23/04/2025
ร้านยาคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ยินดีให้บริการค่ะ 😊
"จากงานวิจัยสู่นโยบายชาติ “ร้านยาคุณภาพ” ทางออกของระบบสุขภาพไทย"..
ในวันที่คนไทยจำนวนไม่น้อยยังต้องเสียเวลาเป็นวันๆ เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยในโรงพยาบาลของภาครัฐ หนึ่งในงานวิจัยของประเทศไทยกำลังฉายภาพทางออกใหม่ของระบบสุขภาพที่ไม่เพียงช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาล แต่ยังทำให้คนไทยเข้าถึงบริการได้ง่าย ใกล้บ้าน และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม โดยงานวิจัยนี้เป็นการศึกษาประเมินผลการให้บริการรักษาอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยของร้านยาในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งดำเนินการโดย รศ.ภญ.สุณี เลิศสินอุดม และทีมวิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ผ่านสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)
รศ.ภญ.สุณี เล่าว่า งานวิจัยนี้มีจุดเริ่มต้นจากสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ที่ร้านยาเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดูแลประชาชนในรูปแบบ “เจอ แจก จบ” ซึ่งเป็นการพิสูจน์แล้วว่าเภสัชกรในร้านยาสามารถช่วยเหลือประชาชนที่มีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยได้จริง ทำให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสภาเภสัชกรรมเห็นศักยภาพดังกล่าว จึงร่วมกันผลักดันนโยบายให้ร้านยาเป็นหน่วยร่วมบริการสุขภาพภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ภายใต้ชื่อโครงการ “ร้านยาคุณภาพของฉันให้บริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย” โดยร้านยาที่เข้าร่วมโครงการจะมีการอบรมและรับรองคุณภาพร้านยาอย่างเป็นมาตรฐาน และกำหนดขั้นตอนการให้บริการที่ครอบคลุมตั้งแต่การซักประวัติ ประเมินอาการ การจ่ายยา การให้คำแนะนำสุขภาพ รวมถึงการติดตามอาการผ่านระบบไลน์หรือโทรศัพท์ภายใน 3 วัน พร้อมระบบส่งต่อสู่สถานพยาบาลสำหรับผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องรักษาเพิ่มเติม
การวิจัยนี้ดำเนินการเก็บข้อมูลต่อเนื่องเป็นเวลา 9 เดือน พบว่า ประชาชนเข้าถึงบริการในร้านยาได้อย่างกว้างขวาง โดยร้านยาที่เข้าร่วมระบบกระจายอยู่ในกว่า 71 จังหวัด หรือคิดเป็นกว่า 90% ของพื้นที่ประเทศ และหากพิจารณาในระดับอำเภอ พบว่าเข้าถึงบริการได้ราว 33% ซึ่งถือเป็นอัตราที่น่าพึงพอใจอย่างยิ่ง รศ.ภญ.สุณี เพิ่มเติมอีกว่า “เราพบว่ากว่า 90% ของผู้ใช้บริการมีอาการดีขึ้นจริง โดยมีเพียง 1.5% ที่จำเป็นต้องส่งต่อไปยังโรงพยาบาล ซึ่งหมายความว่าร้านยาสามารถจัดการกับอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญคือความพึงพอใจของผู้ใช้บริการมีสูงมาก เพราะลดภาระการเดินทาง ลดเวลาการรอคอย และลดค่าใช้จ่ายของครัวเรือนได้ เพราะยาที่มารับจากร้านยาที่ร่วมโครงการจะได้รับการดูแลค่าใช้จ่ายจากภาครัฐ”
ร้านยาที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับค่าบริการแบบเหมาจ่ายหัวละ 180 บาทต่อการให้บริการหนึ่งครั้ง โดยเป็นการตอบแทนภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งในรอบปีแรก มีร้านยาจำนวน 1,834 แห่งให้บริการประชาชนรวมกว่า 967,736 ราย สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 413 ล้านบาท ขณะเดียวกัน ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างชัดเจนในการเข้าถึงบริการอย่างสะดวกและปลอดภัย โดยไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาลแม้แต่ครั้งเดียว
รศ.ภญ.สุณี อธิบายว่า จุดสำคัญของระบบนี้ไม่ได้อยู่ที่การแจกจ่ายยา แต่คือการเปลี่ยนบทบาทของเภสัชกรให้กลายเป็น “ผู้ดูแลสุขภาพประจำชุมชน” ไม่ใช่แค่คนขายยา เพราะร้านยาอยู่ใกล้ชิดกับประชาชน โดยเฉพาะในระดับพื้นที่ เมื่อไม่มีอุปสรรคเรื่องค่าใช้จ่าย คนไข้ก็เปิดใจมากขึ้น ไม่ยึดติดกับความเชื่อเดิมว่าต้องกินยาถึงจะหาย เภสัชกรจึงสามารถให้คำแนะนำเรื่องการพักผ่อน การดื่มน้ำ และการดูแลตัวเอง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการดูแลสุขภาพเบื้องต้นได้ด้วย
นอกจากนี้งานวิจัยยังสะท้อนประเด็นด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในชุมชน “เราเจอกรณีที่ประชาชนยังซื้อยาชุดจากร้านชำ หรือใช้ยาที่ไม่เหมาะสม เพราะไม่รู้ว่ายาที่ใช้แค่บรรเทาอาการแค่ช่วงนั้น แต่จริงๆแล้ว การใช้ยาชุดจะซ่อนปัญหาระยะยาวไว้มากมาย เพราะฉะนั้นการมีเภสัชกรคอยให้คำแนะนำ ไม่เพียงทำให้คนป่วยหายจากอาการที่เป็น แต่ยังช่วยเปลี่ยนวิธีคิดและพฤติกรรมของประชาชนได้ด้วย” รศ.ภญ.สุณีกล่าว
อีกหนึ่งผลกระทบที่สำคัญของงานวิจัยนี้คือ ข้อมูลจากการวิจัยได้ถูกส่งต่อเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายต่อสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สภาเภสัชกรรม และสมาคมเภสัชกรรมชุมชน เพื่อใช้พัฒนาระบบบริการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งในแง่ของการเพิ่มจำนวนร้านยาในระบบให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ขยายกลุ่มอาการเจ็บป่วยที่สามารถให้บริการในร้านยา ซึ่งตอนเริ่มต้นมี 16 อาการแต่ในปัจจุบันเพิ่มเป็น 32 รายการ เพิ่มรายการยา และเชื่อมโยงระบบส่งต่อกับหน่วยบริการอื่น ๆ และในปัจจุบันได้ร่วมในโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ รวมถึงกำลังขยายสิทธิการเข้ารับบริการให้ครอบคลุมถึงผู้ประกันตนตามสิทธิประกันสังคมและสิทธิข้าราชการในอนาคต
ปัจจุบัน มีร้านยาเข้าร่วมในระบบแล้วถึง 5,085 แห่งทั่วประเทศ (ข้อมูล ณ 24 กรกฎาคม 2567) และกำลังขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนแล้ว ยังเป็นโอกาสสำคัญในการส่งเสริมบทบาทของร้านยาในระบบสุขภาพไทยอย่างยั่งยืน รศ.ภญ.สุณีทิ้งท้ายว่า “เราหวังว่างานวิจัยนี้จะไม่เพียงให้ข้อมูลเชิงประจักษ์แก่ผู้กำหนดนโยบาย แต่จะเป็นกลไกหนึ่งที่ทำให้คนไทยได้รับการดูแลสุขภาพที่ใกล้ตัว เข้าถึงง่าย และมั่นใจได้ในคุณภาพ”
#สกสว #สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม #เคลื่อนไทยด้วยวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม #สาธารณสุขไทย