Foodhealthhub กินเป็นลืมป่วย

Foodhealthhub กินเป็นลืมป่วย https://youtu.be/ugATtdXfqU8 กินอาหารเป็นยาดีกว่ากิน?

เลิกซื้อน้ำยาปรับผ้านุ่มน้ำยาถูพื้นไปเลยวิธีนี้..หอมฟุ้งไม่ฉุนไม่คาว ผ้าหอมนุ่มมากถูพื้นสะอาดว่าววับ มดไม่มีเดินประหยัดท...
20/11/2024

เลิกซื้อน้ำยาปรับผ้านุ่มน้ำยาถูพื้นไปเลย
วิธีนี้..หอมฟุ้งไม่ฉุนไม่คาว ผ้าหอมนุ่มมาก
ถูพื้นสะอาดว่าววับ มดไม่มีเดิน
ประหยัดทำได้ง่ายๆ มาดูวิธีกันเลย

📝 ส่วนผสม

1. ตะไคร้ 5-10 ต้น
2. น้ำส้มสายชู 1 ขวดใหญ่ (ประมาณ 750 มล. หรือ 1 ลิตร)

วิธีทำ

1. นำตะไคร้มาทุบให้แตก เพื่อให้กลิ่นและน้ำมันหอมระเหยออกมาอย่างเต็มที่
2. หั่นตะไคร้เป็นท่อนๆ ใส่ลงในขวดพลาสติกหรือโหลแก้วที่เตรียมไว้
3. เติมน้ำส้มสายชูให้ท่วมตะไคร้ (ใช้น้ำส้มสายชู 1 ขวดใหญ่)
4. ปิดฝาให้สนิทแล้วหมักไว้ 1-2 คืน

✏️ วิธีใช้

• สำหรับถูพื้น
1. ผสมน้ำ 1 ถัง (ประมาณ 5-10 ลิตร)
2. เติมน้ำยาหมักตะไคร้ 8 ช้อนแกง
3. ใช้ถูพื้นตามปกติ จะช่วยให้พื้นสะอาด เงางาม ไม่มีคราบเหนียว และไร้กลิ่นฉุนของน้ำส้มสายชู
• สำหรับปรับผ้านุ่ม
1. เติมน้ำยาหมักตะไคร้ 1-2 ช้อนแกงลงในน้ำสุดท้ายของการซักผ้า
2. ผ้าจะหอมนุ่ม สะอาดสดชื่น

ข้อดีของสูตรนี้
• ไร้สารเคมีอันตราย
• ประหยัดเงินในกระเป๋า
• หอมฟุ้ง ไม่ฉุน ไม่คาว
• ถูพื้นสะอาด เงางาม มดและแมลงไม่กล้ามาเยือน

ลองทำกันดูนะคะ เป็นสูตรที่ใช้ดีจนต้องบอกต่อ!

Credit Page รู้ไว้ว่าดี

08/06/2024

✅อาการของคนที่ไปฉีดวัคซีนมา

📕เลือดจะหนืดข้นจนสุดท้ายเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่ได้ ก็วูบตาย หมอรพ.จะบอกหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันไม่ยอมรับว่าต้นเหตุมาจากวัคซีนกลัวโดนฟ้องติดคุกกันทั่วประเทศ
เพราะตอนฉีดหมอไม่บอกข้อมูลทั้งหมดว่าข้อดีอย่างไร ข้อเสียอย่างไร มีแต่มาให้เซ็นชื่อแล้วฉีด ตามกฏหมายถือว่าเป็นการปกปิดข้อมูล ฟ้องร้องได้

📕คนที่ฉีดจะเริ่มมีอาการ
• เหนื่อยง่าย
• ขี้เกียจไม่อยากทำอะไร
• อ่อนเพลีย
• มึนหัวบ่อย
• ปวดเมื่อยตามร่างกาย
• นอนไม่หลับ
• หัวใจเต้นผิดจังหวะ
• เป็นหวัดบ่อย
• เริ่มเป็นภูมิแพ้อากาศ
• ผิวหนัง(ขึ้นผื่นคัน)
• เริ่มป่วยด้วยโรคร้าย
• ไตอักเสบ
• ตับอักเสบ
• ผนังลำไส้อักเสบ
(ถ่ายออกมาเป็นเลือดสดๆ)
• เป็นโรคพุ่มพวง (แพ้ภูมิตัวเอง)
• มะเร็งต่างๆ
• เส้นเลือดหัวใจตีบ(ต้องทำบอลลูน)
• วูบตาย(หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน)
• และอีกสารพัดโรคร้าย

📕สาเหตุเพราะ สารสไปรท์โปรตีนวัคซีน
ไปทำให้เลือดหนืดข้นจนไม่สามารถไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆในร่างกายของเราตามปกติ

📕และสารอีกตัวเรียกว่า การ์ฟิน
จะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาวโดยเฉพาะ ภูมิต้านทานเราก็จะต่ำลงเรื่อยๆ เชื้อต่างๆ ก็กำเริบได้ง่าย เราก็จะเริ่มป่วยด้วยสารพัดโรคร้าย ผู้คนจะทะยอยกันล้มตายลงไปมากขึ้นๆ ตามแผนการของคนเลวที่ทำวัคซีนมาฆ่าคน

📕ในต่างประเทศเขาศึกษาวิจัยค้นพบกันแล้ว และเริ่มฟ้องร้องกันแล้ว อีกไม่นานในเมืองไทยก็คงมีคนฟ้องร้องกันแน่นอน

📕ใครที่มีอาการเเบื้องต้นที่กล่าวมา นั่นคือการเตือนของอันตรายมาเยี่ยมเยือนท่านแล้วพวกนี้อาศัยเวลา ในการทำให้ท่านป่วยแล้วไปหาหมอ เอาเงินไปให้หมอ (หมอเองก็ไม่รอด) หมอเอาเงินไปให้บริษัทยาต่างชาติ
รักษาจนเงินที่สะสมมาหมดแล้วทะยอยกันตาย บริษัทยาร่ำรวยมหาศาล
——————————————
ขอบคุณ
นพ. อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง
อาจารย์แพทย์ประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

25/05/2024
24/05/2024

ดูแลเซลส์สมอง​
ขอบคุณข้อมูลดีๆจากคุณหมอท็อปนะคะ

การนอนตะแคงขวานพ.ชนินทร์ ลีวานันท์ ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้กล่าวเอาไว้ว่า การพักผ่อนที่ดีที...
22/04/2024

การนอนตะแคงขวา

นพ.ชนินทร์ ลีวานันท์ ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้กล่าวเอาไว้ว่า การพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนอนหลับ และมนุษย์ใช้เวลาเพื่อการนอนถึง 1 ใน 3 ของเวลาทั้งหมดที่มีในแต่ละวัน เพราะฉะนั้นท่าที่ใช้นอนจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
จะส่งผลให้ผู้นอนหลับสนิทตลอดคืน และตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น แจ่มใส พร้อมที่จะทำกิจกรรมระหว่างวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ท่านอน ถือเป็นท่าที่หมอนรองกระดูกสันหลังรับแรงน้อยที่สุด บางคนเมื่อศีรษะถึงหมอนก็หลับสบายจนถึงเช้า อาจไม่สนใจว่าตนเองจะนอนท่าไหน รู้ตัวอีกทีตื่นมาตอนเช้าพบว่าเกิดอาการปวดหลัง หรือหันหน้าซ้ายขวาไม่ได้เลย จนต้องรีบไปหาหมอ

ท่านอนของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป บางคนชอบนอนหงาย บางคนก็ชอบนอนตะแคง หรือบางท่านอาจชอบนอนคว่ำ แล้วท่าไหนละ! ที่นอนแล้วสบายที่สุด

ท่านอนหงาย คนทั่วไปนิยมนอนท่านี้ เพราะเป็นท่านอน มาตรฐาน การนอนหงายที่เหมาะสมควรใช้หมอนต่ำ และต้นคอควรอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว เพื่อไม่ให้ปวดคอ ท่านอนหงายไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคปอด และโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกะบังลมจะกดทับปอด ทำให้หายใจไม่สะดวก ส่งผลทำให้การทำงานของหัวใจลำบากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้ที่มีอาการปวดหลัง การนอนหงายในท่าราบจะทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้นด้วย
ท่านอนหงาย โดยมีหมอนหนุนใต้ข้อเข่า ให้ข้อสะโพกงอเล็กน้อย ท่านี้ถือว่าเป็นท่านอนที่เหมาะ หรือเป็นท่าที่ลดแรงกดของหลังได้ดี ส่วนที่ศีรษะควรมีหมอนเตี้ยๆ นุ่มๆ หนุนให้รู้สึกสบาย

ท่านอนตะแคงขวา เป็นท่านอนที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับท่าอื่น เพราะจะช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก อาหารจากกระเพาะจะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ท่านอนตะแคงซ้าย เป็นท่าที่ช่วยลดอาการปวดหลังได้แต่ควรกอดหมอนข้าง และพาดขาไว้เพื่อป้องกันอาการชาที่ขาซ้าย จากการนอนทับเป็นเวลานาน แต่ท่านอนตะแคงซ้ายอาจทำให้เกิดลมจุกเสียดบริเวณลิ้นปี่ เนื่องจากอาหารที่ยังย่อยไม่หมดในช่วงก่อนเข้านอนคั่งค้างในกระเพาะอาหาร

ท่านอนตะแคง หากได้งอเข่าข้างหนึ่ง และมีหมอนข้างกอดไว้ หรือจะงอเข่าทั้งสองข้างในท่าคู้ตัวก็ได้ สำหรับหมอนที่ใช้หนุนในท่านี้ควรมีความหนามากพอที่จะให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว หากใช้หมอนเตี้ยเกินไป ศีรษะจะเอียงลงหรือหาหมอนที่มีความสูงเท่าหรือใกล้เคียงกับระยะจากระดับด้านข้างของศีรษะไปถึงแนวระดับไหล่ เมื่อหนุนแล้ว จึงทำให้แนวของกระดูกสันหลังส่วนคออยู่ในแนวเดียวกับกระดูกสันหลังส่วนอกและส่วนเอว

ท่านอนคว่ำ เป็นท่านอนที่ทำให้หายใจติดขัด ปวดต้นคอ เพราะต้องเงยหน้ามาทางด้านหลัง หรือบิดหมุนไปข้างใดข้างหนึ่ง เป็นเวลานาน ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำจึงควรใช้หมอนรองใต้ทรวงอก เพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อยต้นคอ
โดยท่านอนคว่ำนี้ถือว่าเป็นท่านอนที่ไม่ดี เพราะการนอนคว่ำนั้นจะทำให้กระดูกสันหลังส่วนเอวโค้งไปทางด้านหน้ามากขึ้น นอกจากนี้ เวลาเรานอนคว่ำก็ต้องตะแคงหน้าไปทางด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งจะทำให้กระดูกต้นคอบิดไปด้วย
ข้อมูลจาก : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส.

และหากเราพิจารณาถึงอวัยวะที่อยู่ภายในร่างกายของมนุษย์ จะเห็นว่าอวัยวะข้างขวาของร่างกายมักมีขนาดที่ใหญ่กว่าอวัยวะที่อยู่ข้างซ้าย
สมอง
สมองของมนุษย์มีสองซีก นั่นคือซีกขวาและซีกซ้าย โดยที่สมองซีกขวาจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าซีกซ้าย

ปอด
ปอดเป็นอวัยวะที่ตั้งอยู่ในโพรงอกคล้ายกรวยแหลมผ่าครึ่งมี 2 ข้าง โดยข้างขวาจะมีขนาดใหญ่กว่าข้างซ้าย เพราะข้างขวามี 3 กลีบในขณะที่ข้างซ้ายมีเพียง 2 กลีบ ภายในมีถุงลมนับล้านลูก มีหน้าที่ซักฟอกอากาศ ดูดซับก๊าซออกซิเจนเข้าสู้ร่างกาย และขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออก

ตับ
ตับเป็นอวัยวะเดี่ยวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของร่างกาย อยู่ในบริเวณช่องท้องตอนบนสุดค่อนไปทางด้านขวา ตับมีสีน้ำตาลออกแดงคล้ำ รูปร่างเป็นกลีบ 2 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน กลีบใหญ่อยู่ใต้ชายโครงขวา กลีบเล็กอยู่ใต้ชายโครงซ้าย

ถุงน้ำดี
ถุงน้ำดีถือเป็นอวัยวะที่สำคัญอย่างหนึ่งของร่ายกาย โดยอยู่ใต้ต่อตับบริเวณชายโครงด้านขวา ถุงน้ำดีมีรูปร่างคล้ายลูกแพร ยาวประมาณ 9 เซนติเมตร ถุงน้ำดีจะเป็นที่เก็บน้ำดีซึ่งสร้างจากตับ และจะมีท่อน้ำดีไปเปิดสู่ลำไส้เล็กส่วนต้น โดยน้ำดีมีหน้าที่ย่อยอาหารประเภทไขมัน

ส่วนหัวใจนั้นถือเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญมากที่สุด เพราะมีหน้าที่ในการสูบฉีดเลือดไปยังอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายโดยอาศัยโครงสร้างของกล้ามเนื้อหัวใจและระบบนำไฟฟ้าภายในหัวใจซึ่งสร้างและควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ โดยหัวใจของมนุษย์นั้นจะอยู่ข้างซ้ายของช่องอก และนี้อาจคือหนึ่งเหตุผลที่ทำให้การนอนตะแคงขวาเป็นท่านอนที่ดีต่อสุขภาพ เพราะจะไม่ทำให้น้ำหนักไปกดทับอวัยวะที่อยู่ข้างซ้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวใจ

วิทยาการอิสลามกับการนอนตะแคงขวา
อิสลามได้สอนมารยาทต่าง ๆ ในการนอน ไม่ว่าจะก่อนนอน ขณะนอน หรือหลังจากตื่นนอน และหนึ่งในคำสอนของอิสลามคือ ให้นอนตะแคงขวา
ท่านนบีมุหัมมัด –ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม- ได้กล่าวว่า:

إِذَا أَتَيْتَ مَضْجَعَكَ فَتَوَضَّأْ وُضُوءَكَ لِلصَّلَاةِ ثُمَّ اضْطَجِعْ عَلَى شِقِّكَ الْأَيْمَنِ

ความว่า: เมื่อท่านต้องการที่จะเข้านอนก็จงเอาน้ำละหมาดเพื่อละหมาด หลังจากนั้นก็จงนอนตะแคงขวา
บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ 329
ท่านอิบนุก็อยยิม (เสียชีวิตปี 751 ฮ.ศ.) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “ซาดุลมะอาด” (4/166) ว่า:
“และท่านอนที่ให้ประโยชน์มากที่สุดคือ การนอนตะแคงขวา เพราะอาหารในกระเพาะจะอยู่ในท่านี้ได้ดี เพราะกระเพาะจะค่อนอยู่ทางซ้ายเล็กน้อย ... และการนอนตะแคงซ้ายบ่อย ๆ จะเป็นอันตรายต่อหัวใจ เพราะอวัยวะต่าง ๆ จะโถมทับมัน...”

🌸
ที่มา เยาวชนจั้นเสี้ยว
ขอบคุณ : Peerapong Amornpich

ปรกติแอดใช้วิธีรองน้ำใส่กะละมังสแตนเลสตั้งไว้ในที่ร่มๆ ก็ช่วยได้นะ (ตั้งตากแดดน้ำร้อน)ร้อนตับแตกแต่ไม่อยากเปิดแอร์! คนญี...
10/03/2024

ปรกติแอดใช้วิธีรองน้ำใส่กะละมังสแตนเลสตั้งไว้ในที่ร่มๆ ก็ช่วยได้นะ (ตั้งตากแดดน้ำร้อน)

ร้อนตับแตกแต่ไม่อยากเปิดแอร์! คนญี่ปุ่นแชร์เคล็ดลับ "ทำความเย็น" ในห้องด้วยน้ำ 2 ขวด ทำง่ายๆ แค่ 3 ขั้นตอน

อากาศร้อนอบอ้าวในฤดูร้อนทำให้หลายๆ คนรู้สึกอึดอัดและเหนื่อยล้า และไม่ใช่ทุกครอบครัวจะสามารถเปิดเครื่องปรับอากาศได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน สำหรับครอบครัวผู้มีรายได้น้อย หรือนักเรียนนักศึกษา ที่เช่าห้องขนาดเล็กซึ่งไม่มีเครื่องปรับอากาศ การอยู่ในห้องท่ามกลางอากาศร้อนก็ไม่ต่างจากฝันร้าย

ดังนั้น เคล็ดลับป้องกันความร้อนที่แชร์บนโซเชียลเน็ตเวิร์ก วิธีทำให้ห้องเย็นลงด้วยขวดน้ำ 2 ขวดนั้น ทั้งประหยัดเงิน เรียบง่าย และค่อนข้างมีประโยชน์โดยเฉพาะกับห้องขนาดเล็ก จึงมักได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก

ตามข้อมูลจาก World Of Buzz ชาวญี่ปุ่นชื่อ "ฮิโรโคจิ คันโป" เจ้าของบัญชี Twitter@hirokoujiKanpo ได้แชร์วิธีที่ง่ายๆ แต่มีประโยชน์อย่างมาก ในการทำให้ห้องเย็นลงโดยไม่ใช้เครื่องปรับอากาศ แต่ใช้เพียงขวดน้ำขนาด 500 มล. จำนวน 2 ขวดเท่านั้น

ขั้นตอนที่ 1: เทน้ำลงในขวดทั้ง 2 ขวด ปริมาณน้ำเพียงประมาณ 3/4 ของขวด (ระวังอย่าเติมน้ำมากเกินไป)
ขั้นตอนที่ 2: ใส่น้ำ 2 ขวด ไว้ในช่องแช่แข็งของตู้เย็น จนกว่าน้ำด้านในจะกลายเป็นน้ำแข็ง
ขั้นตอนที่ 3: นำขวดน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็งทั้ง 2 ขวดออกมา ใส่ไว้ในถังโลหะแล้วตั้งทิ้งไว้ในห้อง
ฮิโรโคจิ คันโป บอกว่า เพียงทำเช่นนี้ห้องก็จะแห้งและเย็นขึ้น โดยเกิดจากกระบวนการลดความชื้น เมื่อความชื้นในอากาศควบแน่นเป็นหยดน้ำขนาดเล็ก เนื่องจากการสัมผัสกับพื้นผิวเย็นของขวดน้ำ

นอกจากนี้ เขายังไม่ลืมย้ำเตือนว่าอย่าเติมขวดน้ำจนเต็มขวด เพราะเมื่อน้ำกลายเป็นน้ำแข็งปริมาตรของมันจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับระดับน้ำที่เทลงในขวดก่อนหน้า ซึ่งน้ำแข็งจะพองตัวและทำให้ขวดเสียหายได้

แม้ว่าเคล็ดลับดังกล่าวจะถูกแบ่งปันมาตั้งแต่ปี 2022 แต่เมื่อหน้าร้อนวนมาอีกครั้ง ชาวเน็ตหลายคนก็ยังคงทำตามคำแนะนำของเขา และบอกว่าการนำขวดพลาสติกกลับมาใช้ใหม่เช่นนี้ ทั้งมีประหยัด เรียบง่าย และมีประโยชน์ มันช่างคุ้มค่าแก่การลองทำตามดู และแน่นอนว่าหากต้องการให้ห้องเย็นลงมากกว่านี้อีก ก็สามารถเพิ่มจำนวนขวดน้ำได้!

CR. เพื่อนๆจากไลน์

เซฟเก็บไว้เลยคลิปแพทย์แผนจีนสอนวิธีออกกำลังกายให้ผ่านพ้นช่วงวัยอันตราย(70-79 ปี)แล้วย้อนกลับมาแข็งแรงได้ใหม่ให้อายุยืนเล...
23/01/2024

เซฟเก็บไว้เลยคลิปแพทย์แผนจีนสอนวิธีออกกำลังกายให้ผ่านพ้นช่วงวัยอันตราย(70-79 ปี)
แล้วย้อนกลับมาแข็งแรงได้ใหม่ให้อายุยืนเลย 90 ปี
เครดิต: เพื่อนๆ จากไลน์

25/11/2023

"โรคขาดฟอสฟอรัส” นั้น ผู้สูงอายุเป็นกันมาก

โดยในถั่วเขียว มีฟอสฟอรัสสูง ช่วยป้องกันกระดูกทรุดตัว และการปวดหลัง ปวดกระดูก ปวดข้อต่อต่าง ๆ ช่วยหนุนซี่โครงไว้ให้อยู่ในสภาพปกติ ถ้าซี่โครงทรุดจะมาทับเส้นประสาทได้ แล้วจะเกิดอาการปวดหลัง ปวดร้าวลึกไปยังขาได้

ท่านควรทราบว่า ฟอสฟอรัสช่วยสร้างหัวเข่า เสริมเข่า เมื่อเข่าเสื่อม ก็ไม่ต้องผ่าทิ้งไปแล้วใส่ของเทียมแทน

จริง ๆ แล้ว ถ้าเรารู้ทัน เราสามารถป้องกันให้เข่าไม่เสื่อมได้ เสริมได้ด้วยการกินอาหารที่มีฟอสฟอรัสที่มากเพียงพอ

ช่วยได้ โดย ”กินถั่วเขียว” นั่นเอง

ไม่มีถั่วเขียว ก็กินถั่วงอกแทนได้ หรือกินวุ้นเส้น ที่ทำมาจากถั่วเขียว 100% หรือ กินผัดถั่วงอกประจำ ก็ช่วยได้

ถั่วงอก มีฟอสฟอรัสอยู่ด้วย ทำให้ตัวสูง เสริมหัวเข่าได้ดี และ มีส่วนต่อการเสริมความจำให้ดีไปด้วย

"โรคขาดฟอสฟอรัส" จะทำให้ปวดหลัง หมอนรองกระดูกทรุด เหงือกจะร่น ล้วนมาจากขาดฟอสฟอรัส

อายุมากแล้ว กินต้มถั่วเขียว ถั่วงอก ให้บ่อย ๆ หรือเป็นประจำ จะได้สารฟอสฟอรัสมาช่วยบำรุงได้มาก

การกินถั่วเขียวต้มนั้น ยังแถมบำรุงตับได้ด้วย

ในเวลาต้มถั่วเขียว ให้ใส่ขิงไปด้วย เพื่อเพิ่มความหอม และทำให้ไม่มีอาการท้องอืด

ขอบคุณ คำบรรยายของ
อ.สุทธิวัสส์ คำภา
นักธรรมชาติบำบัดวิถีไทย

9 ดี..ที่ควรมีต่อกันเมื่ออายุยิ่งมากขึ้นยิ่งต้องดีๆต่อกัน1.บอกกันดีๆอยู่ด้วยกัน อย่าหงุดหงิดง่ายตามอายุจะบอกอะไรกัน ก็ค่...
25/11/2023

9 ดี..ที่ควรมีต่อกัน
เมื่ออายุยิ่งมากขึ้น
ยิ่งต้องดีๆต่อกัน

1.บอกกันดีๆ
อยู่ด้วยกัน อย่าหงุดหงิดง่ายตามอายุ
จะบอกอะไรกัน ก็ค่อยๆบอกกันดีๆ
อย่าเป็นคนเหวี่ยงง่าย สติแตกง่าย

2.เตือนกันดีๆ
ความผิดพลาดมักเกิดขึ้นง่าย
เมื่ออายุมากขึ้น ถ้าจะเตือนกัน
ก็เตือนกันดีๆ พยายามอย่าเตือนปนดุ
หรือเตือนปนตำหนิติเตียน
หรือเอาไปโยงกับความผิดพลาดครั้งที่ผ่านมา

3.คุยกันดีๆ
อยู่กันมาอายุปูนนี้
อย่าขัดคอกันหรือคุยกันไปทะเลาะกันไป
คุยกันให้มีความสุข
เพราะเราเหลือ คนที่จะคุยด้วยไม่มากแล้ว

4.ดูแลกันดีๆ
ลูกหลานเขามีภาระกิจของเขา
ไม่ค่อยมีเวลาจะดูแลเอาใจใส่เราได้มาก
เหมือนเราดูแลกันเองหรอก
เพราะมีแต่เราเท่านั้น ที่อยู่ใกล้ชิดกันตลอด
เราจึงต้องดูแลกันดีๆตั้งแต่ตื่นนอน
จนเข้านอนในยามค่ำคืน

5.ทำให้กันดีๆ
พออายุมากขึ้น ก็ต้องมีสติมากขึ้น
ทำอะไรก็ต้องทำช้าๆ ค่อยๆทำ
ทั้งทำให้ตนเอง และทำให้คนที่เรารัก
ไหนๆก็ต้องทำให้กันแล้ว
ก็ควรตั้งใจทำให้กันดีๆในทุกเรื่อง
ทั้งเรื่องกิน เรื่องที่อยู่ เรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ฯ
รวมไปถึงเมื่อมีการเจ็บไข้ได้ป่วย

6.ใช้สอยให้ดีๆ
อายุเรามากขึ้น รายได้ก็น้อยลง
เพราะเลยเวลาทำมาหาเงินแล้ว
จึงต้องช่วยกันดูแลการใช้สอยเงินให้ดีๆ
ใช้ให้เหมาะ ให้ควรแก่การใช้จ่าย
เพื่อจะได้มีเงินใช้จ่ายไปนานๆ

7.ทำอารมณ์ให้ดีๆ
อารมณ์ดี มีความสุข
เป็นสิ่งที่เราพึงปฏิบัติ
อย่างสม่ำเสมอเมื่ออายุมากขึ้น
เพราะอารมณ์ดีช่วยทำให้อายุยืน
และทำให้คนรอบข้างมีความสุขไปด้วย

8.ใช้ชีวิตให้ดีๆ
ใช้ชีวิตให้เหมาะสมกับวัย
เพราะเราเลยวัยโลดโผนผจญภัยไปแล้ว
ที่เคยปีน เคยยก เคยแบกฯ
ถึงวันนี้ต้องเลิกทำแล้ว
และห้ามดื้อเด็ดขาด เวลาลูกหลานบอก
หรือคนที่รักเตือน ว่าอย่าทำ

9.อยู่ด้วยกันดีๆ
เราไม่รู้หรอก ว่าเราจะอยู่ด้วยกัน
ไปได้อีกนานแค่ไหน ใครจะไปก่อนใคร
เพราะฉะนั้น เมื่อยังมีเวลา ที่จะอยู่ด้วยกัน
ต้องอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
ดูแลเอาใจใส่กันดีๆ พูดจากันดีๆ
และเก็บเกี่ยวความสุขที่มีให้แก่กันไว้
จนวินาทีสุดท้าย ที่จะได้อยู่ด้วยกัน
นับแต่วินาทีนี้ บอกกับตนเองเลยว่า
“เราจะปฏิบัติกับเขาแต่สิ่งดีๆ
ในเวลาที่มีให้กัน”
.................................................................

ที่มาบทความ : ดร.พนม ปีย์เจริญ
ภาพจาก : pinterest.com
สนับสนุนโดย 𝗕𝗶𝗼𝗦𝘆𝗻
https://shope.ee/7pQhptg9YZ
เริ่มต้นดูแลสุขภาพ ต้องเริ่มต้นที่ลำไส้

09/10/2023

โศกนาฎกรรมเงียบ !!
(ค่อนข้างยาว แต่น่าสนใจมาก)
กนก รัตน์วงษ์สกุล. แฟนเพจ

มีโศกนาฎกรรม ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ภายในครอบครัวหลายๆครอบครัว โดยที่คนในครอบครัวไม่รู้ตัว และ มันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มีค่าที่สุดของเรา นั่นคือ "ลูกหลาน" ของเรา
ใครก็ตามในยุคนี้ ที่อยากมีลูก หรือ อยากมีหลานไว้อุ้ม... ท่านอาจคิดผิดมหันต์
เพราะลูกหลาน ที่เป็นเด็ก และ เยาวชนในยุคต่อจากนี้ไป เกือบครึ่งหนึ่ง จะเป็นลูกหลาน ที่มีโอกาสอกตัญญู ไม่รู้บุญคุณ กับคนที่เป็น พ่อแม่ ลุงป้าน้าอา ปู่ย่าตายาย
ดังนั้น ใครที่เป็นพ่อแม่ ลุงป้าน้าอา ปู่ย่าตายาย ต้องทราบว่า ในวันนี้ และ วันข้างหน้า เด็กๆ เหล่านี้ กำลังมีสภาวะอารมณ์ที่รุนแรง!
เพราะ ในช่วง 15 ปี ที่ผ่านมา นักวิจัยได้พบสถิติ ที่น่าตกใจมาก เกี่ยวกับการเพิ่มขึ้น ของความเจ็บป่วยทางจิต ของเด็กๆ และจำนวนเด็กที่เจ็บป่วยก็มีจำนวนที่เพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง และมากกว่ายุคใดๆ
สถิติไม่โกหก มันเป็นความจริง เชิงประจักษ์ :
- เด็ก 1 ใน 5 คน มีปัญหาสุขภาพจิตค่อนข้างรุนแรง
- เด็กที่วินิจฉัยว่าเป็น ADHD โรคสมาธิสั้น ภาวะผิดปกติทางจิตเวช เพิ่มขึ้นถึง 43%
- มีรายงาน ภาวะซึมเศร้าของเด็ก วัยรุ่นเพิ่มขึ้นถึง 37%
- มีอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น 200% ในเด็กอายุ 10 - 14 ปี
มันเกิดอะไรขึ้น และ เรา...พวกผู้ใหญ่ พ่อแม่ ได้ทำอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า ⁉️
เพราะเด็กในวันนี้ถูกกระตุ้นมากเกินไปเพื่อให้มีพรสวรรค์ทางด้านวัตถุเพื่อจะได้เป็นคนเก่งมากจนเกินไป
บางครอบครัว ถึงขนาด ให้ลูกหลาน เป็นนักล่ารางวัลต่างๆ แท้จริงแล้ว เป็นการทำให้ พวกเด็กๆ ถูกปิดกั้น ถูกละเลย จากสิ่งที่เป็นพื้นฐานสำคัญ ที่ทำให้มีช่วงวัยเด็ก ที่ควรมี ที่ดี ที่มีคุณภาพ (healthy childhood) สูญเสียไป เช่น...
- ไม่มีการกำหนด ขอบเขตที่ชัดเจน ให้เด็กๆ ทราบว่า อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้
- ขาด โภชนาการที่สมดุล และ การนอนหลับที่เพียงพอ
- เด็กขาดการเคลื่อนไหวร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคลื่อนไหวกลางแจ้ง
- เด็กขาด การเล่นอย่างสร้างสรรค์ การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ขาดโอกาสที่จะได้เล่นอย่างอิสระ และ ช่วงเวลาที่เด็กๆ จะได้รู้สึกเบื่อ เพื่อจะคิดหาวิธีการเล่นเพื่อแก้เบื่อของตนเอง
ในหลายๆ ปีที่ผ่านมา เด็กๆ ถูกแทนที่ สิ่งสำคัญเหล่านี้ด้วย....
- ผู้ปกครองที่วุ่นวาย อยู่กับ อุปกรณ์ดิจิตอลต่างๆ
- ผู้ปกครองยอมทำตาม และ ยอมอนุญาตให้เด็กๆเป็นคน "ปกครองโลก" และเป็นคนที่กำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ เอง ในวัยที่ไม่สมควร
- ทำให้เด็กๆ เข้าใจผิดว่า เป็นเรื่องถูกต้อง ที่ตัวเองสมควรที่จะได้รับทุกสิ่งที่ต้องการ โดยที่ไม่ต้องทำอะไร หรือไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย
- เด็กๆ นอนหลับไม่เพียงพอ และ มีโภชนาการที่ไม่สมดุล
- รูปแบบการใช้ชีวิตของเด็ก เป็นแบบขยับตัวน้อย (Sendentary Lifestyle) นั่งหน้า TV. นั่งหน้าคอมพิวเตอร์ ไม่ออกไปข้างนอก อยู่แต่ในห้องของตน
- เด็กๆ ถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา มีเทคโนโลยีเป็นเพื่อนเป็นพี่เลี้ยง ทั้งทางเฟซบุ๊ค ไลน์ อินสตราแกรม ไอจี ฯลฯ เด็ก จะได้สิ่งที่ต้องการ ในทันที และ ไม่มีช่วงเวลาที่น่าเบื่อ เพราะ ถูกกระตุ้นตลอดเวลาแล้วพวกผู้ใหญ่ จะทำอย่างไรกันดี?
ถ้าเราต้องการให้ลูกหลาน ของเรา เป็นคนที่มีความสุข และ มีสุขภาพดี (จริงๆ) พวกเรา ต้องตื่นได้แล้ว และกลับไปสู่พื้นฐาน กลับไปสู่เบสิค และ มันยังคงเป็นไปได้ที่จะแก้ไข แม้จะมีหนทางค่อนข้างน้อยก็ตาม
มีหลายครอบครัว เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เพียงไม่กี่สัปดาห์ หลังจากทำตาม คำแนะนำ ดังต่อไปนี้ :
1. กำหนด จำกัดขอบเขต ให้กับลูกหลาน และจำไว้ว่า คุณเป็นกัปตันของเรือ เป็นผู้นำครอบครัว ไม่ใช่ให้ลูกเป็นผู้นำ ทั้งๆที่ ไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอ ลูกหลานของคุณ จะรู้สึกมั่นใจมากขึ้น เมื่อรู้ว่า คุณสามารถควบคุมทิศทาง หรือ หางเสือของชีวิตได้
2. ต้องช่วยให้ลูกหลาน มีวิถีชีวิตที่สมดุล ที่เต็มไปด้วย สิ่งที่ลูกหลาน จำเป็นต้องมี ไม่ใช่แค่สิ่งที่ลูกหลานต้องการ อย่ากลัวที่จะพูดคำว่า "ไม่" กับลูกๆ หลานๆ ของคุณ หากสิ่งที่พวกเขาต้องการ ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น
3. ต้องให้ลูกหลาน ทานอาหารที่มีคุณค่า และลด จำกัด อาหารขยะทั้งหลาย
4. ต้องให้ลูกหลาน ใช้เวลากลางแจ้ง อย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงต่อวัน ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การขี่จักรยาน การเดิน การออกกำลังกาย การเล่นกีฬา สนามเด็กเล่นกลางแจ้ง หรือ ช่วยปลูกผักสวนครัว ฯลฯ
5. พยายาม ทานอาหารด้วยกัน ในครอบครัวทุกวัน โดยไม่มีสมาร์ทโฟนหรือไอแพด ไอโฟน หรือ เทคโนโลยีอื่น ที่ทำให้เสียสมาธิ ซึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า
6. พยายามเล่นกับลูกหลาน ใช้เวลาด้วยกันในครอบครัว
7. ให้ลูกหลาน ของคุณ มีส่วนร่วม ในการทำงานบ้าน ตามอายุของพวกเขา (พับเสื้อผ้า, แขวนเสื้อผ้า, ล้างจาน, กวาดบ้าน, ถูบ้าน ,จัดโต๊ะ, ให้อาหารสุนัข, รดน้ำต้นไม้ ฯลฯ )
8. ให้มีการเข้านอนเป็นเวลา เพื่อให้แน่ใจว่า ลูกหลานของคุณ ได้นอนหลับเพียงพอ
9. ต้องสอนลูกหลาน ในเรื่องความรับผิดชอบ และ เรื่องเสรีภาพ อย่าปกป้องลูกมากเกินไป จากความรู้สึกไม่พอใจ หงุดหงิด เสียใจ หรือ ความผิดพลาดทั้งหมด ความเข้าใจผิด จะช่วยให้พวกเขา สร้างความยืดหยุ่น และ เรียนรู้ที่จะเอาชนะความท้าทายในชีวิตต่อไปได้
10. อย่าถือกระเป๋า หรือ เป้สะพายหลัง หรือ ถือของให้ลูกหลาน ต้องพยายาม ให้ลูกหลาน ช่วยตัวเองมากที่สุด โดย "ให้คำยกย่องชมเชย" เมื่อสามารถทำอะไรได้เอง ถ้าลูกลืมการบ้าน อย่าไปเอามาให้ อย่าปอกเปลือกกล้วย หรือ เปลือกส้ม หรือ ทำอะไรให้ลูกหลานมากเกินไป ถ้าหากพวกเขา สามารถทำได้ด้วยตัวเอง แทนที่จะให้ปลา แต่สอนพวกเขา ให้รู้จัก วิธีการหาปลาเองเป็น ต้องสอนแต่เนิ่นๆตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก
11. ต้องสอนลูกหลาน ให้รู้จักรอ และ ชะลอความพึงพอใจในสิ่งต่างๆได้ สอนให้รู้จัก การอดเปรี้ยวไว้กินหวานได้
12. ให้ลูกหลาน มีโอกาสได้พบ "ความเบื่อ" เนื่องจากความเบื่อหน่าย เป็นช่วงเวลาที่ความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้น เพื่อหาวิธีแก้เบื่อ ไม่ต้องเป็นพ่อแม่ที่รู้สึกว่าต้องทำให้ ลูกหลานสนุกตลอดเวลาเท่านั้น
13. อย่าใช้เทคโนโลยี เป็นวิธีแก้ความเบื่อของลูกหลาน เพราะ จะทำให้ลูกหลานอ่อนแอ และ ต้องแข็งใจ ไม่ต้องสนองความต้องการทุกครั้ง เมื่อลูกหลานร้องขอ เพราะ จะเป็นผลเสียหายร้ายแรงต่อลูกหลานในอนาคต ที่จะเอาแต่ใจตัวเป็นใหญ่ จะเป็นคนที่มีปัญหาตกต่ำในอนาคต
(ท่าน ต้องท่องไว้ว่า ความเบื่อ จะก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ)
14. หลีกเลี่ยงการใช้เทคโนโลยี ในระหว่างมื้ออาหาร ในรถยนต์ ในร้านอาหาร ในศูนย์การค้า ในบ้าน ใช้ช่วงเวลาเหล่านี้ เป็นโอกาสในการเข้าสังคม โดยการฝึกสมอง ให้รู้วิธีการทำงาน เมื่ออยู่ในโหมด: "เบื่อ" (boredom)
15. พยายามมีอารมณ์ร่วมกับลูกหลาน ต้องไวต่อความรู้สึกของลูกหลาน และต้องสอนให้พวกเขา รู้จักควบคุมอารมณ์ตนเอง และ สอนทักษะทางสังคม
16. ปิดโทรศัพท์ในเวลากลางคืน เมื่อลูกหลาน ต้องเข้านอน เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวน จากสัญญานโทรศัพท์ และ สิ่งต่างๆ จากโทรศัพท์
17. ต้องพยายาม เป็นผู้ควบคุม หรือ เป็นผู้ฝึกอารมณ์ สำหรับลูกหลานของคุณ สอนพวกเขา ให้รู้จัก และ จัดการความผิดหวัง และ ความโกรธของตนเอง
18. ต้องสอนลูกหลาน ให้ทักทายคนอื่นเป็น รู้จักการรอคิว รู้จักผลัดกันเล่น ผลัดกันใช้ รู้จักแบ่งปัน รู้จักการพูดขอบคุณ และ การขอโทษ อย่างมีมารยาท รู้จักการยอมรับในความผิดพลาด โดยตัวท่านเอง ต้องทำเป็นแบบอย่างที่ดี ในชีวิตประจำวัน ของค่านิยมทั้งหมดนี้
19. ต้องเชื่อมต่อ อารมณ์กับลูกหลาน โดยการ- ยิ้ม กอด จูบ หอม จี้เอว หัวเราะ สนุก อ่านนิทาน เล่นกีฬา เต้นรำ กระโดดเล่นกับลูกหลานบ่อยๆ
ถ้าเราอยากเห็น ความเปลี่ยนแปลงที่ดี ในชีวิตลูกๆหลานๆ ของเราจริงๆ.... โปรดทำตามคำแนะนำดังกล่าว ท่านอาจได้ลูกหลานที่ดีกลับคืนมาก็ได้ 🙂
Cr. Dr. Luis Rojas Marcos Psychiatrist
ให้กำลังใจคุณพ่อ-คุณแม่ ทุกๆท่าน

นำมาใช้ได้กับทุกสถานการณ์ที่มีภัยใกล้ตัว ที่สำคัญตั้งสติให้ดี
08/10/2023

นำมาใช้ได้กับทุกสถานการณ์ที่มีภัยใกล้ตัว ที่สำคัญตั้งสติให้ดี

ที่อยู่

Chon Buri

เวลาทำการ

จันทร์ 08:30 - 20:30
อังคาร 08:30 - 20:30
พุธ 08:30 - 20:30
พฤหัสบดี 08:30 - 20:30
ศุกร์ 08:30 - 20:30
เสาร์ 08:30 - 20:30
อาทิตย์ 08:30 - 20:30

เบอร์โทรศัพท์

0970356597

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Foodhealthhub กินเป็นลืมป่วยผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์