คลินิกแพทย์อุเทน

คลินิกแพทย์อุเทน บริการ คุณภาพ ประทับใจ ไม่ต้องรอ

"หนังท้องตึง หนังตาหย่อน" อาการง่วงนอนหลังจากการรับประทานอาหาร ฟู้ดโคม่า (Food Coma) ซึ่งหลายคนเป็นและง่วงมากๆ จนทำให้เก...
01/10/2025

"หนังท้องตึง หนังตาหย่อน"

อาการง่วงนอนหลังจากการรับประทานอาหาร ฟู้ดโคม่า (Food Coma) ซึ่งหลายคนเป็นและง่วงมากๆ จนทำให้เกิดอาการกินและนอน หรือ งีบระหว่างวัน

ซึ่งมักเกิดจากกลไกเรารับประทานอาหารในแต่ละมื้อ ที่ประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน เมื่อผ่านระบบการย่อยอาหารแล้วร่างกายจะกลั่นกรองน้ำตาล หรือกลูโคส ที่สามารถซึมเข้าสู่กระแสเลือดนำไปใช้เป็นพลังงานในการใช้ชีวิตประจำ แต่ก็ยังมีกรดอะมิโนชนิดหนึ่งมาจากอาหารที่เราทานเข้าไปเช่นเดียวกัน เรียกว่า ทริปโตเฟน (Tryptophan)ซึ่งสารนี้จะเข้าสู่สมองและระบบประสาททำให้ลดความตึงเครียด และทำให้เราเกิดอาการง่วงนอนได้

สำหรับปัจจัยที่ทำให้เกิด Food Coma นั้นมีด้วยกันหลายสาเหตุ ไม่ได้เกิดจากการทานอาหารอิ่มจนเกินไปเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ การโหมงานหนักมากเกินไปในช่วงเวลาเช้า การทานอาหารประเภทแป้งและคาร์โบไฮเดรตในมื้ออาหารมากเกินไป ทานอาหารที่มีกรดไขมันมากไปทำให้สมองหลั่งฮอร์โมนเซโรโทนิน และเมลาโทนินออกมา ซึ่งมีผลทำให้ง่วงนอน ซึม และรู้สึกเหนื่อยล้า

01/10/2025
**เจาะลึกผลตรวจจริง! Blood gas จากหลอดเลือดดำ (VBG) vs หลอดเลือเแดง (ABG) ต่างกันอย่างไร⁉️เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมเวลาเจาะเ...
30/09/2025

**เจาะลึกผลตรวจจริง! Blood gas จากหลอดเลือดดำ (VBG) vs หลอดเลือเแดง (ABG) ต่างกันอย่างไร⁉️

เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมเวลาเจาะเลือดจากเส้นเลือดคนละตำแหน่ง สีของเลือดถึงแตกต่างกัน? หลอดหนึ่งสีแดงสดใส แต่อีกหลอดกลับมีสีแดงคล้ำเกือบดำ ความลับนี้ซ่อนอยู่ในหน้าที่และการเดินทางของเลือดในร่างกายเรานั่นเองค่ะ วันนี้เราจะมาไขปริศนาจากผลตรวจ Blood Gas และลักษณะเลือดที่เห็น พร้อมอธิบายกลไกทางพยาธิสรีรวิทยาแบบเข้าใจง่ายแต่ลึกซึ้งกัน

สีเลือดที่แตกต่าง: เรื่องของ "ออกซิเจน" คือพระเอก
ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดที่เรามองเห็นได้ด้วยตาเปล่าคือ สีของเลือด

▪️ เลือดจากหลอดเลือดแดง (Arterial Blood): จะมีสีแดงสด (Bright Red) ที่เห็นได้ชัดเจน นั่นเป็นเพราะเลือดแดงคือเลือดที่ฟอกแล้วจากปอด เต็มไปด้วย "ออกซีฮีโมโกลบิน" (Oxyhemoglobin) ซึ่งเป็นโปรตีนฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงที่จับกับออกซิเจนอย่างแน่นหนา เมื่อโมเลกุลของออกซิเจนจับกับอะตอมของเหล็ก (Iron) ในโครงสร้างของฮีโมโกลบิน มันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสามมิติ ทำให้สะท้อนแสงสีแดงออกมาได้ดี เราจึงเห็นเลือดเป็นสีแดงสดใสนั่นเอง

▪️ เลือดจากหลอดเลือดดำ (Venous Blood): จะมีสีแดงคล้ำหรือม่วง (Dark Red/Maroon) ค่ะ หลังจากที่เลือดแดงเดินทางไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย เซลล์จะดึงเอาออกซิเจนไปใช้ในกระบวนการเมแทบอลิซึม ทำให้ฮีโมโกลบินปล่อยออกซิเจนออกไป กลายเป็น "ดีออกซีฮีโมโกลบิน" (Deoxyhemoglobin) ซึ่งมีโครงสร้างที่แตกต่างจากเดิมและสะท้อนแสงสีน้ำเงินออกมามากกว่า เมื่อผสมกับสีแดงของเลือดจึงทำให้เรามองเห็นเป็นสีแดงคล้ำ

จากผลตรวจของ Blood gas จากหลอดเลือดดำ (Venous Blood Gas (VBG)) vs หลอดเลือดแดง (Arterial Blood Gas (ABG)) เรามาเจาะลึกความแตกต่างของค่าต่างๆ ที่สะท้อนหน้าที่ของเลือดทั้งสองชนิดกันแบบชัดๆ เลย

📌เริ่มต้นที่ ความเป็นกรด-ด่าง (pH) โดยปกติเลือดแดงจะมีค่า pH อยู่ที่ 7.35-7.45 ในขณะที่เลือดดำจะเป็นกรดมากกว่าเล็กน้อยที่ 7.32-7.42 จากผลตรวจจะเห็นว่าค่า pH ของเลือดแดง (ABG) คือ 7.429 แต่อในเลือดดำ (VBG) มีค่า 7.381 ซึ่งต่ำกว่าเล็กน้อย เหตุผลก็เพราะเลือดดำรับของเสียคือ "คาร์บอนไดออกไซด์" (CO₂) มาจากเซลล์ ซึ่งเมื่อ CO₂ ทำปฏิกิริยากับน้ำในเลือดก็จะเกิดเป็นกรดคาร์บอนิก (H₂CO₃) ทำให้เลือดมีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น

📌ถัดมาคือ ความดันคาร์บอนไดออกไซด์ (pCO₂) ซึ่งสะท้อนปริมาณ CO₂ ในเลือดได้โดยตรง เลือดแดงที่ฟอกแล้วควรมี pCO₂ ต่ำ (35-45 mmHg) ส่วนเลือดดำที่ขน CO₂ กลับมาทิ้งจะมีค่าสูงกว่า (40-50 mmHg) ผลตรวจยืนยันชัดเจนเลยค่ะว่า ABG มี pCO₂ ที่ 36.8 ในขณะที่ VBG สูงถึง 44.1 ซึ่งแสดงถึงการรวบรวมของเสียจากเมแทบอลิซึมของเซลล์

📌ค่าที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วคือ ความดันออกซิเจน (pO₂)! เลือดแดงที่อัดแน่นด้วยออกซิเจนจากปอดจะมี pO₂ สูงมาก (80-100 mmHg) แต่เลือดดำที่เซลล์ดึงออกซิเจนไปใช้แล้วจะมีค่าต่ำ (35-45 mmHg) จากผลตรวจจะเห็นว่า ABG มี pO₂ สูงถึง 169.0 (ค่าที่สูงกว่าปกติมากนี้อาจบ่งชี้ว่าผู้ป่วยกำลังได้รับออกซิเจนเสริม) ในทางตรงกันข้าม VBG มี pO₂ เพียง 41.4 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ของเลือดที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว

📌แน่นอนว่า ความอิ่มตัวของออกซิเจน (O₂ SAT) ก็ย่อมแตกต่างกัน ค่านี้คือเปอร์เซ็นต์ของฮีโมโกลบินที่จับกับออกซิเจน ซึ่งสอดคล้องกับ pO₂ และเป็นตัวกำหนดสีของเลือดโดยตรง ในเลือดแดงค่านี้จะสูงมากคือ 95-100% แต่ในเลือดดำจะลดลงเหลือประมาณ 70-75% ผลตรวจก็เช่นกันค่ะ ABG มี O₂ SAT สูงถึง 99.6% แต่ VBG ลดลงมาที่ 79.4%

📌ส่วน ไบคาร์บอเนต (HCO₃⁻) ซึ่งเป็นสารบัฟเฟอร์รักษาสมดุลกรด-ด่างนั้น ในผลตรวจมีค่าใกล้เคียงกันมากคือ 24.7 mEq/L ใน ABG และ 24.5 mEq/L ใน VBG ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้

พยาธิสรีรวิทยา: การเดินทางที่ไม่สิ้นสุดของ "ชีวิต"
หัวใจหลักของความแตกต่างนี้คือ "วงจรการแลกเปลี่ยนก๊าซ" (Gas Exchange Cycle)

1. ที่ปอด: เลือดดำที่เต็มไปด้วย CO₂ เดินทางมาถึงถุงลมปอด (Alveoli) ที่นี่ CO₂ จะแพร่ออกจากเลือดเข้าสู่ถุงลมเพื่อหายใจออกไป ในขณะเดียวกัน ออกซิเจน (O₂) ที่เราหายใจเข้าไปจะแพร่จากถุงลมเข้าสู่กระแสเลือด จับกับฮีโมโกลบิน เปลี่ยนเลือดดำให้กลายเป็นเลือดแดงสด (Oxygenation)

2. สู่ร่างกาย: หัวใจจะสูบฉีดเลือดแดงสดนี้ไปตามหลอดเลือดแดงใหญ่ (Arteries) แตกแขนงเล็กลงเรื่อยๆ จนถึงระดับหลอดเลือดฝอย (Capillaries) ที่แทรกซึมอยู่ตามเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย

3. ที่เซลล์: ที่ระดับเซลล์นี้เองคือจุดหมายปลายทาง O₂ จะถูกปล่อยออกจากฮีโมโกลบินและแพร่เข้าสู่เซลล์เพื่อใช้ในการหายใจระดับเซลล์ (Cellular Respiration) ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างพลังงาน (ATP) ที่จำเป็นต่อการทำงานของเซลล์

4. เก็บของเสีย: ผลพลอยได้จากกระบวนการนี้คือ CO₂ ซึ่งจะแพร่ออกจากเซลล์เข้าสู่หลอดเลือดฝอย ไปจับกับน้ำในเลือด กลายเป็นเลือดที่มี O₂ ต่ำ แต่มี CO₂ สูง หรือเลือดดำนั่นเอง

5. กลับสู่หัวใจและปอด: เลือดดำจะเดินทางผ่านหลอดเลือดดำ (Veins) กลับเข้าสู่หัวใจ และถูกส่งไปฟอกที่ปอดอีกครั้ง วนเวียนเป็นวงจรเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตของเรา

ดังนั้น การเจาะเลือดจากหลอดเลือดแดง (ABG) จึงเปรียบเสมือนการตรวจสอบ "คุณภาพสินค้า" ที่ส่งออกจากโรงงาน (ปอด) ว่ามีประสิทธิภาพดีแค่ไหน ในขณะที่การเจาะเลือดจากหลอดเลือดดำ (VBG) คือการดู "สภาพสินค้าหลังใช้งาน" และปริมาณของเสียที่ต้องนำกลับไปกำจัด การเข้าใจความแตกต่างนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการวินิจฉัยและติดตามสภาวะของผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจและการเผาผลาญของร่างกายนั่นเอง

**โรคเท้าเหม็นเป็นรู **Pitted Keratolysis เป็นโรคที่เจอบ่อยในกลุ่มคนที่มักใส่รองเท้าบูท รองเท้ากีฬา คอมแบท หรือคนที่เหงื...
28/09/2025

**โรคเท้าเหม็นเป็นรู **

Pitted Keratolysis เป็นโรคที่เจอบ่อยในกลุ่มคนที่มักใส่รองเท้าบูท รองเท้ากีฬา คอมแบท หรือคนที่เหงื่อออกเท้าเยอะๆ

🔴 #ทำไมทายาฆ่าเชื้อราแล้วไม่หายสักที ?
✔️ เพราะโรคนี้ไม่ใช่การติดเชื้อราเป็นหลัก จึงไม่แปลกที่จะไม่หาย แต่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Micrococcus sedenterius, Corynebacterium species และอื่นๆ อย่างไรก็ตามอาจมีการติดเชื้อราแทรกซ้อนตามมาได้

🔴 #ทำไมเท้าเป็นหลุม ?
✔️ เพราะแบคทีเรียเหล่านี้ เมื่ออยู่ในสภาพความเป็นด่างที่เหมาะสม เช่น เท้าอับชื้น เหงื่อออก ก็จะสร้างเอนไซม์ protease มาย่อยผิวหนังชั้นตื้นให้เป็นรูๆ ซึ่งส่วนมากมักมีขนาดรูเล็กๆ 0.5-1 มม.

🔴 #ทำไมเท้าจึงเหม็น ?
✔️ เพราะแบคทีเรียเหล่านี้ นอกจากจะย่อยสลายผิวหนังชั้นตื้นแล้ว ยังสร้างสาร sulfur compound ทำให้เกิดกลิ่นขึ้นมา

🔴 #รักษาอย่างไร?
✔️ พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจวินิจฉัย
✔️ ทายาในกลุ่มยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เช่น Erythromycin gel, Clindamycin gel, Mupirocin
✔️ ทายาในกลุ่ม Benzyl peroxide สามารถกระตุ้นให้เกิดการสร้างผิวใหม่ และฆ่าเชื้อได้
✔️ มีรายงาน topical azole ช่วยให้หายเร็วขึ้น แต่อย่างไรก็ตามไม่ใช่การรักษาหลักในภาวะนี้
✔️ ในกลุ่มที่เป็นรุนแรง อาจใช้ยารับประทาน Erythromycin ร่วมด้วย

🔴 #ถ้าเป็นคนเหงื่อเท้าออกมากต้องทำอย่างไร ?
✔️ ทายาในกลุ่ม 20% Aluminium chloride หากไม่ได้ผลอาจใช้วิธีการฉีด Botulinum toxin เพื่อลดเหงื่อ
🔴 #เป็นโรคติดต่อหรือไม่ ?
✔️ ไม่ใช่โรคติดต่อ สามารถสัมผัสกันได้ แค่เหม็น
🔴 #รักษานานเท่าไร ?
✔️ หากสามารถกำจัดปัจจัยกระตุ้นได้ เช่น เหงื่อ ความอับชื้น การรักษาใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ และอาจเป็นใหม่ได้อีก หากมีปัจจัยต่างๆที่เหมาะสมต่อการเกิดโรคนี้

**วัคซีนไข้หวัดใหญ่  ฤดูกาลใหม่ . . .  มาแล้ว!!- วัคซีนไข้หวัดใหญ่  Vaxigrip trivalent - Northern strain สำหรับฤดูกาลใหม...
26/09/2025

**วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฤดูกาลใหม่ . . . มาแล้ว!!

- วัคซีนไข้หวัดใหญ่ Vaxigrip trivalent - Northern strain สำหรับฤดูกาลใหม่ ปี 2025-2026 พร้อมให้บริการแล้ว

**Human metapneumovirus : hMPV** Human metapneumovirus คือ ไวรัสชนิดหนึ่ง ที่ทำให้เกิดอาการติดเชื้อในทางเดินหายใจ มีไข้ ...
25/09/2025

**Human metapneumovirus : hMPV**

Human metapneumovirus คือ ไวรัสชนิดหนึ่ง ที่ทำให้เกิดอาการติดเชื้อในทางเดินหายใจ มีไข้ ไอ น้ำมูก คล้ายกับไข้หวัดใหญ่ ที่มีการค้นพบมานานหลายสิบปี ไม่ได้เป็นเชื้อไวรัสชนิดใหม่ แต่ที่เพิ่งมารู้จักกันในประเทศไทยไม่นาน เพราะเพิ่งจะเริ่มมีการพัฒนาการตรวจหาเชื้อ ที่ทำได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ไม่นานนี้ โดยวิธีการ swab ป้ายตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่นเดียวกับการตรวจหาเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ และ RSV

อาการของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสนี้ก็จะมีอาการของระบบทางเดินหายใจ คล้ายกับไข้หวัดใหญ่ คือ มีอาการไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ โดยมักพบอาการในกลุ่มเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุ ในผู้ใหญ่และเด็กโต ที่มีภูมิต้านทานดีหากติดเชิ้อนี้ อาจจะมีอาการเหมือนแค่เป็นหวัดธรรมดา หรือไม่มีอาการก็ได้

***มีการศึกษาวิจัย พบว่าเด็กทารกที่มีหลอดลมฝอยอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ จะเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคหืด เมื่ออายุ 3-5 ปี คล้ายกับการติดเชื้อ RSV ***

ฤดูกาลที่พบการติดเชื้อมาก จะมี 2 ช่วง คือ ช่วงฤดูฝน และฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กๆมักมีอาการหวัด ติดเชื้อทางเดินหายใจได้บ่อย

การรักษาเชื้อไวรัสชนิดนี้จะใช้วิธีการรักษาตามอาการ เหมือนกับไข้หวัด แต่ในเด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ ที่มีภูมิต้านทานไม่ดีนัก อาจมีอาการไอมาก หอบเหนื่อย ทานได้น้อย จนต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลได้

การป้องกันโรค เนื่องจาก ยังไม่มีวัคซีน หรือยาต้านไวรัสที่ใช้รักษาเชื้อนี้โดยตรง การป้องกันโรค จึงใช้หลักการเดียวกับการป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินหายใจอื่นๆ คือล้างมือให้สะอาด ไม่เอามือไปแคะจมูกหรือเอามือเข้าปาก ไม่คลุกคลีกับคนที่ป่วย ใส่หน้ากากอนามัยเมื่อไปในที่ชุมชนคนเยอะๆเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อทางเดินหายใจ

***ขอย้ำว่าเชื้อไวรัสชนิดนี้ ไม่ได้เป็นเชื้อสายพันธุ์ใหม่
และมักจะไม่ได้มีอันตรายร้ายแรงในเด็กโตและผู้ใหญ่ที่มีร่างกายแข็งแรงปกติ ไม่มีโรคประจำตัว จึงไม่ควรตื่นตระหนก**

ลมพิษ (urticaria) พบบ่อย 15-20% ของประชากร มีอาการผื่นแดงนูนคัน (wheals and flares) บวม เป็น ปื้นๆ มักหายไปเองใน 24 -48 ...
23/09/2025

ลมพิษ (urticaria) พบบ่อย 15-20% ของประชากร มีอาการผื่นแดงนูนคัน (wheals and flares) บวม เป็น ปื้นๆ มักหายไปเองใน 24 -48 ชั่วโมง
แบ่งเป็น 2 ประเภท ตามระยะเวลาที่เป็น

**ลมพิษเฉียบพลัน คือมีอาการมาไม่เกิน 6 สัปดาห์ มีสาเหตุหลักคือการแพ้ ที่พบบ่อยคือ แพ้อาหาร แพ้ยา การติดเชื้อ แมลงกัดต่อย
แต่เราอาจพบสาเหตุของลมพิษเฉียบพลัน แค่ 50 % เท่านั้น

**ลมพิษเรื้อรัง คือมีอาการลมพิษเกิน 6 สัปดาห์
มักไม่พบสาเหตุชัดเจน แบ่งเป็น
1)ลมพิษจากสาเหตุกายภาพ physical urticaria พบ 20-30%
2)Autoimmune urticaria พบ 30-40% พบ autoantibody ในหลอดเลือดแล้วไปกระตุ้น mast cell แบะ basophil
3)chronic idiopathic urticaria พบ 30-50% คือไม่พบสาเหตุชัดเจน

📌ลมพิษเรื้อรัง (Chronic urticaria) เป็นอาการผื่นนูนคันแดง มักหายไปใน 24 ชั่วโมง บางคนอาจมีเนื้อเยื่อบวม ปากบวม รอบตา ร่วมด้วย อาการลมพิษเป็นต่อเนื่องเกิน 6 สัปดาห์ (2 ครั้ง หรือมากกว่า ต่อสัปดาห์)

📌ลมพิษเรื้อรัง เกิดขึ้นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ในเด็กมักมีผื่นภูมิแพ้ (atopic dermatitis ) มากกว่าลมพิษ แต่ในวัยผู้ใหญ่พบลมพิษบ่อยกว่าผื่นภูมิแพ้ พบได้ถึง 1-2 % ของประชากร

ประเภทของลมพิษเรื้อรัง แบ่งเป็น 2 อย่าง

1.ลมพิษที่เกิดขึ้นเอง (chronic spontaneous urticaria) คือ ไม่ทราบสาเหตุชัดเจน แต่พบว่าสัมพันธ์กับการแพ้ภูมิตัวเอง โดยครึ่งนึงของผู้ป่วยตรวจพบภูมิคุ้มกันต่อเนื้อเยื่อตัวเอง (IgG autoantibodies to Immunoglobulin IgE) กับ การติดเชื้อกระเพาะและลำไส้ (H.Pylori) ,พยาธิในลำไส้, ไวรัสตับอักเสบ,โรคแพ้ภูมิตัวเอง เช่น SLE ไทรอยด์ ,มะเร็งต่อมน้ำเหลือง โดยถ้ารักษาโรคนี้ดีขึ้น ลมพิษจะดีขึ้นได้

2.ลมพิษรื้อรังจากสาเหตุทางกายภาพ (chronic inducible urticaria) กระตุ้น โดย การเกา ขีดข่วน (Dermographism) ,ความเย็น แพ้อากาศเย็น ว่ายน้ำเย็น,การออกกำลังกาย(cholinergic) แพ้เหงื่อ,การกดรัดของเสื้อผ้า(Prassure),แพ้แสงแดด

การตรวจเพิ่มเติม ตรวจเลือด การทำงานตับไต ไทรอยด์ ไวรัสตับอักเสบ ตรวจภาวะแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง ตรวจอุจจาระดูพยาธิ ,ตรวจกระเพาะดูการติดเชื้อ H pylori

📌การรักษา
1.หลักคือ ยาแก้ภูมิแพ้แบบไม่ง่วง second generation antihistamine (cetirizine,fexofenadine) สามารถให้ต่อเนื่องได้หลายเดือนไม่อันตรายต่อตับไต สามารถเพิ่มขนาดได้
2.H2 blockers เสริม ถ้าคุมไม่ได้ เช่น cimetidine ,famotidine
3.ยากดภูมิต่างๆเช่น cyclosporin ถ้ายังเอาไม่อยู่
4.Omalizumab (เป็น humanised monoclonal antibodies ที่ไป จับกับ circulating IgE ราคาสูง เข็มประมาณ 2 หมื่นกว่า ฉีดทุก 4 สัปดาห์ เป็นยาที่ดีในคนคุมลมพิษไม่ได้ แต่ราคาสูง

📌📌 ลมพิษเรื้อรัง มักเป็นนาน เฉลี่ย 1-5 ปี คนไข้ประมาณครึ่งนึงอาจหายหรือดีขึ้นใน 1 ปี จุดหมายการรักษา เพื่อให้ลดลมพิษและช่วยให้ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ ควรระวังไม่ควรใช้สเตียรอยด์ต่อกันนานๆ ลมพิษไม่หาย แต่จะเกิดผลข้างเคียงได้

ที่อยู่

45/6 ถ. บำรุงราษฎร์
Aranyaprathet
27120

เวลาทำการ

จันทร์ 07:00 - 08:00
17:00 - 19:30
อังคาร 07:00 - 08:00
17:00 - 19:30
พุธ 07:00 - 08:00
17:00 - 19:00
พฤหัสบดี 07:00 - 08:00
17:00 - 19:30
ศุกร์ 07:00 - 08:00
17:00 - 19:30
เสาร์ 08:00 - 11:30
17:00 - 19:30
อาทิตย์ 08:00 - 11:30
17:00 - 19:00

เบอร์โทรศัพท์

+66929415407

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ คลินิกแพทย์อุเทนผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง คลินิกแพทย์อุเทน:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram