“ดัส” จริต ผลิตผลจากรสมือของย่าและแม่
หัวหินเป็นเมืองตากอากาศห่างเพียง 2 ชั่วโมงเศษจากกรุงเทพ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เงียบ สงบ แต่มีเสน่ห์อย่างประหลาด ทำให้คนหลากหลายชนชั้นต่างชื่นชอบที่จะมาเยี่ยมเยือนหัวหิน ทั้งพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จมาประทับที่พระราชวังไกลกังวลอยู่เนือง ๆ เจ้านาย ข้าราชบริพาร ข้าราชการ คหบดี ตลอดถึงคนทั่วไปที่ชื่นชอบความขาวเนียนละเอียดของหาดทราย อากาศที่บริสุทธิ์ และความเรียบง่ายของคนหัวหินที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ
ผมเเกิดที่นี่ครับ เมืองหัวหิน
ย่าเป็นคนจีนซึ่งย่าเองไม่แน่ใจว่าตัวเองเกิดที่ไทยหรือจีนกันแน่ เป็นลูกคนโตของก๋งม้าที่โล้สำเภามาจากซัวเถา ด้วยความที่เมื่อนก่อนจนมาก ต้องหาเลี้ยงน้อง ๆ ย่าก็เลยต้องทำทุกอย่างที่จะได้เงิน เรียนหนังสือก็ได้แค่ ปีสองปี แค่พออ่านออกเขียนได้ ย่าก็ต้องออกมาหาเลี้ยงครอบครัว ทำหมดทุกอย่าง ที่จะนึกได้ว่าหาเงินได้ในสมัยนั้น แบกน้ำมันการ์ด ส่งตามบ้านเจ้าขุนมูนนายย่าก็ทำ พรสวรรค์ที่ติดมากับย่าของผมและทำให้ผมมีทุกวันนี้ก็คือ ย่าเป็นคนที่รสมือดีมาก ทำอะไรก็อร่อยไปหมดทุกอย่าง ย่าจึงเริ่มสร้างตัวจากจุดนั้น กิจการของย่าจึงค่อย ๆ ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา จากร้านอ้อยฟั่นหน้าโรงหนังเล็ก ๆ จนกลายมาเป็น ร้านมีชัยแม่นงนุช ที่เป็นที่รู้จักกันดีว่ามีข้าวเหนียวมะม่วงที่อร่อยหอมหวาน กะทิข้นยากที่จะเลียนแบบ ใคร ๆ ที่มาหัวหินจะต้องแวะมาร้านของย่าอย่างพลาดเสียไม่ได้ วัตถุดิบของย่าเรียบง่ายมาก ๆ ในครัวไม่ได้มีอะไรแปลกพิสดารหรือว่า พิเศษกว่าครัวอื่น ๆ หากแต่ย่าเป็นคนละเอียดมาก ๆ พิถีพิถันในการเลือกวัตถุดิบ ขั้นตอนการปรุงก็จะละเมียดละมัย เพื่อให้ได้รสชาติที่พิเศษที่ย่าต้องการ อาหารหรือขนมทุกอย่างของย่า ใช้คำว่า อร่อยอย่างเดียวนี่ไม่ได้ เพราะมันถึงรสถึงชาติไปหมดทุกอย่าง
คุณแม่ของผม คนกรุงเทพ บ้านอยู่คลองบางยี่ขัน แต่งงานกับพ่อแล้วก็ย้ายมาอยู่หัวหิน แม่เป็นพีสาวคนโต มีน้อง ๆ เยอะ ตื่นมาตอนเช้าต้องช่วยยายทวดของผมทำกับข้าวทุก ๆ วัน ยายทวดมีฝีมือทำกับข้าวไทยอยู่ไม่น้อย รสมือจัดจ้านมีเอกลักษณ์ แม่น่าจะได้รสมือยายทวดมาเต็ม ๆ อาหารของแม่ทุกจานจึงมีรสชาติเฉพาะตัว การใช้วัตถุดิบหลายอย่างแม่มีวิธีการจัดการที่น่าสนใจมาก แม่ทำกับข้าวอยู่จนโต จึงได้วิชาทำกับข้าวจากยายทวดมาแทบจะหมดทุกอย่าง เมื่อมาอยู่หัวหิน ย่าเปิดร้านอาหารให้แม่ ร้านอาหารของแม่ จึงเป็นร้านที่มีคนมาอุดหนุนทานอาหารไม่ขาด สิ่งที่ผมเห็นมาแต่เด็กและสืบเนื่องมาจนวันนี้ก็คือ แม่จะทำอาหารให้ผมและน้องกินเป็นประจำทุกวันไม่ขาด ไม่ว่าจะยุ่งหรือคนเยอะมากแค่ไหน แม่เปลี่ยนเมนูทำนั่นทำนี่ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ลูกก็กินไป กินไปกินมา รสอาหารไทยของแม่ก็ซึมเข้าไปอยู่ในตัวโดยไม่รู้ตัว
จำได้ว่าตั้งแต่เด็ก ย่าทำนั่นทำนี่ทำโน่น พอเสร็จก็จะกวักมือเรียก ให้ผมไปชิมอยู่เป็นประจำ ถามว่า อร่อยมั้ย อร่อยมั้ย แม่ทำอาหารอะไรแม่ก็จะเล่าให้ฟังว่า แม่แค่ทำแบบนี้แบบนี้ เติมนั่น ใส่นี่ จึงได้อาหารพวกนี้มา ยายอุ่มสอนว่า ต้องใส่แบบนี้นะ ทำแบบนั้นนะ อันนี้ทำได้ อันนี้ทำไม่ได้ ใส่นี่ก่อน ใส่นั่นก่อน สังขยาต้องตีแบบนี้ ทำกะทิข้าวเหนียวต้องแบบนั้น ขนมเทียนแป้งแค่นี้พอดี ... สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นบ่อย ๆ ตั้งแต่เด็กจนโต จากวันเป็นเดือน เป็นปี เป็นสิบปี ย่าและแม่ก็ยังทำอยู่อย่างนั้น
จน 20 วันก่อนที่ ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต ย่าผมก็ได้จากไป ... ผมจึงได้นึกย้อนไปถึงเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับย่า ว่าไม่มีย่าแล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป ข้าวเหนียวจะยังคงรสเดิมมั้ย ร้านจะไปต่อไปได้มั้ย
“ย่าไม่เคยบอกเลยนะว่าต้องใส่อะไรเท่าไหร่”
แล้วเราจะทำยังไง จะสืบทอดร้านนี้ต่อไปได้จริงมั้ย ... คิดวนเวียนอยู่แบบนั้น จนได้คำตอบ
ข้าวเหนียวทุกคำ ขนมทุกอย่าง กะทิทุกหม้อ ถั่วทุกเม็ด ขนมเทียนทุกก้อน รวมถึงของอื่น ๆ ที่ย่าป้อนเข้าปากผมเป็นเวลากว่า 40 ปี นั่นคือการถ่ายทอดสูตรทั้งหมดของย่าให้กับหลานชายคนนี้ “รสชาติ” ที่ชิมจนติดลิ้น จะเป็นเครื่องส่งผ่าน “รสมือย่า” สู่รสมือผม ย่าว่าอร่อยแล้ว ป้อนให้หลานชิม ชิมจนรู้ว่า แบบนี้พอดี แบบไหนไม่พอดี ผมเพิ่งรู้สึกตัว เมื่อต้องตักข้าวเหนียวเข้าปากชิมเองในวันที่ไม่มีย่า ว่านั่นคือสิ่งที่ย่าตั้งใจไว้แล้วว่า วัตถุดิบเปลี่ยนรส วันเวลาเปลี่ยนไป รสชาติอาหารจะคงเดิมอยู่ได้ หลานต้องชิมให้ติดและจำรสได้เท่านั้น
การทำแบบนี้ นั่นคือการถอดแบบกันมาของทั้งย่าและแม่ เวลาแม่ผมทำอาหารเสร็จแล้ว ภาพติดตาคือถ้าแม่ไม่ตะโกนเรียก “ดัส ดัส” ให้ผมเดินเข้าไปในครัว แม่จะถือช้อนเล็ก ๆ เดินออกจากครัวมาที่โต๊ะทำงานแล้วให้ชิมพร้อมถามว่า พอดีมั้ย ได้หรือยัง รสมือของยายอุ่มผ่านมาถึงแม่ และรสมือของแม่ผ่านมาถึงผมด้วยวิธีเดียวกัน ผมชิมทุกอย่างที่แม่ทำแม้กระทั่งน้ำจิ้มถ้วยเล็ก ๆ เพื่อจำรสมือแม่เอาไว้ และมันจะติดอยู่ไม่จางหายไปไหน
จริต คือพื้นนิสัย ถูกสร้างขึ้นจากการทำอะไรซ้ำ ๆ และนั่นแหละครับ คือ การสร้างจริตในการทำอาหารและขนมของผมมาจนทุกวันนี้ จึงเกิดเป็น ดัส-จริต เพจที่นำเสนอ การทำอาหารที่ผมก็ยังต้องการถ่ายทอดรสมือของผมไปยังคุณลูกเพจทั้งหลายด้วยวิธีเดียวกัน ทำให้ชิมไม่ได้ ก็เล่าถึงการทำอาหารผ่านตัวอักษร ผมเลือกวิธีการอ่าน เพราะหากว่าได้อ่าน ก็หมายถึงว่าใส่ใจ พอใส่ใจ อ่านจบสิ่งที่อ่านก็จะถูกใส่เข้าไปในใจ และสิ่งที่ผมได้มาจากย่าและแม่ ก็จะส่งผ่านถึงคุณลูกเพจได้ครับ
ตัวตนของผมก็คือเพจนี้ครับ ดัส จริต (ดัส ออกเสียงสูงนิดนึงครับ สูงกว่า ดัด )