คลินิกกระดูกและข้อหมอสมัชชา ลำปาง

คลินิกกระดูกและข้อหมอสมัชชา ลำปาง รักษาโรคกระดูกและข้อ เส้นเอ็น กล้า?

04/06/2025

ปิดกิจการแล้วนะคะ🤗 🤗

22/05/2025

🌪️ รู้จัก "ภาวะเครียดออกซิเดชั่น"
(Oxidative Stress)
ภัยจาก 'อนุมูลอิสระ' ที่ทำร้ายสุขภาพ

หลายคนอาจไม่เคยได้ยินคำว่า "ภาวะเครียดออกซิเดชั่น" หรือ Oxidative Stress (ออกซิเดทีฟ สเตรส) มาก่อน แต่อันที่จริงแล้วมันเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ “ความเสื่อมของเซลล์” และเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน หัวใจ มะเร็ง ไปจนถึงโรคทางสมองอย่างอัลไซเมอร์ และพาร์กินสัน 😰

ถ้าคุณกำลังหาวิธีดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากโรคเรื้อรัง และยืดอายุเซลล์ให้แข็งแรง วันนี้เรามาเข้าใจเจ้า “ออกซิเดทีฟ สเตรส” ไปด้วยกันค่ะ พร้อมทั้งแนวทางง่ายๆ ที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันค่ะ 💚

🔬 Oxidative Stress คืออะไร?
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ร่างกายของเราสร้าง “อนุมูลอิสระ” (Free Radicals) ขึ้นเองจากกระบวนการเผาผลาญพลังงานเพื่อให้เราใช้ชีวิตได้ปกติ แต่ในขณะเดียวกัน “อนุมูลอิสระ” ก็เหมือน "เศษขยะระดับเซลล์" ที่มีความไม่สมดุลทางโครงสร้าง มันจะพยายามแย่งอิเล็กตรอนจากเซลล์ดีๆ เพื่อเติมเต็มตัวเอง

เมื่อร่างกายมีอนุมูลอิสระมากเกินไป จนสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายรับมือไม่ไหว จะเกิดเป็นภาวะที่เรียกว่า "Oxidative Stress" ซึ่งกระตุ้นให้เกิด
▪️ การอักเสบในระดับเซลล์
▪️ การทำลายโปรตีน และ DNA
▪️ การเสื่อมสภาพของเยื่อหุ้มเซลล์
▪️ ความผิดปกติของระบบภายในร่างกาย

ภาวะนี้ถ้าเกิดขึ้นต่อเนื่องนานๆ ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของโรคร้ายแรงต่างๆ นั่นเองค่ะ และสิ่งที่น่ากังวลคือ ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิด Oxidative Stress นั้นมาจากสิ่งรอบตัวที่เราเผชิญในทุกวัน เช่น
▪️ ควันบุหรี่ และมลพิษในอากาศ
▪️ แสงแดดและรังสียูวี
▪️ อาหารแปรรูป น้ำตาลสูง และไขมันทรานส์
▪️ สารเคมีจากเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
▪️ ความเครียดสะสม
▪️ การพักผ่อนไม่เพียงพอ

🧬 Oxidative Stress มีผลต่อร่างกายอย่างไร?
เมื่อร่างกายเกิด Oxidative Stress บ่อยครั้งจนสะสม จะนำไปสู่โรคเรื้อรังหลายอย่างที่เราอาจคาดไม่ถึง เช่น
▪️ โรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อน
▪️ ความดันโลหิตสูง
▪️ หลอดเลือดตีบ
▪️ โรคหัวใจ
▪️ มะเร็งหลายชนิด
▪️ โรคสมองเสื่อม เช่น อัลไซเมอร์ และพาร์กินสัน
▪️ ผิวพรรณเสื่อมโทรม แก่ก่อนวัย
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า Oxidative Stress มีความเกี่ยวข้องกับการเกิด โรคหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) และอาจเป็นกลไกเบื้องหลังของภาวะเสื่อมอื่นๆ ที่เราไม่ทันได้สังเกต เช่น ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือการซ่อมแซมร่างกายที่ช้าลง

💪 วิธีรับมือกับ Oxidative Stress
1️⃣ หยุดพฤติกรรมเสี่ยงที่สร้างอนุมูลอิสระ
เริ่มต้นจากการลดหรือหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เรารู้ว่าไม่ดีต่อร่างกาย เช่น
▪️ งดสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่
▪️ ดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยลง
▪️ เลี่ยงอาหารทอด อาหารแปรรูป น้ำตาลสูง และไขมันไม่ดี
▪️ หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีโดยไม่จำเป็น
▪️ ใช้ครีมกันแดดและหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด
▪️ หมั่นสวมหน้ากากอนามัยหรือติดตั้งเครื่องฟอกอากาศในบ้านเพื่อลดมลพิษ

2️⃣ เติมสารต้านอนุมูลอิสระให้เพียงพอ
สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) คือฮีโร่ที่ช่วย “หยุดวงจรความเสียหายของเซลล์” โดยสามารถพบได้จากอาหารที่เราทานเป็นประจำ เช่น
▪️ วิตามิน C – ฝรั่ง ส้ม มะขามป้อม
▪️ วิตามิน E – ถั่ว น้ำมันมะกอก
▪️ วิตามิน A และ B – ไข่แดง ตับ เมล็ดพืช
▪️ สังกะสี (Zinc) – อาหารทะเล ถั่วเมล็ดแห้ง
▪️ ลูทีน – ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักโขม
▪️ เบต้าแคโรทีน – แครอท ฟักทอง ผักใบเขียว
▪️ ไลโคปีน – มะเขือเทศ แตงโม
▪️ ฟลาโวนอยด์และโพลีฟีนอล – ดาร์กช็อกโกแลต ชาเขียว องุ่นแดง เบอร์รี่
▪️ สมุนไพร – กระเทียม หอมใหญ่ ขิง
หรือให้หมั่นเลือกทานผักและผลไม้หลากสีทุกวัน เป็นวิธีที่ง่ายและปลอดภัยที่สุดในการเสริมสารต้านอนุมูลอิสระให้เพียงพอในแต่ละวันค่ะ

3️⃣ ปรับไลฟ์สไตล์ให้ส่งเสริมสุขภาพ
▪️ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง
▪️ พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง
▪️ ฝึกจัดการความเครียด เช่น ทำสมาธิ โยคะ เดินเล่นในธรรมชาติ
▪️ ดื่มน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้ว
▪️ หลีกเลี่ยงการนอนดึก หรือทำงานหนักติดต่อกันนานๆ
▪️ อยู่ใกล้ธรรมชาติ หรือหาเวลาทำสิ่งที่ตัวเองรัก เพื่อเติมพลังใจให้สมดุล

จะเห็นได้ว่า แม้ Oxidative Stress จะเป็นกระบวนการตามธรรมชาติของร่างกาย แต่เราสามารถจัดการและควบคุมมันได้ด้วย “การปรับไลฟ์สไตล์” ทั้งการกิน นอน ออกกำลังกาย และการจัดการอารมณ์ เพราะเมื่อเซลล์แข็งแรงจากภายใน เราก็จะมีสุขภาพที่ดีขึ้นและลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังได้เป็นอย่างมากค่ะ 💚

อ้างอิง:
https://www.pobpad.com/oxidative-stress-ตัวการของปัญหาสุขภาพ
http://www.medi.co.th/news_detail71.php?q_id=1121

#ภาวะเครียด ิถีชีวิตที่ยั่งยืน

20/05/2025
20/05/2025

🤔รู้ไหม? ทำไมเราถึงไม่ควร
☕ดื่มกาแฟตอนท้องว่าง
หรือดื่มกาแฟทันทีหลังตื่นนอน 😨
☕️🌞 “กาแฟ” เป็นเครื่องดื่มที่หลายคนโปรดปรานสำหรับการเริ่มต้นวันใหม่ นั่นเป็นเพราะหลังจากดื่มแล้ว จะทำให้เกิดความรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ช่วยทำให้หายง่วงซึม แต่รู้หรือไม่ว่าการดื่มกาแฟแทนอาหารเช้าหรือดื่มตอนท้องว่างบ่อยๆ นั้นอาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพของเราได้อย่างคาดไม่ถึงค่ะ 🌟
1. 🥴 ทำให้กรดในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น
เมื่อท้องว่าง กระเพาะอาหารจะผลิตกรดไฮโดรคลอริกเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการย่อยอาหาร การดื่มกาแฟในช่วงเวลานี้จะไปกระตุ้นการผลิตกรดให้มากขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดกรดไหลย้อนและแผลในกระเพาะอาหารได้ นอกจากนี้ การที่กรดในกระเพาะอาหารมีมากเกินไปอาจทำให้รู้สึกไม่สบายท้องและท้องอืดได้ค่ะ
2. 😟 เพิ่มความเครียดและความวิตกกังวล
การดื่มกาแฟช่วงเช้าหลังตื่นนอนทันทีจะไปเพิ่มระดับคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด เมื่อระดับคอร์ติซอลเพิ่มขึ้น จะทำให้รู้สึกเครียดและวิตกกังวลได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ การขาดอาหารเช้าจะทำให้สมองขาดสารอาหารที่จำเป็นในการผลิตสารเซโรโทนิน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมอารมณ์
3. 💧 เสี่ยงภาวะขาดน้ำ
กาแฟเป็นยาขับปัสสาวะ ซึ่งหมายความว่าจะกระตุ้นการขับน้ำออกจากร่างกาย การดื่มกาแฟในช่วงที่ท้องว่างหลังตื่นนอนอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ ส่งผลให้รู้สึกเหนื่อยล้า ผิวแห้ง และปวดหัวช่วงเช้า ดังนั้น จึงควรดื่มน้ำเปล่าหลังจากดื่มกาแฟเพื่อช่วยลดความเสี่ยงนี้
4. 🍽️ ขาดสารอาหารสำคัญในการเริ่มวันใหม่
การดื่มกาแฟแทนอาหารเช้าจะทำให้เราไม่อยากทานอาหารอื่นๆ ซึ่งทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการเริ่มต้นวันใหม่อย่างสมดุล ซึ่งอาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด ควรมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมันที่ดีต่อสุขภาพ เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานเพียงพอตลอดวัน
🥗 ดังนั้น เพื่อสุขภาพที่ดีและการเริ่มต้นวันใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ควรรับประทานอาหารเช้าที่มีประโยชน์ก่อนดื่มกาแฟ เช่น โยเกิร์ตกับผลไม้ ไข่ต้ม หรือขนมปังโฮลวีต การทานอาหารเช้าจะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นและลดความเสี่ยงจากการดื่มกาแฟตอนท้องว่าง 🌟 อย่าลืมว่าอาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน มาดูแลสุขภาพและเริ่มต้นวันใหม่ด้วยความสดใสกันนะคะ 🥗🍳
#อย่าฝากชีวิตไว้กับหมอ #ดื่มกาแฟตอนท้องว่าง #ดื่มกาแฟหลังตื่นนอน #กรดไหลย้อน #ปวดหัวช่วงเช้า

20/05/2025

🤔 รู้ไหม? อวัยวะส่วนใด
เสี่ยง "อักเสบ" ได้ง่ายที่สุด 💢
“การอักเสบ” เป็นกระบวนการที่ร่างกายตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมหรือการบาดเจ็บ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นจากการใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่ถูกสุขลักษณะ มลภาวะ สารเคมีต่างๆ หรือโรคบางชนิด วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับอวัยวะสำคัญที่มักเกิดการอักเสบได้ง่าย รวมถึงวิธีการป้องกันเพื่อรักษาสุขภาพในระยะยาวกันค่ะ
1. ผิวหนัง 🌞
สาเหตุ: การอักเสบของผิวหนังมักเกิดจากการสัมผัสกับสารเคมีในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว มลภาวะ หรือการถูกแสงแดดโดยตรงเป็นเวลานาน นอกจากนี้ การแพ้สารในเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดก็เป็นสาเหตุที่พบบ่อยเช่นกัน
🌟แนวทางป้องกัน:
- ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติและหลีกเลี่ยงสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง 🧴
- ปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยการใช้ครีมกันแดดและสวมใส่เสื้อผ้าที่ปกปิด 🌞
- รักษาความชุ่มชื้นของผิวด้วยการดื่มน้ำมากๆ และใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ 💧
2. เยื่อบุทางเดินหายใจ 🤧
สาเหตุ: การอักเสบในเยื่อบุทางเดินหายใจมักเกิดจากการสัมผัสกับมลภาวะ ฝุ่นละออง ควันบุหรี่ เชื้อโรค และสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ เช่น เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ และฝุ่นในบ้าน
🌟แนวทางป้องกัน:
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้และมลภาวะทางอากาศ 🚫
- ใช้เครื่องกรองอากาศภายในบ้าน 🏡
- รักษาความสะอาดและความชื้นในบ้านให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม 🧼
3. กระเพาะอาหาร 🥤
สาเหตุ: กระเพาะอาหารเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ย่อยอาหาร แต่การบริโภคอาหารรสจัด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และความเครียด อาจทำให้กระเพาะอาหารเกิดการอักเสบได้ นอกจากนี้ การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการอักเสบในกระเพาะอาหาร
🌟แนวทางป้องกัน:
- กินอาหารให้เหมาะสม: หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด และอาหารที่มีไขมันสูง ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายและมีสารอาหารที่ครบถ้วน 🥗
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์: ลดหรืองดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะสามารถทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร เสี่ยงโรคกระเพาะอาหารอักเสบ เป็นแผลในกระเพาะอาหาร 🍺
- จัดการความเครียด: การทำกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียด เช่น การทำสมาธิ หรือการออกกำลังกายเบาๆ 🧘‍♀️
4. ตับ 🍻
สาเหตุ: การอักเสบของตับเกิดจากการบริโภคแอลกอฮอล์มากเกินไป การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ และการใช้ยาที่มีผลข้างเคียงต่อตับ
🌟แนวทางป้องกัน:
- ลดหรือหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ 🍷
- รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ 🩺
- ตรวจสุขภาพตับเป็นประจำเพื่อตรวจหาอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น 🔍
5. ไต 💧
สาเหตุ: ไตเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่กรองของเสียและสารพิษออกจากร่างกาย แต่การบริโภคเกลือสูง การขาดน้ำ และการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวด NSAIDs อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ไตเกิดการอักเสบได้ นอกจากนี้ การดื่มแอลกอฮอล์และการบริโภคอาหารที่มีโปรตีนสูงมากเกินไปก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดการอักเสบในไต
🌟แนวทางป้องกัน:
- ดื่มน้ำเพียงพอ: ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวันเพื่อช่วยในการทำงานของไต และลดการสะสมของสารพิษในร่างกาย 💧
- จำกัดปริมาณโซเดียม: การลดปริมาณเกลือ น้ำปลา เครื่องปรุงรส อาหารหมักดอง 🧂
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลข้างเคียงต่อไต: หากจำเป็นต้องใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์และหลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดโดยไม่จำเป็น เพราะอาจทำลายไตได้ 🚫
6. ลำไส้ 🍽️
สาเหตุ: ลำไส้เป็นอวัยวะที่สัมผัสกับอาหารและเครื่องดื่มโดยตรง จึงเสี่ยงต่อการอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือสารเคมีในอาหาร นอกจากนี้ ความเครียดและการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงหรือน้ำตาลมากเกินไปก็เป็นปัจจัยเสี่ยงด้วยเช่นกัน
🌟แนวทางป้องกัน:
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารเคมีหรือสารกันบูดมากเกินไป 🥗
- ดื่มน้ำสะอาดและออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อส่งเสริมการทำงานของลำไส้ 💧
- หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองในลำไส้ 🚫
7. หลอดเลือด 🩸
สาเหตุ: หลอดเลือดเป็นอวัยวะที่สำคัญในการลำเลียงเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย แต่การสูบบุหรี่ การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง และการขาดการออกกำลังกาย เป็นปัจจัยที่ทำให้หลอดเลือดเกิดการอักเสบได้ นอกจากนี้ โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงก็เป็นสาเหตุที่สำคัญเช่นกัน
🌟แนวทางป้องกัน:
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่: การเลิกสูบบุหรี่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการอักเสบและการอุดตันของหลอดเลือด 🚭
- ควบคุมอาหาร: เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง 🍎
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างสุขภาพของหลอดเลือดและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือด 🏃‍♂️
8. ข้อต่อ 🦵
สาเหตุ: ข้อต่อมักเกิดการอักเสบจากการใช้งานหนัก เช่น การออกกำลังกายหนักเกินไป หรือการบาดเจ็บ นอกจากนี้ โรคข้ออักเสบจากภูมิคุ้มกันผิดปกติก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ข้อต่ออักเสบได้ง่าย
🌟แนวทางป้องกัน:
- ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมและพักผ่อนให้เพียงพอ 🏋️‍♂️
- หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บโดยการยืดกล้ามเนื้อก่อนออกกำลังกาย 🤸‍♀️
- รับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงข้อต่อ เช่น อาหารที่มีโอเมก้า-3 และคอลลาเจน 🥑
จะเห็นได้ว่า อวัยวะในร่างกายที่เสี่ยงต่อการอักเสบนั้นมีมากมาย แต่ด้วยการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม เราสามารถลดความเสี่ยงและป้องกันการอักเสบได้ การปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันที่แนะนำจะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่แข็งแรงและป้องกันการอักเสบในระยะยาวได้ค่ะ 🌟
#อย่าฝากชีวิตไว้กับหมอ #อวัยวะอักเสบ #เยื่อบุทางเดินหายใจ #ลำไส้ #ผิวหนัง #ข้อต่อ

รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ💕💕💕
04/05/2025

รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ💕💕💕

คอเลสเตอรอลสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจนำไปสู่หัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง อย่างไรก็ตาม ถ้าเรามีการปรับ...

03/05/2025

🍰🍩 เราจะหลีกเลี่ยง “โรคเบาหวาน” ได้อย่างไรบ้าง? 🤔
⚠️ในยุคสมัยที่โรคเบาหวานกลายเป็นภัยคุกคามสุขภาพที่สำคัญ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้วิธีการหลีกเลี่ยงและลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ โดยเราขอนำเสนอวิธีการดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันโรคเบาหวานอย่างมีประสิทธิภาพกันค่ะ
1. 🍩🥤ปรับอาหารและเครื่องดื่ม: หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลแปรรูปสูง และเปลี่ยนมาบริโภคอาหารที่มีเส้นใยสูง🥗 เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี เน้นอาหารที่ประกอบด้วยผัก ผลไม้ ถั่ว และธัญพืชที่ไม่ผ่านการแปรรูปมากนัก
2. 🍽️🍜ควบคุมปริมาณอาหาร: รับประทานอาหารในปริมาณที่พอเหมาะ และหยุดรับประทานเมื่อรู้สึกอิ่ม เพื่อลดการสะสมของน้ำตาลและไขมันในร่างกาย
3. 🚶‍♀️🚴‍♂️ออกกำลังกายเป็นประจำ: การออกกำลังกายช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด แนะนำให้ออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือเดินเร็ว เป็นเวลาประมาณ 2.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
4. 💪⚖️ควบคุมน้ำหนักตัว: การมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมช่วยให้ร่างกายควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น หากจำเป็นต้องลดน้ำหนัก ควรทำอย่างช้าๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสม
5. 🚭🚬ไม่สูบบุหรี่: บุหรี่เป็นตัวการที่ทำให้ร่างกายต่อต้านอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
6. 📈🏥ตรวจสุขภาพเป็นประจำ: การตรวจสุขภาพเป็นประจำช่วยให้ทราบถึงระดับน้ำตาลในเลือด และค่าคอเรสเตอรอล ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือรับการรักษาทันทีหากพบความผิดปกติ
การดูแลสุขภาพตัวเองด้วยวิธีการเหล่านี้จะช่วยให้คุณห่างไกลจากโรคเบาหวาน และมีชีวิตที่มีคุณภาพค่ะ! 😊🌟
#อย่าฝากชีวิตไว้กับหมอ #โรคเบาหวาน #ไม่สูบบุหรี่ #สาหร่ายวากาเมะ

รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ😻
02/05/2025

รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ😻

Hello May
สวัสดีเดือนพฤษภาคม
เดินทางมาถึง เดือนที่ 5ของปีแล้วนะ
ขอให้เป็นเดือนที่มีแต่เรื่องราวดี ๆ
ขอให้สมหวังในทุกๆเรื่อง
ขอให้พบเจอแต่สิ่งดี ๆ มิตรภาพที่ดี
ขอให้พบเจอความรักที่ดี
ขอให้พบเจอการงานที่ดี
มีรอยยิ้ม มีความสุขตลอดไป
"ขอให้โลกใบนี้ใจดีกับฉัน"
Happy MAY

26/04/2025

😩อ้วนง่าย ลดน้ำหนักไม่ลงเพราะอะไร?
ลองเช็กดูสักหน่อย! 🍩🍫🍟🍕🍨
น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและการลดน้ำหนักที่แสนยากลำบาก อาจเป็นปัญหาที่หลายๆ คนกำลังเผชิญอยู่ ดังนั้น การเข้าใจถึงสาเหตุและแนวทางการรับมืออย่างถูกวิธี จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้เราสามารถจัดการกับน้ำหนักส่วนเกินของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ มาดูกันว่ามีสาเหตุอะไรบ้าง ที่ทำให้เราเป็นคนอ้วนง่าย รวมถึงแนวทางการรับมือกับมันค่ะ 🧐
1. อ้วนง่ายเพราะไลฟ์สไตล์ 🏃‍♂️🍔
▪️สาเหตุ: การใช้ชีวิตที่ไม่คำนึงถึงสุขภาพ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ตามใจปาก ชอบกินฟาสต์ฟู้ดหรืออาหารที่มีแคลอรีสูง เช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม ของทอดของมันเป็นประจำ รวมถึงการไม่ออกกำลังกาย และชอบนั่งๆ นอนๆ ไม่ขยับร่างกาย
▪️แนวทางรับมือ: ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิต เริ่มออกกำลังกายมากขึ้น ทำอาหารทานเอง และหมั่นจดบันทึกน้ำหนักเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ดีในระยะยาว 🚴‍♀️🥗
2. อ้วนง่ายเพราะฮอร์โมนไม่สมดุล 🧪⚖️
▪️สาเหตุ: ปัญหาต่อมไทรอยด์ เช่น ไฮโปไทรอยด์ ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนไทรอยด์น้อยลง ส่งผลให้ระบบเผาผลาญช้าลง รู้สึกหิวบ่อยและทานมากขึ้น แต่ร่างกายใช้พลังงานไม่สัมพันธ์กับปริมาณอาหารที่รับ
▪️แนวทางรับมือ: ปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษา การปรับพฤติกรรมอาจไม่เพียงพอ จำเป็นต้องใช้ยาหรือการรักษาอื่นๆ เพื่อปรับสมดุลฮอร์โมน 🩺💊
3. อ้วนง่ายเพราะกรรมพันธุ์ 🧬👨‍👩‍👧‍👦
▪️สาเหตุ: การมีพ่อหรือแม่ที่น้ำหนักเกินจะเพิ่มโอกาสที่ลูกจะน้ำหนักเกินถึง 3 เท่า และถ้าทั้งพ่อและแม่มีน้ำหนักเกิน โอกาสอาจเพิ่มมากขึ้นถึง 10 เท่า
▪️แนวทางรับมือ: หากสงสัยว่าน้ำหนักเกินเพราะกรรมพันธุ์ ควรเจาะเลือดตรวจไขมันในเลือดกับแพทย์ เพื่อยืนยันและรับคำแนะนำในการจัดการน้ำหนักต่อไป 🎯🔬
4. อ้วนง่ายเพราะนอนหลับไม่เพียงพอ 🛌💤
▪️สาเหตุ: การนอนหลับไม่เพียงพอหรือนอนไม่ตรงเวลา จะทำให้ระบบเผาผลาญทำงานไม่เต็มที่ เกิดการต่อต้านต่ออินซูลิน และกระตุ้นให้เราหิวมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะทำให้อ้วนแล้ว ยังเสี่ยงต่อเบาหวานอีกด้วย
▪️แนวทางรับมือ: ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน และเข้านอนให้เป็นเวลา เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูและระบบเผาผลาญกลับมาทำงานได้เป็นปกติ 🌙🛏️
5. อ้วนง่ายเพราะมีความเครียดสูง 😰🍫
▪️สาเหตุ: ความเครียดจะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ที่ทำให้เรารู้สึกหิวและอยากกินมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำตาลสูงๆ
▪️แนวทางรับมือ: หมั่นหาเวลาผ่อนคลาย เช่น การนั่งสมาธิ การฟังเพลง หรือการออกกำลังกายเบาๆ เพื่อลดระดับความเครียดในชีวิตประจำวันโดยไม่ต้องพึ่งการกินของหวานๆ 🌸🎶
6. อ้วนง่ายเพราะอายุที่มากขึ้น 🎂⏳
▪️สาเหตุ: เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ระบบเผาผลาญจะทำงานช้าลง เนื่องจากมวลกล้ามเนื้อลดลง และความสามารถในการดึงพลังงานจากอาหารไปใช้งานลดลง ส่งผลให้พลังงานส่วนเกินเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง ต้นขา และสะโพก นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวหรือออกกำลังกายมักจะน้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งยิ่งทำให้ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้น
▪️แนวทางรับมือ: ควรออกกำลังกายให้มากขึ้นเพื่อช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและเร่งระบบเผาผลาญ นอกจากนี้ ควรปรับอาหารให้มีปริมาณแคลอรีที่เหมาะสม เลือกอาหารที่มีโปรตีนสูงและไฟเบอร์มาก เพื่อช่วยในการเผาผลาญและควบคุมน้ำหนักในระยะยาว 💪🥗
การเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้ตนเองอ้วนง่าย จะช่วยให้เราสามารถจัดการกับน้ำหนักส่วนเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลองนำวิธีการรับมือเหล่านี้ไปใช้กันดูนะคะ แล้วคุณจะพบว่าการลดน้ำหนักอาจไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปค่ะ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นได้นะคะ 😊🌟
#อย่าฝากชีวิตไว้กับหมอ #อ้วนง่าย #ลดน้ำหนัก #ฮอร์โมนไม่สมดุล #กรรมพันธุ์

15/04/2025

☀️🥵 ร้อนนี้เราต้องรอด!
ไม่วูบหมดสติ จากฮีทสโตรก (Heat Stroke) 🔥
ความเปลี่ยนแปลงที่คนทั่วโลกเห็นได้ชัดและสัมผัสได้ง่ายสุดในช่วงนี้ ก็คือความผิดเพี้ยนหรือแปรปรวนของสภาพอากาศ เช่น ฝนตกเร็วผิดปกติ ภัยแล้งรุนแรง และน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่คาดไม่ถึง และสำหรับประเทศไทยในตอนนี้ก็เผชิญกับฤดูร้อน ที่ร้อนกว่าปกติมากๆ ค่ะ🌡
ดังนั้นเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจทำให้เราหรือคนในครอบครัวเสี่ยง Heat Stroke จนเป็นลมล้มหมดสติ ซึ่งอาจร้ายแรงถึงเสียชีวิตได้หากดูแลรักษาไม่ทันการ และนี่คือแนวทางที่สำคัญที่คุณต้องรู้ในช่วงนี้นะคะ
🌬️ 1. ทำร่างกายให้เย็นเข้าไว้
ช่วงนี้ควรทำให้อุณหภูมิร่างกายเย็นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะด้วยการอยู่ในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศหรือใช้พัดลมในช่วงร้อนจัด และหากอยู่ในสถานที่กลางแจ้ง หรือไม่มีตัวช่วยดับร้อนใดๆ ก็ควรพาตัวเองไปอยู่ในพื้นที่ที่ลมพัดสะดวกหรืออากาศถ่ายเท เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายร้อนจนเป็นอันตรายได้ค่ะ
💧 2. ดื่มน้ำอย่าให้ขาด (สำคัญมาก!)
ดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของร่างกาย และควรดื่มก่อนที่จะรู้สึกกระหายน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ นอกจากนี้การฉีดน้ำบริเวณที่โดนแดดรอบๆ บ้าน หรือฉีดละอองน้ำบนหลังคาก็สามารถช่วยให้บ้านเย็นลงได้ค่ะ
👕 3. เตรียมตัวให้ดีก่อนเผชิญแดด
ควรลดหรือหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแดด โดยเฉพาะในช่วงเวลา 11:00 - 15:00 น. ควรทำกิจกรรมในร่มหรือในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศแทน หากต้องออกไปข้างนอก ควรสวมเสื้อผ้าบางเบา หมวก แว่นกันแดด หรือมีพัดลมขนาดเล็กพกพาไว้ใช้ นอกจากนี้ก็ควรจิบน้ำบ่อยๆ และพกขวดน้ำติดตัวเสมอนะคะ
👀 4. สังเกตคนข้างๆ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง
ต้องช่วยกันเฝ้าระวังคนรอบข้าง โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ซึ่งก็คือผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป และเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 5 ขวบ ไม่ให้ออกไปทำกิจกรรมกลางแดดหากไม่จำเป็น เพราะเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตจากอากาศร้อนจัดได้มากที่สุดนั่นเองค่ะ
การดูแลตัวเองและผู้อื่นในช่วงฤดูร้อนที่ร้อนจัดเช่นนี้ ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ โปรดจำไว้ว่าการเตรียมตัวและการป้องกันคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณและคนที่คุณรักปลอดภัยจากภัยความร้อนในครั้งนี้นะคะ 🔆
#อย่าฝากชีวิตไว้กับหมอ #ฮีทสโตรก

https://www.facebook.com/share/p/18rGtk5Cyk/?mibextid=wwXIfr
14/04/2025

https://www.facebook.com/share/p/18rGtk5Cyk/?mibextid=wwXIfr

😷"เจ็บคอเรื้อรัง" แบบนี้ 🗣️⚠️
เสี่ยง 5 โรคอันตราย ให้รีบพบแพทย์ 🏥
รู้สึกระคายคอ กระแอมทั้งวัน จิบน้ำบ่อยๆ ก็ยังไม่หายเจ็บคอสักที เมื่อเป็นแบบนี้หลายคนคงเดาไม่ยากว่านี่เป็นสัญญาณเริ่มต้นว่าเรากำลังจะไม่สบาย แต่ถ้าคุณมีอาการเจ็บคอไม่ยอมหาย นั่นอาจไม่ใช่แค่ไข้หวัดธรรมดา แต่อาจเป็นสัญญาณโรคที่ร้ายแรงกว่านั้น! โดยเฉพาะหากมีอาการกลืนอาหารหรือน้ำลำบากร่วมด้วย ก็ยิ่งไม่ควรละเลย ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุทันที โดยโรคที่อาจเป็นสาเหตุของอาการเจ็บคอเรื้อรังมีดังต่อไปนี้ค่ะ
🦠 5 โรคที่อาจเป็นสาเหตุอาการเจ็บคอเรื้อรัง
1. ไซนัสอักเสบ - เกิดจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อรา ทำให้เนื้อเยื่อภายในไซนัสบวมและมีเสมหะขังอยู่ เสมหะที่ไหลจากหลังโพรงจมูกลงมาที่บริเวณหลังคอ ทำให้เกิดอาการระคายเคืองคอเรื้อรัง รู้สึกอึดอัด ไม่สบายคอ
🧑‍⚕️การรักษา: ใช้ยาปฏิชีวนะ (ในกรณีที่เป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย) ยาแก้แพ้ และการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ
2. ต่อมทอนซิลอักเสบ - การติดเชื้อที่ต่อมทอนซิล ทำให้คอเป็นหนองและเจ็บคอเรื้อรัง คอแดง บวม มีจุดหนองบนทอนซิล ไข้สูง ปวดหู และลมหายใจเหม็น ต้องการการรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อ
🧑‍⚕️การรักษา: ยาปฏิชีวนะ และในกรณีที่รุนแรงอาจต้องผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลออก
3. กรดไหลย้อน - กรดเกินในกระเพาะอาหารที่ไหลย้อนขึ้นมาทางหลอดอาหาร ทำให้เจ็บคอ โดยมีอาการแสบร้อนกลางอกหรือรู้สึกจุกคอร่วมด้วย
🧑‍⚕️การรักษา: ยาลดกรด การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหาร และการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อน
4. เนื้องอกที่คอและกล่องเสียง - เนื้องอกอาจไปกดเส้นประสาท ทำให้รู้สึกเจ็บคอเรื้อรัง มีอาการกลืนลำบาก เสมหะปนเลือด หรือปวดร้าวไปที่หู ทำให้เสียงแหบ น้ำหนักลด มีอาการเหนื่อยหอบ
🧑‍⚕️การรักษา: ขึ้นอยู่กับประเภทของเนื้องอก อาจต้องใช้วิธีการผ่าตัด ฉายรังสี หรือเคมีบำบัด
5. ช่องคออักเสบ - สัมผัสฝุ่น ควันบุหรี่ หรือใช้เสียงมากทำให้เกิดการอักเสบของกล้ามเนื้อผนังคอ ส่งผลให้ไอเรื้อรังและเจ็บคอ เสียงแหบ คอแห้ง และอาจมีไข้ต่ำ
🧑‍⚕️การรักษา: หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ระคายเคืองคอ ดื่มน้ำอุ่นและน้ำสะอาดมากๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ
📋 ข้อควรระวังและการดูแลตนเอง
ปกติแล้ว การอักเสบของคอจากไข้หวัดจะหายได้เองใน 3-5 วัน แต่ถ้าคุณมีอาการเจ็บคอเรื้อรังเกิน 2 สัปดาห์ หรือมีอาการอื่นๆ ที่น่าสงสัย เช่น น้ำหนักลด กลืนอาหารลำบาก มีเสมหะปนเลือด ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษาอย่างทันท่วงที
👩‍⚕️ แนวทางป้องกันและดูแลสุขภาพเมื่อเจ็บคอ
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการสัมผัสควันบุหรี่
- ดื่มน้ำอุ่นและน้ำสะอาดมากๆ เพื่อช่วยลดการระคายเคือง
- พักผ่อนให้เพียงพอและรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
- หลีกเลี่ยงการใช้เสียงมากเกินไป เช่น การตะโกนหรือร้องเพลง
- รักษาความสะอาดของปากและคอโดยการแปรงฟันและใช้ยาบ้วนปาก
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสฝุ่นและสารเคมีที่อาจทำให้เกิดการระคายเคือง
การดูแลสุขภาพและการป้องกันเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ หากคุณรู้สึกว่าอาการเจ็บคอของคุณไม่ดีขึ้น ก็ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม อย่ารอจนกว่าอาการจะรุนแรง เพราะสุขภาพของคุณสำคัญที่สุดนะคะ 😊💪
#อย่าฝากชีวิตไว้กับหมอ #เจ็บคอเรื้อรัง #ไซนัสอักเสบ #ต่อมทอนซิลอักเสบ #กรดไหลย้อน #ช่องคออักเสบ

🤗ก่อนทานยา อย่าลืม เช็ค ก่อนนะคะ🤗
13/04/2025

🤗ก่อนทานยา อย่าลืม เช็ค ก่อนนะคะ🤗

กินยาหมดอายุ อันตรายแค่ไหน?
ควรทิ้งหรือยังกินได้? 💊⚠️
หลายคนอาจเคยเผลอกินยาหมดอายุโดยไม่ตั้งใจ หรือพบยาที่หมดอายุในตู้ยาแล้วลังเลว่าจะกินต่อได้ไหม ยาหมดอายุอันตรายแค่ไหน? สูญเสียประสิทธิภาพจริงหรือ? และมียาชนิดไหนที่หมดอายุแล้วเป็นพิษหรือไม่? วันนี้เรามาหาคำตอบกันค่ะ
💊 ยาหมดอายุ กินได้หรือไม่?
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA) แนะนำชัดเจนว่า "หากยาหมดอายุแล้ว ไม่ควรใช้ยานั้น" เพราะเมื่อยาเลยวันหมดอายุไปแล้ว ไม่มีการรับประกันว่ายานั้นจะปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการรักษา แม้ว่าบางชนิดอาจไม่เป็นอันตรายโดยตรง แต่หากยาสูญเสียประสิทธิภาพ ก็อาจทำให้โรคหรืออาการของเรารุนแรงขึ้นได้ เช่น

▪️ ยาพาราเซตามอลหมดอายุ อาจไม่สามารถลดไข้หรือบรรเทาอาการปวดได้ตามต้องการ
▪️ ยาปฏิชีวนะหมดอายุ อาจทำให้การรักษาโรคติดเชื้อไม่ได้ผล และเพิ่มความเสี่ยงต่อการดื้อยา
▪️ อินซูลินหมดอายุ อาจไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ เสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลสูง
▪️ ปากกาอิพิเนฟรินหมดอายุ (Epinephrine Pen) อาจไม่ช่วยแก้อาการแพ้รุนแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แม้ในบางกรณี เช่น Epinephrine Pen อาจใช้ได้หากเป็นกรณีฉุกเฉินที่ไม่มีตัวเลือกอื่น แต่โดยทั่วไป การหลีกเลี่ยงยาหมดอายุเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด
💊 ทำไมยาหมดอายุถึงอันตราย?
เมื่อยาหมดอายุไปแล้ว อาจเกิดผลกระทบต่อร่างกายหลายอย่าง ได้แก่

1️⃣ ประสิทธิภาพของยาลดลง
ยาส่วนใหญ่มีองค์ประกอบทางเคมีที่เปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้ฤทธิ์ยาลดลง อาจไม่สามารถรักษาโรคหรืออาการได้

2️⃣ เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและดื้อยา
ยาปฏิชีวนะหมดอายุอาจไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้อย่างเต็มที่ ทำให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยา ซึ่งเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่ร้ายแรง

3️⃣ บางชนิดอาจเกิดสารพิษ
แม้ยาส่วนใหญ่จะไม่กลายเป็นพิษเมื่อหมดอายุ แต่มีบางกรณีที่สารเคมีในยาย่อยสลายและเกิดเป็นสารที่อันตราย เช่น เตตราไซคลีน (Tetracycline) ที่อาจเป็นพิษต่อไตได้หากใช้หลังหมดอายุ

4️⃣ อาจเกิดผลข้างเคียงที่ไม่คาดคิด
หากยาเสื่อมสภาพ โครงสร้างทางเคมีอาจเปลี่ยนไปและส่งผลให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่ไม่คาดคิด
💊 ยาหมดอายุแบบไหนควรทิ้งทันที?
🔹 ยาน้ำ ยาครีม หรือเจล – หากพบว่ามีการเปลี่ยนสี มีกลิ่นผิดปกติ หรือแยกชั้น ไม่ควรใช้ต่อ
🔹 ยาที่ต้องเก็บในตู้เย็น เช่น อินซูลิน – หากเก็บผิดวิธีหรือหมดอายุแล้ว ควรทิ้งทันที
🔹 ยาปฏิชีวนะ – ไม่ควรใช้หลังหมดอายุ เพราะอาจทำให้การรักษาไม่ได้ผลและเพิ่มการดื้อยา
🔹 ยาตาที่เปิดใช้แล้วเกิน 1 เดือน – แม้ว่าจะยังไม่หมดอายุ แต่ยาหยอดตาที่เปิดใช้งานแล้วมีโอกาสติดเชื้อได้
🔹 ยาที่ไม่มีฉลากหรือหมดอายุไม่ชัดเจน – หากไม่แน่ใจว่าใช้ได้หรือไม่ ให้ทิ้งทันที
💊 วิธีจัดการกับยาหมดอายุอย่างปลอดภัย
ห้ามทิ้งยาลงในถังขยะหรือชักโครกโดยตรง เพราะอาจปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม ควรทำตามขั้นตอนดังนี้
✔️ เช็กฉลาก ว่ามีคำแนะนำการกำจัดยาหรือไม่
✔️ บดหรือผสมกับขยะเปียก เช่น กากกาแฟ หรือขี้เลื่อย เพื่อป้องกันการนำไปใช้ซ้ำ
✔️ ใส่ถุงปิดให้มิดชิด ก่อนนำไปทิ้ง
✔️ นำไปกำจัดที่ร้านขายยา โรงพยาบาล หรือหน่วยงานที่รับทำลายยา
💊 สรุปก็คือ ยาหมดอายุแม้จะไม่ได้เป็นพิษเสมอไป แต่ก็อาจสูญเสียประสิทธิภาพหรือก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้ ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่หมดอายุเพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ และอย่าลืมตรวจสอบวันหมดอายุของยาในตู้ยาของคุณ และทิ้งยาหมดอายุอย่างปลอดภัย จะได้ไม่เผลอกินโดยไม่ตั้งใจนะคะ 😊
อ้างอิง: https://www.iflscience.com/how-dangerous-is-it-to-take-expired-medications-78258
https://www.thaipbs.or.th/now/content/2446

#กินยาหมดอายุ ิถีชีวิตที่ยั่งยืน

ที่อยู่

Amphoe Muang Lampang

เบอร์โทรศัพท์

+6654315300

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ คลินิกกระดูกและข้อหมอสมัชชา ลำปางผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง คลินิกกระดูกและข้อหมอสมัชชา ลำปาง:

แชร์

ประเภท