คลินิคหมออุมา/คลินิคแพทย์หญิงอุมา

คลินิคหมออุมา/คลินิคแพทย์หญิงอุมา ตรวจรักษาโรคทั่วไปเด็กและผู้ใหญ่ ฉีดยา ทำแผล ผ่าตัดเล็ก ฉีดยาคุมกำเนิด ฉีดวัคซีนเด็ก เช็ค

16/07/2025

แค่เงยคอก็เป็นสโตรกได้
อายุน้อยใครว่าไม่เสี่ยง !

1.วันก่อนเลื่อนไปเจอคลิปนึง เขามาเล่าให้ฟังว่า
เขาอายุ 32 ไม่มีโรคประจำตัวเลย
ไม่ได้เป็นเบาหวาน ความดัน หรือไขมันในเลือด
เรื่องมันเกิดจากถ่ายคลิป TikTok
“เงยหน้า หงายคอ” ประมาณ 17 ครั้ง
แล้วอยู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนจะเป็นลม หูอื้อ ฟังเสียงไม่ค่อยได้ยิน
ปวดหัวข้างขวามาก ๆ พูดไม่ออก พูดแล้วไม่เป็นคำ
เธอพยายามจะบอกผู้ช่วยว่า “ปวดหัวมาก” แต่ปากมันเบี้ยว
ขาจะก้าวก็ไม่มีแรง เดินไม่ได้เลย
เลยรีบถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล จนสุดท้ายเข้าห้อง ICU
คุณหมอบอกว่าเธอเป็น “สโตรก” เพราะเกิดลิ่มเลือดไปอุดตันในสมอง
ตอนฉีดสีดูสมองคือหลอดเลือดหายไป “ครึ่งซีก”
ถ้าช้าไปกว่านี้ อาจจะอันตรายถึงชีวิตได้เลยนะ

2. หลายคนคิดว่าสโตรกจะเกิดในคนแก่ คนที่เป็นเบาหวาน ความดัน
แต่ในความจริงมันเกิดได้กับทุกคน… ถ้า “เส้นเลือดมีปัญหาเฉียบพลัน”
ซึ่งการ “เงยคอถ่ายคลิปแรง ๆ ซ้ำ ๆ”
ทำให้เส้นเลือดตรงคอฉีก
เลือดที่ไหลในหลอดเลือดนั้นเลยเปลี่ยนเป็นลิ่ม
แล้วลิ่มเลือดก็ไหลขึ้นไปอุดที่สมอง
ไม่ใช่โรคที่เจอบ่อย แต่มาแบบไม่ให้ตั้งตัว
แค่เล่นโยคะผิดท่า หักคอผิดองศา หรือขับรถแล้วหันคอแรง ๆ
ก็เกิดได้ ถ้าร่างกายเราอ่อนล้า พักผ่อนน้อย หรือเส้นเลือดเปราะ
ซึ่งจริงๆยังเกิดได้จากหลายปัจจัยเลยนะ ไม่ว่าจะเป็น
•ดื่มน้ำน้อย
•นอนน้อย
•เครียดเรื้อรัง
•ทำแต่งาน ไม่มีเวลาพัก

3. สโตรกไม่จำเป็นต้องเริ่มจากแขนขาอ่อนแรงเสมอไป
ในคนอายุน้อย บางคนจะเริ่มจากอาการที่เรานึกไม่ถึง เช่น
•หูอื้อ เหมือนมีอะไรอุดอยู่ในหู
•ปวดหัวข้างเดียว แบบรุนแรงมาก อยู่ ๆ ก็มา
•พูดไม่ออก หรือพูดแล้วฟังไม่รู้เรื่อง
•ปากเบี้ยว มุมปากตก เหมือนกล้ามเนื้อข้างหนึ่งหายไป
•ไม่มีแรง เดินไม่ได้ มือเท้าไม่มีแรง จับของตก

ในเคสนี้ เขาเล่าว่าเริ่มจากหูอื้อ ปวดหัว แล้วพูดไม่ออก
ถ้าคนรอบตัวไม่สังเกต คงคิดว่าเป็นแค่นอนไม่พอ หรือเวียนหัวธรรมดา
แต่โชคดีที่คนพาไปโรงพยาบาลเร็ว
เพราะถ้าช้าเกิน 4.5 ชั่วโมง สมองที่ขาดเลือดจะเสียหายถาวร

4. สิ่งที่ผมอยากให้ทุกคนทำเพื่อป้องกันสโตรกในคนวัยทำงาน
•งดหักคอแรง ๆ หรือเงยหน้าแรง ๆ ซ้ำ ๆ โดยเฉพาะตอนเหนื่อย
•ดื่มน้ำให้พอ อย่างน้อยวันละ 1.5–2 ลิตร
•พักผ่อนให้พอ อย่านอนน้อยต่อเนื่องหลายวัน
•เคลื่อนไหวสม่ำเสมอ ไม่ปล่อยให้ร่างกายเฉา
•จัดการความเครียดให้ดี เพราะความเครียดเรื้อรังทำให้เลือดหนืด เสี่ยงลิ่มเลือด
•อย่าใช้ร่างกายแบบหนัก แบบหักโหมเกินไป

อย่าคิดว่าอายุน้อยแล้ว "ยังไงเราก็แข็งแรงอยู่แล้ว"
อายุน้อยก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้นะครับ

5. ฝากไว้หน่อยครับ
ทุกวันนี้ “เคสสโตรกในคนอายุน้อย” เจอมากขึ้นเรื่อย ๆ จริง ๆ
และสิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่แค่ “เสียชีวิต”
แต่คือการต้อง “นอนติดเตียง” หรือมีชีวิตที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ถ้าใครมีอาการตามที่เล่ามา ไม่ว่าจะเป็น
หูอื้อ พูดไม่ออก ปากเบี้ยว ปวดหัวข้างเดียว เดินไม่ได้
อย่ารอ อย่าคิดว่าเดี๋ยวคงหายเอง
รีบไปโรงพยาบาลให้ทัน “ภายใน 4 ชั่วโมง”
เพราะเวลาคือหัวใจของการรักษาสโตรก
ดูแลตัวเองกันด้วยนะครับ
ใครมีคำถามเพิ่มเติม คอมเมนต์ไว้ได้เลยครับ ผมยินดีตอบเสมอ

09/07/2025

คอเลสเตอรอล vs ไตรกลีเซอไรด์
คลายข้อสงสัย มันต่างกันอย่างไรนะ? 🤔

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า "คอเลสเตอรอล" และ "ไตรกลีเซอไรด์" แต่บางครั้งก็ยังสับสนว่าทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างไร แล้วทำไมค่าพวกนี้ถึงมีผลต่อสุขภาพของเราขนาดนี้? วันนี้เรามาไขข้อข้องใจแบบเข้าใจง่ายๆ กันค่ะ 💡

🔬 คอเลสเตอรอลคืออะไร? ทำไมสำคัญต่อร่างกาย?
คอเลสเตอรอลเป็นไขมันชนิดหนึ่งที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นเองที่ตับ และยังได้รับจากอาหารที่เรากินเข้าไปด้วยค่ะ จริงๆ แล้วคอเลสเตอรอล ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป เพราะร่างกายต้องใช้มันเพื่อ...

▪️ สร้างเซลล์ และช่วยให้เยื่อหุ้มเซลล์แข็งแรง
▪️ ผลิตฮอร์โมนสำคัญ เช่น ฮอร์โมนเพศ (เอสโตรเจน เทสโทสเตอโรน)
▪️ ช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้เป็นปกติ

แต่! ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายมี LDL หรือคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้ไขมันสะสมในหลอดเลือด และเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ค่ะ 💔

🏥 คอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) vs ชนิดไม่ดี (LDL)
คอเลสเตอรอลในร่างกายแบ่งได้เป็น 2 ชนิดหลักที่ควรรู้จัก 👇

✔️ 1. HDL (High-Density Lipoprotein) หรือ "ไขมันดี" 🟦
🔹 HDL เป็นไลโปโปรตีนความหนาแน่นสูง ทำหน้าที่เปรียบเสมือน ‘นักเก็บขยะ’ ของหลอดเลือดค่ะ โดยจะขนคอเลสเตอรอลส่วนเกินจากหลอดเลือด กลับไปที่ตับเพื่อขับออกจากร่างกายทางน้ำดี แล้วขับออกผ่านลำไส้ทางอุจจาระ
🔹 HDL ช่วยป้องกันไม่ให้คอเลสเตอรอลไปสะสมที่ผนังหลอดเลือด และยังมีฤทธิ์ “ต้านอนุมูลอิสระ” กับ “ลดการอักเสบ” ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้อีกขั้น
🔹 ถ้าระดับ HDL ต่ำ (ต่ำกว่า 40 มก./ดล. ในผู้ชาย และ 50 มก./ดล. ในผู้หญิง) จะถือเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ
🔹 ปัจจัยที่ทำให้ HDL ลดลง เช่น
▪️ สูบบุหรี่
▪️ โรคอ้วนลงพุง
▪️ ขาดการออกกำลังกาย
▪️ ภาวะดื้อต่ออินซูลิน
🔹 วิธีเพิ่ม HDL ให้สูงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เช่น
▪️ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ (แนะนำแบบแอโรบิก)
▪️ ลดน้ำหนักหากมีภาวะอ้วน
▪️ กินไขมันดีจากปลาแซลมอน ปลาทะเล อะโวคาโด น้ำมันมะกอก ถั่วอัลมอนด์ เมล็ดแฟลกซ์
▪️ หลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ เช่น ของทอดซ้ำ น้ำมันพืชเติมไฮโดรเจน
▪️ ถ้าจำเป็น แพทย์อาจแนะนำยาบางชนิด เช่น niacin เพื่อเพิ่ม HDL ค่ะ

❌ 2. LDL (Low-Density Lipoprotein) หรือ "ไขมันไม่ดี" 🟥
🔸 LDL เป็นไลโปโปรตีนชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่ลำเลียงคอเลสเตอรอลจากตับไปยังเซลล์ต่างๆ เพื่อใช้สร้างฮอร์โมน เยื่อหุ้มเซลล์ และสารชีวภาพอื่นๆ ที่ร่างกายต้องใช้ค่ะ
🔸 แต่หากมีมากเกินไป โดยเฉพาะในรูปแบบ อนุภาคขนาดเล็กและหนาแน่น (Small Dense LDL) ซึ่งสามารถแทรกตัวเข้าไปในผนังหลอดเลือดได้ง่าย และถูกออกซิไดซ์กลายเป็น Oxidized LDL ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการสะสมไขมันและการอักเสบในหลอดเลือด
🔸 Oxidized LDL คือ LDL ที่ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ ส่งผลให้เกิดการอักเสบที่ผนังหลอดเลือด และนำไปสู่การก่อตัวของ “คราบไขมัน” (Plaque) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของโรคหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) ค่ะ
🔸 พฤติกรรมที่ทำให้ LDL สูงขึ้น เช่น
▪️ กินอาหารทอด ของมันจัด อาหารแปรรูป
▪️ ขาดการออกกำลังกาย
▪️ สูบบุหรี่ เครียดเรื้อรัง พักผ่อนไม่เพียงพอ
▪️ กินน้ำตาลหรือแป้งขัดสีมากเกินไป เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว ขนมหวานต่างๆ
🔸 สรุปคือ แม้ว่า LDL จะมีบทบาทสำคัญในการลำเลียงคอเลสเตอรอลให้กับร่างกาย แต่หากมีปริมาณมากเกินไป โดยเฉพาะในภาวะที่หลอดเลือดอักเสบหรือมีโรคเรื้อรัง ก็จะเร่งให้เกิดการสะสมของไขมันในหลอดเลือด และเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ค่ะ

🔄 แล้ว “ไตรกลีเซอไรด์” คืออะไร? ต่างจากคอเลสเตอรอลยังไง? 💬
ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) คือไขมันอีกชนิดหนึ่งที่พบได้ทั้งในกระแสเลือด และสะสมในเนื้อเยื่อไขมัน มีหน้าที่สำคัญคือ เก็บพลังงานส่วนเกินจากอาหาร โดยเฉพาะจากแป้งและน้ำตาล เพื่อใช้เป็นพลังงานสำรองในยามที่ร่างกายขาดอาหารค่ะ

ไตรกลีเซอไรด์สามารถเกิดขึ้นได้จาก 2 แหล่งหลัก ได้แก่:
▪️ การดูดซึมไขมันจากอาหาร โดยลำไส้เล็ก
▪️ การสร้างขึ้นใหม่โดยตับ เมื่อร่างกายได้รับแป้ง น้ำตาล หรือแอลกอฮอล์มากเกินไป

💥 ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงเกินไป ซึ่งเสี่ยงต่อ...
▪️ โรคหัวใจและหลอดเลือด เพราะไขมันไปเกาะตามผนังหลอดเลือด
▪️ ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งนำไปสู่โรคเบาหวาน
▪️ ไขมันพอกตับ (Fatty Liver)
▪️ ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน (ถ้าระดับสูงเกิน 500–1000 mg/dL)
▪️ ไขมันส่วนเกินสะสมในร่างกาย นำไปสู่ความอ้วน โดยเฉพาะอ้วนลงพุง

💢 พฤติกรรมที่ทำให้ไตรกลีเซอไรด์สูง เช่น
▪️ ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
▪️ กินของหวาน ขนม เบเกอรี่ น้ำตาลสูง
▪️ กินแป้งขัดขาว เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว
▪️ ขาดการออกกำลังกาย
▪️ เบาหวานที่ควบคุมไม่ดี
▪️ โรคตับเรื้อรัง หรือภาวะพันธุกรรม
▪️ ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ ยาคุมกำเนิด ยากลุ่มเบต้า-บล็อกเกอร์

✅ วิธีลดไตรกลีเซอไรด์แบบได้ผล
▪️ ลดน้ำตาล แป้งขัดสี และของหวาน
▪️ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มหวานและแอลกอฮอล์ทุกชนิด
▪️ เพิ่มผักสด ผลไม้ไม่หวานจัด เช่น แอปเปิลเขียว ฝรั่ง
▪️ กินธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต
▪️ เลือกโปรตีนไขมันต่ำ เช่น ปลา อกไก่ เต้าหู้ ถั่ว
▪️ เลือกไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่วอัลมอนด์
▪️ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์
▪️ ถ้าปรับพฤติกรรมแล้วไม่พอ อาจต้องใช้ยาลดไขมันเฉพาะทางภายใต้คำแนะนำแพทย์ค่ะ

📊 ค่าคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ที่เหมาะสมควรอยู่ที่เท่าไหร่?
🔹 คอเลสเตอรอลรวม (Total Cholesterol): ควรต่ำกว่า 200 mg/dL
🔹 HDL (ไขมันดี):
▪️ ผู้ชาย ≥ 40 mg/dL
▪️ ผู้หญิง ≥ 50 mg/dL
🔸 LDL (ไขมันไม่ดี):
▪️ ควรต่ำกว่า 130 mg/dL
▪️ หากมีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจหรือเบาหวาน ควรต่ำกว่า 100 mg/dL
🔺 ไตรกลีเซอไรด์: ควรต่ำกว่า 150 mg/dL
📌 หมายเหตุ: ค่ามาตรฐานอาจปรับตามคำแนะนำของแพทย์ในแต่ละรายค่ะ

🎯 สรุปสั้นๆ เข้าใจง่าย
▪️ คอเลสเตอรอล = มีทั้งชนิดดี (HDL) ที่ช่วยกำจัดไขมัน และชนิดไม่ดี (LDL) ที่อาจสะสมในหลอดเลือด
▪️ ไตรกลีเซอไรด์ = ไขมันที่ร่างกายเก็บจากพลังงานส่วนเกิน เช่น น้ำตาล แป้ง
▪️ ค่าที่สูงเกินไปของ LDL และไตรกลีเซอไรด์ เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
▪️ วิธีดูแลตัวเอง คือ กินดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดน้ำตาล ลดไขมันทรานส์ และตรวจสุขภาพเป็นประจำค่ะ

✨ สุขภาพดีเริ่มจากเรื่องเล็กๆ ที่เราควบคุมได้
หลายคนเข้าใจว่า ถ้าไม่มีโรคประจำตัวก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องไขมันในเลือด แต่จริงๆ แล้วไขมันในเลือดสูงมักไม่แสดงอาการชัดเจนค่ะ การตรวจสุขภาพประจำปีจึงสำคัญ เพราะสามารถพบความเสี่ยงได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นและป้องกันไว้ก่อนที่จะสายเกินไปนะคะ
ระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในร่างกายคือสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้ผ่านการปรับพฤติกรรม เช่น
▪️ เลือกรับประทานอาหารที่ดี
▪️ ลดของทอด ลดน้ำตาล
▪️ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
▪️ ควบคุมน้ำหนัก
▪️ นอนหลับให้เพียงพอ
เริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่เราทำได้ทุกวัน สุขภาพดีในระยะยาวก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอนค่ะ 😊❤️

อ้างอิง:
https://www.bumrungrad.com/.../cholesterol-heart-disease
https://www.siphhospital.com/.../share/check-up-report

#คอเลสเตอรอล #ไตรกลีเซอไรด์

06/07/2025

สรุปว่านอนกรนทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอะไรบ้าง?
(Complication of obstructive sleep apnea)


😴 นอนกรน ไม่ใช่แค่คร่อกกก แต่เพราะตอนมีเสียงคร่อกกกนี่แหละ มันเกิดจากทางเดินหายใจตีบจนจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่แล้ว ลมเลยไหลผ่านจุดแคบไว แล้วก็หมุนแบบปั่นป่วนเกิดเสียง

การตีบแคบทำให้ออกซิเจนเข้าร่างกายน้อยลงมากในช่วงที่กรน แล้วแต่ความรุนแรงของแต่ละคน บางคนรุนแรงถึงขั้นตื่นขึ้นมาเฮือกกลางดึก

🧨 ดังนั้นนอนกรนมีภาวะแทรกซ้อนมากมายที่เป็นผลมาจากหายใจเฮือกสู้, ผลจากออกซิเจนต่ำ สลับกับออกซิเจนกลับมา, สร้างสารอนุมูลอิสระมากขึ้น, สร้างสารก่ออักเสบมากขึ้น

_______________________________

1️⃣ ปัสสาวะตอนกลางคืน (Nocturia)

💧 นอนกรน อากาศเข้าออกปอดน้อยลง
⮕ ก๊าซ CO₂ ในเลือดคั่ง
⮕ กระตุ้นศูนย์หายใจที่ก้านสมอง
⮕ กะบังลมและทรวงอกขยายแรงขึ้น
⮕ ความดันช่องอกติดลบมากขึ้น
⮕ ถ่างปอดเพื่อให้หายใจเข้าแรงขึ้น แต่ก็ถ่างหัวใจด้วย
⮕ ผนังหัวใจที่ถูกถ่าง เข้าใจผิดคิดว่าเลือดเยอะ
⮕ จึงสั่งให้ไตขับน้ำออกมากขึ้นผ่านฮอร์โมน ANP, BNP
⮕ ปัสสาวะมากขึ้น กระตุ้นการปวดตอนกลางคืน

_______________________________

2️⃣ ความดันสูง (Secondary hypertension)

💢 นอนกรน อากาศเข้าออกปอดน้อยลง
⮕ ก๊าซ CO₂ คั่ง แต่ O₂ ต่ำลง กระตุ้นหายใจแรงขึ้น
⮕ ยิ่งหายใจแรง ยิ่งกระตุ้นประสาท sympathetic
⮕ sympathetic กระตุ้นระบบฮอร์โมน
⮕ ทั้ง sympathetic และ RAAS เพิ่มความดันเลือด
🧠 หลักการคล้ายกับร่างกายคิดว่าอยู่ในสภาพ stress จึงรีบเพิ่มความดัน

🫁 นอนกรนทำให้ O₂ ต่ำลงเป็นพัก ๆ ตลอด
⮕ เซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือดสร้างก๊าซ nitric oxide ได้ลดลง
⮕ หลอดเลือดขยายได้น้อยลง ตีบตัวมากขึ้น
⮕ ความต้านทานสูงขึ้น ความดันเลือดจึงสูงขึ้น

_______________________________

3️⃣ หัวใจเต้นผิดจังหวะแบบหัวใจห้องบนเต้นพริ้ว (Atrial fibrillation)

❤️ นอนกรนทำให้ผนังหัวใจห้องบนเสียหายหลายกลไก
🔹 O₂ ต่ำลงทำให้เซลล์ขาดออกซิเจน
🔹 ช่วง O₂ กลับมา แต่เซลล์ยังไม่พร้อม รับ O₂ ไปสร้างสารอนุมูลอิสระทำลายเซลล์ต่อ
🔹 ช่วงหายใจสู้การอุดกั้น จะสร้างความดันลบในช่องอกรุนแรง กระชากหัวใจห้องบน

⚡ ผลคือ
⮕ ทางเดินไฟฟ้าหัวใจห้องบนเสียหาย เกิดเส้นทางที่ไม่สมมาตรกัน
⮕ กระแสไฟฟ้าไหลผ่านแล้วเกิดการไหลวน (Reentry)
⮕ จุดไหลวนกลายเป็นจุดกำเนิดสัญญาณไฟฟ้าใหม่ กระตุ้นเซลล์รอบ ๆ
⮕ เนื่องจากมีจุดไหลวนเยอะ กล้ามเนื้อหัวใจจึงหดไม่พร้อมกัน
⮕ เกิดภาวะหัวใจห้องบนเต้นพริ้ว

☠️ ส่งผลเสียต่อคือ
⮕ หัวใจห้องบนขาดประสิทธิภาพในการบีบไล่เลือด
⮕ เลือดที่นิ่งมากขึ้น เกิดการแข็งตัวเป็นลิ่มเลือด
⮕ เลือดไหลไปอุดที่สมอง เกิดสมองขาดเลือด อัมพาตได้

_______________________________

4️⃣ ไขมันแทรกผนังหลอดเลือด (Atherosclerosis)

🧬 นอนกรน อุดกั้นจน O₂ ในเลือดต่ำลง ผลคือ
🔹 เซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือด stress ขนส่ง LDL และยอมให้เม็ดเลือดขาวผ่านเข้าผนังมากขึ้น
🔹 เซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือดสร้างก๊าซ nitric oxide ลดลง ซึ่งเดิมทีคอยขยายหลอดเลือด ลดความแรงการถูของผนังหลอดเลือด
🔹 สภาพ O₂ ต่ำเหนี่ยวนำให้เม็ดเลือดขาวเปลี่ยนเป็นชนิดที่ชอบจับกินมากขึ้น (M1)
🔹 ช่วงที่ O₂ กลับมาปกติ หลังจากขาด O₂ จะทำให้มีการสร้างสารอนุมูลอิสระมากขึ้น จึงทำให้ LDL เปลี่ยนเป็น oxidized LDL มากขึ้น ซึ่งถูกจับกินง่าย

⚠️ ผลคือทำให้ LDL เข้าผนังง่ายขึ้น เปลี่ยนเป็น ox-LDL มากขึ้น เม็ดเลือดขาวก็เปลี่ยนเป็นตัวจับกินเก่ง จับ ox-LDL กิน แล้วก็ตุย เรียกเพื่อน ก่ออักเสบวนไป จนไขมันคอเลสเตอรอลใน LDL กระจายสะสมเต็มผนัง

_______________________________

5️⃣ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

🫀 ผลจากข้อ 4 ทำให้มีไขมันแทรกผนังหลอดเลือดหัวใจ
⮕ ตีบทีละนิดไปเรื่อย ๆ จนเริ่มมีหัวใจขาดเลือดตอนออกแรง
⮕ เกิดภาวะหัวใจขาดเลือดเรื้อรัง (Chronic ischemic heart)

💣 หากจุดที่ตีบฉีกขาดก็จะเกิดการสร้างลิ่มเลือดอุดหลอดเลือด
⮕ เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตา-ยได้ (Myocardial infarction)

_______________________________

6️⃣ โรคหลอดเลือดสมองตีบ/แตก

🧠 ส่งผลมาจาก 4. ไขมันแทรกผนังหลอดเลือด แต่เกิดที่หลอดเลือดสมอง วันดีคืนดีจุดตีบฉีกขาดสร้างลิ่มเลือดอุดสมอง สมองขาดเลือด เกิดอาการทางประสาทเฉียบพลัน

💥 และส่งผลมาจาก 3. หัวใจห้องบนเต้นพริ้ว สามารถสร้างลิ่มเลือดไหลไปอุดสมองได้

_______________________________

7️⃣ ผนังหลอดเลือดแดงใหญ่กัดเซาะ (Aortic dissection)

🔪 นอนกรนทำให้ผนังหลอดเลือดแดงใหญ่บาดเจ็บหลายกลไก
🔹 O₂ ต่ำและสารอนุมูลอิสระทำให้เยื่อบุผนังหลอดเลือดเสียหาย
🔹 ช่วงที่หายใจเข้ารุนแรง ความดันช่องอกติดลบมาก กระชากหลอดเลือดแดงใหญ่ได้
🔹 ช่วงที่หายใจแรง จะกระตุ้นระบบประสาท sympathetic ทำให้ความดันกระฉูดพีคเป็นช่วง ๆ ซึ่งทำลายหลอดเลือดแดง

🧨 ผลคือวันที่โชคร้ายผนังหลอดเลือดแดงใหญ่ (Aorta) ชั้นในฉีกขาดแล้วเลือดวิ่งไปในผนัง จนตีบรูที่หลอดเลือดไหล

_______________________________

8️⃣ หลอดเลือดปอดความดันสูง (Pulmonary hypertension)
🫁 ปกติถุงลมจะมี reflex คนดีย์ฮะ คือถุงลมไหนได้ O₂ น้อย มันจะสั่งให้หลอดเลือดตีบ เพื่อให้ลดไปหาตัวมัน เพื่อให้เลือดส่วนใหญ่ไปยังถุงลมที่ดีกว่า จะได้ฟอกเลือดได้

🌀 แต่นอนกรนทำให้ปอดได้รับ O₂ น้อยทั้งปอด เป็นพัก ๆ ตลอดการนอน
⮕ ถุงลมทุกถุงใช้ reflex คนดีย์ ตีบหลอดเลือด
⮕ แต่ปรากฏว่าไม่มีถุงลมดีย์ ๆ ที่มี O₂ ดีเลย
⮕ การตีบจึงทำให้ความต้านทานเลือดสูงขึ้น
⮕ ความดันหลอดเลือดปอดจึงสูงขึ้น

_______________________________

9️⃣ หัวใจล้มเหลว (Heart failure)
💔 ผลจากนอนกรนต่อหัวใจโดยตรง
🔹 O₂ ที่ต่ำ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบได้เบาลง
🔹 แรงกระชากหัวใจ ทำให้หัวใจบีบสู้ได้ยากขึ้น

⚠️ บวกกับภาวะแทรกซ้อนโรคบน ๆ
🔹 ความดันสูงช่วงขาด O₂ ทำให้แรงต้านการบีบของหัวใจห้องล่างซ้ายมากขึ้น
🔹 ความดันหลอดเลือดปอดสูง ทำให้แรงต้านการบีบของหัวใจห้องล่างขวามากขึ้น

⛔ ผลลัพธ์จึงทำให้หัวใจเริ่มบีบสู้ไม่ไหว ส่งเลือดออกไปได้น้อย เลือดค้างในปอด ตามแขนขามากขึ้น เกิดน้ำท่วมปอด ตัวบวม เรียกภาวะนี้ว่าหัวใจล้มเหลว

_______________________________

🔟 ดื้ออินซูลิน/เบาหวาน
🧃 ผลจาก O₂ ต่ำลงเป็นช่วง ๆ มีสารอนุมูลอิสระมาตลอด
⮕ ตับ/กล้ามเนื้อ/เนื้อเยื่อไขมัน เข้าสู่ภาวะ stress
⮕ เปลี่ยนแปลงสัญญาณในเซลล์ให้ตอบสนองต่อ stress
⮕ เซลล์ตอบสนองต่ออินซูลินน้อยลง (เพราะในภาวะ stress ร่างกายจะเปิดใช้งานระบบฮอร์โมนต้านฤทธิ์อินซูลินมากขึ้น)

🍔 ยิ่งไปกว่านั้นคนที่นอนกรนหลายคนมีภาวะอ้วนร่วมด้วย (และอาจจะเป็นเหตุนอนกรน) ทำให้ยิ่งเพิ่มการอักเสบเรื้อรังแบบอ่อน ยิ่งทำให้ดื้ออินซูลิน

_______________________________

1️⃣1️⃣ ภาวะนอนไม่หลับเรื้อรัง (Chronic insomnia)
😵‍💫 ผลจากนอนกรน ทำให้มีการกระตุ้นหายใจ กระตุ้นการตื่นตัวตลอดเวลา (Hyperarousal stress) ทำให้ตื่นกลางดึกได้ หรือต่อให้ไม่ตื่น การนอนคุณภาพก็แย่ลงมาก ๆ

💤 หลายคนมักจะบอกว่านอนชั่วโมงน่าจะเต็มที่ แต่ง่วงทั้งวันเหมือนคนอดนอน ง่วงแม้กระทั่งไม่ใช่บริบทชวนง่วง

🧠 ผลการนอนไม่หลับเรื้อรัง จะส่งผลต่อเนื่องไปอีก

_______________________________

1️⃣2️⃣ สมองเสื่อมแบบอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease)
🧓🏻 นอนกรนทำให้ O₂ สมองต่ำและสารอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น
⮕ กระตุ้นเม็ดเลือดขาวในสมอง (Microglia) ปล่อยสารก่ออักเสบ
⮕ เกิดภาวะอักเสบเชิงประสาท (Neuroinflammation)
⮕ ในสภาพอักเสบจะเร่งการตกตะกอนของโปรตีน amyloid-β42 และ p-tau

🛌 นอนกรน ทำให้คุณภาพนอนแย่มาก ขาดช่วงหลับลึก (NREM sleep 3–4)
⮕ ขาดช่วงที่ระบบระบายของเสีย (Brain glymphatic) ทำงานได้ดี
⮕ ผลคือสะสมตะกอน amyloid-β42 และ p-tau มากขึ้น

🧩 ผลคือ ตะกอนทั้งสองชนิดเร่งการตา-ยของเซลล์ประสาท เร่งการเกิดอัลไซเมอร์

_______________________________

1️⃣3️⃣ ซึมเศร้า และวิตกกังวล
😔 นอนกรนทำให้ O₂ สมองต่ำและสารอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น
⮕ กระตุ้นเม็ดเลือดขาวในสมอง (Microglia) ปล่อยสารก่ออักเสบ
⮕ เกิดภาวะอักเสบเชิงประสาท (Neuroinflammation)
⮕ ทำให้เซลล์ประสาทที่ทำงานเกี่ยวกับอารมณ์ เช่น amygdala, entorhinal cortex ทำงานผิดปกติ แตกแขนงน้อยลง สร้าง serotonin และ dopamine น้อยลง
⮕ เกิดโรคซึมเศร้าและวิตกกังวลในที่สุด

💭 อีกทั้งภาวะนอนน้อยก็ยิ่งกระตุ้นการเป็นสองโรคนี้ได้มากขึ้น

_______________________________


📌 ‼️ อ่านมาถึงตรงนี้ ไม่ใช่ว่านอนกรน จะเป็นทั้ง 13 ภาวะแทรกซ้อนทุกคน มันแค่เพิ่มความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป

คราวนี้ใครจะเป็นโรคไหนใน 13 โรคนี้ ก็ขึ้นกับว่ามีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ อีกมั้ย

เช่นบางคนสูบบุหรี่ อ้วน ก็ยิ่งเร่งไขมันแทรกผนังอยู่แล้ว คราวนี้มีนอนกรนเข้าไป ก็ไวจนเกิดโรคแทรกซ้อนได้เลย


🌟 ดังนั้นนอนกรนไม่ใช่เรื่องเล่น และมักสามารถรักษาให้หายได้ค่ะ ทำให้รอดจากหลายโรคเลย ใครสงสัยว่านอนกรน ไปพบแพทย์เพื่อตรวจยืนยันเถอะค่ะ คนที่อ้วน ลดความอ้วนช่วยได้มาก สุดท้ายถ้านอนกรนรุนแรงพอ อาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจแรงดันบวก (CPAP) ตอนนอนค่ะ

05/07/2025

กินคาร์บมากเกินไป จนใช้ไม่ทัน ระบบจะแปลง
เป็นไขมันไตรกลีเซอไรด์ (TG) เก็บจนอ้วนได้ ถ้าออกกำลังกายไม่พอ


เมื่อกินคาร์บเข้ามาแล้ว ลำไส้จะย่อยจนเป็น
น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว เช่น กลูโคส แล้วจะดูดซึมเข้าเลือด

⚠️ หากดูดซึมเข้าเลือดไว ⮕ กระตุ้นการหลั่งอินซูลินมาก


[ ตับ ]
✔️ เปลี่ยนกลูโคส ⮕ สารตัวกลางชื่อ Acetyl-CoA
✔️ Acetyl-CoA สลายจนได้พลังงานเกิน
✔️ Acetyl-CoA ที่เหลือ ⮕ กรดไขมัน ⮕ TG
✔️ TG จากคาร์บ และจากไขมันที่กิน ⮕ แพ็คลง VLDL
✔️ VLDL ออกสู่เลือด ไปให้กล้ามเนื้อ/เซลล์ไขมัน

⚠️ อินซูลินยิ่งสูง กระตุ้นขั้นตอนสร้าง TG รุนแรง


[ เนื้อเยื่อไขมัน ]
☑️ TG ที่มากับรถ VLDL โดนตัด ⮕ กรดไขมันเข้าเซลล์
☑️ เซลล์ไขมันรับกลูโคส ⮕ กลีเซอรอล
☑️ กลูโคสสามารถ ⮕ กรดไขมันเองได้
☑️ กรดไขมัน (จากตับ/จากกลูโคส) + กลีเซอรอล (จากกลูโคส)
ประกอบร่างกัน ⮕ TG ⮕ เก็บ

⚠️ อินซูลินยิ่งสูง กระตุ้นการนำกลูโคสเข้า (GLUT-4)
และขั้นตอนสร้างกรดไขมัน, ประกอบ TG รุนแรง


หากนำเอาออกมาใช้ไม่พอ
🔺กินถี่ไป ทั้งมื้อหลัก ทั้งจุบจิบ: ⮕ ขาดช่วง fasting ที่มีการสลาย TG
🔺ไม่ออกกำลังกาย: ⮕ ขาดการเร่งสลาย TG ช่วงออกกำลังกาย

สุดท้ายก็จะสะสม TG จนน้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จนอ้วนในที่สุด
(กรณี Fructose โพสไปเมื่อวานแล้ว)

ดังนั้นปรับลดการกินลง
เพิ่มการออกกำลังกาย

สมดุลนี้อยู่ในที่คุณวางแผนเองค่ะ
ปรับใช้กับตัวเองให้ดีนะคะ

05/07/2025

HIV ระบาดหนัก ปี 68 ติดเชื้อพุ่งทะลุครึ่งล้าน ป่วยรายใหม่กว่า 13,000 ราย กรมควบคุมโรค เปิดสาเหตุ ชี้ ยังมีอีกหลายคนไม่ได้ตรวจ ไม่รู้สถานะการติดเชื้อ

ที่อยู่

Amphoe Hat Yai

เวลาทำการ

จันทร์ 08:00 - 12:00
อังคาร 08:00 - 12:00
พุธ 08:00 - 12:00
พฤหัสบดี 08:00 - 12:00
ศุกร์ 08:00 - 12:00
เสาร์ 08:00 - 12:00

เบอร์โทรศัพท์

+66824370433

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ คลินิคหมออุมา/คลินิคแพทย์หญิงอุมาผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง คลินิคหมออุมา/คลินิคแพทย์หญิงอุมา:

แชร์