คลินิคหมออุมา/คลินิคแพทย์หญิงอุมา

คลินิคหมออุมา/คลินิคแพทย์หญิงอุมา ตรวจรักษาโรคทั่วไปเด็กและผู้ใหญ่ ฉีดยา ทำแผล ผ่าตัดเล็ก ฉีดยาคุมกำเนิด ฉีดวัคซีนเด็ก เช็ค

10/08/2025
27/07/2025

🍭 เจาะกลไกฟรุกโตส: เข้าตับไว สร้างไขมันเร็ว
หากกินมากไปไม่ระวัง ไขมันพอกตับได้


ไขมันพอกตับ เกิดจากหลายปัจจัยมาก่อร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น
🧨 พันธุกรรมเสี่ยงที่ทำให้พอกง่าย สลายยาก (อ่านใน comment)
🧨 อ้วน: ทำให้ไขมันช่องท้องหลั่งพิษทำร้ายตับ
🧨 ดื้ออินซูลิน: ทำให้เร่งการสร้างไขมันที่ตับ, เกิดพิษของน้ำตาล
🧨 ไม่ออกกำลังกายเลย: ปิดโหมดสลายไขมัน lipophagy อดใช้
🧨 แต่ปัจจัยหนึ่งที่มีผลมากคือ ‘การกิน’ ซึ่งจริงการกินเข้ามาเยอะเกินไป ไม่ว่าจะเป็นกลูโคส ฟรุกโตส หรือไขมัน ก็สามารถสะสมในตับได้หมด


🎯 แต่ฟรุกโตสนั้นมีกลไกที่เลวร้ายกว่าตัวอื่นมาก เพราะ

1️⃣ กินมาแล้วเข้า “ตับ” กว่า 90% ➤ สลายจนได้สารตั้งต้นที่ใช้สร้างไขมันไตรกลีเซอไรด์ (TG)

2️⃣ ระหว่างสลายที่ตับ เลี่ยงจุดเบรกทางเมตาบอลิซึม ➤ สลายไวมาก ➤ ได้สารไปสร้าง TG ได้มาก

3️⃣ หากกินร่วมมากับกลูโคส ก็สามารถเร่งให้ “กลูโคส” สลายไวตาม ➤ กลูโคสก็กลายเป็นสารตั้งต้นสร้าง TG ได้อีก

4️⃣ หากกินมาแบบเรื้อรัง จะกระตุ้นเซนเซอร์พลังงาน (ChREBP & SREBP1c) ➤ สั่งตับเร่งสร้าง TG ไวขึ้นไปอีก

5️⃣ TG ที่สร้างไวจะส่งออกไม่ทัน เก็บสะสมในคลังไขมัน (Lipid droplet) เต็มตับ หากกรดไขมันรั่วออกมา ก็จะก่ออักเสบ ยิ่งทำให้การส่งออกแย่ลง

6️⃣ TG ที่ตับสร้างมากขึ้น จะส่งไปเก็บที่เซลล์ไขมันมากขึ้น ➤ อ้วน ➤ เซลล์ไขมันหลั่งสารก่ออักเสบ ➤ ตับดื้ออินซูลิน ➤ เร่งการสร้าง TG ขึ้นไปอีก

7️⃣ ผลจากการดื้ออินซูลิน ➤ น้ำตาลกลูโคสสูงลอย ➤ นำไปสร้างสารพิษ AGEs, ceramide ➤ ทำร้ายตับ ➤ ยิ่งส่งออก TG ยาก

8️⃣ แทบไม่มีกลไกไปกระตุ้นศูนย์อิ่มเลย ทำให้กินได้ในปริมาณมากๆ


ถ้าอ่านแล้วงง อ่านสรุปละกันค่ะคือ
🔹 สลายที่ตับเป็นหลัก อวัยวะแปลงคาร์บเป็นไขมัน
🔹 สลายเร็วมากได้สารตั้งต้นไปสร้างไขมันในตับ
🔹 ทำให้อ้วน/ดื้ออินซูลิน ซึ่งทำให้ตับสร้างไขมันเยอะไปอีก
🔹 สุดท้ายส่งออกไม่ทัน อยู้พอกตับต่อไป


แล้วฟรุกโตสเจอที่ไหนบ้าง?
✔️ น้ำเชื่อม High fructose corn syrup (HFCS) อยู่ตามขนม ของหวาน น้ำอัดลม อาหารแปรรูป และอีกมากมาย
✔️ น้ำตาลทราย - เนื่องจากมีน้ำตาลซูโครส ย่อยแล้วได้ ฟรุกโตส และกลูโคส
🍊 น้ำผลไม้หวานๆ
⚠️ แต่ถ้าผลไม้ลูกๆ นั้นจะมาพร้อมไฟเบอร์ & สารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ยังมีประโยชน์ค่ะ (แต่กินเป็นลังก็ไม่รอดนะ) พยายามเลือกที่หวานน้อย


🚨 ใครไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ต้องระวังสุดๆ เลยค่ะ เพราะฟรุกโตสกินง่าย กินเพลิน แป๊บเดียวสร้างไขมันได้เยอะแล้วค่ะ ถ้าคุณมีปัจจัยเสี่ยงอื่น มีพันธุกรรม มีโรคเรื้อรัง ยิ่งพอกตับได้ไวเลย


🧃 หมายเหตุ:
กลูโคสจากของหวาน หรือไขมันที่กินมากเกินไปก็เพิ่ม TG ได้เหมือนกันนะคะ


ดังนั้นดูแลสุขภาพกันเถอะค่ะ
อย่าให้ถึงวันที่ตับพังจนใช้อะไรไม่ได้อีก

22/07/2025
16/07/2025

แค่เงยคอก็เป็นสโตรกได้
อายุน้อยใครว่าไม่เสี่ยง !

1.วันก่อนเลื่อนไปเจอคลิปนึง เขามาเล่าให้ฟังว่า
เขาอายุ 32 ไม่มีโรคประจำตัวเลย
ไม่ได้เป็นเบาหวาน ความดัน หรือไขมันในเลือด
เรื่องมันเกิดจากถ่ายคลิป TikTok
“เงยหน้า หงายคอ” ประมาณ 17 ครั้ง
แล้วอยู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนจะเป็นลม หูอื้อ ฟังเสียงไม่ค่อยได้ยิน
ปวดหัวข้างขวามาก ๆ พูดไม่ออก พูดแล้วไม่เป็นคำ
เธอพยายามจะบอกผู้ช่วยว่า “ปวดหัวมาก” แต่ปากมันเบี้ยว
ขาจะก้าวก็ไม่มีแรง เดินไม่ได้เลย
เลยรีบถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล จนสุดท้ายเข้าห้อง ICU
คุณหมอบอกว่าเธอเป็น “สโตรก” เพราะเกิดลิ่มเลือดไปอุดตันในสมอง
ตอนฉีดสีดูสมองคือหลอดเลือดหายไป “ครึ่งซีก”
ถ้าช้าไปกว่านี้ อาจจะอันตรายถึงชีวิตได้เลยนะ

2. หลายคนคิดว่าสโตรกจะเกิดในคนแก่ คนที่เป็นเบาหวาน ความดัน
แต่ในความจริงมันเกิดได้กับทุกคน… ถ้า “เส้นเลือดมีปัญหาเฉียบพลัน”
ซึ่งการ “เงยคอถ่ายคลิปแรง ๆ ซ้ำ ๆ”
ทำให้เส้นเลือดตรงคอฉีก
เลือดที่ไหลในหลอดเลือดนั้นเลยเปลี่ยนเป็นลิ่ม
แล้วลิ่มเลือดก็ไหลขึ้นไปอุดที่สมอง
ไม่ใช่โรคที่เจอบ่อย แต่มาแบบไม่ให้ตั้งตัว
แค่เล่นโยคะผิดท่า หักคอผิดองศา หรือขับรถแล้วหันคอแรง ๆ
ก็เกิดได้ ถ้าร่างกายเราอ่อนล้า พักผ่อนน้อย หรือเส้นเลือดเปราะ
ซึ่งจริงๆยังเกิดได้จากหลายปัจจัยเลยนะ ไม่ว่าจะเป็น
•ดื่มน้ำน้อย
•นอนน้อย
•เครียดเรื้อรัง
•ทำแต่งาน ไม่มีเวลาพัก

3. สโตรกไม่จำเป็นต้องเริ่มจากแขนขาอ่อนแรงเสมอไป
ในคนอายุน้อย บางคนจะเริ่มจากอาการที่เรานึกไม่ถึง เช่น
•หูอื้อ เหมือนมีอะไรอุดอยู่ในหู
•ปวดหัวข้างเดียว แบบรุนแรงมาก อยู่ ๆ ก็มา
•พูดไม่ออก หรือพูดแล้วฟังไม่รู้เรื่อง
•ปากเบี้ยว มุมปากตก เหมือนกล้ามเนื้อข้างหนึ่งหายไป
•ไม่มีแรง เดินไม่ได้ มือเท้าไม่มีแรง จับของตก

ในเคสนี้ เขาเล่าว่าเริ่มจากหูอื้อ ปวดหัว แล้วพูดไม่ออก
ถ้าคนรอบตัวไม่สังเกต คงคิดว่าเป็นแค่นอนไม่พอ หรือเวียนหัวธรรมดา
แต่โชคดีที่คนพาไปโรงพยาบาลเร็ว
เพราะถ้าช้าเกิน 4.5 ชั่วโมง สมองที่ขาดเลือดจะเสียหายถาวร

4. สิ่งที่ผมอยากให้ทุกคนทำเพื่อป้องกันสโตรกในคนวัยทำงาน
•งดหักคอแรง ๆ หรือเงยหน้าแรง ๆ ซ้ำ ๆ โดยเฉพาะตอนเหนื่อย
•ดื่มน้ำให้พอ อย่างน้อยวันละ 1.5–2 ลิตร
•พักผ่อนให้พอ อย่านอนน้อยต่อเนื่องหลายวัน
•เคลื่อนไหวสม่ำเสมอ ไม่ปล่อยให้ร่างกายเฉา
•จัดการความเครียดให้ดี เพราะความเครียดเรื้อรังทำให้เลือดหนืด เสี่ยงลิ่มเลือด
•อย่าใช้ร่างกายแบบหนัก แบบหักโหมเกินไป

อย่าคิดว่าอายุน้อยแล้ว "ยังไงเราก็แข็งแรงอยู่แล้ว"
อายุน้อยก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้นะครับ

5. ฝากไว้หน่อยครับ
ทุกวันนี้ “เคสสโตรกในคนอายุน้อย” เจอมากขึ้นเรื่อย ๆ จริง ๆ
และสิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่แค่ “เสียชีวิต”
แต่คือการต้อง “นอนติดเตียง” หรือมีชีวิตที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ถ้าใครมีอาการตามที่เล่ามา ไม่ว่าจะเป็น
หูอื้อ พูดไม่ออก ปากเบี้ยว ปวดหัวข้างเดียว เดินไม่ได้
อย่ารอ อย่าคิดว่าเดี๋ยวคงหายเอง
รีบไปโรงพยาบาลให้ทัน “ภายใน 4 ชั่วโมง”
เพราะเวลาคือหัวใจของการรักษาสโตรก
ดูแลตัวเองกันด้วยนะครับ
ใครมีคำถามเพิ่มเติม คอมเมนต์ไว้ได้เลยครับ ผมยินดีตอบเสมอ

09/07/2025

คอเลสเตอรอล vs ไตรกลีเซอไรด์
คลายข้อสงสัย มันต่างกันอย่างไรนะ? 🤔

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า "คอเลสเตอรอล" และ "ไตรกลีเซอไรด์" แต่บางครั้งก็ยังสับสนว่าทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างไร แล้วทำไมค่าพวกนี้ถึงมีผลต่อสุขภาพของเราขนาดนี้? วันนี้เรามาไขข้อข้องใจแบบเข้าใจง่ายๆ กันค่ะ 💡

🔬 คอเลสเตอรอลคืออะไร? ทำไมสำคัญต่อร่างกาย?
คอเลสเตอรอลเป็นไขมันชนิดหนึ่งที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นเองที่ตับ และยังได้รับจากอาหารที่เรากินเข้าไปด้วยค่ะ จริงๆ แล้วคอเลสเตอรอล ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป เพราะร่างกายต้องใช้มันเพื่อ...

▪️ สร้างเซลล์ และช่วยให้เยื่อหุ้มเซลล์แข็งแรง
▪️ ผลิตฮอร์โมนสำคัญ เช่น ฮอร์โมนเพศ (เอสโตรเจน เทสโทสเตอโรน)
▪️ ช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้เป็นปกติ

แต่! ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายมี LDL หรือคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้ไขมันสะสมในหลอดเลือด และเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ค่ะ 💔

🏥 คอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) vs ชนิดไม่ดี (LDL)
คอเลสเตอรอลในร่างกายแบ่งได้เป็น 2 ชนิดหลักที่ควรรู้จัก 👇

✔️ 1. HDL (High-Density Lipoprotein) หรือ "ไขมันดี" 🟦
🔹 HDL เป็นไลโปโปรตีนความหนาแน่นสูง ทำหน้าที่เปรียบเสมือน ‘นักเก็บขยะ’ ของหลอดเลือดค่ะ โดยจะขนคอเลสเตอรอลส่วนเกินจากหลอดเลือด กลับไปที่ตับเพื่อขับออกจากร่างกายทางน้ำดี แล้วขับออกผ่านลำไส้ทางอุจจาระ
🔹 HDL ช่วยป้องกันไม่ให้คอเลสเตอรอลไปสะสมที่ผนังหลอดเลือด และยังมีฤทธิ์ “ต้านอนุมูลอิสระ” กับ “ลดการอักเสบ” ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้อีกขั้น
🔹 ถ้าระดับ HDL ต่ำ (ต่ำกว่า 40 มก./ดล. ในผู้ชาย และ 50 มก./ดล. ในผู้หญิง) จะถือเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ
🔹 ปัจจัยที่ทำให้ HDL ลดลง เช่น
▪️ สูบบุหรี่
▪️ โรคอ้วนลงพุง
▪️ ขาดการออกกำลังกาย
▪️ ภาวะดื้อต่ออินซูลิน
🔹 วิธีเพิ่ม HDL ให้สูงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เช่น
▪️ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ (แนะนำแบบแอโรบิก)
▪️ ลดน้ำหนักหากมีภาวะอ้วน
▪️ กินไขมันดีจากปลาแซลมอน ปลาทะเล อะโวคาโด น้ำมันมะกอก ถั่วอัลมอนด์ เมล็ดแฟลกซ์
▪️ หลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ เช่น ของทอดซ้ำ น้ำมันพืชเติมไฮโดรเจน
▪️ ถ้าจำเป็น แพทย์อาจแนะนำยาบางชนิด เช่น niacin เพื่อเพิ่ม HDL ค่ะ

❌ 2. LDL (Low-Density Lipoprotein) หรือ "ไขมันไม่ดี" 🟥
🔸 LDL เป็นไลโปโปรตีนชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่ลำเลียงคอเลสเตอรอลจากตับไปยังเซลล์ต่างๆ เพื่อใช้สร้างฮอร์โมน เยื่อหุ้มเซลล์ และสารชีวภาพอื่นๆ ที่ร่างกายต้องใช้ค่ะ
🔸 แต่หากมีมากเกินไป โดยเฉพาะในรูปแบบ อนุภาคขนาดเล็กและหนาแน่น (Small Dense LDL) ซึ่งสามารถแทรกตัวเข้าไปในผนังหลอดเลือดได้ง่าย และถูกออกซิไดซ์กลายเป็น Oxidized LDL ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการสะสมไขมันและการอักเสบในหลอดเลือด
🔸 Oxidized LDL คือ LDL ที่ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ ส่งผลให้เกิดการอักเสบที่ผนังหลอดเลือด และนำไปสู่การก่อตัวของ “คราบไขมัน” (Plaque) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของโรคหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) ค่ะ
🔸 พฤติกรรมที่ทำให้ LDL สูงขึ้น เช่น
▪️ กินอาหารทอด ของมันจัด อาหารแปรรูป
▪️ ขาดการออกกำลังกาย
▪️ สูบบุหรี่ เครียดเรื้อรัง พักผ่อนไม่เพียงพอ
▪️ กินน้ำตาลหรือแป้งขัดสีมากเกินไป เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว ขนมหวานต่างๆ
🔸 สรุปคือ แม้ว่า LDL จะมีบทบาทสำคัญในการลำเลียงคอเลสเตอรอลให้กับร่างกาย แต่หากมีปริมาณมากเกินไป โดยเฉพาะในภาวะที่หลอดเลือดอักเสบหรือมีโรคเรื้อรัง ก็จะเร่งให้เกิดการสะสมของไขมันในหลอดเลือด และเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ค่ะ

🔄 แล้ว “ไตรกลีเซอไรด์” คืออะไร? ต่างจากคอเลสเตอรอลยังไง? 💬
ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) คือไขมันอีกชนิดหนึ่งที่พบได้ทั้งในกระแสเลือด และสะสมในเนื้อเยื่อไขมัน มีหน้าที่สำคัญคือ เก็บพลังงานส่วนเกินจากอาหาร โดยเฉพาะจากแป้งและน้ำตาล เพื่อใช้เป็นพลังงานสำรองในยามที่ร่างกายขาดอาหารค่ะ

ไตรกลีเซอไรด์สามารถเกิดขึ้นได้จาก 2 แหล่งหลัก ได้แก่:
▪️ การดูดซึมไขมันจากอาหาร โดยลำไส้เล็ก
▪️ การสร้างขึ้นใหม่โดยตับ เมื่อร่างกายได้รับแป้ง น้ำตาล หรือแอลกอฮอล์มากเกินไป

💥 ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงเกินไป ซึ่งเสี่ยงต่อ...
▪️ โรคหัวใจและหลอดเลือด เพราะไขมันไปเกาะตามผนังหลอดเลือด
▪️ ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งนำไปสู่โรคเบาหวาน
▪️ ไขมันพอกตับ (Fatty Liver)
▪️ ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน (ถ้าระดับสูงเกิน 500–1000 mg/dL)
▪️ ไขมันส่วนเกินสะสมในร่างกาย นำไปสู่ความอ้วน โดยเฉพาะอ้วนลงพุง

💢 พฤติกรรมที่ทำให้ไตรกลีเซอไรด์สูง เช่น
▪️ ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
▪️ กินของหวาน ขนม เบเกอรี่ น้ำตาลสูง
▪️ กินแป้งขัดขาว เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว
▪️ ขาดการออกกำลังกาย
▪️ เบาหวานที่ควบคุมไม่ดี
▪️ โรคตับเรื้อรัง หรือภาวะพันธุกรรม
▪️ ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ ยาคุมกำเนิด ยากลุ่มเบต้า-บล็อกเกอร์

✅ วิธีลดไตรกลีเซอไรด์แบบได้ผล
▪️ ลดน้ำตาล แป้งขัดสี และของหวาน
▪️ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มหวานและแอลกอฮอล์ทุกชนิด
▪️ เพิ่มผักสด ผลไม้ไม่หวานจัด เช่น แอปเปิลเขียว ฝรั่ง
▪️ กินธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต
▪️ เลือกโปรตีนไขมันต่ำ เช่น ปลา อกไก่ เต้าหู้ ถั่ว
▪️ เลือกไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่วอัลมอนด์
▪️ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์
▪️ ถ้าปรับพฤติกรรมแล้วไม่พอ อาจต้องใช้ยาลดไขมันเฉพาะทางภายใต้คำแนะนำแพทย์ค่ะ

📊 ค่าคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ที่เหมาะสมควรอยู่ที่เท่าไหร่?
🔹 คอเลสเตอรอลรวม (Total Cholesterol): ควรต่ำกว่า 200 mg/dL
🔹 HDL (ไขมันดี):
▪️ ผู้ชาย ≥ 40 mg/dL
▪️ ผู้หญิง ≥ 50 mg/dL
🔸 LDL (ไขมันไม่ดี):
▪️ ควรต่ำกว่า 130 mg/dL
▪️ หากมีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจหรือเบาหวาน ควรต่ำกว่า 100 mg/dL
🔺 ไตรกลีเซอไรด์: ควรต่ำกว่า 150 mg/dL
📌 หมายเหตุ: ค่ามาตรฐานอาจปรับตามคำแนะนำของแพทย์ในแต่ละรายค่ะ

🎯 สรุปสั้นๆ เข้าใจง่าย
▪️ คอเลสเตอรอล = มีทั้งชนิดดี (HDL) ที่ช่วยกำจัดไขมัน และชนิดไม่ดี (LDL) ที่อาจสะสมในหลอดเลือด
▪️ ไตรกลีเซอไรด์ = ไขมันที่ร่างกายเก็บจากพลังงานส่วนเกิน เช่น น้ำตาล แป้ง
▪️ ค่าที่สูงเกินไปของ LDL และไตรกลีเซอไรด์ เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
▪️ วิธีดูแลตัวเอง คือ กินดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดน้ำตาล ลดไขมันทรานส์ และตรวจสุขภาพเป็นประจำค่ะ

✨ สุขภาพดีเริ่มจากเรื่องเล็กๆ ที่เราควบคุมได้
หลายคนเข้าใจว่า ถ้าไม่มีโรคประจำตัวก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องไขมันในเลือด แต่จริงๆ แล้วไขมันในเลือดสูงมักไม่แสดงอาการชัดเจนค่ะ การตรวจสุขภาพประจำปีจึงสำคัญ เพราะสามารถพบความเสี่ยงได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นและป้องกันไว้ก่อนที่จะสายเกินไปนะคะ
ระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในร่างกายคือสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้ผ่านการปรับพฤติกรรม เช่น
▪️ เลือกรับประทานอาหารที่ดี
▪️ ลดของทอด ลดน้ำตาล
▪️ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
▪️ ควบคุมน้ำหนัก
▪️ นอนหลับให้เพียงพอ
เริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่เราทำได้ทุกวัน สุขภาพดีในระยะยาวก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอนค่ะ 😊❤️

อ้างอิง:
https://www.bumrungrad.com/.../cholesterol-heart-disease
https://www.siphhospital.com/.../share/check-up-report

#คอเลสเตอรอล #ไตรกลีเซอไรด์

ที่อยู่

Amphoe Hat Yai

เวลาทำการ

จันทร์ 08:00 - 12:00
อังคาร 08:00 - 12:00
พุธ 08:00 - 12:00
พฤหัสบดี 08:00 - 12:00
ศุกร์ 08:00 - 12:00
เสาร์ 08:00 - 12:00

เบอร์โทรศัพท์

+66824370433

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ คลินิคหมออุมา/คลินิคแพทย์หญิงอุมาผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง คลินิคหมออุมา/คลินิคแพทย์หญิงอุมา:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram