ศูนย์ยาประชารัก

ศูนย์ยาประชารัก มาตรฐานร้านยาคุณภาพ ให้คำปรึกษาเรื

ยาพาราเซตามอล รักษาอาการปวดได้ทุกอย่างจริงหรือ?ยาพาราเซตามอลแก้อะไร?     พาราเซตามอลสามารถบรรเทาปวดจากสาเหตุต่าง ๆ ได้หล...
27/06/2025

ยาพาราเซตามอล รักษาอาการปวดได้ทุกอย่างจริงหรือ?
ยาพาราเซตามอลแก้อะไร?

พาราเซตามอลสามารถบรรเทาปวดจากสาเหตุต่าง ๆ ได้หลากหลาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดจากข้อเสื่อม ปวดกล้ามเนื้อ และใช้เป็นยาลดไข้ พาราเซตามอลที่เป็นยาเดี่ยวจะบรรเทาอาการปวดเล็กน้อยถึงปานกลางเท่านั้น ไม่มีผลต่ออาการปวดขั้นรุนแรง เช่น แผลผ่าตัดใหญ่ หรือมะเร็ง

วิธีใช้ยาพาราเซตามอลรูปแบบปกติทั่วไป (สำหรับผู้ที่มีภาวะตับและไตปกติ)

ขนาดยาทั่วไปสำหรับเด็กและผู้ใหญ่เป็น 10 - 15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว (กิโลกรัม)
รับประทานยาห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
ใน 1 วัน ไม่ควรรับประทานเกิน 8 เม็ด (4,000 มิลลิกรัม) ขนาดยาที่แนะนำในผู้ใหญ่นี้ ใช้สำหรับรักษาอาการปวดเบื้องต้น
ไม่รับประทานยาติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
ถ้ารับประทานยาแล้วไข้ไม่ลดภายใน 3 วัน หรืออาการปวดในเด็กไม่บรรเทาภายใน 5 วัน หรือในผู้ใหญ่ไม่บรรเทาภายใน 10 วัน ควรไปพบแพทย์เนื่องจากอาจเป็นอาการของโรคที่ร้ายแรงได้

พาราเซตามอล 650 mg ชนิดเม็ดออกฤทธิ์นาน 8 ชั่วโมง (สำหรับผู้ที่มีภาวะตับและไตปกติ)

ผู้ป่วยอายุ 18 ปีขึ้นไปที่มีน้ำหนักตัวตั้งแต่ 44 กิโลกรัมขึ้นไป รับประทานครั้งละ 2 เม็ด แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 8 ชั่วโมง เฉพาะเวลาปวดหรือมีไข้
ผู้ที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 44 กิโลกรัม หรือผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่ให้ใช้ยานี้เพราะจะได้รับยาเกินขนาดที่แนะนำซึ่งอาจทำให้เกิดพิษต่อตับได้
กลืนยาทั้งเม็ด ห้ามหัก เคี้ยว บด แบ่งเม็ดยา หรือละลายน้ำ เพราะจะทำให้ได้รับยาเกินขนาด
อาการของการใช้ยาเกินขนาด

คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร เหงื่อออก ภายใน 24 ชั่วโมง
เมื่อเจาะเลือดจะพบว่าเอนไซม์ตับสูงขึ้น แสดงถึงการบาดเจ็บของตับ
มีอาการอักเสบ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร มีภาวะแทรกซ้อน หากรุนแรงอาจมีอาการสมองเสื่อมจากโรคตับ และเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที
ปวดแบบไหนที่รับประทานยาพาราเซตามอลไม่ได้ผล?

1. อาการปวดรุนแรง เช่น ปวดจากแผลผ่าตัดใหญ่ หรือจากมะเร็ง วิธีการประเมินความปวดอย่างง่ายวิธีหนึ่งคือการให้คะแนนความปวดจาก 0 ถึง 10 ให้เลข 0 แทนความรู้สึกที่ไม่มีอาการปวดแต่อย่างใดและเลข 10 แทนความรู้สึกปวดมากที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้ หากประเมินแล้วตัวเลขตกอยู่ในช่วง 7 - 10 นั่นหมายถึงการมีอาการปวดขั้นรุนแรง ยาพาราเซตามอลแต่เพียงขนานเดียวไม่สามารถรักษาได้แม้ว่าจะใช้เกินขนาดไปเท่าใดก็ตาม ดังนั้นผู้ป่วยที่มีความปวดระดับดังกล่าวห้ามใช้พาราเซตามอลเกินขนาดที่แนะนำเพื่อหวังผลลดปวดและควรพบแพทย์เพื่อรับยาที่เหมาะสมต่อไป

2. อาการปวดที่มีลักษณะอาการแปลก ๆ อาการปวดโดยทั่วไปที่พาราเซตามอลมีผลรักษา เช่น ปวดตื้อ หรือกดเจ็บ จากเนื้อเยื่อที่มีการอักเสบ หรือปวดศีรษะทั่วไป แต่มีอาการปวดบางชนิดที่พบได้ในผู้ป่วย เช่น ปวดแสบปวดร้อน เสียวแปลบเป็นพัก ๆ ปวดเหมือนเข็มเล็ก ๆ ทิ่มแทง ปวดเหมือนไฟช็อต ปวดร้าวไปที่บริเวณอื่น ๆ อาการปวดเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงอาการปวดจากการที่เส้นประสาททำงานผิดปกติ ปวดร่วมกับอาการชา ยาพาราเซตามอลมีผลน้อยมากในการรักษาอาการดังกล่าว ผู้ป่วยที่มีอาการปวดเส้นประสาทมักมีอาการเรื้อรังจึงอาจใช้ยาพาราเซตามอลเองเป็นระยะเวลานาน ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติของตับ หากมีอาการเหล่านี้ควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง

3. อาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง การใช้ยาพาราเซตามอลรักษาอาการปวดศีรษะบ่อย ๆ โดยเฉพาะการใช้ยามากกว่า 15 วันต่อเดือนประมาณ 2 - 3 เดือนติดต่อกันจะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิด “โรคปวดศีรษะเหตุใช้ยาเกิน (medication overuse headache)” ดังนั้นผู้ที่อาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง เช่น ปวดศีรษะไมเกรนมากกว่าเดือนละ 3 - 4 ครั้ง หรือปวดศีรษะจากความเครียดที่มีลักษณะอาการปวดเหมือนศีรษะถูกบีบรัดมากกว่า 15 วันต่อเดือน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่ชัดเจนและอาจจำเป็นต้องรับยาอื่นที่ไม่ใช่พาราเซตามอลเพื่อป้องกันอาการปวดศีรษะต่อไป

ข้อควรระวังในการใช้ยา

หลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ร่วมกับยาอื่นที่มีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบเพราะอาจทําให้ได้รับยาเกินขนาด
ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยานี้ หากดื่มสุราเป็นประจํา เป็นโรคตับหรือโรคไต
หากรับประทานยาแล้วเกิดอาการ เช่น บวมที่ใบหน้า เปลือกตา ริมฝีปาก ลมพิษ หน้ามืด ผื่นแดง ตุ่มพอง ผิวหนังหลุดลอก ให้หยุดยาและรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยานี้หากมีภาวะพร่องเอนไซม์จี6พีดี (G6PD) หรือกำลังใช้ยาวาร์ฟารินซึ่งเป็นยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดหนึ่ง เพราะอาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยาได้ง่ายกว่าผู้อื่น
วิธีเก็บรักษายา

เก็บในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท พ้นแสงแดด และความร้อน
เก็บให้พ้นมือเด็ก และสัตว์เลี้ยง
อย่าเก็บในที่ชื้น เพราะจะทำให้ยาเสื่อมสภาพ

รักสุขภาพกับศูนย์ยาประชารัก
#ศูนย์ยาประชารัก

27/10/2022

ความจริงของคนไทยทุกยุคทุกสมัย เราต้องช่วยกันเปลี่ยนแปลง

#ศูนย์ยาประชารัก

25/12/2018

https://web.facebook.com/fookingecho/videos/2055271228085080/

ความเข้าใจผิดที่มีอยู่จริงในสังคมไทยปัจุบัน เปลี่ยนความเข้าใจใหม่ๆกันนะคะ

#ศูนย์ยาประชารัก #เภสัชกรให้คำปรึกษาตลอดเวลาทำการ

"แสบร้อนกลางอก" อย่านิ่งนอนใจนะคะมีปัญหาเรื่องยาและสุขภาพปรึกษาแพทย์และเภสัชกร #ศูนย์ยาประชารัก #เภสัชกรให้คำปรึกษาตลอดเ...
21/11/2018

"แสบร้อนกลางอก" อย่านิ่งนอนใจนะคะ

มีปัญหาเรื่องยาและสุขภาพปรึกษาแพทย์และเภสัชกร

#ศูนย์ยาประชารัก
#เภสัชกรให้คำปรึกษาตลอดเวลาทำการ

แสบร้อนกลางอก : เมื่อไหร่ต้องกังวล?!?

ภาวะกรดไหลย้อนและภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน อาจเป็นเรื่องยากที่จะแยกแยะออกจากกัน

หากคุณเพิ่งรับประทานอาหารมื้อใหญ่และรู้สึกแสบร้อนในอกจากอาการกรดไหลย้อน แต่บางทีอาจเกิดอาการเจ็บหน้าอกจากการไหลเวียนของเลือดลดลงไปที่หัวใจ (angina)

แม้แพทย์ที่มีประสบการณ์ยังไม่สามารถบอกความแตกต่างได้จากประวัติทางการแพทย์และการตรวจร่างกายของคุณ นั่นเป็นเหตุผลที่ถ้าคุณไปที่ห้องฉุกเฉินเพราะอาการเจ็บหน้าอกคุณจะได้รับการทดสอบเพื่อจะใช้เครื่องมือที่ตรวจสอบโดยละเอียดเพื่อวินิจฉัยแยกโรคหัวใจ

อย่าให้การเข้าถึงยาง่ายโดยปกติวิสัยคนไทยทำให้ตายไม่รู้ตัว การหาซื้อยาในประเทศไทยเป็นเรื่องที่ง่ายมาก กระทั่งยาที่ขายอย่างผิดกฎหมาย แถมหาซื้อยาที่ไหนก็ได้ ออนไลน์ก็มี ฝากซื้อผ่านออนไลน์ก็ยังได้

เพราะประเทศไทยยังไร้ระบบใบสั่งยา ดังนั้นไม่ใช่เรื่องยากที่จะไปพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยโดยละเอียด และขอรับยาโดยตรงจากแพทย์ได้ทันที

จำไว้ว่า "แสบร้อนกลางอก" ไม่ควรวินิจฉัยและจ่ายยารักษาด้วยตนเองโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงต่อไปนี้ ขอแนะนำว่า ห้ามวินิจฉัยเองสั่งยารักษาตนเองโดยเด็ดขาด
📌สูบบุหรี่
📌เป็นเบาหวาน
📌เป็นไขมันคอเลสเตอรอลสูง
📌เป็นความดันเลือดสูง
📌ชอบรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันจากสัตว์
📌ไม่ออกกำลังกาย
📌อ้วนลงพุง
📌มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดแดงโคโรนารี
📌อายุ 40 ปีขึ้นไป
📌มีภาวะเครียด ใช้ร่างกาย จิตใจ สมอง อย่างหักโหม

#อย่ารอให้ป่วยค่อยหาวิธีรักษา

ช่วงนี้มีข่าวเกี่ยวกับการคัดค้าน/ต่อต้าน พรบ. ยาฉบับใหม่กันอยู่ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นมีผลกระทบกับคุณภาพชีวิตของคนไทยในอนาค...
05/09/2018

ช่วงนี้มีข่าวเกี่ยวกับการคัดค้าน/ต่อต้าน พรบ. ยาฉบับใหม่กันอยู่ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นมีผลกระทบกับคุณภาพชีวิตของคนไทยในอนาคต แต่รู้กันหรือไม่คะว่าวิชาชีพเภสัชกรนั้น ไม่ได้อยู่แค่เคาท์เตอร์จ่ายยาในโรงพยาบาล หรือในร้านยาอย่างเดียวนะคะ เรายังอยู่ในจุดสำคัญอื่นๆ ที่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบค่ะ

#ศูนย๋ยาประชารัก
#เภสัชกรให้คำปรึกษาและแนะนำตลอดเวลาทำการ

PHARMACISTS: WHERE ARE YOU?
เภสัชกรอยู่ที่ไหนกันบ้างนะ?
แชร์ให้โลกรู้!

 #ว่าด้วยเรื่องของหัวใจ
04/01/2018

#ว่าด้วยเรื่องของหัวใจ

 #ไวรัสซิก้าตอนนี้ได้ตรวจพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสซิก้ากันอีกแล้วนะคะ เรามาทำความรู้จักโรคนี้และวิธีป้องกันกันดีกว่าค่ะ เพื...
07/12/2017

#ไวรัสซิก้า

ตอนนี้ได้ตรวจพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสซิก้ากันอีกแล้วนะคะ เรามาทำความรู้จักโรคนี้และวิธีป้องกันกันดีกว่าค่ะ เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณเองและคนที่รักนะคะ

#ศูนย์ยาประชารัก
#เภสัชกรให้คำปรึกษษตลอดเวลาทำการ
#มาตรฐาน้านยาคุณภาพ


https://www.youtube.com/watch?v=ILSaMVl8-FI

ไวรัสซิก้า มียุงลายเป็นพาหะนำโรค มีแหล่งกำเนิดมาจากทวีปแอฟริกา และแพร่กระจายมายังเอเซียตะวันออกเฉียงใต...

03/11/2017

#โรคไข้เลือดออก

ช่วงนี้เริ่มเข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาวที่มักมีการระบาดของโรคไข้เลือดออกนะคะ วันนี้เรามาทำความรู้จักกับโรคไข้เลือดออกกันให้มากขึ้นดีกว่าค่ะ เพื่อระวังและป้องกันทั้งตัวเราเองและคนที่เรารักนะคะ

ไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever – DHF) เป็นโรคติดเชื้อซึ่งมีสาเหตุมาจากไวรัสเดงกี (Dengue virus) โดยมียุงลายบ้านเป็นพาหะนำโรค อาการของโรคนี้จะคล้ายคลึงกับโรคไข้หวัดในช่วงแรก (แต่มักจะไม่ค่อยมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล หรือไอมากอย่างผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด) จึงทำให้ผู้ป่วยเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ว่าตนเป็นเพียงโรคไข้หวัดและทำให้ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก ส่วนอาการและความรุนแรงของโรคก็มีหลายระดับตั้งแต่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อยไปจนถึงเกิดภาวะช็อกซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิต (ความรุนแรงของการติดเชื้อขึ้นอยู่กับอายุ ภาวะภูมิคุ้มกัน และความรุนแรงของเชื้อไวรัส)

เชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 4 สายพันธุ์ ได้แก่ ชนิด 1, 2, 3 และ 4 (DEN-1, DEN-2, DEN-3, DEN-4) โดยมียุงลายบ้าน (Aedes aegypti) ตัวเมียเป็นพาหะนำโรค กล่าวคือ ยุงลายตัวเมียจะกัดและดูดเลือดของผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้เลือดออกก่อน (เชื้อไวรัสเดงกีในเลือดของผู้ป่วยจะเข้าไปฟักตัวและเพิ่มจำนวนในตัวยุงและเชื้อนี้สามารถมีชีวิตอยู่ในตัวยุงได้ตลอดอายุของยุง คือ ประมาณ 1-2 เดือน) แล้วจึงไปกัดคนที่อยู่ใกล้เคียงในรัศมีไม่เกิน 400 เมตร ซึ่งจะเป็นการแพร่เชื้อไปให้คนอื่น ๆ ต่อไป ยุงชนิดนี้เป็นยุงที่ออกหากิน (กัดคน) ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน (เดิมยุงลายนิยมออกหากินในเฉพาะเวลากลางวัน แต่ในระยะหลังพบว่ายุงลายมีการออกหากินในเวลากลางคืนด้วย) และชอบเพาะพันธุ์ตามแหล่งน้ำนิ่งในบริเวณบ้าน เช่น ตุ่มน้ำ โอ่งน้ำ แจกัน จานรองตู้กับข้าว กระป๋อง ฝากะลา ยางรถยนต์เก่า ๆ หลุมที่มีน้ำขัง เป็นต้น

โดยทั่วไปเมื่อได้รับเชื้อเดงกีเข้าไปครั้งแรก (สามารถติดเชื้อตั้งแต่อายุได้ 6 เดือนขึ้นไป) จะมีระยะฟักตัวของโรคจนเกิดอาการประมาณ 3-15 วัน (ส่วนมากคือ 5-7 วัน) ผู้ป่วยจะมีไข้สูงคล้ายไข้หวัดใหญ่อยู่ประมาณ 5-7 วัน และส่วนมากจะไม่มีอาการเลือดออก มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจมีเลือดออกหรือมีอาการรุนแรง เรียกว่า “ไข้เดงกี” (Dengue fever – DF) ต่อมาถ้าผู้ป่วยได้รับเชื้อซ้ำอีก ซึ่งอาจจะเป็นเชื้อเดงกีชนิดเดิมหรือคนละชนิดกับที่ได้รับครั้งแรกก็ได้ ก็จะมีระยะฟักตัวของโรคสั้นกว่าครั้งแรก และร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาทำให้หลอดเลือดฝอยเปราะและเกล็ดเลือดต่ำ จึงทำให้พลาสมาหรือน้ำเลือดไหลซึมออกมาจากหลอดเลือด (ตรวจพบระดับฮีมาโตคริตสูง มีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอดและช่องท้อง) และมีเลือดออกได้ง่าย เป็นเหตุให้เกิดภาวะช็อก

ส่วนใหญ่คนที่ได้รับเชื้อไวรัสเดงกีครั้งแรกมักจะไม่มีอาการหรืออาจมีเพียงไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก และเบื่ออาหารเท่านั้น แต่ในคนที่ติดเชื้อเป็นครั้งที่ 2 โดยเฉพาะเชื้อที่ต่างสายพันธุ์กับครั้งแรก ผู้ป่วยอาจมีอาการรุนแรงจนเกิดภาวะช็อกได้ และโดยทั่วไปการติดเชื้อครั้งหลัง ๆ ที่ทำให้เกิดอาการรุนแรง มักจะเกิดขึ้นภายหลังการติดเชื้อครั้งแรกประมาณ 6 เดือน ถึง 5 ปี ด้วยเหตุนี้ไข้เลือดออกที่มีอาการรุนแรงจึงมักพบได้ในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี

อาการของไข้เลือดออกแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

ระยะที่ 1 (ระยะไข้สูง) ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน 39-41 องศาเซลเซียส มีลักษณะเป็นไข้สูงลอยตลอดเวลา (รับประทานยาลดไข้ก็มักจะไม่ลด) หน้าแดง ตาแดง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว กระหายน้ำ ซึม มักมีอาการเบื่ออาหารและอาเจียนร่วมด้วยเสมอ อาจคลำพบตับโตและมีอาการกดเจ็บเล็กน้อย ในบางรายอาจมีอาการปวดท้องในบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงด้านขวา หรือปวดท้องทั่วไป หรืออาจมีอาการท้องผูกหรือถ่ายเหลว ส่วนในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี อาจพบอาการไข้สูงร่วมกับอาการชักได้

ระยะที่ 2 (ระยะช็อกและมีเลือดออก หรือ ระยะวิกฤติ) มักจะพบในไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อเดงกีที่มีความรุนแรงขั้นที่ 3 และ 4 อาการจะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 3-7 ของโรค ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่วิกฤติของโรค โดยอาการไข้จะเริ่มลดลง แต่ผู้ป่วยกลับมีอาการทรุดหนัก มีอาการปวดท้องและอาเจียนบ่อยขึ้น ซึมมากขึ้น กระสับกระส่าย เหงื่อออก ตัวเย็น ปลายมือเท้าเย็น ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นเบาแต่เร็ว (อาจมากกว่า 120 ครั้ง/นาที) และมีความดันต่ำ ซึ่งเป็นอาการของภาวะช็อก (ภาวะนี้เกิดขึ้นเนื่องจากพลาสมาไหลซึมออกจากหลอดเลือด จึงทำให้ปริมาตรของเลือดลดลงมาก) ถ้าเป็นรุนแรง ผู้ป่วยอาจมีอาการไม่ค่อยรู้สึกตัว ตัวเย็นชืด ปากเขียว คลำชีพจรไม่ได้ และความดันตกจนวัดไม่ได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ภายใน 1-2 วัน

ระยะที่ 3 (ระยะฟื้นตัว) ในรายที่มีภาวะช็อกไม่รุนแรง เมื่อผ่านวิกฤติช่วงระยะที่ 2 ไปแล้ว อาการก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่ผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกรุนแรง เมื่อได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงทีก็จะฟื้นตัวเข้าสู่สภาพปกติ โดยอาการที่แสดงว่าดีขึ้นนั้น คือ ผู้ป่วยจะเริ่มอยากรับประทานอาหาร แล้วอาการต่าง ๆ ก็จะกลับคืนสู่สภาพปกติ ชีพจรเต้นช้าลง ความดันโลหิตกลับมาสู่ปกติ ปัสสาวะออกมากขึ้น

โรคไข้เลือดออกเป็นโรครุนแรง แต่โอกาสรักษาให้หายก็มีสูงเมื่อได้รับการตรวจรักษาตั้งแต่แรก หากไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยจะมีโอกาสเสียชีวิตสูงถึง 50% จากการเกิดภาวะแทรกซ้อน

เนื่องจากยังไม่มีการพัฒนายาฆ่าเชื้อไวรัสเดงกี่ การรักษาโรคนี้จึงเป็นการรักษาตามอาการเป็นสำคัญ กล่าวคือมีการใช้ยาลดไข้ เช็ดตัว และการป้องกันภาวะช็อก

ยาลดไข้ที่ใช้มีเพียงชนิดเดียว คือ ยาพาราเซตามอล (paracetamol) ขนาดยาที่ใช้ในผู้ใหญ่คือ พาราเซตามอลชนิดเม็ดละ 500 มิลลิกรัม รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง โดยไม่ควรรับประทานเกินวันละ 8 เม็ด (4 กรัม) ส่วนขนาดยาที่ใช้ในเด็กคือ พาราเซตามอลชนิดน้ำ 10-15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อครั้ง ทุก 4-6 ชั่วโมง โดยไม่ควรรับประทานเกินวันละ 5 ครั้ง หรือ 2.6 กรัม ยาพาราเซตามอลนี้เป็นยารับประทานตามอาการ ดังนั้น หากไม่มีไข้ก็สามารถหยุดยาได้ทันที

แอสไพรินและไอบูโปรเฟน เป็นยาลดไข้เช่นกัน แต่ยาทั้งสองชนิดนี้ห้ามนำมาใช้ในโรคไข้เลือดออก เนื่องจากยาทั้งสองชนิดนี้จะยิ่งส่งเสริมการเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติจนอาจเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยได้

ที่มา:
1. MedThai. ไข้เลือดออก อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคไข้เลือดออก 7 วิธี!!. (UPDATED: 23 กรกฎาคม 2017). Available at: https://medthai.com/ไข้เลือดออก. Accessed November 3, 2017.
2. เภสัชกรหญิง วิภารักษ์ บุญมาก. โรคไข้เลือดออก. Available at: http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/102/ โรคไข้เลือดออก. Accessed November 3, 2017.
3. นพ.ประสงค์ พฤกษานานนท์. ไข้เลือดออกในเด็ก. Available at: https://www.bumrungrad.com/healthspot/October-2015/dengue-fever-children. Accessed November 3, 2017.

#มีปัญหาเรื่องยาและสุขภาพปรึกษาเภสัชกร
#ศูนย์ยาประชารัก
#ร้านยามาตรฐานคุณภาพ

17/10/2017

#โรคมือเท้าปาก

สวัสดีค่ะวันนี้เรามาทำความรู้จักกับโรคยอดฮิตของเด็กๆในวัยเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มเข้าเรียนกับวัยอนุบาลกันดีกว่าค่ะ หลังจากที่มีข่าวการเสียชีวิตของเด็กน้อยจากโรคมือเท้าปากแล้วถึง 3 ราย และในปัจจุบันมีการระบาดของโรคนี้เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า ซึ่งตอนนี้บางโรงเรียนก็มีการเปิดเรียนเทอมใหม่กันบ้างแล้ว คุณพ่อคุณแม่อาจมีความกังวลกับเรื่องนี้กันนะคะ

มือเท้าปาก (Hand Foot and Mouth disease – HFMD*) เป็นโรคไข้ออกผื่นชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยในเด็ก ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสซึ่งติดต่อได้ง่าย มักมีอาการไม่รุนแรง และหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ ในบ้านเรามีรายงานระบุว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคมือเท้าปากมากขึ้นทุกปี ส่วนใหญ่จะพบได้ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี จึงมักพบการระบาดได้ในโรงเรียนอนุบาลและสถานรับเลี้ยงเด็ก สำหรับผู้ใหญ่ก็อาจพบว่าเป็นโรคนี้ได้บ้าง แต่จะเป็นการติดเชื้อโดยที่ไม่แสดงอาการ แต่ยังสามารถแพร่เชื้อได้อยู่

โรคมือเท้าปากเป็นโรคที่พบได้ตลอดทั้งปีในแถบร้อนชื้น โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี แต่อาจพบได้ในเด็กที่มีอายุมากกว่านี้ก็ได้ ซึ่งจากรายงานสถานการณ์โรคมือเท้าปากในประเทศไทย พ.ศ.2557 ของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่ามีจำนวนผู้ป่วยสะสมด้วยโรคมือเท้าปาก ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2557 มีจำนวนทั้งสิ้น 64,317 ราย และมีรายงานการเสียชีวิตเพียง 2 ราย โดยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2547-2556) มีแนวโน้มการเกิดโรคนี้สูงขึ้นทุกปี ซึ่งในแต่ละปีจะมีรายงานผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม หลังจากนั้นจะมีจำนวนลดลง และเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นฤดูกาลระบาดของโรคนี้อยู่แล้ว (ช่วงฤดูฝนถึงฤดูหนาว)

สาเหตุของโรคมือเท้าปาก:
โรคมือเท้าปากเกิดจากการติดเชื้อกลุ่มไวรัสเอนเทอโร (Enterovirus) ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลากหลายสายพันธุ์ (มากกว่า 100 สายพันธุ์) ได้แก่ ค็อกแซคกีเอและบี (Coxsackie A, B), ไวรัสเอนเทอโรชนิด 71 (Enterovirus 71 – EV71), ไวรัสเอ็คโคไวรัส (Echovirus) สาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือการระบาดจากการติดเชื้อไวรัสค็อกแซคกีเอชนิด 16 (Coxsackievirus A 16) ซึ่งอาการมักจะไม่รุนแรง และผู้ป่วยมักจะหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ ส่วนสาเหตุที่พบได้น้อยและมีอาการรุนแรง คือ การติดเชื้อไวรัสเอนเทอโรชนิด 71 ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ (นอกจากนี้ในบางครั้งยังอาจเกิดการระบาดได้จากเชื้อไวรัสค็อกแซคกีเอชนิด 5, 7, 9, 10 และเชื้อไวรัสค็อกแซคกีบีชนิด 2 และ 5 และอาจเกิดเชื้อไวรัสเอ็คโคไวรัสได้บ้าง)

การติดต่อ : โรคมือเท้าปากสามารถติดต่อได้โดยตรงจากการสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากจมูก ลำคอ ละอองน้ำมูกน้ำลาย หรือน้ำเหลืองจากตุ่มน้ำที่ผิวหนัง รวมถึงอุจจาระของผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่ นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อโดยทางอ้อมจากการสัมผัสสิ่งของหรือของเล่น สัมผัสพื้นผิวที่มีการปนเปื้อนของเชื้อ ดูดเลียนิ้วมือ รวมถึงจากการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อ มือของผู้เลี้ยงดูที่ไม่สะอาด เป็นต้น โดยสถานที่ที่มักพบการระบาดของโรค ได้แก่ โรงเรียนอนุบาลและสถานรับเลี้ยงเด็ก

ระยะฟักตัวของโรค : เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-7 วัน ผู้ป่วยจึงจะแสดงอาการ

การเป็นซ้ำ : โรคนี้สามารถเป็นซ้ำได้อีก ถ้าเชื้อไวรัสที่ได้รับมาเป็นคนละสายพันธุ์กับที่เคยเกิด เนื่องจากภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นของผู้ป่วยที่หายจากการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์หนึ่ง ๆ อาจไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อจากไวรัสสายพันธุ์อื่น ๆ ได้ แม้จะจัดอยู่ในกลุ่มย่อยของไวรัสเอนเทอโรเช่นเดียวกันก็ตาม

อาการของโรคมือเท้าปาก:
* เริ่มแรกผู้ป่วยจะมีอาการไข้ และอาจมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหารร่วมด้วย

* หลังจากนั้น 1-2 วัน ผู้ป่วยจะมีน้ำมูก เจ็บปาก เจ็บคอ ไม่ยอมดูดนม ไม่อยากรับประทานอาหาร ในเด็กเล็กจะมีน้ำลายยืดมากกว่าปกติ และอาจร้องไห้งอแง เมื่อตรวจดูในช่องปากจะพบว่ามีจุดนูนแดง ๆ หรือมีน้ำใสอยู่ข้างใต้ ขึ้นตามเยื่อบุปาก ลิ้น และเหงือก ซึ่งต่อมาจะแตกกลายเป็นแผลตื้น ๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.4-0.8 เซนติเมตร ซึ่งเจ็บมาก ในขณะเดียวกันก็จะมีผื่นขึ้นที่มือและเท้า ในบางรายขึ้นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ซอกนิ้วมือ หรือแก้มก้นด้วย ซึ่งในตอนแรกจะขึ้นเป็นจุดแดงราบก่อน แล้วต่อมาจะกลายเป็นตุ่มน้ำตามมา ซึ่งจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.3-0.7 เซนติเมตร

* อาการไข้มักจะเป็นอยู่ประมาณ 3-4 วันก็จะทุเลาลงไปเอง แผลในปากมักจะหายได้เองภายใน 7 วัน ส่วนตุ่มที่มือและเท้าจะหายได้เองภายใน 7-10 วัน และมักจะไม่ทำให้เกิดแผลเป็น (หากไม่มีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้น)
ในรายที่เป็นรุนแรง (เป็นกรณีที่พบได้น้อย) อาจมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง อาเจียนรุนแรง ซึม ไม่ค่อยรู้ตัว ชัก แขนขาอ่อนแรง หรือหายใจหอบ

* ผู้ใหญ่อาจติดเชื้อได้โดยไม่มีอาการแสดง แต่ยังสามารถแพร่เชื้อออกมาทางอุจจาระได้อยู่ ดังนั้น ควรป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่นโดยการล้างมือด้วยสบู่หลังถ่ายอุจจาระและก่อนการเตรียมอาหาร
การวินิจฉัยโรคมือเท้าปาก

ภาวะแทรกซ้อนของโรคมือเท้าปาก:
* ในรายที่มีอาการคัน อาจเกาจนเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน จนกลายเป็นตุ่มหนอง พุพอง
* อาจเกิดภาวะขาดน้ำเนื่องจากการเจ็บแผลในปากจนทำให้ดื่มน้ำได้น้อย
ในบางรายอาจมีเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งมักจะไม่รุนแรง และจะหายได้เองภายใน 10 วัน
* ในรายที่เป็นรุนแรงจากการติดเชื้อไวรัสเอนเทอโรชนิด 71* (พบได้น้อย) มักทำให้ผู้ป่วยมีอาการหนักกว่าที่เกิดจากเชื้อไวรัสค็อกแซคกีเอชนิด 16 โดยมักจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท ระบบหัวใจ และปอดได้สูง ได้แก่ สมองอักเสบ อัมพาต กล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียก ภาวะปอดบวมน้ำ (Pulmonary edema) หรือเลือดออกในปอด กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis) ซึ่งอาจรุนแรงถึงเสียชีวิตได้ (แต่การติดเชื้อจากเชื้อไวรัสค็อกแซคกีเอชนิด 16 ก็อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน คือ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ และภาวะช็อกได้ แต่จะพบได้น้อยกว่ามากเมื่อเปรียบเทียบกับการติดเชื้อไวรัสเอนเทอโรชนิด 71)

หมายเหตุ : อาการแทรกซ้อนจะไม่สัมพันธ์กับจำนวนแผลในปากหรือตุ่มที่พบตามฝ่ามือหรือฝ่าเท้า เพราะในรายที่มีอาการแทรกซ้อนรุนแรงอาจมีแผลเพียงไม่กี่จุดในลำคอ หรืออาจมีตุ่มขึ้นเพียงไม่กี่ตุ่มตามฝ่ามือหรือฝ่าเท้าก็ได้ พ่อแม่หรือผู้ปกครองจึงควรดูแลลูกอย่างใกล้ชิดในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก แม้ว่าผื่นและแผลในปากจะหายไปแล้วก็ตาม

โดยสัญญาณเตือนของภาวะแทรกซ้อนที่พ่อแม่ควรพาลูกไปพบแพทย์ทันที มีดังนี้:
* เด็กมีอาการซึมลง ไม่เล่น หรือไม่อยากรับประทานอาหารหรือนม
* บ่นว่าปวดศีรษะ ปวดแบบทนไม่ไหว
* มีอาการพูดเพ้อไม่รู้เรื่อง สลับกับมีอาการซึมลง หรือเห็นภาพแปลก ๆ
* มีอาการปวดต้นคอ คอแข็ง มีการรับรู้ที่สับสน ซึมลง และอาเจียน
* เกิดอาการสะดุ้งผวา ตัวสั่น ๆ แขนหรือมือสั่นบ้าง
* มีอาการไอ หายใจเร็ว ดูเหนื่อย ๆ หน้าซีด มีเสมหะมาก โดยอาจจะมีหรือไม่มีไข้ร่วมด้วยก็ได้

วิธีป้องกันโรคมือเท้าปาก:
เนื่องจากโรคนี้สามารถติดต่อกันได้โดยการรับเชื้อไวรัสจากทางเดินอาหาร น้ำมูก น้ำลาย และจากการหายใจเอาเชื้อที่แพร่จากผู้ป่วยเข้าไป (ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกันโรคนี้) ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยมีวิธีปฏิบัติดังนี้:
1. เมื่อเกิดการระบาดของโรคนี้ ไม่ควรนำบุตรหลานเข้าไปในพื้นที่แออัด หรือเข้าไปคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคมือเท้าปาก
2. ฝึกให้เด็กมีสุขนิสัยที่ดี ไม่นำนิ้วมือหรือของเล่นเข้าปาก ส่วนผู้เลี้ยงเด็กควรล้างทำความสะอาดมือก่อนหยิบจับอาหารให้เด็กรับประทาน และให้เด็กรับประทานแต่อาหารที่สุก สะอาด ปรุงใหม่ ๆ ไม่มีแมลงวันตอม และให้ดื่มน้ำสะอาด
3. ผู้เลี้ยงดูเด็กและเด็กควรล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำกับสบู่ (ทั้งหน้ามือ หลังมือ เล็บ ซอกนิ้วมือ รอบนิ้วมือ และข้อมือทั้งสองข้าง) หลังจากถ่ายอุจจาระเสร็จ หลังจากเปลี่ยนผ้าอ้อม หลังจากเช็ดน้ำมูกหรือน้ำลายให้เด็ก ก่อนการเตรียมอาหาร และก่อนรับประทานอาหาร
4. รีบซักผ้าอ้อมหรือเสื้อผ้าที่เปื้อนอุจจาระให้สะอาดโดยเร็วและทิ้งน้ำลงในโถส้วมเท่านั้น (ห้ามทิ้งลงท่อระบายน้ำ)
5.หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น ขวดนม แก้วน้ำ หลอดดูด ช้อน จาน ชาม เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว รวมทั้งของเล่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการระบาดของโรคนี้ ในโรงเรียนหรือสถานเลี้ยงเด็กควรเน้นให้บุคลากรและเด็กดูแลตนเองในเบื้องต้น ตลอดจนแยกสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ของเด็กแต่ละคนออกจากกัน อย่าให้ปะปนกัน เพราะของเล่นต่าง ๆ อาจปนเปื้อนน้ำลาย น้ำมูก หรือสิ่งขับถ่ายของเด็กได้ และควรหมั่นทำความสะอาดด้วยสบู่หรือผงซักฟอก แล้วล้างน้ำให้สะอาดก่อนที่จะนำไปผึ่งแดดให้แห้ง
6. สำหรับการทำความสะอาดพื้นเพื่อฆ่าเชื้อโรคนั้น ควรทำความสะอาดโดยใช้สบู่หรือผงซักฟอกปกติก่อน 1 รอบ แล้วตามด้วยน้ำยาฟอกขาว คลอรอกซ์ หรือไฮเตอร์ ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วค่อยเช็ดออกด้วยน้ำสะอาด เพื่อป้องกันสารเคมีตกค้าง
7. เมื่อพบว่าบุตรหลานเป็นโรคมือเท้าปาก ควรแยกให้อยู่แต่ในบ้าน เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยไปคลุกคลีกับผู้อื่นประมาณ 2 สัปดาห์ หรือจนกว่าตุ่มแผลต่าง ๆ จะหายดี เวลาไอหรือจามควรใช้ผ้าปิดปากและจมูกด้วย ไม่ควรให้เด็กไปโรงเรียน สถานเลี้ยงเด็ก หรือที่ชุมชน เพื่อหลีกเลี่ยงการติดต่อไปยังเด็กอื่น
8. ในช่วงที่มีการระบาดของโรค ในโรงเรียนหรือสถานเลี้ยงเด็ก ควรมีการสอบถามถึงประวัติอาการของเด็กที่หน้าโรงเรียนเกี่ยวกับอาการเป็นไข้และตุ่มน้ำที่ปาก มือ และเท้า หากสงสัยว่าเด็กคนไหนเป็นโรคมือเท้าปาก ควรให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองมารับพาเด็กกลับบ้านและไปพบแพทย์ทันที อย่าให้เด็กอยู่ในโรงเรียนหรือสถานเลี้ยงเด็ก และควรให้ความรู้เกี่ยวกับโรคดังกล่าวและวิธีป้องกันให้ทราบโดยทั่วกันแก่ครูพี่เลี้ยง พ่อแม่หรือผู้ปกครอง
9. หากพบว่ามีเด็กในห้องเรียนเดียวเป็นโรคมือเท้าปากตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป จำเป็นต้องปิดห้องเรียนหรือโรงเรียนเป็นเวลาอย่างน้อย 5 วัน
10. ในกรณีที่มีการติดเชื้อชนิดรุนแรง (ไวรัสเอนเทอโรชนิด 71) โดยเฉพาะมีการเสียชีวิต โรงเรียนหรือสถานรับเลี้ยงเด็กอาจจำเป็นต้องใช้มาตรการป้องกันที่เข้มข้นมากขึ้น ดังนี้:
* ปิดโรงเรียนทั้งโรงเรียนเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อทำความสะอาดห้องเรียนและของเล่นต่าง ๆ เพื่อรอจนกว่าจะไม่มีเด็กคนอื่น ๆ มีอาการป่วยด้วยโรคนี้ (การปิดโรงเรียนอาจได้ผลไม่ดีนัก เพราะเมื่อมีการเปิดเรียน ถ้ายังมีเด็กที่มีเชื้อไวรัสอยู่ก็อาจนำเชื้อกลับมาแพร่กระจายให้เด็กคนอื่น ๆ ได้อีก อีกทั้งเด็กบางคนเมื่อปิดเรียนไปแล้ว แต่อาจไปทำกิจกรรมร่วมกับเด็กคนอื่น ๆ ในสถานที่อื่น ๆ จึงอาจทำให้ได้รับเชื้อได้เช่นกัน บางโรงเรียนจึงใช้นโยบายปิดสลับกันไปทีละห้อง ซึ่งก็อาจจะได้ผลในการชะลอการแพร่ระบาดของเชื้อไม่ให้กระจายไปเร็วกว่านี้ แม้อาจจะยังไม่สามารถหยุดยั้งการเกิดโรคได้ดีนักก็ตาม)
* ต้องมีการคัดแยกเด็กที่ป่วยออกตั้งแต่เดินเข้ามาที่หน้าประตูโรงเรียน โดยมีครูคอยยืนดูว่าในลำคอเด็กคนไหนมีแผลในปากหรือไม่ ถ้ามีก็จะรีบส่งตัวกลับบ้านไม่ให้เข้าเรียน แต่ก็เป็นวิธีที่ช่วยได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะเด็กหลายคนอาจมีเชื้อในลำคอและเริ่มแพร่เชื้อได้ก่อนที่ครูจะเห็นแผลในลำคอได้อย่างชัดเจน (สิ่งสำคัญที่สุดคือ พ่อแม่หรือผู้ปกครองจะต้องหมั่นสังเกตอาการ หากลูกมีอาการป่วยที่ผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที)
* หมั่นล้างมือให้สะอาด เช็ดถูทำความสะอาดห้องเรียน และของเล่นต่าง ๆ เป็นอีกหนึ่งวิธีสำคัญที่ควรปฏิบัติ แต่ก็ช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้ในระดับหนึ่งเช่นเดียวกัน
11. หากเด็กหรือผู้ป่วยมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบพาไปพบแพทย์โดยด่วน
เมื่อผู้ป่วยมีอาการไข้สูงซึ่งต้องหาสาเหตุของไข้ เพื่อให้การรักษาที่ถูกต้อง
เมื่อมีแผลที่ริมฝีปาก มือ เท้า และ/หรือร่วมกับมีอาการเบื่ออาหาร กินไม่ได้ มีไข้สูง
มีอาการซึมหรือหงุดหงิด ไม่สบาย เหนื่อย หายใจเร็ว
มีอาการเขียวคล้ำที่ตัว มือ เท้า หรือชัก ซึ่งแสดงถึงอาการที่เป็นรุนแรง

เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “โรคมือ-เท้า-ปาก (Hand-foot-and-mouth-disease)”. (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). หน้า 1121-1123.
2. สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค. “สถานการณ์โรค มือ เท้า ปาก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.boe.moph.go.th. [10 มี.ค. 2016].
3. โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์. “โรคมือปากเท้าเปื่อย…สิ่งที่พ่อแม่ควรรู้เพื่อลูกรัก”. (นพ.ประสงค์ พฤกษานานนท์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bumrungrad.com. [10 มี.ค. 2016].
4. โรคมือเท้าปาก อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคมือเท้าปาก 8 วิธี !! (MedThai). updated: 23 ก.ค 2017 เข้าถึงได้จาก: https://medthai.com [17 ต.ค. 2017].

#มีปัญหาเรื่องยาและสุขภาพปรึกษาเภสัชกร
#ศูนย์ยาประชารักมาตรฐานร้านยาคุณภาพ
#เภสัชกรให้คำปรึกษาตลอดเวลาทำการ

12/10/2017

#น้ำมูกไหลทำไมเภสัชจ่ายยาแก้แพ้

เชื่อว่าหลายคนคงเคยมีประสบการณ์ไปซื้อยากินเองเพื่อบรรเทาอาการน้ำมูกไหลที่ร้านยา แต่กลับกลายเป็นว่าได้ยาแก้แพ้มาแทน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่ายาแก้แพ้จะบรรเทาอาการน้ำมูกไหลได้อย่างไร? ยาแก้แพ้ชนิดง่วงและไม่ง่วงจะใช้อะไรดี?

น้ำมูกไหลที่มีลักษณะใส เกิดจาก 2 สาเหตุใหญ่ คือ น้ำมูกไหลจากไข้หวัด ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัส เมื่อร่างกายมีภูมิต้านทานลดลง เช่น เครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ ขาดการออกกำลังกาย จะทำให้เกิดอาการของไข้หวัดได้ เช่น มีไข้ต่ำๆ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ครั่นเนื้อครั่นตัว เบื่ออาหาร ซึ่งเกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อเชื้อไวรัส รวมทั้งมีการทำงานของต่อมภายในโพรงจมูกให้มีการหลั่งน้ำมูก ทำให้ผู้ป่วยมักมีน้ำมูกใสๆ ตลอดทั้งวัน แต่เมื่อพักผ่อนอย่างเพียงพอ อาการดังกล่าวจะสามารถหายไปได้เองใน 3-4 วัน ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งที่มักทำให้เกิดน้ำมูกไหลได้คือ น้ำมูกไหลจากการแพ้ หรือ ภูมิแพ้ ซึ่งเกิดจากการสัมผัสกับสารที่ทำให้เกิดการแพ้ เช่น ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ เป็นต้น ร่างกายจึงตอบสนองต่อสารที่แพ้ด้วยการหลั่งฮีสตามีน (histamine) ทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น มีผื่นคัน หายใจลำบาก คันจมูก รวมทั้งน้ำมูกไหล อาการจึงเป็นๆ หายๆ หรือมีอาการเรื้อรังนานเป็นปี ขึ้นกับระยะเวลาที่ได้สัมผัสกับสารที่แพ้นั่นเอง

ยาแก้แพ้ (antihistamine) คือยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของฮิสตามีนซึ่งหลั่งเมื่อเกิดอาการแพ้ ยาในกลุ่มนี้จึงถูกเรียกสั้นๆ ว่า ยาแก้แพ้ โดยในปัจจุบัน มีอยู่หลายชนิด ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มดั้งเดิม (conventional antihistamines) ที่มีผลข้างเคียงทำให้ง่วง และกลุ่มที่ไม่ทำให้ง่วงนอน (non-sedating antihistamines)

สำหรับยากลุ่มดั้งเดิม ยกตัวอย่างเช่น คลอเฟนิรามีน (chlorpheniramine), บรอมเฟนิรามีน (brompheniramine) , ไดเฟนไฮดรามีน (diphenhydramine), ไดเมนไฮดริเนต (dimenhydrinate), ไฮดรอไซซีน (hydroxyzine), ทริโปรลิดีน (triprolidine) เป็นต้น นอกจากจะสามารถยับยั้งการทำงานของฮิสตามีนแล้ว ยังมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของสารสื่อประสาทอะเซทิลโคลีน (anticholinergic) ที่ทำให้ต่อมภายในโพรงจมูกหลั่งน้ำมูก ทำให้น้ำมูกลดลง จึงสามารถใช้บรรเทาอาการน้ำมูกไหลจากทั้งสาเหตุไข้หวัดและอาการแพ้ได้ และเนื่องจากยาในกลุ่มนี้สามารถผ่านเข้าสู่สมองไปกดระบบประสาท ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่สำคัญ คือมีอาการง่วงซึม และอาจพบอาการข้างเคียงอื่นๆ ได้อีก เช่น ปากแห้ง คอแห้ง ตาพร่า ท้องผูก ปัสสาวะคั่ง ซึ่งเป็นผลจากการยับยั้งการทำงานของสารสื่อประสาทอะเซทิลโคลีนที่ส่วนอื่นๆของร่างกาย ในขณะที่ยากลุ่มที่ไม่ทำให้ง่วงนอน ยกตัวอย่างเช่น เฟโซเฟนาดีน (fexofenadine), ลอราทาดีน (loratadine), เซทิริซีน (cetirizine), เลโวเซทิริซีน (levocetirizine) เป็นต้น จะออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของฮิสตามีนโดยไม่ยับยั้งการทำงานของสารสื่อประสาทอะเซทิลโคลีน ทำให้ใช้บรรเทาอาการน้ำมูกไหลจากภูมิแพ้ได้ดี และพบว่ามีผลข้างเคียงต่ำกว่ากลุ่มดั้งเดิม อันได้แก่ อาการปากแห้ง คอแห้ง ตาพร่า ท้องผูก และปัสสาวะคั่ง รวมทั้งยาในกลุ่มนี้สามารถผ่านเข้าสู่สมองได้น้อยกว่าจึงทำให้เกิดผลข้างเคียงง่วงซึมได้น้อยกว่าอีกด้วย

เนื่องจากมียาหลากหลายชนิดในแต่ละกลุ่มที่มีผลข้างเคียงและข้อจำกัดในการใช้แตกต่างกัน เช่น ยาบางชนิดไม่ควรใช้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับ โรคไต หรือโรคหัวใจ รวมทั้งอาจมีข้อห้ามในการรับประทานร่วมกับยาบางประเภท ดังนั้นเมื่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลหรือซื้อยากินเอง ควรแจ้งข้อมูลโรคประจำตัว หรือยาที่ใช้อยู่ประจำ รวมทั้งประวัติการแพ้ยาทุกครั้ง เพื่อที่จะได้รับยาที่เหมาะสม กล่าวโดยสรุปคือ การเลือกใช้ยาลดน้ำมูกจะต้องพิจาณาถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการน้ำมูกไหล ประกอบกับประสิทธิภาพของยาและความปลอดภัยของผู้ป่วย มากกว่าพิจารณาจากความสะดวกในด้านผลข้างเคียงง่วงซึมหรือไม่ง่วงซึมนั่นเอง

เอกสารอ้างอิง

1. Eccles R. Understanding the symptoms of the common cold and influenza. Lancet Infect Dis 2005; 5:718-25.
2. Woo T. Pharmacology of cough and cold medicines. J Pediatr Health Care 2008; 22:73-9.
3. Riechelmann H. Oral second generation antihistamines in allergic rhinitis. Laryngorhinootologie 2005; 84:30-41.
4. Church MK, Maurer M. Antihistamines. Chem Immunol Allergy. 2014; 100:302-10.
5. Mygind N. Allergic rhinitis. Chem Immunol Allergy 2014; 100:62-8.
6. Fashner J, Ericson K, Werner S. Treatment of the common cold in children and adults. Am Fam Physician 2012; 86:153-9.

ขอบคุณที่มา:
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/dic/knowledge_full.php?id=35

#ศูนย์ยาประชารัก
#เภสัชกรให้บริการตลอดเวลาทำการ
#มีปัญหาเรื่องยาและสุขภาพปรึกษาเภสัชกร

04/07/2017

สวัสดีค่ะ วันนี้ศูนย์ยาประชารักได้รับข้อมูลดีๆมา จึงอยากส่งต่อให้กับผู้รักสุขภาพทุกๆท่านค่ะ

ร้านยาที่ท่านได้เข้าไปปรึกษาปัญหาสุขภาพ หรือซื้อยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพนั้นมีเภสัชกรปฏิบัติการอยู่จริงตามที่แจ้งไว้หรือไม่ ท่านสามารถสังเกตได้จากป้ายปฏิบัติการที่ระบุชื่อเภสัชกรและเวลาปฏิบัติการนะคะ

ปรึกษาเรื่องยาและปัญหาสุขภาพ เชิญที่ศูนย์ยาประชารักนะคะ เภสัชกรให้บริการตลอดเวลาทำการค่ะ

#ศุนย์ยาประชารัก #มาตรฐานร้านยาคุณภาพ

https://www.facebook.com/ThaiPBSNews/videos/1388986087843780

ที่อยู่

Amphoe Sam Phran

เบอร์โทรศัพท์

092-9419415

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ศูนย์ยาประชารักผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง ศูนย์ยาประชารัก:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram