมักจะรู้สึกทนไม่ไหว อยากออกจากจุดนั้น ถ้าขับรถก็ต้องจอด บางคนอยากลงจากเครื่องบิน
ทำให้มักเกิดความกังวลตามมาว่า จะเกิดอาการแล้วไม่มีใครช่วยได้ หรืออยู่ในจุดที่หนีไม่ได้ เช่น อยู่ในรถสาธารณะแล้วลงไม่ได้ อยู่บนรถไฟฟ้า หรือรถติดอยู่บนทางด่วน

ในบางกรณี โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยอาจจะเชื่อมโยงอาการกับสถานที่ที่เคยมีอาการ เช่น บันไดเลื่อน ลิฟท์ รถไฟฟ้า แล้วเริ่มมีอาการที่คาดเดาได้ (expected)

จนส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะไม่กล้าออกจากบ้าน ไม่กล้าเดินทาง บางรายมีภาวะซึมเศร้าตามมา หรือ หันไปดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้สารเสพติดเพื่อบรรเทาอาการ (เกิดเป็นอีกปัญหาตามมา)

+ + + #การรักษา + + +

ประกอบด้วย การดูแลทางด้านจิตใจ การใช้ยา และการควบคุมลมหายใจ

1) 💚 การดูแลทางด้านจิตใจ
คือ การอธิบาย ให้เข้าใจ กระบวนการเกิดโรค ให้ผู้ป่วยทราบว่า #แม้อาการจะน่ากลัวแต่ไม่มีอันตราย #ไม่ตายหรือกลายเป็นโรคร้ายแรง
และมียาที่สามารถรักษาให้ #หายได้ รวมถึงมีวิธีดูแลตัวเองเฉพาะหน้า โดย การฝึก ควบคุมลมหายใจเพื่อบรรเทาอาการเมื่อมีอาการ

2) 💚 การใช้ยา มี 2 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่

2.1 💊 ยาที่กินเพื่อป้องกันการเกิดอาการ และยาที่รักษาอาการ 💊
คือ ยากลุ่มยาต้านเศร้า แบบเดียวกับที่ใช้ในโรคซึมเศร้า
เป็น #ยาตัวหลักที่ใช้ในการรักษาทำให้อาการแพนิคเกิดขึ้นถี่น้อยลงจนหายไปในที่สุด
รวมทั้งช่วย #ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำด้วย

แต่ยาในกลุ่มนี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ถึงจะเริ่มเห็นผล
ดังนั้นในอาทิตย์แรก ๆ แพทย์จึงมักให้ทานยาในข้อ 2.2 เพื่อบรรเทาอาการ

เมื่ออาการหายดีแล้ว แนะนำให้กินยาหลักนี้ต่อไปอีกอย่างน้อย 6 เดือน เนื่องจากการศึกษาพบว่า ผู้ที่หยุดยาเร็ว มักมีอาการกลับมาเป็นซ้ำได้บ่อยกว่า

2.2 ยาที่กินเพื่อลดอาการ

เรียกว่าเป็นยาฉุกเฉิน กินเฉพาะเมื่อมีอาการ ถ้าไม่มีอาการก็ไม่จำเป็นต้องกิน
ยาที่นิยมใช้ในกรณีนี้ได้แก่ ยา
กลุ่ม Benzodiazepine เช่น Alprazolam , Clorazepate , Diazepam , Clonazepam

ยากลุ่มนี้ แม้ว่าจะเป็นยาที่ออกฤทธิ์เร็ว แต่ก็ต้องรอให้ยาออกฤทธิ์ประมาณ 15-20 นาที
ในระหว่างนี้จึงแนะนำให้ควบคุมลมหายใจควบคู่ไปด้วยค่ะ

3) 💚 การควบคุมลมหายใจเวลาที่มีอาการ (Breathing exercise)

เมื่อรู้ว่าอาการแพนิคเริ่มมา
ตั้งสติ นั่งพัก แล้วหายใจเข้าออก **ช้าๆ ลึกๆ ยาวๆ** เหมือนเวลานั่งสมาธิหรือเล่นโยคะ
โดยเราจะหายใจออก ให้ยาวกว่าหายใจเข้า (เพื่อเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปให้หมดก่อน)
โดย หายใจเข้านับ 1-2-3-4 หายใจออกนับ 1-2-3-4-5-6

เนื่องจากเวลามีอาการ ผู้ป่วยมักจะหายใจเร็ว คือหายใจตื้นๆ ถี่ๆ ซึ่งจะยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัดหนักขึ้นไปอีก

คนไข้หลายรายไม่จำเป็นต้องใช้ยาฉุกเฉิน เนื่องจากอาการลดลงไปมากเมื่อหายใจอย่างถูกวิธีค่ะ

\|•\|•\|•\|•\|•\|•\|•\|•\|•\|•\|•\|•\|•\|•\|•

เครดิตเรื่อง : หมอมีฟ้า ( Rerun )
เครดิตภาพ :
https://images.app.goo.gl/V22B59dhpQxsoML4A

✨ รักตัวเองคือก้าวแรกสู่ความสุข ✨ในวันที่ชีวิตวุ่นวาย มักลืมดูแลตัวเอง ลองพักผ่อน ใส่ใจความรู้สึกของตัวเอง แล้วจะพบว่าคว...
26/06/2025

✨ รักตัวเองคือก้าวแรกสู่ความสุข ✨
ในวันที่ชีวิตวุ่นวาย มักลืมดูแลตัวเอง ลองพักผ่อน ใส่ใจความรู้สึกของตัวเอง แล้วจะพบว่าความสุขนั้นเริ่มจากการรักตัวเอง 💖

⛅️ รีมายด์พร้อมรับฟัง ด้วยความเข้าใจ
Line Official :
Tel : 086-441-5254

#นักจิตวิทยาคลินิก
#รักตัวเอง #สุขภาพจิตดี

23/06/2025

#งานบ้านเล็กๆ สร้างนิสัยที่ยิ่งใหญ่ให้ลูกบทความโดย #มัมมี่Bชวนเมาท์
เนื่องจากปัจจุบัน เป็นยุคแห่งความสะดวกสบาย บางบ้านจึงมีพี่เลี้ยง แม่บ้าน หรือมีหุ่นยนต์ช่วยทำความสะอาด บางบ้าน พ่อแม่อาจเลือกที่จะทำเองทั้งหมดเพื่อความรวดเร็ว ทำให้ลูกไม่ต้องช่วยทำงานบ้าน ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเรียนและกิจกรรมต่างๆของตัวเองได้อย่างเต็มที่
แต่พ่อแม่รู้ไหมคะว่า การมอบหมายหน้าที่ให้ลูกช่วยทำงานบ้านนั้น ให้ประโยชน์กับลูกของเราทั้งในปัจจุบันและอนาคตมากมายอย่างคาดไม่ถึงจริงๆ
เพราะงานบ้านคืองานที่เหนื่อย ไม่สนุก และน่าเบื่อ การที่ลูกช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน เราไม่ได้หวังเพียงผลลัพธ์ที่บ้านจะสะอาดเรียบร้อย แต่การที่ลูกช่วยทำงานบ้านจนเสร็จเป็นหน้าที่ จะส่งผลดีต่อลูกอย่างมากดังนี้
➡️ หน้าที่ทำงานบ้าน เป็นการปลูกฝังให้ลูกมีวินัยและรับผิดชอบต่อหน้าที่ตนเอง
➡️ การทำงานบ้าน เป็นการฝึกความอดทนและความพยายามในการทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ แม้ลูกจะรู้สึกเบื่อหรือเหนื่อยก็ตาม
➡️ การทำงานบ้าน จะช่วยลูกเพิ่มทักษะในการคิดและแก้ปัญหาที่พบในระหว่างการทำงานบ้านให้สำเร็จ
➡️ ฝึกลูกในการวางแผน ยืดหยุ่น และการจัดการเวลาในการช่วยงานบ้าน เวลาเรียน เวลาส่วนตัว และเวลาพักผ่อนด้วยตนเองได้
➡️ การช่วยงานบ้าน จะปลูกฝังความมีน้ำใจในการช่วยเหลือผู้อื่น แบ่งเบาภาระพ่อแม่
การมอบหมายงานบ้านให้ลูก สามารถเริ่มได้ตั้งแต่อายุ 2-3 ขวบ ค่อยๆ มอบหมายงานบ้านให้เหมาะสมตามวัยของลูก ฝึกได้โดยการทำให้ลูกดู จับมือทำ และ พาลูกทำไปด้วยกัน
พ่อแม่ต้องชื่นชมในความพยายามและความมีน้ำใจของลูก แม้เขาจะยังทำงานบ้านได้ไม่เรียบร้อย ตามที่เราคาดหวังก็ตาม โดยชมทันทีเมื่อลูกเห็นลูกทำ จะกระตุ้นพฤติกรรมให้ลูกอยากที่จะทำซ้ำ และทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
คำชมจากพ่อแม่จะทำให้ลูกภูมิใจ และเกิดเป็นความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นการสร้าง Self -Esteem ให้กับลูก ทำให้ลูกรู้ว่า เขามีความสามารถ เขาทำได้ เขาทำในสิ่งที่มีประโยชน์ สามารถช่วยเหลือพ่อแม่และผู้อื่น
นอกจากนี้ การทำงานบ้านยังเป็นการฝึก Executive Functions หรือทักษะ EF ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมตนเอง การวางแผน และการตัดสินใจยืดหยุ่น ใส่ใจจดจ่อ ลงมือทำจนสำเร็จ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้และการใช้ชีวิตให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว
ทั้งหมดจะเห็นได้ว่า การฝึกให้ลูกช่วยงานบ้าน นอกจากจะเป็นการปลูกฝังวินัยและความรับผิดชอบ ยังเป็นการสร้าง Self Esteem และ ทักษะ EF ที่ดีให้กับลูกอีกด้วย
สำคัญยิ่งไปกว่านั้น การที่ลูกช่วยงานบ้านยังเป็นการสร้างสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว สร้างบรรยากาศที่ดีในบ้าน บ้านที่เรียบร้อย ทำให้มองแล้วสบายตา รู้สึกสบายใจ การที่ลูกมีน้ำใจ ทำให้พ่อแม่ชื่นชมและภูมิใจในตัวเขา ที่ช่วยแบ่งเบาภาระ ส่งผลทำให้ลูกรู้สึกดีกับพ่อแม่และชื่นชมในตัวเองเช่นกัน
Net PAMA ขอเป็นตัวช่วยให้กับพ่อแม่ทุกท่านที่ต้องการฝึกลูกทำงานบ้าน ด้วยหลักการเลี้ยงลูกเชิงบวก สร้าง“ความสัมพันธ์ที่ดีกับลูก" ควบคู่ไปกับ “การสร้างวินัยให้กับลูก” ซึ่งแต่บทเรียนพ่อแม่จะได้เรียนรู้ถึง
🔹ปัจจัยต่างๆในการปรับพฤติกรรมลูก
🔹ทักษะในการสื่อสารเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว
🔹เทคนิคการชมทำให้ลูกมีกำลังใจ
🔹การให้รางวัลเพื่อกระตุ้นพฤติกรรมดีของลูก
🔹การลงโทษที่ถูกวิธีโดยที่ลูกไม่ต่อต้าน
🔹 เทคนิคการใช้ตารางเด็กดี
การันตรีว่า ความรู้ในทุกบทอยู่ในชีวิตประจำวันของเราและลูกแน่นอน สามารถลงทะเบียนเรียนฟรีได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายที่ https://www.netpama.com ค่ะ ♥️
#เน็ตป๊าม้า #คัมภีร์เลี้ยงลูกเชิงบวก

ที่อยู่

Remind Clinic
Amphoe Bangkok Noi
10310

เวลาทำการ

จันทร์ 10:00 - 21:00
อังคาร 10:00 - 21:00
พุธ 10:00 - 21:00
พฤหัสบดี 10:00 - 20:00
ศุกร์ 10:00 - 20:00
เสาร์ 10:00 - 21:00
อาทิตย์ 10:00 - 20:00

เบอร์โทรศัพท์

+66864415254

เว็บไซต์

https://goo.gl/maps/5cB9qhZXxEJzk8en9

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Remind Clinicผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Remind Clinic:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram