ก้าวเภสัชกร (Kao Bhesaj Pharmacy)

ก้าวเภสัชกร (Kao Bhesaj Pharmacy) A licensed Thai pharmacy service with a prescription and non-prescription medications to patients.

คณะเภสัชฯ จุฬาฯ จึงขอเป็นผู้รวบรวมความช่วยเหลือโดยเฉพาะส่วนของยา และเวชภัณฑ์ต่างๆ เพื่อนำส่งต่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบใน...
26/07/2025

คณะเภสัชฯ จุฬาฯ จึงขอเป็นผู้รวบรวมความช่วยเหลือโดยเฉพาะส่วนของยา และเวชภัณฑ์ต่างๆ เพื่อนำส่งต่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในการกระจายสิ่งของที่จำเป็นเพื่อส่งต่อถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบ
รายการสิ่งของจำเป็น
https://shorturl.at/1OJQs
ท่านสามารถติดต่อส่งมอบสิ่งของต่างๆ ได้ที่
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ หรือ โอสถศาลา
02-218-8257/ 096-924-1579 / 02-218-8428

หรือส่งถึง สสจ. โดยตรง

จังหวัดบุรีรีมย์:
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ 261 ถนนจิระ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง บุรีรัมย์ 31000 โทร 085-1361639

จังหวัดสุรินทร์:
กลุ่มงาน คบส. ชั้น3 อาคารกันเกรา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ 7 ถนนกรุงศรีนอก ต.ในเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000 โทร 081-5146998

24/07/2025

ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เขตชายแดนของเรามีสงคราม คลินิกหมอกิตติยา ขอดูแลผู้ป่วยที่มีพื้นที่ติดชายแดน กรณีได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ แจ้งชื่อ HN แจ้งอาการ เพื่อให้แพทย์ประเมินอาการ จัดยาส่งให้ ขอให้ทุกท่านดูแลตัวเองดีๆ เราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกันค่ะ

สรุปให้ง่ายๆ สำหรับพ่อแม่ที่เข้ามาอ่าน1. 💊 ให้ยาลดไข้เฉพาะตอนลูกไม่สบายตัว ไม่ใช่เพราะอุณหภูมิสูง ถ้าลูกยังเล่นได้ กินได...
15/07/2025

สรุปให้ง่ายๆ สำหรับพ่อแม่ที่เข้ามาอ่าน

1. 💊 ให้ยาลดไข้เฉพาะตอนลูกไม่สบายตัว ไม่ใช่เพราะอุณหภูมิสูง

ถ้าลูกยังเล่นได้ กินได้ ยิ้มได้ ไม่ซึม... ไม่จำเป็นต้องให้ยา แม้ว่าไข้จะสูง

หลักคือ "ดูอาการ ไม่ดูตัวเลข" หรือ "Comfort over temperature"

2. 🌡️ ไข้ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย
ไข้เป็นกลไกของร่างกายในการต่อสู้กับเชื้อโรค
ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้ดีขึ้น และยับยั้งเชื้อไวรัส/แบคทีเรีย

3. ❌ ยาลดไข้ไม่ได้ช่วยป้องกันไข้ชัก
ไข้ชักไม่ได้เกิดจากไข้สูงอย่างเดียว แต่เกิดจากกระบวนการอักเสบในร่างกาย (cytokine)
การให้ยาลดไข้ไม่ได้ลดความเสี่ยงการชัก

4. 🧊 การเช็ดตัวไม่ได้ช่วยลดไข้ได้อย่างที่คิด การเช็ดตัวแรงๆให้ตัวแดงๆ หรือเช็ดด้วยน้ำเย็น อาจทำให้ลูกหนาวสั่น ร้องไห้ และไม่สบายตัวและทรมานมากกว่าเดิม
หลักฐานจากทั่วโลก (รวมถึงประเทศเขตร้อน) เขียนไว้เหมือนกันว่าไม่แนะนำให้เช็ดตัวเพื่อหวังลดไข้

🤱🏻 แล้วพ่อแม่ควรทำยังไงเมื่อลูกเป็นไข้?
1. ให้ลูกดื่มน้ำมาก ๆ: น้ำเปล่า น้ำผลไม้ นมแม่ ORS ได้หมด
2. ให้ลูกใส่เสื้อผ้าบาง ๆ
3. อยู่ในห้องเย็น ถ่ายเทอากาศดี (ประมาณ 25°C)
4. ให้พักผ่อนเยอะ ๆ ลดกิจกรรมที่เหนื่อย
5. ถ้าไข้สูงแต่ลูกยังสดใส ไม่จำเป็นต้องปลุกมากินยาหรือเช็ดตัวตอนดึก
6. หยุดโรงเรียน อย่าไปโรงเรียนแล้วให้ครูป้อนยาให้นะ

---
💬 ความคิดเห็นส่วนตัวของหมอ
แม้ guideline ส่วนใหญ่จะไม่แนะนำการเช็ดตัว... แต่หมอเข้าใจว่าการ "เช็ดตัว" เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับวัฒนธรรมไทยมานาน
🟡 ดังนั้นแนะนำว่า:
การเช็ดตัวสามารถทำร่วมกับการให้ยาได้ ถ้าทำให้ลูกสบายขึ้น แต่ไม่ควรใช้เช็ดตัว "แทน" การให้ยา และไม่ควรฝืนเช็ดถ้าลูกดูทุกข์ทรมาน ร้องไห้ หรือกลัวมาก

❗️ไม่ควรเช็ดแรง ๆ หรือเช็ดจนตัวแดง เพราะไม่ได้ช่วยลดไข้ แถมยังทำให้ลูกเจ็บ

"ทำไมหมอไทยชอบแนะนำให้เช็ดตัวหรือกินยาลดไข้ แต่หมอในต่างประเทศกลับบอกว่าไข้คือสิ่งที่ดี ไม่ควรเช็ดตัวหรือให้ยาเลย❓"

คำพูดจากพ่อแม่ชาวต่างชาติหลายท่าน ที่ได้ยินซ้ำไปซ้ำมา จนเป็นจุดที่ทำให้ผมกลับมา review เรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับ “ไข้ในเด็ก” ว่าทั่วโลกเขาพูดถึงเรื่องนี้กันยังไงบ้าง?

โพสต์นี้เป็นการสรุปจากงานวิจัยและ guideline 19 ฉบับ ทั้ง AAP, NICE, WHO และ systematic review และ meta-analysis
ใครสนใจ reference ทั้งหมด ดูได้ในรูป comment ด้านล่างเลย 👇

📌 Topic: ลูกเป็นไข้ ควรทำอย่างไร? ไข้กี่องศาควรให้ยา? เช็ดตัวดีไหม? วันนี้จะมาสรุปแบบ Q&A 11 ข้อครับ

ประชาชนทั่วไปสามารถอ่านโพสต์ตาม link นี้ครับ https://www.facebook.com/share/p/1HfbgxmYKs/

=========================================
❓ Q1: ไข้ในเด็กคืออะไร?
• ไข้เป็น Defense mechanism ของร่างกาย โดยที่ hypothalamus จะปรับ set point อุณหภูมิร่างกายให้สูงขึ้นเพื่อตอบสนองต่อ illness หรือ infection
• ร่างกายทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นเพื่อเพิ่ม immune efficiency มาต่อสู้กับเชื้อโรค เช่น
1. ↑ neutrophil, ↑lymphocyte, IL1, INF ทำงานฆ่าเชื้อได้เก่งขึ้น
2. inhibit viral replication & Bacterial growth

🧪 ตัวอย่างงานวิจัยบางชิ้นที่บอกว่าไข้มีประโยชน์ เช่น
1. งานวิจัยในฟินแลนด์ทำในเด็ก 102 คนที่เป็น Salmonella enteritis พบว่าเด็กที่ไข้สูงจะมี duration of excretion ที่สั้นกว่าเด็กที่ไม่มีไข้
2. Human volunteers infected with rhinovirus การใช้ยาลดไข้สัมพันธ์กับ antibody ที่ต่ำลง, viral shedding นานขึ้น
3. เด็กที่มาด้วย severe infection [เช่น pneumonia or septicaemia] พบว่าอุณหภูมิร่างกายที่ต่ำสัมพันธ์กับ mortality rate ที่สูงขึ้น

=========================================
❓ Q2: อุณหภูมิเท่าไหร่ถึงเรียกว่ามีไข้? มี cutpoint ไหม?
• ทั้ง AAP, NICE และ guideline อื่นๆ เขียนว่านิยามจริงๆของไข้คือ "a body temperature that is higher than normal"
(ซึ่งอุณหภูมิปกติของร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นกับ age, general health, activity level, and time of day)
• นั่นหมายความว่า คำว่าไข้ของเด็กแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน
• คนที่จะรู้อุณหภูมิปกติของเด็กได้ดีที่สุดคือพ่อแม่ที่เป็นคนเลี้ยง ดังนั้นถ้าพ่อแม่บอกว่าลูกมีไข้จึงเป็นสิ่งที่ควรเชื่อพ่อแม่มากกว่าเชื่อตัวเลขที่วัดได้จริงที่โรงพยาบาล
(NICE guideline เขียนไว้ชัดเจนว่า Reported parental perception of a fever should be considered valid and taken seriously by healthcare professionals)
• แต่ในทางการแพทย์เรามักจะอิงกันว่า BT ≥38°C (วัดทาง re**al) คือมีไข้ เพื่อให้สื่อสารกันเข้าใจง่าย
[ถ้าวัดทาง axilla จะต่ำกว่าทาง re**al ประมาณ 0.5C ดังนั้น Axilla จึงตัดที่ BT 37.5C โดยประมาณ]

=========================================
❓ Q3: เป็นไข้กี่องศาถึงควรให้ยาลดไข้?
• เป็นสิ่งที่ทุก paper เขียนตรงกันแบบไม่มีข้อโต้แย้ง คือ การรักษาไข้ไม่ได้ดูจากตัวเลข body temperature แต่ให้ดูจากความไม่สุขสบายของเด็ก
• KEYWORD = treat discomfort not temperature
• ถ้าเด็กดูสบาย เล่นได้, กินได้, นอนได้, ไม่ซึม → ไม่จำเป็นต้องให้ยา แม้ว่าไข้จะสูง
• ดังนั้น การที่วัดไข้ลูกตอนกลางคืนที่กำลังหลับอยู่ พอวัดได้ว่ามีไข้ แล้วปลุกลูกขึ้นมากลางดึกเพื่อกินยาลดไข้ เช็ดตัว จึงไม่ควรทำ

=========================================
❓ Q4: ถ้าปล่อยให้เด็กเป็นไข้สูงแล้วไม่รักษา จะทำให้เด็กเป็นไข้ชักหรือเปล่า?
• ทุก paper เขียนไว้เหมือนกันว่า antipyretic agents "do not" prevent febrile convulsions
• สาเหตุเพราะจริงๆแล้วกลไกการเกิด febrile seizure ไม่ได้เกิดจากไข้สูงโดยตรงแต่เกิดจาก cytokine จาก inflammatory process ที่ต่อสู้กับการติดเชื้อ

🧪 ตัวอย่าง Evidence ที่อธิบายเรื่องนี้
1. เด็กๆเป็นไข้กันได้บ่อยมากๆ แต่พบ febrile seizure เพียง 1/3 เท่านั้น → แสดงว่าไข้อย่างเดียวไม่ใช่ตัวที่จะทำให้เกิด seizure เสมอไป
2. เด็กบางคนมี seizure ในช่วงติดเชื้อทั้งๆที่ไม่มีไข้ (afebrile seizure) และไม่มีการติดเชื้อในสมองด้วย
3. ไวรัสกลุ่มเดียวกับที่ทำให้เกิด febrile seizure (เช่น rotavirus, RSV) ก็ทำให้เกิด afebrile seizure ได้เช่นกัน
4. พบว่าเด็กที่มี febrile seizure มีระดับ interleukins (IL-1, IL-6, IL-10), TNF-α, HMGB1 สูงกว่าปกติอย่างชัดเจน
5. ในหนูทดลอง การฉีด IL-1 ปริมาณมากสามารถกระตุ้น seizure ได้ แม้ไม่มีไข้ → สนับสนุนว่า cytokine อาจเป็น trigger ได้จริง มากกว่าแค่ temperature elevation
• สรุปว่า Febrile seizure และ fever อาจเป็นแค่ "collateral events" จาก immune response ใน context ของการติดเชื้อ
• การให้ยาลดไข้จึง ไม่สามารถป้องกัน febrile seizure ได้ เพราะไม่ได้จัดการที่ตัว inflammatory process ที่เกิดขึ้น
• ทุก paper เน้นย้ำว่าเราควรให้ความรู้พ่อแม่ว่า Febrile seizures มักจะ benign และไม่ได้มี long-term neurological or cognitive damage เพื่อลดความตื่นตะหนกตกใจของพ่อแม่

=========================================
❓ Q5: มีหลักฐานที่เป็น Clinical research ไหมที่บอกว่ายาลดไข้ไม่สามารถป้องกัน febrile seizure
• มีเยอะเลย ยกตัวอย่างเช่น (คัดมาเฉพาะที่เป็น meta-analysis)
>> Rosenbloom et al. (2013) meta-analysis n = 520 ที่เคยเป็น Febrile seizure มาก่อน; พบว่ากลุ่มที่ได้รับยาลดไข้และกลุ่มยาหลอก อัตราการเกิด febrile seizure ไม่ต่างกัน (22.7% ในคนที่ได้ยาลดไข้และ24.4% ในคนที่ได้ placebo)
>> Hashimoto et al. (2021) meta-analysis n = 1503 ที่วินิจฉัย Febrile seizure; พบว่ากลุ่มที่ได้รับยาลดไข้และกลุ่มยาหลอก อัตราการเกิด recurrent febrile seizure ไม่ต่างกัน

=========================================
❓ Q6: ถ้าต้องให้ยาลดไข้ paracetamol หรือ ibuprofen ดีกว่ากัน? ให้สลับกันได้ไหม?
• Paracetamol: ปลอดภัยที่สุด ใช้ได้ทุกวัย ขนาด 10–15 mg/kg q4–6hr
• Ibuprofen: ใช้ได้เหมือนกันแต่หลีกเลี่ยงในเด็กที่ dehydration (เสี่ยง AKI)
*** สิ่งที่ต้องระวังในไทยคือเด็กที่เสี่ยงเป็นไข้เลือดออก ห้ามกิน ibuprofen ***
• ไม่แนะนำการให้ยาสองชนิดพร้อมกัน
• พิจารณาให้ยาแบบสลับกันได้ เฉพาะเมื่อความ discomfort กลับมาก่อนถึงเวลาให้ยาครั้งต่อไป
เช่น ให้ paracet ไปแล้ว แต่ผ่านไปไม่ถึง4ชั่วโมงแล้วเด็กมีอาการไม่สุขสบายใหม่ก็สามารถให้ ibuprofen แทนได้

=========================================
❓ Q7: เช็ดตัวลดไข้ (Tepid sponge) มีคำแนะนำยังไงบ้าง?
• Guideline ปัจจุบันทั้ง AAP, WHO, NICE ไม่แนะนำการเช็ดตัวเพื่อลดไข้
[Tepid sponging is not effective and not recommended]
• สาเหตุของการแนะนำแบบนี้เขียนไว้ดังนี้
1. จุดมุ่งหมายของการลดไข้คือเพื่อความสบายตัวของเด็ก แต่การเช็ดตัวพบว่าเพิ่มความ discomfort และ adverse effect เป็นอย่างมาก [RR ประมาณ5เท่าเมื่อเทียบกับการไม่ทำ] ได้แก่ shivering, goose pimples (cutis anserina), crying, irritable
2. การเช็ดตัวทำให้เกิดการ mismatch ระหว่าง the hypothalamic set point and skin temperature ซึ่งจะทำให้เกิด 1.peripheral vasoconstriction 2. metabolic heat production ด้วยวิธี shivering และสุดท้ายก็จะ increased discomfort

🧪 Evidence ทั้งหมดที่มีส่วนมากเป็นไปในทางเดียวกัน คือ
1. Tepid sponge vs placebo; ลดไข้ไม่แตกต่างกัน
2. Tepid sponge vs ยาลดไข้; พบว่าการเช็ดตัวเพียงอย่างเดียวลดไข้ได้น้อยกว่าการกินยาลดไข้
3. Tepid sponge+ ยาลดไข้ vs ยาลดไข้ alone; การใช้ร่วมกันจะทำให้อุณหภูมิลดลงเร็วกว่าแค่ในช่วง 15-30 นาทีแรก แต่หลังจากนั้นอุณหภูมิของทั้งสองกลุ่มก็เท่ากัน
• มี Guideline ของ Australia (RCH); เขียนไว้ว่าสามารถใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดหน้าผาก เช็ดหน้าได้แบบเบาๆ แต่จุดประสงค์เพื่อให้รู้สึกสบายตัวขึ้นเฉยๆ
• ไม่มี paper ไหนที่เขียนถึงการให้เช็ดตัวแรงๆจนตัวแดง หรือเช็ดตัวย้อนรูขุมขนเพื่อให้ลดไข้ได้มากขึ้น

=========================================
❓ Q8:หลายคนแย้งว่า… guideline ที่ไม่แนะนำให้เช็ดตัวลดไข้ มาจากประเทศเมืองหนาว แต่ไทยคือเมืองร้อนนะ?
• มีงานวิจัยของประเทศเมืองร้อนเองก็มีเยอะ เช่นของประเทศไนจีเรีย มาลาวี อินโดนีเซีย บราซิล อินเดีย ฯลฯ

• 🔍 สรุปจากงานวิจัยในบริบทเขตร้อน
1. Mini-review 2021: เน้นการศึกษาใน hot tropical climates[ประเทศกานา ไนจีเรีย มาลาวี]โดยเฉพาะ
สรุปว่า tepid sponging นั้นไม่มีประสิทธิภาพในการลดไข้และมีประสิทธิภาพน้อยกว่าการให้ยาพาราเซตามอลในการลดไข้ภายใน 2 ชั่วโมงหลังการรักษา (อุณหภูมิลดลงเฉลี่ย 0.39°C ในกลุ่มเช็ดตัว และ 1.6°C ในกลุ่มพาราเซตามอล)
2. Meta-analysis(Lim et al., 2018); รวมการจากหลายประเทศรวมถึง บราซิล อินเดีย ไทย และประเทศเขตร้อนอื่น ๆ
สรุปว่า no significant effect of tepid massage on temperature in febrile children และยังเพิ่มความไม่สบายตัวให้แก่เด็กอีกด้วย
3. Systematic review ปี 2024 (อินเดีย, ปากีสถาน, ไทย): มี 3/6 การศึกษาที่บอกว่าเช็ดตัวร่วมกับยาลดไข้ไม่ต่างจากการให้ยาเดี่ยวๆ

• ✅ สรุปงานวิจัยที่บอกว่าเช็ดตัวอาจจะช่วยได้
1. การศึกษาในบราซิล (2008): เช็ดตัว + ยาลดไข้ = ไข้ลดเร็วช่วง 15 นาทีแรกเท่านั้น แต่ยาลดไข้เดี่ยวๆควบคุมไข้ได้ดีกว่าในระยะ 2 ชม. แต่การเช็ดตัวแลกมากับการทำให้เด็กหลายคนหงุดหงิด ร้องไห้
2. systematic review ปี 2024 (อินเดีย, ปากีสถาน, ไทย): มี 3/6 การศึกษาที่บอกว่าเช็ดตัวร่วมกับยาลดไข้ช่วยลดไข้ได้ในช่วงแรกๆแปปนึง หลังจากนั้นก็ไม่ต่างจากการกินยาเดี่ยวๆ

=========================================
❓ Q9: ถ้าไม่เช็ดตัว แล้วควรดูแลเด็กที่มีไข้อย่างไร?
• เน้นการ hydration 💧 → น้ำเปล่า/น้ำผลไม้/ORS/นมแม่
• ถ้าเด็กไม่กินอาหารไม่ต้องบังคับ แต่ต้องเน้น hydration เป็นหลัก
• อยู่ในห้องเย็นอากาศถ่ายเท (~25°C)
• ใส่เสื้อผ้าบาง ไม่ห่อตัวแน่น
• ลดกิจกรรมหนัก พักผ่อนเพียงพอ

=========================================
❓ Q10: เด็กมีไข้แบบไหนต้องไปหาหมอ?
• อายุ < 3 เดือน มีไข้ >38C (โอกาส occult bacteremia สูง)
• เด็กทุกคนที่มีไข้ >38C "ร่วมกับ" อาการอื่นๆต่อไปนี้
1. อ้วกเยอะ ท้องเสียเยอะ กินได้น้อยมาก โอกาส dehydrate สูง
2. ดูง่วงซึม นอนหลับเยอะผิดปกติ
3. หายใจหอบ หายใจเหนื่อย หายใจผิดปกติ
4. ไข้นานกว่า 24 ชั่วโมงในเด็กอายุ

02/05/2025

⚠️ คนอ้วนบางคน ไขมันที่แทรกในกล้ามเนื้อลิ้นสามารถใหญ่ขึ้น จนลิ้นใหญ่ แล้วอุดกั้นจนนอนกรนรุนแรงได้

ภาวะอ้วนส่งผลเสียหลายประการ อันนี้ชื่อว่าทุกคนที่ตามเพจนี้คงทราบดี

แต่ว่า… อ้วนในแต่ละคน ไม่เหมือนกัน
จุดต่างข้อหนึ่งเลยคือ การกระจายตัวของไขมัน


🔥คนซ้าย:
▪️ BMI = 34.2
▪️ไขมันใต้คาง หนามาก
▪️ไขมันแทรกในลิ้น จนโคนลิ้นใหญ่
▪️ความรุนแรงของนอนกรน(AHI)
สูงถึง 59.1 ครั้ง/ชม.

⭐️คนขวา:
▪️BMI = 35.0
▪️ไขมันใต้คางไม่มาก
▪️ไขมันแทรกในลิ้น ไม่มาก
▪️ ความรุนแรงของนอนกรน(AHI)
เพียง 9.6 ครั้ง/ชม.


นั่นคือ ทั้งๆ ที่คนขวามี BMI มากกว่าคนซ้ายเล็กน้อย แต่ความแรงของการนอนกรนน้อยกว่าคนซ้ายมากๆ

นั่นแปลว่าแม้ว่า BMI จะน้อยกว่า
แต่ถ้าพันธุกรรมส่งผลมาให้
คอชอบใหญ่, ใบหน้าโต
ไขมันในลิ้นโตได้มาก

ก็จะยิ่งเสี่ยงทำให้ความรุนแรง
ของการนอนกรนสูงมากค่ะ


ซึ่งภาวะนอนกรนจนหยุดหายใจ
ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนเป็นช่วงๆ
แถมช่วงที่หายใจรุนแรงเฮือก
ยังสร้างแรงกระชากช่องอกอีก

⚠️ ผลเสียจึงเยอะมาก

1. เกิดโรคความดันสูง เพราะกระตุ้น sympathetic ตลอด

2. เสี่ยงดื้ออินซูลิน/เบาหวาน เพราะภาวะขาดออกซิเจนทำให้เนื้อเยื่อเครียดและดื้ออินซูลิน

3. เสี่ยงหัวใจเต้นผิดจังหวะ โดยเฉพาะหัวใจเต้นพริ้ว เพราะแรงกระชากทำให้กล้ามเนื้อหัวใจห้องบนเสียหาย

และอีกมากมาย


ลดความอ้วน ลดน้ำหนักเถอะต่ะ
นอนกรนรักษาได้ อย่าลืมไปตรวจนะคะ

ย่าด้วยเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แนะนำป้องกันดีกว่าแก้ไขค่ะ
08/12/2024

ย่าด้วยเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แนะนำป้องกันดีกว่าแก้ไขค่ะ

ฝากให้คิด … โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (มัน 18+นะ แต่พยายามปรับภาษาแล้ว)

ระยะนี้มีผู้ป่วยมาปรึกษาโรคทางเพศสัมพันธ์มากขึ้น ผมมีข้อสังเกตบางประการจากประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ

1.กลุ่มผู้ป่วยอายุน้อยลง เริ่มต่ำกว่า 18 มีทั้งชายและหญิงพอกัน รูปแบบความสัมพันธ์มีทั้งชายหญิง ชายชาย และหญิงหญิง และที่มีมากขึ้นคือสัมพันธ์มากกว่าสองคน ทั้งในเวลาเดียวกันและต่างเวลากัน

2.คนที่มาปรึกษา มักจะมีประวัติแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะผู้ชายและมักจะได้ประวัติว่า ถุงยางแตก บ่อยมาก

3.โอกาสจะได้รักษาคู่นอน ตามมาตรฐานการรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดขึ้นได้น้อยมาก ไม่ว่าจะไม่กล้าบอก หรือตามคู่นอนคนนั้นมาไม่ได้

4.ผู้ป่วยและญาติ เปิดเผยมากขึ้น พ่อแม่พามาตรวจหรือพาพ่อแม่มาด้วย แบบนี้พบมากขึ้น จะเต็มใจหรือไม่พอใจอันนี้ไม่ทราบได้ แต่เปิดเผยมากขึ้น

5.ผู้ป่วยเกือบทุกรายที่ยังไม่เกิดอาการ มักจะกังวลเรื่อง HIV และทราบถึง post exposure prophylaxis มาพอสมควรแล้ว แต่ไม่ค่อยสนใจ หนองใน ซิฟิลิส ไวรัสตับอักเสบ เริม หรือการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์

มันก็ดีนะครับ ที่ผู้ป่วยใส่ใจมาปรึกษาตั้งแต่เริ่ม แต่ว่าถ้าป้องกันก่อนเกิดเหตุจะดีกว่า นี่แหละคือเรื่องที่อยากฝากให้คิด คือ เรื่องการป้องกัน

ในอดีตเราเคยถกเถียงกันว่าจะสอนเรื่องการป้องกันให้กับเด็กประถมมัธยมดีหรือไม่ จะเป็นการชี้โพรงให้กระรอกหรือไม่ ตอนนี้เราคงหมดคำถามไปแล้วว่าจะสอนดีไหม เพราะเราคงไม่สามารถไปป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ได้ โลกยุคปัจจุบันมันยิ่งง่าย แค่ปลายนิ้ว เมื่อจำนวนการมีเพศสัมพันธ์มากขึ้น ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นไปด้วย ถ้าเราไม่อยากให้ตัวเลขมันเพิ่ม มีสองทาง ทางแรกคือ สอนการป้องกัน อีกทางคือ งดการมีเพศสัมพันธ์โดยสมบูรณ์ แล้วมาใช้ไม้เกาหลังกับนั่งขุดรูเป็นเพื่อนลุงหมอ

เราก็มาว่ากันด้วยเรื่องใช้ถุงยางนี่แหละ ไม่รู้ว่าปัจจุบันทำไมค่านิยมการใช้ถุงยางอนามัยลดลง ทั้ง ๆ ที่หาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพง และสะดวกซื้อทุกที่ ไอ้เรารึก็อยากจะซื้อมาใช้ แต่ก็คิดว่าถุงยางน่าจะหมดอายุก่อนได้ใช้

ประสิทธิภาพการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของการใช้ถุงยางอนามัยอยู่ที่ 86% (รวมทุกโรค) แต่ถ้าสวมใส่ถูกวิธี ถูกขนาด (อย่าใจใหญ่เกินขนาด) และเลือกสารหล่อลื่นถูกต้อง ประสิทธิภาพโดยรวมอยู่ที่ 97% โดยโรคที่ประสิทธิภาพสูงระดับ 90%-99% คือ โรคติดเชื้อไวรัสเอชไอวี และติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เพราะติดเชื้อผ่านสารคัดหลั่ง

ส่วนโรคอื่นเช่นซิฟิลิส แผลริมอ่อน โรคเริม อัตราการป้องกันจะอยู่ที่ 60-90% เพราะยังมีการติดเชื้อจากการสัมผัสเช่นจากมือ จากนิ้ว จากเพศสัมพันธ์ทางปาก และโรคที่ป้องกันได้น้อยเช่น การติดเชื้อหูดและเอชพีวี เพราะผ่านการสัมผัสเสียเป็นส่วนมาก

และการติดเชื้อผ่านการสัมผัส จะป้องกันได้แค่ส่วนที่สวมถุง ถ้าคุณทำกิจกรรมผ่านส่วนที่ไม่สวมถุงก็ยังติดได้ โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก การใช้มือให้กัน

แต่ประเด็นสำคัญของความล้มเหลวในการป้องกันคือ ถุงแตก (โดยเฉพาะกลุ่มที่ชอบใส่ถุงยางสองชั้น !!) ใส่ผิดวิธี ถอดผิดวิธี มือสัมผัสส่วนเปียก (เวลาถอด) ใช้สารหล่อลื่นปิโตรเลียม(วาสลีน) กับถุงยางแบบยางลาเท็กซ์ มีคนที่ใช้ซ้ำและใช้ร่วมกันด้วยนะ

ดังนั้นทักษะการใช้ถุงยางอนามัยถือว่าสำคัญมากที่ผู้ชายต้องรู้และควรฝึกใช้ และลูกผู้หญิงเราก็ต้องรู้นะลูก อย่าคิดว่าไอ้หนุ่มมันจะใช้เป็น และที่สำคัญ

ถ้ามันไม่ใส่ก็อย่าให้มันเข้าเลยลูกเอ๊ย จะมาอ้างว่าแพ้ถุงยางก็ให้มันไปซื้อแบบโพลียูรีเทนมาใช้

องค์การอนามัยโลกได้แนะนำว่านอกจากการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเวลามีเพศสัมพันธ์ แม้แต่การมีเพศสัมพันธ์ทางปาก ควรใช้ร่วมกับอย่ามีคู่สัมพันธ์หลายคน (องค์การอนามัยโลกช่างไม่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง)

ส่วนถุงยางผู้หญิงแม้ว่าจะช่วยลดการตั้งครรภ์ได้ดี แต่ประสิทธิภาพการป้องกันโรคทางเพศสัมพันธ์ไม่ดีเท่าถุงยางผู้ชายครับ

แล้วคุณมีความเห็นอย่างไรกันบ้าง

02/08/2024

อันนี้คนไข้ได้ประโยชน์ ร้านแขวนป้ายก็แชร์ได้ค่ะ

01/04/2024

ก้าวเภสัชกร ทั้ง 2 สาขา

ประกาศวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ 💦🔫
วันเสาร์ที่ 13 เมษายน ถึง วันพุธที่ 17 เมษายน 2567

เปิดทำการวันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน 2567 ☀️

Happy Valentine's Day. 🌹❤️
14/02/2024

Happy Valentine's Day. 🌹❤️

อะไรคือสิ่งที่ทำให้ความรักยาวนาน?
1
อะไรทำให้ความรักมั่นคงยาวนาน เป็นคำถามที่เราหาคำตอบกันตลอดชีวิตเลยครับ
ผมเพิ่งฟังพอดแคสต์ Speaking of Psychology ซึ่งสัมภาษณ์ Arthur Aron, Ph.D. จาก Stony Brook University ซึ่งทำการศึกษาวิจัยเรื่องความสัมพันธ์มาอย่างยาวนาน ในหัวข้อ “What makes love last?” หรืออะไรทำให้ความรักยาวนานมา มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ เลยเก็บมาฝากสำหรับคนที่มีความรักกันครับ
2
เราจำเป็นต้อง “เหมือนกัน” ทุกเรื่องไหม?
Arthur บอกว่า สิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์เป็นไปด้วยดี ไม่ใช่การมี “นิสัย” เหมือนกัน หรือมี “ความชอบ” เหมือนกัน” แต่สิ่งสำคัญคือ การมี “คุณค่า” ร่วมกันต่างหาก
เป็นธรรมดาที่เรามักจะชอบที่เหมือนๆ กันกับเรา นิสัยเหมือนกัน ชอบสิ่งเดียวกัน แต่นั่นอาจจะทำให้เรารู้สึก “ชอบ” เพราะเขามีอะไรเหมือนๆ กับเรา พูดคุยกันได้ง่าย
แต่ “ชอบ” กับ “อยู่ด้วยกันได้” อาจจะเป็นคนละเรื่องกัน
เพราะเมื่อเราอยู่ด้วยกันไปนานๆ เราจะเริ่มเห็นความแตกต่างที่มากขึ้น และแน่นอนว่าไม่ได้มีแต่สิ่งที่เราชอบ เราจะเจอสิ่งที่เราไม่ชอบในตัวเขา และเขาก็จะเจอสิ่งที่เขาไม่ชอบในตัวเรา เจอสิ่งที่เราไม่เหมือนกัน ไปจนถึงมีความขัดแย้งกัน เราจึงอยู่กันเพราะมีความชอบเหมือนกันอย่างเดียวไม่ได้
นิสัยอาจจะไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน อาจจะไม่จำเป็นต้องชอบทุกเรื่องเหมือนกันหมด แต่คนเราอยู่ร่วมกันได้ด้วยดีเพราะยึดถือคุณค่าบางอย่างร่วมกัน เห็นว่าคุณค่าเรื่องนั้นเป็นสิ่งสำคัญ และสิ่งนั้นมีอยู่ในตัวของเราทั้งคู่
คุณค่าตรงกันเป็นส่วนใหญ่จึงอยู่ด้วยกันได้
3
นอกจากนั้น สิ่งที่ทำให้ความรักมั่นคงยาวนานได้ก็เป็นเพราะตัวเรานี่แหละ
Arthur บอกว่า ถ้าเรามี Self-esteem ที่ต่ำ เราจะรู้สึกว่าตัวเราไม่สมควรได้รับความรักจากคนรัก หรือจากใครเลย และเราก็จะรู้สึกว่าคนรักของเราไม่รักเรา มันก็จะกระทบความสัมพันธ์ไปด้วย
อันนี้น่าคิดว่า จริงๆ เขาไม่รักเรา หรือเราไม่อนุญาตให้ตัวเองได้รับความรักจากตัวเราเองและคนอื่น
รักตัวเองได้ก่อน การรักคนอื่นจะง่ายขึ้น
4
การสื่อสารมีส่วนสำคัญในการดูแลความสัมพันธ์
Arthur บอกว่า มนุษย์เราต้องการรู้สึกว่ามีคนใส่ใจฟังสิ่งที่เขาบอก ใส่ใจดูสิ่งที่เขาเป็น
สิ่งนี้เรียกว่า “Responsiveness”
เหมือนส่งสัญญาณอะไรออกไปแล้วได้รับการตอบรับ ไม่ใช่ส่งไปแล้วไม่มีการตอบรับ เมินเฉย มองข้าม
เมื่อรู้สึกว่ามีคนใส่ใจหรือพร้อมจะตอบสนอง มนุษย์จะยินดีที่จะเป็นตัวเองมากขึ้น เปิดเผยความรู้สึกได้มากขึ้น
5
อีกปัจจัยที่สำคัญมากคือ การรับมือกับความขัดแย้ง
Arthur เล่าถึงงานวิจัยของ John Gottman ที่ระบุ 4 สิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์พังพินาศได้ง่ายขึ้น (John ใช้คำว่า “The 4 horseman of apocalypse” - ฮ่าๆ) คือ
การหยิบแต่สิ่งไม่ดีของอีกฝ่ายมาพูด (Criticism) การตั้งป้อมพร้อมเถียงกลับได้เสมอ แรงมาแรงกลับ (Defensiveness) การดูถูกเหยียดหยาม (Contempt) การทำเหมือนอีกฝ่ายไม่มีตัวตน (Stonewalling)
Arthur บอกว่า ถ้ามีสิ่งที่ไม่ชอบในคนรักหรืออยากให้ปรับปรุง ให้พูดคุยกันตอนที่ไม่โกรธ หรือตอนที่ยังไม่ได้ตั้งสติกันให้ดีๆ
ความน่ากลัวที่สุดที่ทำให้ความสัมพันธ์พังทลายได้ง่ายก็คือ เมื่อฝ่ายหนึ่งทำ 1 เรื่องที่ไม่ดีแล้วอีกฝ่ายลากเอา “ทุกเรื่อง” ที่ไม่ดีมาขยี้มาขยาย
6
เวลามีส่วนสำคัญมากๆ ในความสัมพันธ์
Arthur บอกว่า เราต้องมีเวลาคุณภาพ 2 แบบเพื่อความสัมพันธ์ที่ดี
แบบแรกคือ เวลาคุณภาพที่เรามีกับตัวเอง
แบบที่ 2 คือ เวลาคุณภาพที่เรามีร่วมกับคนที่เรารัก
ถ้าใช้เวลาทั้งหมดไปกับการอยู่กับคนที่เรารัก เราจะเอาเวลาไหนมาอยู่กับตัวเอง ขณะเดียวกัน ถ้าอยู่แต่กับตัวเองอย่างเดียว จะมีคนรักทำไม
รักกันแค่ไหน แต่ต้องมีเวลาที่เป็นเวลาส่วนตัว อยู่กับตัวเองบ้าง ให้ได้ทบทวนเรื่องของตัวเอง พึ่งพาตัวเองเต็มที่
ที่สำคัญ เวลาในที่นี้ต้องเป็นเวลาคุณภาพ แปลว่าเป็นเวลาที่เราได้มีโฟกัส ไม่ใช่อยู่แต่ตัว แต่ใจไม่อยู่ ต้องเป็นเวลาที่เราเอาใจใส่ไปด้วย
7
เรื่องสุดท้ายที่ขอเก็บมาเล่าคือ “Self-expansion” ซึ่งเรื่องนี้แทบจะเป็นหัวใจสำคัญที่ Arthur ศึกษามาตลอดเลยครับ
เล่าเรื่อง Self-expansion แบบให้เข้าใจง่ายก็คือ การที่เรารักกันทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น และขยายตัวตนของเราไปสู่มีมิติอื่นๆ มากขึ้น จนทำให้เราพบว่า “อ๋อ…เราเป็นได้มากกว่าที่เราเคยคิดนี่หว่า”
มันคือกระบวนการเติบโตเคียงข้างกันไปนี่แหละครับ เราเติบโตขึ้นในทางที่ดีเพราะเรารักกัน
Arthur บอกว่า “Relationship allows us to grow and expand our sense of self” ความสัมพันธ์ทำให้เราเติบโตและขยายความเข้าใจตัวเองมากขึ้น
วิธีการที่ Arthur แนะนำเพื่อ Self-expansion คือ ลองไปทำสิ่งใหม่ๆ เปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ ร่วมกัน
นอกจากเพิ่มความตื่นเต้นท้าทาย ยังทำให้เราได้รู้จักตัวเองและคนรักในมิติใหม่ๆ
อ๋อ...เราเป็นแบบนี้ อ๋อ...เขาเป็นแบบนี้
ไม่จำเป็นต้องลงเอยออกมาว่าทำแล้วต้องเวิร์ค ทำแล้วต้องชอบ แต่ต้องใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะทุกประสบการณ์ทำให้เราเรียนรู้เสมอ
เรียนรู้ว่าความรักทำให้เราเป็นได้มากกว่าที่เราเคยคิดไว้
ท้อฟฟี่ แบรดชอว์

23/11/2023

ยาที่เรากิน บางครั้งอาจจะไปติดคาอยู่ที่หลอดอาหารโดยไม่รู้ตัว ระคายเคืองเยื่อบุทำให้อักเสบเป็นแผล ในทางการแพทย์แผลมีลักษณะเฉพาะเรียกว่าแผลรอยจูบ (kissing ulcer)

ยามักจะติดคาที่ตำแหน่งส่วนกลางหลอดอาหารเพราะเป็นตำแหน่งที่แคบ
ทำให้มีอาการเจ็บหน้าอก กลืนเจ็บ ส่วนใหญ่จะเริ่มมีอาการภายใน 3 วันหลังทานยา

ยาที่ชอบติดคาและระคายเคืองหลอดอาหารได้บ่อย ได้แก่ กลุ่มยาฆ่าเชื้อ, ยาแก้อักเสบ NSAIDs, ยารักษากระดูกพรุน bisphosphonates, เกลือแร่ potassium chloride โดยยาเม็ดใหญ่มีความเสี่ยงมากกว่ายาเม็ดเล็ก

วิธีป้องกัน
- ทานยาในท่ายืน
- หลังทานยาควรยืนต่ออีกซัก 10-30 นาที ไม่ควรรีบก้มตัวลงนอน
- ดื่มน้ำตามเยอะๆ หลังทานยา

ภาพจาก
Clinical and endoscopic characteristics of drug-induced esophagitis. World J Gastroenterol. 2014 Aug 21;20(31):10994-9

อย่าหลงเชื่อคำโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณนะคะ สงสัยอะไรสามารถปรึกษาเภสัชกรใกล้บ้านได้ค่ะ
21/11/2023

อย่าหลงเชื่อคำโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณนะคะ สงสัยอะไรสามารถปรึกษาเภสัชกรใกล้บ้านได้ค่ะ

เปลี่ยนท่านั่งกันบ่อยๆด้วยนะคะ
13/07/2023

เปลี่ยนท่านั่งกันบ่อยๆด้วยนะคะ

ที่อยู่

ทางหลวง ชนบท รย. 3013
Ban Pluak Daeng
21140

เวลาทำการ

จันทร์ 09:15 - 22:00
อังคาร 09:15 - 22:00
พุธ 09:15 - 22:00
พฤหัสบดี 09:15 - 22:00
ศุกร์ 09:15 - 22:00
เสาร์ 09:15 - 22:00
อาทิตย์ 09:15 - 22:00

เบอร์โทรศัพท์

+6638660291

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ก้าวเภสัชกร (Kao Bhesaj Pharmacy)ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์